เกมรักมายาลวง (ซี่รีี่เหมืองเถื่อน)
บาดแผลในชีวิต หยาดน้ำตา ใครลิขิต เธอ (ธารธารา) หรือ เธอ (ธาราธาร)

หญิงสาวต่างแม่สองคน ใบหน้าเหมือนกัน ถูกชะตาเล่นตลก เมื่อวันที่เธอคนหนึ่งหายไป อีกคนก็กลับมา

ความชิงชัง เป็นพิษร้าย ทำลาย แม้กระทั่งชีวิต ต่อสู้ ช่วงชิง ร้ายมาร้ายกลับ ด้วย...เกมรักมายาลวง

เขา คือความอบอุ่นในชีวิต ที่ลิขิตหัวใจเธอ ตั้งแต่แรกเจอ

ความเจ็บซ้อนซ่อนด้วยหยดน้ำตา มาพร้อมคำว่า ...เธอคือคนที่ใช่

รอยยิ้ม ความรัก ใครจะได้ครอบครอง ‘เธอ’ คนที่ใช่ ‘เขา’ หรือ ใช่ ‘เธอ’ หรือเปล่า

Tags: โรมานซ์

ตอน:

สวัสดีค่ะ ห่างจาก เรื่องดวงใจพรตไปสองปี ก็ได้ฤกษ์เขียน ภาคต่อ ซี่รี่ชุดเหมืองเถื่อนแล้ว

และมาถึง กัปตันสุดหล่อ เมธิส แห่งแอ็คส์แน็ค ลูกนางเมรีกับพ่อแม็คกันค่ะ

ฝากติดตามด้วยค่ะ
***********

ท้องฟ้าในคืนเดือนมืด แสงดาวระยิบระยับพร่างพราวช่างสวยงาม สะท้อนกับพื้นน้ำกว้างใหญ่ที่เรียกว่าทะเล สงบนิ่ง ไร้คลื่นลมใดๆ แต่ไม่นานท่ามกลางความเงียบ ก็มีเสียงเครื่องยนต์ของเรือดังขึ้นมา ไม่มีแสงสว่างใดส่องนำทาง มีเพียงแสงดวงดาว ราวกับรู้จักเส้นทางดีอยู่แล้ว

เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเรือให้แหวกสายน้ำไปข้างหน้า ไม่นานก็ลอยคว้างบอกให้รู้ว่าถึงจุดหมายแล้ว เสียงเครื่องยนต์ดับลงทันที ท้องทะเลกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง แต่ไม่กี่อึดใจต่อมา ...

“ตูม”

เสียงน้ำแตกกระจายออกเป็นระลอกคลื่น ฟองสีขาวสะท้อนกับความดำมืดของท้องทะเล พร้อมๆกับร่างๆหนึ่งจมดิ่งลงใต้ผิวน้ำ ชายสองคนรูปร่างผอมสูงใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ยืนมองอยู่บนพื้นเรือที่เอนเอียงตามแรงคลื่น กระทั่งผิวน้ำสงบนิ่ง ไม่มีสิ่งใดโผล่ขึ้นมา ทั้งสองคนก็หันมาสบตากัน แล้วคนหนึ่งก็ไปทำหน้าที่ขับเคลื่อนเรือให้วิ่งไปสู่ฝั่ง ทิ้งทุกอย่างที่ทำไว้ให้เป็นความลับของท้องทะเล

ตอน 1
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง

เสียงโทรศัพท์ในห้องโถงของบ้านตระกูล ‘ธรธารา’ ดังขึ้นในเวลาเช้าตรู่ เสียงสะท้อนดังก้องไปทั้งห้อง นางพุดแม่บ้านคนเก่าแก่ของตระกูลในวัยหกสิบปี ผู้ดูแลความเรียบร้อยภายในบ้าน เดินมายังเครื่องโทรศัพท์สีทองเหลืองสุกปลั่ง ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมุข ยกหูโทรศัพท์รับสาย แล้วต้องขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อเสียงตามสายดังระรัวมาให้ได้ยิน แล้วตอบกลับไปว่า

