รักอุ้มบุญ
...ความรักของเธอมันแท้ง! กี่ครั้งก็แท้ง! คราวนี้จึงต้องมีเขามาอุ้มบุญ รักครั้งนี้จะได้เป็นตัวเป็นตน...รักอุ้มบุญ
Tags: รักอุ้มบุญ,ปลากัด

ตอน: บทที่ 3

สวัสดีเพื่อนนักเขียนนักอ่านทุกท่านในวันที่ฟ้าครึ้มฝนนะคะ ^^
ขอบคุณเพื่อนนักอ่านที่ยังติดตามกันค่ะ ^^
คุณคิมหันตุ์ oOo คุณปูสีน้ำเงิน oOo คุณ anOO ^^
ช่วงนี้จะอัพอาทิตย์ละสองครั้งนะคะ คือจันทร์กับพุธค่ะ ^^

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*


บทที่3


บรรยากาศงานเลี้ยงเหมือนๆ กันทุกที่ในความรู้สึกของภัทริศ คือมีคนแต่งตัวดีๆ มายืนคุยกัน อวดอ้างความร่ำรวยบ้าง โชว์เครื่องเพชรกันบ้าง หรือไม่ก็พูดถึงทายาทของตัวเอง ลามเลยไปถึงการจับคู่ให้กันโดยเข้าใจกันเองเฉพาะผู้ใหญ่ว่าเหมาะสม ไม่เคยถามหรือสนใจเลยว่าบรรดาทายาทฝ่ายหญิงฝ่ายชายเหล่านั้นเห็นด้วยหรือไม่

พอคิดมาถึงตรงนี้ชายก็หลุบตาลงมองมือเรียวที่คล้องแขนเขาอยู่ นี่ไง ความเหมาะสมตัวเป็นๆ เดินเกาะแขนเขาทักทายคนนู้นทีคนนี้ทีจนทั่วงานตามคำสั่งคุณพรรัมภา สีหน้าเขาว่าเบื่อหน่ายสุดๆ แล้วก็ยังพอมีรอยยิ้มให้แขกตามมารยาทบ้าง ส่วนยศยานั่นสิ แสดงสีหน้าเซ็งออกมาไม่ปิดบัง สายตาสอดส่ายทั่วงานราวกับกำลังหาใครสักคน ในมืออีกข้างของหญิงสาวมีไวน์ตลอดเวลา พอยกแก้วหนึ่งขึ้นเทใส่ปากรวดเดียวหมด ก็โฉบแก้วใหม่จากบริกรที่เดินว่อนทั่วงาน

“ดูคุณเครียดๆ ตั้งแต่กลับมาจากสิงคโปแล้วนะครับ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มเอ่ยเรียบๆ ไม่มีทีท่าว่าสนใจเป็นพิเศษ

หญิงสาวในชุดผ้าแพรสีดำมันวาว เกาะอกอิ่มสวยปล่อยชายยาวระพื้น เหล่มองคู่ควงด้วยหางตาแล้วทำเสียงบางอย่างในลำคอ ก่อนยกไวน์ขึ้นดื่มจนหมดอีกครั้ง

“คุณสนใจด้วยหรือคะว่าแยมคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่” ยศยาแสยะยิ้มคล้ายหยันตัวเอง ภัทริศรู้ว่าน้ำเสียงนั้นประชด และเป็นการประชดแบบไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจผสมอยู่เลยแม้แต่น้อย

“โอเค...ผมอาจไม่ใช่คู่หมั้นที่ดีนัก แต่เชื่อเถอะ ว่าคุณอยู่ในสายตาผมตลอด” คำพูดของภัทริศหมายความตามนั้นจริงๆ ไม่มีความนัยเกินกว่าที่เขาต้องการสื่อ หากยศยากลับสะดุ้งเล็กๆ จ้องหน้าเขาตรงๆ คล้ายค้นหาบางสิ่ง

“แยมไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แค่เครียดเรื่องงานนิดหน่อย” พูดจบไวน์ในมือก็ถูกส่งเข้าปากอีกแก้ว ภัทริศมองแล้วไม่ค่อยอยากเชื่อนักว่าเครียดแค่ ‘นิดหน่อย’ แต่ไม่เห็นความจำเป็นต้องคาดคั้นจึงปล่อยผ่าน

“เอาเป็นว่า ถ้าคุณมีอะไรจะให้ผมช่วย บอกได้เลยนะครับ ผมยินดีช่วย”

“ในฐานะคู่หมั้นเหรอคะ” หญิงสาวเลิกคิ้วถาม ภัทริศไหวไหล่เล็กน้อย

“เต็มใจทุกฐานะครับ”

ยศยามองชายหนุ่มข้างกาย ทุกคำพูดของเขาไม่ได้อ่อนหวาน หรือกระตือรือร้นอะไรนักหนา ทว่าสัมผัสได้ถึงความจริงใจในทุกคำ ตลอดระยะเวลาที่รู้จักและคบหากันมา หญิงสาวรู้ว่าคนอย่างภัทริศเป็นสุภาพบุรุษและมีน้ำใจต่อคนอื่นเสมอ...นี่อาจเป็นหนึ่งในหลายเหตุผลที่ทำให้เธอยอมหมั้นด้วย

อะไรบางอย่างแล่นมาจุกอกหญิงสาว พานทำให้รู้สึกร้อนผ่าวตรงหน่วยตา ดวงตาที่ตกแต่งอย่างสวยงามกะพริบถี่พร้อมเมินหน้าหนี

“แยมขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะคะ”

“ตามสบายครับ ไปคนเดียวได้นะ” เขาถามพร้อมเหลือบมองแก้วไวน์ในมือหญิงสาว ยศยาไม่ตอบแต่เดินเลี่ยงไปทางตัวบ้าน

ภัทริศมองตามคู่หมั้นเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่เดินเซไปชนใครเข้า เมื่อร่างนั้นลับสายตา จึงหันกลับมากวาดมองทั่วงาน ใกล้ซุ้มพวงแสดบริเวณรั้วบ้านมีร่างของใครคนหนึ่งยืนชะเง้อคออยู่ ชายหนุ่มเขม้นมองเพียงครู่เดียวก็จำได้ในทันทีว่าเป็นภัทรมน พี่สาวคนเดียวของเขา

ขายาวก้าวเร็วๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็มาหยุดยืนเบื้องหลังร่างบอบบางในชุดสีครีมหวานน่ารักเหมาะกับคนสวมใส่เป็นอย่างยิ่ง

“พี่มนมายืนทำอะไรตรงนี้ครับ แล้วพี่ภัตล่ะ”

คนถูกทักสะดุ้งหันกลับมามองน้องชายด้วยสีหน้าหม่นหมอง ดวงตาโศกเศร้าจนอีกฝ่ายใจคอไม่ดี จับข้อมือแล้วรั้งให้เดินไปทรุดนั่งกันบนเก้าอี้ชิงช้าในซุ้มพวงแสดค่อนข้างห่างไกลผู้คน

อาการบีบมือกันแน่น และเม้มริมฝีปากจนเป็นขอบขาวไร้สีเลือดของพี่สาวทำให้ภัทริศนึกหวั่นใจ

“เกิดอะไรขึ้นครับพี่มน บอกผมได้ไหม” น้ำเสียงนุ่มทอดถามอ่อนโยน

ภัทรมนช้อนสายตาขึ้นมองน้องชายแล้วเงียบไปครู่ คล้ายกำลังตัดสินใจบางอย่าง สุดท้ายจึงเอ่ย