“ไม่ได้มานะคะ”

“ว้าย!” เสียงร้องบอกความตกใจ บาดหูคนฟังจนต้องเบนหูออกจากหูโทรศัพท์ เพียงเสี้ยววินาทีก็แนบหูฟังใหม่ “ไม่ได้มาได้ไง ต้องมาซิ” เสียงนั้นอ้อนออกมา “รบกวนหน่อยนะคุณนมไปดูให้ดีให้ถี่ให้ถ้วน และถ้าไม่มีจริงๆก็เรื่องใหญ่คับฟ้าแล้วละ แล้วบอกให้เด็กมาเปิดประตูให้มี่ด้วยนะคะ มี่กำลังจะถึงแล้ว”

เสียงสัญญาณตัดไปแล้ว นางพุดก็วางหูโทรศัพท์ไว้ที่แป้นรับ ขณะที่สีหน้ามีความกังวลขึ้นมา แล้วเดินไปที่ห้องครัวหลังบ้าน เด็กรับใช้สองคน กำลังช่วยกันจัดเตรียมอาหารเช้าให้กับเจ้านาย หันมามองนางพุด ซึ่งสอบถามถึงเรื่องที่ได้รับรู้มา แต่ทุกคนส่ายหน้ายืนยันว่า...ไม่

“งั้นวางมือก่อน แล้วออกไปดูให้ทั่วทุกซอกทุกมุม ถ้าใครเจอก็ให้ไปบอกฉันที่สวนมะลิ แต่ถ้าไม่เจอก็กลับมาทำหน้าที่ตัวเองให้เสร็จ และไม่ต้องพูดอะไรให้ใครฟังด้วย”

ทั้งสองคนพยักหน้ารับทราบ แล้วทำตามคำสั่งทันที ทยอยกันเดินออกไปจากห้องครัว นางพุดเดินออกไปเป็นคนสุดท้าย แบกความความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นไปหาเจ้าของบ้าน

หยาดน้ำค้างยังไม่จางหายไปจากต้นไม้ใบหญ้าและพื้นดิน เพราะแสงอาทิตย์ยังส่องมาไม่ถึง สายลมเย็นๆพัดเอาความหอมของมวลดอกไม้ที่ปลูกไว้ รวยรินมาให้ชื่นใจ ดอกมะลิหลายสิบต้นผลิดอกสีขาวลออ ชูชันล่อแมลงให้มาไต่ตอมก่อนจะถูกเด็ดออกไปจากต้น

คุณหญิงทองจันทร์ เศรษฐีนีผู้ดีเก่า มั่งคั่งด้วยที่ดิน ทรัพย์สินที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่นั่นเป็นเพียงอดีตปัจจุบันนั่นทรัพย์สินเหล่านี้ไม่มีอยู่แล้ว มีเพียงบ้านที่เป็นเหมือนตึกโบราณทรงยุโรปเพียงตึกเดียวเรียกกันว่า...ตึกใหญ่ แต่เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นมาภายในตึกก็ได้สร้างตึกเพิ่มขึ้นมาอีกตึก แล้วเรียกตึกนั่นว่า...ตึกซ้าย

ตัวท่านนั่งอยู่บนตั่งไม้สักที่วางอยู่กลางศาลา ข้างที่นั่งเป็นกระจาดกับตะกร้าใส่ดอกไม้ ทั้งดอกรัก ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ที่ปลูกไว้ ปีนี้ท่านอายุเจ็ดสิบห้าแล้ว แต่ใบหน้าท่านยังอิ่มเอิบบอกให้รู้ว่าสุขภาพยังแข็งแรง นั่งร้อยมาลัยอยู่กับสาวใช้ชื่อน้อย ซึ่งจะทำเป็นประจำทุกวัน วันไหนมีดอกมะลิเยอะ น้อยก็จะขอร้อยเป็นพวงมาลัยไปขาย ท่านก็อนุญาตเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะคนที่ซื้อไปส่วนใหญ่ก็เอาไปทำบุญถวายพระทั้งนั้น