“คุณภัตรับโทรศัพท์...ของใครสักคน แล้วก็ผลุนผลันขับรถออกไป บอกว่าสักพักจะกลับมาจ้ะ” ดวงตาคู่สวยมีหยดน้ำเอ่อคลอ อาการบีบมือดูเหมือนจะเพิ่มแรงมากขึ้น

“อาจจะเป็นเรื่องงานมั้งครับ” น้องชายปลอบใจมากกว่าจะเห็นจริงตามนั้น

ศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมหนาดกดำ รวบมวยไว้ตรงท้ายทอยส่ายไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ

“พี่คิดว่าคงไม่ใช่...ต้องเป็นผู้หญิงแน่ๆ เลยริศ” มือบางคลายออกจากกันเลื่อนมาเขย่ามือน้องชายแรงๆ หยดน้ำตาร่วงอาบแก้มอย่างสุดกลั้น “คุณภัตเขามีคนอื่น...เขานอกใจพี่” ร่างของพี่สาวสะอื้นแรงจนชายหนุ่มต้องรั้งมากอดปลอบไว้แน่น

“ใจเย็นๆ ครับพี่มน อย่าคิดฟุ้งซ่านสิครับ พี่ภัตไม่ทำอย่างนั้นหรอก รอให้เขากลับมาแล้วค่อยถามดีไหมครับ” ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองพอจะแว่วข่าวนั้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่อยากให้พี่สาวตีโพยตีพาย เมื่อยังไม่มีหลักฐานใดๆ หรือจับได้คาหนังคาเขา บริภัตก็ยังนับว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ อีกอย่าง...ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ เขาก็จะไม่ยอมให้ภัทรมนเจ็บปวดเด็ดขาด

ภัทรมนพยายามตั้งสติให้ตัวเอง ดันกายออกห่างน้องชาย เงยมองเขาแล้วสะกดริมฝีปากให้นิ่งที่สุดยามเอ่ยเล่า

“พี่...พี่เจอสร้อยข้อมือของผู้หญิงในกระเป๋ากางเกงเขา ตอนเขากลับมาจากสัมมนาที่ฟิลิปปินส์” หญิงสาวทิ้งช่วงสะอื้นแรง “จริงๆ ก่อนหน้านั้นพี่เจออะไรผิดปกติหลายอย่าง แต่พี่ไม่อยากโวยวาย ได้แต่หวังว่าเขาจะจบทุกอย่างได้ หากยิ่งนานวันเหมือนเขาจะยิ่งถลำตัว ไม่กลับบ้านบ่อยขึ้น ท่าทีเหินห่าง บางทีก็เอาใจจนน่าระแวง พี่จะทำอย่างไรดีริศ พี่รักเขา พี่ไม่อยากเสียเขาไป พี่จะทำอย่างไรดี”

ช่วงท้ายๆ ภัทรมนเหมือนสติหลุด หญิงสาวเขย่ามือน้องชายแรงขึ้นจนชายหนุ่มต้องรั้งร่างบอบบางมากอดไว้อีกครั้ง

“ใจเย็นๆ นะครับพี่มน พรุ่งนี้พี่ภัตก็จะพาพี่มนไปพักผ่อนต่างประเทศไม่ใช่หรือครับ ถ้าการออกไปคืนนี้เป็นอย่างที่พี่มนสงสัย บางทีเขาอาจจะออกไปเพื่อ...จบความสัมพันธ์ก็ได้นะครับ”

อาการของคนในอ้อมแขนสงบลงฉับพลัน นั่นทำให้ภัทริศเผลอผ่อนลมหายใจออกมา

“นั่นสินะ” พี่สาวรำพึงเบาๆ “อาจจะผิดที่พี่เองก็ได้นะริศ พี่มีลูกให้เขาไม่ได้ พี่มันอ่อนแอเกินไป เขาคงเบื่อ”

“ไม่เอาครับ อย่าโทษตัวเองอย่างนั้น พี่มนเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุด ทำใจให้สบายนะครับสองอาทิตย์ที่ไปเที่ยวกับพี่ภัต ก็พักผ่อนให้เต็มที่ กลับมาเรื่องทุกอย่างต้องดีขึ้น...เชื่อผม”

ภัทริศไม่รู้หรอกว่าทุกอย่างจะดีขึ้นอย่างที่พูดหรือเปล่า แต่เขาจะพยายามทุกวิถีทางให้ชีวิตของพี่สาวสงบสุข ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขานี่ล่ะ จะช่วยสางปัญหานั้นเอง

...ห่างออกไปไม่ไกลนัก ร่างของยศยายืนนิ่งแข็งด้วยความรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว แก้วไวน์ในมือถูกกำแน่นจนน่ากลัวว่ามันจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ดวงตาของหญิงสาวฉายแววชิงชัง ลุกโพลงด้วยไฟริษยา



สวนสาธารณะใกล้หมู่บ้านที่มธุรินอาศัยอยู่ค่อนข้างเงียบเพราะเวลาล่วงผ่านสี่ทุ่มไปแล้ว หญิงสาวนั่งอยู่บนขอบบ่อน้ำพุกลางสวน แสงไฟสปอร์ตไลท์บนเสาสูงส่องสว่างทั่วบริเวณ ทำให้มองเห็นทุกอย่างถ้วนทั่ว ลมเย็นๆ พัดผ่านลานโล่งมากระทบร่างโปร่ง บังเกิดความเย็นจนต้องห่อไหล่และใช้สองมือโอบกอดตัวเอง หากสิ่งที่เหน็บหนาวยิ่งกว่าอยู่ในอากาศติดลบนั่นคือหัวใจที่เจ็บช้ำ

บริภัตจอดรถไว้ไกลพอสมควร เพราะบริเวณด้านข้างสวนไม่มีที่สำหรับจอด เขาวิ่งออกจากงานมาด้วยความร้อนรนหลังจากได้รับโทรศัพท์ที่จบคำพูดด้วยประโยคที่ว่า ‘นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน’ วินาทีนั้นชายหนุ่มไม่ได้คิดถึงใครหรืออะไรทั้งนั้น ละทิ้งทุกอย่างมาเพียงเพื่อไม่อยากให้สิ่งที่หญิงสาวบอกเป็นจริง

และเวลานี้เขาวิ่งจากรถมาหาเธอกลางสวนด้วยหัวใจร้อนรนอีกเช่นกัน ชายหนุ่มหยุดหอบตัวโยนอยู่เบื้องหลังร่างหญิงสาวที่จำได้ติดตา ใบหน้าคมเผยรอยยิ้มดีใจที่เธอยังรอ แม้จะเลยเวลานัดมาแล้วเกือบชั่วโมง

“หวาน!” เสียงเรียกคุ้นหูคุ้นใจส่งผลให้คนถูกเรียกนิ่งแข็งไปหลายวินาที ก่อนเธอจะค่อยๆ ลุกและหันกลับไปหาเขาช้าๆ มองเขาชัดเต็มสองตานิ่งนานโดยไม่เอ่ยอะไร

ขณะร่างสูงเดินเข้ามาใกล้หญิงสาวจ้องเขาไม่ละสายตาราวกับจะจดจำทุกอย่างไว้ ไม่! เธอมองให้ชัดว่าเขาคือคนหลอกลวง!

ก้าวสุดท้ายที่เขาก้าวมาถึงระยะใกล้ มธุรินเผลอถอยหลังอย่างลืมตัว คล้ายว่ารังเกียจเขาเสียเต็มประดา ดวงตาของบริภัตตะลึงกับการกระทำนั้น

“หวาน!”

“พี่ภัตมาช้าไปนะคะ...” ในน้ำเสียงไร้แววล้อเล่นเหมือนทุกที หากมีบางสิ่งบางอย่างบ่งบอกถึงความหมายกินนัยมากกว่าการตัดพ้อต่อว่า

หึ! นี่เองสินะ...ที่เขาเคยบอกว่าน่าจะเจอเธอเร็วกว่านี้...หญิงสาวคิดหยันตัวเอง

“พี่ขอโทษ...พอดีรถติด แต่หวานก็มาสายบ่อยนี่นา แค่นี้คงให้อภัยพี่ได้ใช่ไหม” บริภัตข่มใจ พยายามทำให้ทุกอย่างเป็นปกติ เขายิ้มและเอ่ยอย่างล้อเลียน เหมือนไม่รับรู้ความผิดแปลก

มธุรินยิ้มขื่นส่งให้เขา ตั้งสติตัวเองให้มั่นยามเอ่ยทุกคำพูด

“ไม่ว่าจะแค่ไหน หวานให้อภัยพี่ภัตได้ทุกเรื่องแหละค่ะ ขอแค่พี่ภัตพูดความจริงกับหวานก็พอ” แม้ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้ม แต่น้ำเสียงกลับจืดชืดเย็นชาจนคนฟังใจหาย

ร่างสูงกระตุกไปนิด จ้องมองดวงตาเธอนิ่งไม่หลบไปไหน

“พี่ก็ไม่เคยโกหกหวานนี่ครับ ไม่ว่าเรื่องอะไร”

“รวมถึงเรื่องที่พี่ภัตมีภรรยาอยู่แล้วด้วยหรือเปล่าคะ” ยามเอ่ยคำถามนั้น ปากคอเธอสั่นระริกทีเดียว มือทั้งสองข้างกำแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว

บริภัตเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ขยับเท้าไปหาคนตรงหน้า แต่ฝ่ายนั้นถอยทีเดียวสามก้าว ราวกับต้องการให้ห่างเขามากที่สุด

“หวาน!”

“หยุด! อย่าเรียกชื่อฉัน” สรรพนามแทนตัวเองยิ่งห่างเหินจนบริภัตแทบยืนไม่ติด

เขาจ้องหน้าเธอราวกับจะสื่อสารความรู้สึกภายในทั้งหมดที่มี ทว่าเวลานี้เหมือนรอบตัวมธุรินจะมีเกราะป้องกันอย่างแน่นหนา ไม่ยอมรับความรู้สึกใดๆ จากเขาทั้งนั้น

“หวานเอาอะไรมาพูด พี่...พี่ไม่มีใคร พี่รักหวานคนเดียว”

หัวใจของมธุรินที่กำลังเต้นระรัว อยู่ๆ ก็เหมือนจะหยุดนิ่งกะทันหัน น้ำตาที่ไม่อาจเก็บกลั้นร่วงเผาะลงอาบแก้ม เธอจ้องมองผู้ชายตรงหน้าราวกับเป็นคนไม่รู้จัก แปลกหน้าและไม่คุ้นเคย

“ฉันเสียใจที่รู้ว่าตัวเองเลือกรักคนมีเจ้าของอยู่แล้ว รู้สึกแย่ที่ทำร้ายคนอื่นโดยไม่รู้ตัว แต่สิ่งที่ฉันผิดหวังที่สุดคือคุณไม่ยอมบอกความจริงข้อนี้ด้วยตัวคุณเอง แม้กระทั่งฉันรู้แล้ว คุณก็ยังปากแข็ง...รู้ไว้เลย ว่าฉันผิดหวังที่สุด!”

ร่างโปร่งหมุนตัวตั้งท่าวิ่งหนี หากไวไม่เท่าคนที่กระโดดมาตะครุบจากด้านหลัง บริภัตกอดเธอไว้แน่น ไม่ว่าหญิงสาวจะดิ้นรุนแรงเพียงใดเขาก็ไม่ยอมปล่อย กลับยิ่งรัดรึงแน่นขึ้นกว่าเดิม แนบหน้าลงกับเรือนผมด้วยความคิดถึงและหวาดกลัวการสูญเสีย

“หวาน ฟังพี่ก่อนนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ พี่ขอโทษ...หวาน พี่รักหวาน พี่ไม่ได้โกหก” ยิ่งเขาพยายามแก้ตัวมธุรินยิ่งดิ้นสุดแรงเพื่อให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดอันน่ารังเกียจนั้น หากไม่ว่าดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด กระทั่งเหนื่อยหอบจนต้องหยุดยืนนิ่งๆ เพื่อหอบหายใจ

“ปล่อยฉันค่ะ” แม้คำพูดจะเจือสะอื้น หากหนักแน่นในทุกคำ “ทุกอย่างที่ผ่านมาฉันให้อภัยคุณ เพราะฉันเองก็มีส่วนผิด แต่นับจากนี้ไประหว่างเรา...จบสิ้น!”

“ไม่! พี่ไม่ยอมเด็ดขาด หวานต้องฟังพี่อธิบายก่อน”

“ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างชัดเจนอยู่แล้ว หยุดทุกอย่าง หยุดทำร้ายภรรยาคุณ หยุดทำผิดซะเถอะ คุณบริภัต!”

แล้วหญิงสาวก็อาศัยจังหวะที่เขาเผลอกระทุ้งศอกใส่เต็มแรง จนหลุดจากพันธนาการทางร่างกาย หันกลับมามองคนยืนตัวงอเพื่อล่ำลาและบอกตัวเองว่า...นับจากวินาทีนี้ไป เธอหลุดพันธนาการจากหัวใจด้วยเช่นกัน!

“หวาน! หวาน!”



หลังจากไปส่งพี่สาวกับพี่เขยที่หน้าตาอ่อนเพลียละเหี่ยใจกันทั้งคู่ที่สนามบินเสร็จเรียบร้อยแล้วภัทริศก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังบริษัทของตัวเอง วันนี้จะเป็นการทำงานวันแรก หากชายหนุ่มไม่มีความตื่นเต้นใดๆ เลยสักนิด เพราะนี่ถือเป็นก้าวแรกของความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง ตำแหน่งประธานบริษัทคงไม่หละหลวมพอให้เขาเร่ร่อนไปนู่นมานี่ หรือสนุกไปวันๆ เหมือนเดิมได้อีกแล้ว

“เอาน่า ได้เวลาเอาจริงเอาจังกับชีวิตแล้วนายภัทริศ” ชายหนุ่มบอกกับตัวเอง โดยไม่รู้เลยว่า เส้นทางข้างหน้ามีบางสิ่งรออยู่ บางสิ่งที่เขาจะยินดีต้อนรับเต็มหัวใจ

บีเอ็มดับเบิ้ลยู Z4 สีขาวที่เลี้ยวเข้าบริษัทด้วยความเร็วของสมรรถนะและฝีเท้าคนขับเบรกกะทันหันจนเกิดเสียงล้อบดกับพื้นดังลั่น ส่งผลให้คนที่ยืนหัวเสียอยู่กับรถคันข้างหน้าสะดุ้งโหยง ตะลึงค้างนิ่งแข็งเป็นหิน ไม่แม้แต่จะขยับหนี

ภัทริศเองตกใจไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นานทีเดียวกว่าเขาจะเปิดประตูรถและก้าวลงมายืนนิ่งๆ อีกพักใหญ่ ก่อนเดินเข้าไปหาร่างโปร่งที่เมื่อขยับใกล้และเห็นชัดถนัดตา ชายหนุ่มแทบตะโกนชื่อเธอดังลั่น

“คุณหวาน!”