“วันนี้ดอกมะลิตูมสวยจริง” ท่านเปรยออกมาเมื่อสังเกตเห็นว่าดอกมะลิทุกดอกนั้นขาวนวล ไม่มีรอยช้ำหรือรอยแมลงกัดกิน

“น้อยไปแย่งแมลงกับแสงพระอาทิตย์มาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางค่ะ เพราะอยากให้คุณท่านได้พวงมาลัยมะลิสวยๆไปถวายพระค่ะ”

“ขอบใจ แล้ว...” เสียงท่านหยุดอยู่แค่นั้น เมื่อเห็นแม่บ้านที่รับใช้กันมานานจนรู้ใจกันแล้ว เดินขึ้นบันไดศาลามาหา ท่านมองกระทั่งนางพุดเดินมานั่งตรงหน้า ก็ถามออกมา “มีอะไรเหรอพุด ถึงเดินมาหาฉันถึงสวนมะลิ”

“เรื่องใหญ่ค่ะท่าน”

“ใครก่อเรื่องอะไรอีกละ” ถามแล้วก็ไม่ได้สนใจ เพราะภายในตึกที่ดูสุขสงบของท่าน มีคนหลายคนอยู่ ต่างคนต่างจิตต่างใจ ใจที่ยากแท้หยั่งถึง มารวมอยู่ด้วยกัน จึงมีเรื่องเกิดขึ้นมาเข้าหูท่านบ่อยๆ แต่ยังไม่มีเรื่องใดที่ร้ายแรงเกิดขึ้นมา แม้กระทั่งเรื่องที่ท่านหวั่นอยู่ในใจลึกๆก็ตาม

“เรื่องที่ท่านหวั่นอยู่ เกิดขึ้นมาแล้วค่ะ”

มือที่จับดอกมะลิของคุณหญิงหยุดนิ่งทันที อย่างพอจะรู้ว่านางพุดหมายถึงสิ่งใด สีหน้าของท่านไม่ได้ร้อนรนออกมาให้สาวใช้กับคนสนิทรู้ แต่หัวใจนั้นเหมือนมีก้อนหินใหญ่กลิ้งมากดทับให้หนักอึ้ง วางดอกมะลิไว้ในกระจาดแล้วลุกจากตั่งไม้สักเดินลงบันไดไปที่ตึกใหญ่

โดยมีนางพุดเดินตามหลังไปเล่าให้ฟังว่าเรื่องใหญ่ที่ว่าคือเรื่องอะไร ทิ้งเด็กน้อยให้เก็บดอกมะลิกับพวงมาลัยที่ท่านร้อยไว้ พลางมองตามไปด้วยความสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
******
คุณหญิงทองจันทร์เดินเข้ามานั่งอยู่บนโซฟามุขในห้องโถง ในใจท่านเต็มไปด้วยความห่วงใยและกังวล ไม่คิดว่าเรื่องที่หวั่นจะเกิดขึ้นมา ทั้งที่ภาวนาอย่าให้เกิดขึ้นมาเลย นางพุดที่เดินตามมาแยกตัวไปทำตามคำสั่งท่าน ไม่นานก็พาคนนำความเรื่องใหญ่มาพบ สีหน้าของคนที่เดินเข้ามาหา บอกความคิดกับสภาพจิตใจที่ทุกข์ร้อนได้เป็นอย่างดี

มีลักขณาหรือมีมี่ หญิงสาววัยใกล้หลักสี่ เดินก้มตัวมานั่งบนโซฟาข้างประมุขของตึก ยกมือไหว้ท่านเรียบร้อยแล้วก็พูดความร้อนใจออกมาให้รู้ “มี่หาน้องน้ำจนทั่วแล้วก็ไม่เจอค่ะ เพื่อนพ้อง พี่น้องในวงการดารา นางแบบ นักแสดง ลองเลียบเลียงเคียงถามมาหมดแล้ว ก็ไม่มีใครเห็นใครเจอเลยค่ะ มี่ร้อนใจจนอกจะแตกตายแล้วคะท่าน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกี้คุณนมก็บอกว่าน้องน้ำก็ไม่ได้มาที่นี่ จริงๆเหรอคะ”