“คุณ!...” มธุรินชี้หน้าเขาด้วยความตกใจเพิ่มอีกคำรบ ดวงตากลมโตอยู่แล้วยิ่งเบิกกว้างเข้าไปอีก ผิดกับอีกคนที่บัดนี้สีหน้าเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างด้วยความดีใจและแปลกใจระคนกัน

“นี่อย่าบอกนะครับว่าคุณจำชื่อผมไม่ได้” เขาเอียงคอถาม สีหน้ายังคงเกลื่อนยิ้ม

ไม่ใช่จำไม่ได้แต่หญิงสาวรู้สึกกระดากปากที่จะเอ่ยเรียกชื่อเขาทั้งๆ ที่ไม่สนิทสนม

“จำได้ค่ะ...คุณภัทริศ”

“แหม...ดีใจจัง จำได้เต็มยศเสียด้วย” เขาเอ่ยเย้าจนคนฟังต้องตวัดสายตามองค้อน ชายหนุ่มเพียงยักไหล่พร้อมเปลี่ยนเรื่อง “คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ แล้วรถเป็นอะไร เอ้อ เมื่อกี้ตกใจมากไหม ผมต้องขอโทษคุณด้วยนะครับ” คำถามรัวมาชนิดไม่รู้ว่าจะเลือกตอบข้อไหนก่อนหลัง อีกทั้งไม่รู้ว่าจำเป็นอะไรไหมที่เธอต้องตอบเขา

“คุณไม่ได้ต้องการคำตอบจริงๆ ใช่ไหมคะ” น้ำเสียงหญิงสาวติดประชด ชายหนุ่มจึงยิ้มแหยหากสายตาวิบไหวจนคนมองต้องเมินหนี

“ต้องการสิครับ แต่ตอนนี้เอาเป็นว่า ผมช่วยเข็นรถคุณให้พ้นทางก่อนดีกว่า เดี๋ยวใครเลี้ยวเข้ามาไม่ทันระวังจะชนท้ายรถผม จนกันชนหน้าเสยท้ายรถคุณเข้า ผมคงชิ่งหนีไม่ทันเหมือนคนอื่นเขาหรอกนะครับ”

ฟังคำเขาแล้วอดตวัดสายตาค้อนไม่ได้...ผู้ชายขี้ประชด!

และโดยไม่ตอบโต้ใดๆ หญิงสาวช่วยเขาเข็นรถมือสองกลางเก่ากลางใหม่ของตัวเองหลบให้พ้นทาง แล้วเขาก็กลับไปเคลื่อนรถตัวเองจอดเข้าที่ จัดการล็อกเรียบร้อยร่างสูงก็เดินกลับมาหาเธออีกครั้ง

“อ่ะ ทีนี้ขอคำตอบว่าคุณมาทำอะไรที่นี่ครับ”

“มาสมัครงานค่ะ” หญิงสาวตอบแบบผ่านๆ

“สมัครงาน?” เขาเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ “แต่พบกันคราวก่อนคุณมีงานทำแล้วไม่ใช่เหรอครับ” คำถามเขาเกิดจากความสงสัยจริงๆ ไม่ได้อยากรู้เรื่องชาวบ้านเลยสักนิด

มธุรินเม้มริมฝีปากแน่น นึกไม่อยากตอบก็กลัวเขาจะซักไซ้ไม่เลิก จึงเอ่ยบอกให้จบๆ ไปเสีย

“ฉันลาออกจากงานเมื่อเช้านี้เองค่ะ ด้วยเหตุผลส่วนตัว” ประโยคท้ายย้ำเพื่อไม่ให้เขาถามต่อ “และฐานะฉันก็ไม่ร่ำรวยขนาดมีโทรศัพท์รุ่นแพงๆ ใช้ มีรถหรูๆ ขับเหมือนคนอื่นเขา จึงจำเป็นต้องหางานทันทีที่ตกงาน” หญิงสาวเชิดหน้าขยายความให้เขาฟัง

ภัทริศมองใบหน้าสวยนั้นแล้วกลั้นหัวเราะไม่อยู่จนหลุดพรืดออกมา

“ผู้หญิงขี้ประชด!” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่คนยืนใกล้ดันได้ยินชัดเจน

“คุณว่าอะไรนะ”

“เปล่านี่ครับ คุณได้ยินหรือ?” หญิงสาวพยักหน้าดวงตาจ้องเป๋งมาที่เขา ชายหนุ่มแสร้งทำสีหน้าครุ่นคิด “สงสัยจะเป็นเสียงจากหัวใจ คุณนี่เก่งนะครับ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจผมด้วย”

หญิงสาวอ้าปากแล้วหุบ อ้าแล้วหุบหลายรอบอย่างจนด้วยคำพูด สุดท้ายก็เลือกเดินหนีแทนการโต้ตอบ รู้ว่าถึงเถียงไปก็ไร้ประโยชน์ ผู้ชายคนนี้ลื่นไหลไปได้เรื่อย

“อ้าว เดี๋ยวสิคุณ ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณมาสมัครงานที่นี่ตำแหน่งอะไร” เขาตามมาขวางหน้าไว้ จนคนกำลังก้าวเร็วๆ หยุดเท้ากะทันหันหน้าแทบคะมำ

“คำถามนี้ฉันคงไม่จำเป็นต้องตอบคุณมั้งคะ”

“โอเค งั้นผมขอรู้ชื่อจริงคุณหน่อยได้ไหม มันไม่ยุติธรรมเลยนะครับ คุณรู้ชื่อจริงของผม แต่ผมไม่รู้ชื่อจริงของคุณ น่า แค่ชื่อจริงไม่ต้องเอานามสกุลก็ได้ เดี๋ยวผมค่อยใส่ให้เองอันนั้นน่ะ”

ชายหนุ่มร่ายยาวรวดเดียว ด้วยกลัวว่าเธอจะไม่ยอมบอก และที่มธุรินจะไม่ยอมบอกก็เพราะไอ้ประโยคหลังของเขานั่นล่ะ

“มธุริน” หญิงสาวบอกห้วนๆ

“มธุริน...หวาน เพราะทั้งคู่เลย” เขาพึมพำ ก่อนหันมายิ้มกว้างให้เธอ โค้งศีรษะต่ำจนร่างโปร่งต้องถอยห่างด้วยความตกใจและแปลกใจปนกัน “ขอบคุณคร้าบ ขอให้คุณโชคดี” ขยิบตาให้เธอแล้วเขาก็วิ่งนำเข้าตัวอาคารไป ทิ้งไว้เพียงความงุนงงของหญิงสาว