“ใช่ ช่วงนี้ยัยน้ำพักอยู่ที่คอนโด โดยมีเธอดูแล แล้วจะมาที่นี่ได้ยังไง”

“อันนั้นก็ใช่ค่ะ แต่ว่าเมื่อคืนนี้หลังจากถ่ายแบบเสร็จแล้ว เอเจนซี่ก็พาไปเลี้ยง เที่ยงคืนกว่าๆก็แยกย้ายกัน น้องน้ำกลับคอนโด แต่มี่ไม่ได้กลับด้วย เพราะไปทำธุระให้กับที่บ้าน เช้าตรู่มี่กลับมาเพื่อจะพาน้องน้ำไปถ่ายละคร ก็ไม่เจอ หาจนทั่วก็ไม่มี ถาม รปภ.ก็ไม่เห็น โทรเข้ามือถือก็ไม่มีสัญญาณ ถามไปที่ไหนว่ามีใครพบเห็นบ้างไหมก็ไม่มี ถามมาที่นี่ก็ไม่เห็นอีก มี่ร้อนใจจนอกจะแตกแล้วนะคะ”

เสียงมีลักขณาสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ออกมา เพราะถ้าหญิงสาวหายไปจริงๆนั่นหมายถึงความหายนะในชีวิตเธอ

“คุณน้ำอาจจะหลบไปพักผ่อนที่ไหน โดยที่ไม่อยากให้ใครรู้ก็ได้นะคะ” นางพุดให้เหตุผลที่พอจะเป็นไปได้ออกมา

“ไม่ค่ะ ไม่ คุณนม” นิ้วมือมีลักขณากรีดกรายไปตามคำพูด “น้องน้ำกำลังเป็นดารานักแสดงมีชื่อเสียงโด่งดัง เล่นเรื่องไหน โฆษณาอะไร ถ่ายแบบเมื่อไร รางวัลต้องมา เอเจนซี่ต้องแย่ง หนังสือต้องเกลี้ยงแผง ไม่มีทางที่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด ที่สำคัญตอนนี้น้องน้ำมีถ่ายละคร เรตติ้งกำลังพุ่งยังกับพลุปีใหม่ จะไม่ทิ้งไปแบบนี้แน่นอนค่ะ หรือถ้าจะทำจริงก็ต้องบอกมี่ให้จัดการเลื่อนกองเลื่อนคิว หรือยกเลิกงานต่างๆที่รับไว้ กันความเสียหายที่จะตามมา”

“งั้นโทรศัพท์คุณน้ำ อาจจะแบตหมดก็ได้”

“ก็ควรจะใช้โทรศัพท์ของที่พัก หรือยืมใครโทรหาคุณหญิงหรือโทรหามี่ก็ได้ โทรศัพท์มือถือเดี๋ยวนี้ คนมีกันเยอะแยะ ยืมใครก็ได้ ยิ่งเป็นนางเอกเด่นดังอยู่ในตอนนี้ ใครๆก็ต้องให้”

มีลักขณามีเหตุผลแย้งให้นางพุดได้เห็นทางแก้ที่ทำได้ ซึ่งก็เห็นด้วย ความหนักใจที่มีแทนที่จะเบาบาง จึงเพิ่มขึ้นมาอีก

“แล้วรถละ จอดอยู่ที่เดิมหรือเปล่า” คุณหญิงถามออกมา
“ค่ะ มี่ไปเช็กมาแล้ว จอดอยู่ที่เดิมแป๊ะ แล้วบ่ายนี้ก็มีนัดกับกองถ่ายละคร มี่จะทำไงดีคะคุณหญิง ถ้าหาน้องน้ำไม่เจอ หรือเธอหายไปจริงๆหายนะเกิดขึ้นในชีวิตมี่แน่นอน มี่ต้องตาย ตาย ตาย ต้อง...”