“ท่าจะเพี้ยน” มธุรินบ่นเบาๆ ส่ายหน้าแล้วเดินเข้าอารคารอย่างลืมเสียสนิทว่าเธอเองไม่ได้ถามว่าเขามาที่นี่ทำไม แต่จะมาทำไมก็ช่างเถอะ ไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย



ร่างสูงรีบวิ่งไปขึ้นลิฟต์สำหรับผู้บริหารรวดเร็วจนแม้แต่พนักงานประชาสัมพันธ์ด้านหน้าซึ่งรอทักทายประธานบริษัทคนใหม่ก็ยังทำได้เพียงอ้าปากค้าง

เมื่อถึงชั้นบนสุดของตึกซึ่งเป็นชั้นผู้บริหาร ภัทริศเดินผิวปากออกมาจากลิฟต์ สร้างความแปลกใจให้กับคณะผู้บริหารหลายคนที่มายืนรอต้อนรับ ด้วยต่างรู้กันว่าบุตรชายของคุณประณตไม่อยากเข้ามารับตำแหน่งนี้สักเท่าไหร่ เห็นว่าเป็นคนรักอิสระ ไม่ชอบอยู่นิ่งๆ กับที่ เช่น โต๊ะทำงาน หากเท่าที่ทุกคนเห็น ชายหนุ่มค่อนข้างอารมณ์ดี และรื่นรมย์กับการมาทำงานวันแรก

ทักทายทุกคนแค่พอหอมปากหอมคอ ภัทริศก็รีบเดินไปยังห้องทำงานใหญ่ของอดีตประธานบริษัทคนเก่า หรือบิดาของเขานั่นเอง หน้าห้องมีคุณพวงทิพย์ในชุดสูทสีดำสนิท สวมแว่นสายตา ผมรวบไว้เรียบตึงครอบด้วยตาข่ายอย่างเป็นระเบียบ สวมรองเท้าคัทชูสีดำสุภาพ เรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้วยืนยิ้มรออยู่

“สวัสดีค่ะท่านประธานคนใหม่”

“สวัสดีครับคุณเลขาคนเก่า” เท่านั้นเองคนยิ้มกว้างก็หุบฉับในทันใด สะบัดหน้าหนีโดยไม่ลืมทิ้งค้อนวงใหญ่ให้ชายหนุ่ม

ภัทริศหัวเราะอย่างอารมณ์ดี กับท่าทีของคุณพวงทิพย์ ซึ่งค่อนข้างสนิทสนมกันพอสมควร และเขาให้ความเคารพประหนึ่งญาติผู้ใหญ่ก็ว่าได้

“ใช่สิคะ ประธานหนุ่มไฟแรงอย่างคุณริศน่ะไม่ต้องการเลขาแก่ๆ อย่างพวงหรอก” น้ำเสียงงอนสะบัด

“ฮื่อ ทำไมคิดอย่างนั้นละครับ คุณพวงน่ะเป็นเลขาที่ปรึกษาของบริษัทนะครับ เผลอๆ ใหญ่กว่าประธานบริษัทอย่างผมเสียอีก ผมจะกล้าให้คุณพวงมาทำงานให้ผมได้ยังไง จริงไหมครับ” เขายื่นหน้าไปทำสายตาล้อเลียน คุณพวงทิพย์เลยได้แต่ยิ้มระอากับความเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่ม

“ค่ะๆ จะว่าไงก็ได้ แล้วนี่คุณประณตกับคุณพรรัมภาไม่ได้มาส่งด้วยหรือคะ” ถามพลางสอดส่ายสายตามองหา ขณะคนถูกถามแสร้งกลอกตาขึ้นมองเพดาน

“ผมมาทำงานนะครับ ไม่ได้เข้าอนุบาลวันแรกสักหน่อย ถึงต้องมีผู้ปกครองมาส่ง” อีกครั้งที่เลขาคนเก่าค้อนปะหลับปะเหลือกให้ชายหนุ่ม หากเขาไม่สะทกสะท้าน อมยิ้มอย่างนึกสนุกที่ได้หยอกเย้า

“ตอนนี้มีคนมารอตำแหน่งเลขาคนใหม่อยู่ทั้งหมดสามคนนะคะ ถ้าคุณริศพร้อม พวงจะได้เรียกมาให้คุณริศสัมภาษณ์ทีละคน” คุณพวงทิพย์ขี้เกียจต่อปากต่อคำจึงดึงเข้าเรื่องงาน

“แล้วตอนนี้บริษัทเรามีแผนกไหนบ้างครับที่กำลังรับพนักงานใหม่อยู่” เขาถามไปอีกทางราวกับไม่ใส่ใจในสิ่งที่คุณพวงทิพย์รายงาน

“ก็มีแค่ตำแหน่งเลขาของคุณริศ กับฝ่ายการตลาดอีกหนึ่งตำแหน่งค่ะ แต่พนักงานฝ่ายการตลาด ฝ่ายบุคคลจะเป็นคนสัมภาษณ์เองนะคะ เพราะปกติแล้วหน้าที่รับพนักงานเป็นของฝ่ายนั้น ยกเว้นก็แต่...ตำแหน่งพิเศษเท่านั้นล่ะค่ะ ที่ต้องให้ท่านประธานท่านเลือกเอง” คำเหน็บแนมเล็กๆ ไม่ทำให้ชายหนุ่มอารมณ์ขุ่นมัว กลับนึกสนุกเสียด้วยซ้ำ

ใบหน้าคมยื่นไปใกล้เลขาคนเก่าอีกครั้ง

“ผู้หญิงนี่ ขี้ประชดทุกคนหรือเปล่าครับ”

“ไม่ทราบสิคะ คุณริศน่าจะรู้ดีกว่าพวงไม่ใช่หรือคะ!” คราวนี้ประธานบริษัทคนใหม่หัวเราะเสียงดังลั่น

เมื่อหยุดหัวเราะได้ภัทริศก็ยกแขนขึ้นกอดอกทำท่าครุ่นคิด ครู่เดียวจึงเอ่ยบอกเลขาคนเก่าว่า

“งั้นผมฝากคุณพวงบอกฝ่ายบุคคลให้ผมหน่อยนะครับว่า ถ้ามีผู้หญิงชื่อมธุรินมาสมัครงาน ให้ส่งเธอมาให้ผมสัมภาษณ์ ส่วนจะรับใครเข้าฝ่ายการตลาดก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่คุณมธุริน” คุณพวงทิพย์ทำสีหน้าแปลกใจ แต่ภัทริศไม่ยอมอธิบายใดๆ เขาชอบนักละ กับการอมพะนำให้คนอื่นสงสัย “ส่วนตำแหน่งเลขาที่มารออยู่สามคนถ้ามีชื่อคุณมธุรินอยู่ คุณพวงก็บอกคนที่เหลือให้กลับได้เลย แต่ถ้ายังไม่มีก็...ให้กลับได้เหมือนกัน เอาง่ายๆ ครับว่า...เลขาของผมต้องชื่อ...มธุรินเท่านั้น!”

จบคำพูดชายหนุ่มเดินผิวปากเข้าห้องไปหน้าตาเฉย ทิ้งเครื่องหมายคำถามไว้ให้คุณพวงทิพย์เต็มไปหมด



มธุรินค่อนข้างแปลกใจเมื่อมายื่นใบสมัครงานแล้วคนรับใบสมัครถามเพียงว่าเธอชื่ออะไร พอบอกชื่อนามสกุลไปเท่านั้น สีหน้าแววตาของคนถามก็เปลี่ยนไป ยิ้มกว้างให้เธอพร้อมมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนพึมพำเบาๆ ว่า

“สวยขนาดนี้นี่เอง”

“อะไรนะคะ?”