คุณหญิงให้รู้สึกรำคาญท่าทีของมีลักขณา หรือผู้จัดการส่วนตัวที่ดูแลคิวงานของหลานสาว แต่ไม่ต่อว่าออกมาเพราะเข้าใจ เนื่องจากใจท่านก็ร้อนเหมือนมีไฟมาสุ่มอยู่เช่นกัน เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่สำคัญท่านกลัว กลัวว่าจะเป็นความจริง

นางพุดได้แต่มองท่านอย่างสงสาร และชื่นชมที่ท่านยังมีท่าทีนิ่งทั้งที่คงร้อนไปทั้งอก สมกับเป็นผู้ดีจริงๆ จึงติงมีลักขณาออกมาว่า

“เลิกคร่ำครวญเถอะค่ะคุณมี่ มาช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงต่อไป”

“ที่คิดไว้ มี่ก็ทำไปหมดแล้วนะคะ แล้วถ้าหาไม่เจอจริงๆ เราจะทำยังไงกันดีคะคุณหญิงขา ความเสียหายจะเกิดขึ้นมามากมายมหาศาลเลยนะคะ หรือเราจะแจ้งความ ดีไหมคะ”

“ยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมง ตำรวจเขาไม่รับแจ้ง สิ่งที่เราจะทำได้ในตอนนี้คือ เธอติดต่อไปที่ทุกคนที่คิดว่าสนิทกับยัยน้ำหรือยัยน้ำจะไปหาอีกครั้ง เวลาผ่านมาช่วงหนึ่งแล้ว บางทียัยน้ำอาจจะติดต่อใครกลับมาบ้างแล้วก็ได้ ส่วนพุดไปบอกเด็กๆให้ช่วยกันโทรไปตามโรงพยาบาลต่างๆ และฉันจะให้ทนายติดต่อไปที่โรงพัก เพื่อจะมีใครแจ้งความอะไรไว้บ้าง”

“ค่ะ” นางพุดรีบลุกไปหยิบโทรศัพท์ไร้สายมาให้ท่าน ก่อนจะไปทำตามคำสั่ง มีลักขณาก็ลุกขึ้นเดินไปยืนหน้าห้องโถง หยิบโทรศัพท์ออกมา กดเบอร์โทรคนที่คิดไว้ แต่ไม่ถามออกไปตรงๆ ปั้นเสียงให้สดใสหยิกแกมหยอกเรื่องขำๆไปก่อน ก่อนจะถามสารทุกข์สุขดิบ เพื่อไม่ให้ใครสงสัย เดี๋ยวจะกลายเป็นข่าว แต่ไม่มีใครพูดถึงนางเอกดังให้เธอรู้สักคน

ฝ่ายนางพุดก็ไม่ต่างกัน เด็กรับใช้ต่างส่ายหน้า เมื่อทุกโรงพยาบาลที่โทรไป ไม่มีชื่อของหญิงสาวเลย ส่วนคุณหญิงยังนั่งนิ่งรอทนายความติดต่อกลับมา มีลักขณาที่ปั้นเสียงให้สดใสไว้ก็ห่อเหี่ยวลงเรื่อยๆ เมื่อยิ่งโทรคำตอบที่ได้มาเหมือนจมดิ่งลงอุโมงค์มืด ไม่มีแสงสว่างส่องมาให้หน้าบานได้เลย เรี่ยวแรงที่มีก็หดหายแทบจะทรุดลงไปนั่งกับพื้น
*********
เวลาที่ผ่านไป เหมือนเปลวไฟที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ คำตอบที่คุณหญิงได้จากทนายนั้นทำให้ใจของท่านเหมือนโดนหินก้อนใหญ่อีกก้อนมากดทับ และซ้ำลงไปอีก เมื่อนางพุดเดินเข้ามาส่ายหน้าให้รู้ว่าไม่มี ใบหน้าที่นิ่งเฉยของท่านจึงซีดลงเหมือนจะเป็นลม ตัวอ่อนเอนไปพิงพนักโซฟา นางพุดรีบหยิบยาดมที่พกติดตัวอยู่ในกระเป๋าเสื้อ มารองใต้จมูก พร้อมพูดปลอบไปด้วย