“อ้อ เปล่าๆ ค่ะ เดี๋ยวคุณมธุรินรอตรงนี้สักครู่นะคะ” เธอพยักหน้ารับงงๆ ฝ่ายนั้นจึงกดโทรศัพท์โทร.หาใครสักคน พอวางสายก็หันมามองหน้าเธอพลางยิ้มให้อีกครั้ง

ครู่เดียวก็มีผู้หญิงท่าทางเหมือน ‘ครูระเบียบ’ เดินเข้ามาหยุดยืนข้างๆ มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นกัน ก่อนเอ่ยขึ้นว่า

“ตามฉันมาทางนี้ค่ะ”

“คะ?” หญิงสาวมองคนนู้นทีคนนี้ที แล้วคนที่รับใบสมัครของเธอไว้ก็พยักหน้าให้เชิงว่า ‘เดินตามไปเถอะ’ มธุรินไม่รู้จะทำอย่างไร จึงเดินตามคนที่โขกบุคลิกครูระเบียบแทบไม่ผิดเพี้ยนไป

รั้นมาหยุดยืนหน้าห้องทำงานห้องหนึ่งอาณาบริเวณเฉพาะหน้าห้องก็ค่อนข้างกว้างแล้ว เหลือบไปมองป้ายตรงประตูที่เขียนไว้ว่า ‘ประธานบริษัท’ หญิงสาวถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ คนเดินนำเธอมาเคาะประตูเป็นสัญญาณสามครั้งพอดิบพอดี เมื่อได้รับการตอบรับเป็นคำอนุญาตหญิงผู้นั้นก็หลีกทางพร้อมหันมาพยักหน้าเชิงว่าให้เข้าไป

มธุรินลังเลอยู่ครู่ก็ตัดสินใจเดินเข้าประตูที่เปิดอ้ารออยู่อย่างตัดใจ เอาเถอะ จะเกิดอะไรขึ้นก็คงไม่เลวร้ายเหมือนกับเรื่องที่ได้เจอมาแล้วกระมัง ให้มันรู้ไปว่าจะหนีเสือปะจระเข้!

ทันทีที่ก้าวพ้นประตูมา หญิงสาวก็ได้พบกับชายหนุ่มในชุดสูทสีทึบนั่งยิ้มเผล่รอรับอยู่บนเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่สูงท่วมหัว แม้ร่างนั้นจะสูงมากแล้วก็ตาม หญิงสาวอ้าปากหวอด้วยความอึ้ง ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อตัวเอง

“สวัสดีอีกครั้งครับ...คุณมธุริน”

“คะ...คุณ คุณภัทริศ!”

ชายหนุ่มลุกจากเก้าอี้มาหยุดยืนระยะใกล้ สองมือล้วงกระเป๋า ใบหน้าแย้มยิ้มด้วยความพอใจ มองคนที่ยืนทำตาปริบๆ อย่างกับไม่เชื่อสายตาตัวเองแล้วอดขำไม่ได้

“ครับ ผมภัทริศ อินทร์จันทรา ยินดีต้อนรับคุณมาเป็นเลขาส่วนตัวด้วยความเต็มใจ” เขาโมเมเอาเองขณะหญิงสาวยังไม่หายมึนงง มือใหญ่ดึงเอกสารในอ้อมแขนของเธอไปหน้าตาเฉย พอทรุดนั่งที่เดิมก็กางเอกสารทั้งหมดออกอ่าน “โอ้โฮ จบปริญญาตรีการตลาดมา เกรดเฉลี่ยสูงลิ่ว แหม...สมกับที่ผมรับมาเป็นเลขาส่วนตัวจริงๆ”

เมื่อประมวลผลทุกอย่างได้ มธุรินก็รีบก้าวไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขา ดึงเอกสารทั้งหมดกลับมา

“คุณพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ แล้วฉันมาสมัครงานฝ่ายการตลาดมันเกี่ยวอะไรกับเลขาส่วนตัวของคุณ”

“ยังไม่มีใครบอกคุณสินะว่าฝ่ายการตลาดเขารับพนักงานไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ตำแหน่งเลขาของประธานบริษัท ซึ่งผมเห็นสมควรว่าคุณเหมาะกับตำแหน่งนี้มากกว่า”

ยิ่งเขาอธิบายหญิงสาวยิ่งงงหนักกว่าเก่า

“แต่ฉันทำงานเลขาไม่เป็น! ไม่เอาหรอก ฉันไปหางานที่อื่นก็ได้” ว่าแล้วเธอก็หมุนตัวก้าวจะออกจากห้อง ภัทริศรีบลุกพรวดมาคว้าข้อมือเธอไว้ได้ทัน

“เดี๋ยวสิคุณ ไม่ลองคิดดูก่อนเหรอ งานตอนนี้ไม่ได้หากันง่ายๆ นะ ถ้าไม่มีเส้นมีสายละก็ ยากทีเดียวเชียวล่ะ” เขาบอกแกมขู่ หญิงสาวเชิดหน้าอย่างไม่กลัว

“ไม่เป็นไร ฉันก็จะหาจนกว่าจะได้”

“ก็ไหนคุณว่าฐานะทางบ้านไม่ดี ต้องหางานให้เร็วที่สุด แค่นี้ยังไม่เร็วหรือไงครับ เอาน่า งานเลขาไม่มีอะไรยาก เดี๋ยวผมให้คุณพวงทิพย์สอนให้ รับรองเกรดเฉลี่ยสูงอย่างคุณ แป๊บเดียวเก่ง ตกลงนะครับ”

กำลังอ้าปากจะปฏิเสธ แต่แล้วคำพูดของเขาก็วิ่งตัดหน้ามาให้ต้องใคร่ครวญ มันก็จริงอย่างเขาบอก งานสมัยนี้หายากจะตาย เล่นเส้นเล่นสายกันทั้งนั้น อีกอย่างบ้านก็ต้องผ่อน รถก็ต้องเติมน้ำมัน สำคัญที่สุด ยิ่งหางานนานเท่าไหร่ ยายก็จะยิ่งเป็นห่วงมากเท่านั้น ลำพังเรื่องความผิดพลาดของตัวเองก็ทำให้ยายเสียใจมากพอแล้ว เธอไม่ต้องการให้ยายกังวลเพิ่มขึ้นอีกเรื่อง

“คุณไม่กลัวว่าฉันจะทำงานคุณพังหรือไง” หญิงสาวอ้อมแอ้มถาม หากคนฟังยิ้มกว้าง เกือบจะยกมือฉลองเยส! อย่างลืมตัวแล้วเชียว ดีที่นึกได้ทัน

“ไม่กลัวเลยสักนิด” เขายืนยันหนักแน่นเสียจนมธุรินต้องเงยสบตา แม้เขาจะดูวุ่นวายสักหน่อย เจ้าเล่ห์สักนิด แต่แววตาเต็มไปด้วยความจริงใจ คงไม่เลวนักหรอกถ้าทำงานกับเขา ยิ่งถ้ากังสดาลรู้คงกรี๊ดสนั่นทีเดียวเชียว

“ขอบคุณนะคะ ฉันจะพยายามให้ดีที่สุด”

“เป็นอันว่าคุณตกลง?” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างจำยอม “งั้นเริ่มงานวันนี้เลยนะครับ ผมจะให้คุณพวงมารับคุณไปสอนงาน” ได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบอีกครั้ง แต่คราวนี้สายตาเลื่อนลงมองมือเขาที่ยังจับค้างอยู่ตรงข้อมือเธอ

“แหะๆ ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจ”

หญิงสาวได้แต่ตวัดสายตาค้อนน้อยๆ ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูกกันแน่ที่ยอมตกลงใจง่ายดายแบบนี้



วันนี้ทั้งประธานบริษัทคนใหม่และเลขาคนใหม่มีงานที่ต้องเรียนรู้เยอะแยะทั้งคู่ จึงทำให้ไม่ได้เจอกันอีกเลยนับจากแยกย้ายกันไปทำงานของตน กระทั่งตกเย็นภัทริศเงยหน้าจากกองเอกสารมากมาย ยกแขนสองข้างขึ้นชู บิดขี้เกียจไล่อาการเมื่อยล้าออกไปจากตัว สมองจึงเพิ่งว่างประหวัดไปถึงใครอีกคน

ร่างสูงเดินออกมายังโต๊ะเลขาหน้าห้อง เวลานี้คุณพวงทิพย์ยังครอบครองอยู่เพราะต้องสอนงานจนกว่าเลขาคนใหม่จะคล่องเสียก่อน

“เป็นไงบ้างครับคุณครูเลขา ลูกศิษย์สอนยากหรือเปล่า” เขาค้ำโต๊ะถามด้วยรอยยิ้ม คุณพวงทิพย์ปรายตามองด้วยความหมั่นไส้ ก่อนตอบ

“เก่งค่ะ ไม่เคยทำงานเลขา แถมจบการตลาดมา แต่สอนอะไรก็รับได้เร็ว สงสัยอีกวันสองวัน พวงคงไม่ได้นั่งประจำโต๊ะตัวนี้แล้วล่ะค่ะ”

สีหน้าคนฟังฉายแววพอใจจนเกินเหตุ จนไม่อาจหลุดรอดสายตาของเลขาคนเก่าคนแก่ไปได้

“แล้วนี่ไปไหนเสียละครับ”

“ไปเข้าห้องน้ำค่ะ นั่งเรียนรู้งานทั้งวันคงเมื่อย แต่ไม่ยักบ่นสักคำ ให้ข้อดีอีกข้อ คืออดทนดีค่ะ” แม้น้ำเสียงจะเหมือนรายงานทั่วๆ ไป แต่ภัทริศจับกระแสเสียงพึงพอใจของคุณพวงทิพย์ได้เช่นกัน

ชายหนุ่มไม่แปลกใจสักนิดที่คนชอบคนยากอย่างเลขาของบิดาคนนี้จะพึงใจในตัวมธุริน ดูเอาอย่างเขาเถอะ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่เคยเป็นบ้าเป็นหลังกับใครสักคน เพียงแค่เจอเธอครั้งแรก เหมือนทุกอย่างในชีวิตเขาเปลี่ยนไปกะทันหัน ไม่ทันตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ พอรู้ตัวอีกทีก็...ก็อะไร?

ถ้าการคิดต่อเพื่อหาคำตอบให้ตัวเอง...จะทำให้พบทางตันไปด้วย เขาก็อยากให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างนี้เรื่อยๆ ให้มันคลุมเครือ ไม่ต้องชัดเจน เพราะความสุขบางครั้ง มันก็สวนทางกับความจริง

“เดี๋ยวถ้าเธอกลับมาให้เข้าไปพบผมด้วยนะครับ”

ประธานบริษัทคนใหม่เดินกลับไปยังห้องตามเดิม คุณพวงทิพย์มองตามด้วยสายตามีรอยห่วงกังวลพาดผ่าน การที่บริษัทได้คนมีฝีมือดีเข้าทำงานนั้นย่อมเป็นเรื่องดี แต่คงจะเป็นเรื่องดีกว่าถ้าจะไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง ภาวนาขออย่าให้ภัทริศคิดทำอะไรเกินกว่าที่ควรจะเป็นแล้วกัน

“อ้าว มาพอดี คุณริศเรียกให้เข้าไปพบแน่ะ อย่าลืมเคาะประตูสามครั้งก่อนนะ” คุณพวงทิพย์ย้ำเรื่องมารยาทที่สอนไปแล้ว มธุรินพยักหน้ารับด้วยความแปลกใจ เดินเลี่ยงไปหยุดยืนหน้าประตูห้องใหญ่ยกมือเคาะสามครั้งไม่ขาดไม่เกิน คุณพวงทิพย์ซึ่งนั่งเงี่ยหูฟังอยู่ ยิ้มพอใจ

“คุณริศมีอะไรจะให้ดิฉันรับใช้หรือคะ” วิธีการพูดเป็นทางการนี่เลขาของบิดาคงสอนมาด้วยกระมัง ไม่อย่างนั้นมธุรินคงไม่ดูห่างเหินกับเขาขนาดนี้

“ถ้าไม่เงยหน้าขึ้นมอง ผมนึกว่าอีเย็นเป็นคนเข้ามาแทนคุณนะเนี่ย” เขาพูดแล้วหัวเราะมุกตัวเอง “ไม่ต้องพูดเป็นทางการขนาดนั้นก็ได้ครับ ผมกับคุณไม่ใช่เจ้านายกับเลขาธรรมดากันสักหน่อย”

มธุรินเงยขวับขึ้นมองทันได้เห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของเขากับรอยยิ้มมุมปาก “ไม่ธรรมดายังไงคะ”

“อ้าว...ก็เราเป็น...” แกล้งขยักคำพูดไว้ กลอกตาไปมาคล้ายกำลังครุ่นคิด “เป็นเพื่อนกันไงครับ”

“คงไม่ดีหรอกค่ะ คุณดูแก่กว่าฉันตั้งเยอะ” หญิงสาวเอาคืนบ้าง และได้ผล ชายหนุ่มหน้าง้ำทันที

“พูดเกินไป ผมออกจะหน้าใสเหมือนหนุ่มวัยกระเตาะ” ท่าทางงอนๆ ของเขาทำให้มธุรินต้องกลั้นยิ้ม พอเขาหันมาเห็นจึงยิ้มตอบ “เป็นพี่น้องก็ได้ เอ้า!”

“เสียใจค่ะ ฉันเป็นลูกคนเดียว พ่อกับแม่ก็เสียไปนานแล้ว คงมีลูกเพิ่มไม่ได้”

“จริงหรือ? ความรู้ใหม่เกี่ยวกับคุณนะนี่” ภัทริศเพียงกระเซ้าเล่น ไม่นึกว่าจะทำให้เธอสีหน้าเปลี่ยน แววตาสดใสเมื่อครู่สลดลงอย่างเห็นได้ชัด “ขอโทษครับ”

“ไม่เห็นต้องขอโทษนี่คะ ฉันเป็นคนเริ่ม เอาเป็นว่าคุณเรียกฉันมาทำไมคะ”

“เมื่อเช้ารถคุณเสียไม่ใช่เหรอ เย็นนี้ผมไปส่งแล้วกันนะครับ”

กับผู้ชายคนนี้เจอกันแค่สามครั้ง ครั้งแรกเป็นอุบัติเหตุ เพียงไม่กี่นาที ครั้งที่สองแค่เอาโทรศัพท์มาแลกกันแล้วก็ทานมื้อเที่ยงด้วยกัน ส่วนครั้งนี้นานหน่อย...ทั้งวันและต่อไป ทำไมเขาถึงดูเหมือนพยายามเข้าใกล้เธอนักนะ จากประสบการณ์สดๆ ร้อนๆ ที่เพิ่งผ่านพ้นไปทำให้มธุรินค่อนข้างระวังตัว เธอไม่ได้หลงตัวเองหรอกนะ แต่เรื่องแบบนี้ ประมาทไม่ได้

“ฉันกลับเองดีกว่าค่ะ รบกวนคุณเปล่าๆ”

“ไม่รบกวนเลย ผมเต็มใจ เอาละ ไม่ต้องปฏิเสธ ยังไงผมก็ไม่ยอม คุณไปเก็บของได้เลยครับ” มือใหญ่ยกขึ้นเป็นปางห้ามญาติเมื่อหญิงสาวอ้าปากจะค้าน พร้อมกันนั้นเขาก็แสร้งทำเป็นก้มลงอ่านเอกสารตรงหน้า เพื่อยุติบทสนทนาทั้งหมด

เมื่อขัดใจเขาไม่ได้มธุรินจึงจำต้องนั่งรถคันหรูมากับเจ้านายคนใหม่ และแม้เธอจะยืนยันให้ส่งแค่หน้าปากซอยเขาก็ไม่ยอมฟัง ดึงดันมาส่งจนถึงหน้าบ้านจนได้

…บ้านที่แม้แต่บริภัตก็ยังไม่เคยได้มาเหยียบ และมธุรินถือว่านั่นคือความโชคดีท่ามกลางความโชคร้าย

“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง คราวหลังฉันจะพยายามไม่ให้อีแก่ของฉันมันทรยศ จะได้ไม่ต้องรบกวนคุณอีก” พูดจบก็เลื่อนมือปลดเข็มขัดนิรภัย ชายหนุ่มอมยิ้มกับคำเรียกรถของเธอ

“เดี๋ยวสิครับ คราวก่อนผมไม่ได้บันทึกเบอร์ของคุณไว้ มันเลยหายไป ขอใหม่อีกครั้งได้ไหมครับ” อาการส่ายหน้าไปมาของคนนั่งข้างทำให้ภัทริศต้องสำทับ “ในฐานะที่เราเป็นเจ้านายลูกน้องกัน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีเบอร์กันและกัน” คราวนี้สีหน้ามธุรินดูกระอักกระอ่วนใจอย่างไรพิกล

“ยังไงเราก็เจอกันที่บริษัทอยู่แล้ว ไม่ต้องแลกเบอร์ก็ได้มั้งคะ” น้ำเสียงอ่อนอ่อยแถมไม่ยอมสบตาทำให้ภัทริศยิ่งสงสัย

“ดูคุณทำท่าแปลกๆ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่มี! ไม่มีเลยสักนิด” อาการปฏิเสธรัวเร็ว ปัดป่ายมือพัลวันนั้นยิ่งน่าสงสัยหนักเข้าไปใหญ่

“ถ้าไม่มีก็บอกเบอร์มาสิครับ ไม่งั้นไม่ได้ลงจากรถนะ หรือไม่ก็เอามือถือคุณมาผมกดหาเบอร์ผมเองก็ได้” มือใหญ่ยื่นมาพร้อมกระดิกนิ้วเป็นเชิงขอ “เร็วๆ สิครับ” เขาเร่ง

“ฉัน...ฉันมีเบอร์คุณอยู่แล้ว” หญิงสาวอ้อมแอ้มตอบ ภัทริศทำหน้าแปลกใจในตอนแรก แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มกริ่ม มธุรินหลุบสายตาลงมองโทรศัพท์ในมือตัวเอง หลับตากลั้นใจกดโทร.ออก ครู่หนึ่งเสียงเพลงเรียกเข้าของเขาก็ดังขึ้น

วินาทีนั้นหญิงสาวแทบหยุดหายใจ หลับตาปี๋อย่างไม่อยากเห็นว่าเขาจะมีสีหน้าอย่างไรเมื่อเห็นชื่อที่เธอบันทึกไว้ในเครื่องเขาด้วยความไม่ตั้งใจ

“เจ้าของ?” เสียงทุ้มอ่านชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอไอโฟนสี่ ประมวลผลไม่นานเกินรอริมฝีปากหยักลึกก็ยิ้มกว้างออกเรื่อยๆ จนแทบกลายเป็นเสียงหัวเราะ “ยินดีและเต็มใจเป็นอย่างยิ่งครับผม” คงไม่ใช่อุปาทานแน่ๆ ที่รู้สึกว่าน้ำเสียงเขานุ่มกว่าปกติ

“เปลี่ยนใหม่ก็ได้นะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจบันทึกอย่างนั้น” แล้วเธอก็เปิดประตูลงจากรถรวดเร็ว ก่อนปิดกลับแรงพอสมควร จึงไม่ยินเสียงหัวเราะของ ‘เจ้าของ’ ว่าดังก้องรถขนาดไหน




โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชมค่ะ ^^



ปลากัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ส.ค. 2554, 12:16:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ส.ค. 2554, 12:16:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 2593





<< บทที่ 2   บทที่ 4 >>
เบลินญา 10 ส.ค. 2554, 12:55:33 น.
เรื่องน่ารักดีค่ะ
พระเอกเราเจ้าเล่ห์ซะด้วย
มธุรินจะใจอ่อนไหมเนี่ย


บัวขาว 10 ส.ค. 2554, 13:50:55 น.
สนุก และน่ารักมากค่ะ
=^_^=


ปั้นฝัน 10 ส.ค. 2554, 15:11:50 น.
น่ารักอ่ะ แถมชอบภาษาของคนเขียนด้วย ถ้าไม่ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ เสียใจแย่เลย ^^โชคดีที่เข้ามาอ่านเจอ ติดตามคร่า..


anOO 10 ส.ค. 2554, 16:15:16 น.
อยากให้รักครั้งนี้ ไม่ต้องข้องเกี่ยวกับนายภัตกับพี่มนเลย


ann 10 ส.ค. 2554, 18:47:27 น.
พระเอกนี่น่า...(รัก)นะคะ ^^


ปูสีน้ำเงิน 10 ส.ค. 2554, 20:32:56 น.
เป็นความคิดที่น่ารักมากๆ เลย นี่ถ้าปูมีเจ้าของกับเค้าคงจะดีนะเนี่ย


คิมหันตุ์ 10 ส.ค. 2554, 22:34:44 น.
น่ารักจริงๆ


แล่นแต๊ 11 ส.ค. 2554, 06:08:57 น.
น่ารักดีค่ะ รอติดตามต่อไป


innam 11 ส.ค. 2554, 13:13:17 น.
คุณบริภัตท่าจะมีความลับซ่อนเยอะแน่เลย
ตามเป็นกำลังใจ


แพม 13 ส.ค. 2554, 17:52:36 น.
ดูท่าจะซวยอีกรอบละหวานเอ้ย ไม่ใช่ภรรยาแต่ก็คู่หมั้นนะ แล้วก็นะ ยศยาต้องแอบกิ๊กกะบริภัตแน่ๆเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account