“ทำใจดีๆไว้ค่ะคุณท่าน คุณน้ำอาจจะหลบไปพัก อย่างที่อิฉันคาดคะเนไว้ก็ได้ค่ะ”

“ไม่หรอกพุด ฉันเชื่อว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นกับยัยน้ำ ฉันเลี้ยงยัยน้ำมากับมือ ถ้าอยากจะหลบหน้าผู้คน ไปในที่ๆไม่อยากให้ใครรู้ แต่คนหนึ่งที่ยัยน้ำต้องบอกให้รู้คือ...ฉัน”

“คุณน้ำอาจจะยังไม่มีโอกาสโทรก็ได้ค่ะ เมื่อคืนก็คงจะดึก เช้านี้ก็ยังเช้าเกินไป อาจจะยังไม่ตื่น รออีกหน่อยเถอะค่ะ อีกสักพักก็คงโทรมา”

“แล้วถ้าไม่ใช่อย่างที่คิด ยัยน้ำจะเป็นยังไง อยู่ที่ไหน แล้ว... คุณหญิงยกมือขึ้นจับหน้าอก เมื่อความหวั่นทำให้เกิดความคิดไปในทางที่ไม่ดี จนหัวใจจะหยุดเต้นเสียให้ได้ “จะเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นหรือเปล่า”

“คุณท่าน” เสียงนางพุดอ่อนด้วยความสงสาร แล้วปลอบทั้งที่หวั่นใจไม่แพ้กัน “ไม่หรอกค่ะคุณท่าน ไม่หรอก อย่าคิดแบบนั้นเลยค่ะไม่มีทางที่คุณน้ำจะเป็นอะไรไป อิฉันเชื่อว่าคุณน้ำจะต้องอยู่ดีมีสุข เหมือนที่ผ่านๆมา”

“ไม่ต้องปลอบฉันหรอกพุด เราก็รู้ๆกันอยู่ว่ายัยน้ำหน้าชื่นอกตรม สุขกายแต่จิตใจนั้นทุกข์ตรมมากนัก ตอนนี้ฉันก็คงได้แต่ภาวนา นึกถึงคุณพระคุณเจ้าให้ช่วยปกปักรักษา ปกป้องขออย่าให้เป็นอะไรไปเลย”

“ใครเป็นอะไรเหรอคะคุณแม่”

เสียงถามดังขึ้นพร้อมกับตัวคนถามเดินกรีดกราย ร่างกายหอมกรุ่นเข้ามาในห้อง คุณหญิงทองจันทร์ปรับสีหน้าให้นิ่ง ตั้งตัวให้ตรง มองสะใภ้คนรองของท่าน ‘เลอรัศมี’ ภายนอกนั้นนางดูเรียบร้อย แต่ชอบพูดส่อเสียดไม่น่าฟังเอาเสียเลย นางสบตาแม่สามี แล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างตัวท่าน นางพุดจึงถอยออกไปยืนอยู่ข้างเก้าอี้

“เลอเห็นเด็กรับใช้กดโทรศัพท์กันมือระวิง เช็กอะไรกันเหรอคะ แล้วเมื่อกี้ก็เห็นยัยมีมี่ผู้จัดการส่วนตัวของยัยน้ำมาทำอะไรที่นี่ตั้งแต่เช้าคะ หรือว่ายัยน้ำกลับมาบ้าน”

ท้ายเสียงบอกคนฟังว่าไม่ได้จะสนใจ แค่ถามไปอย่างนั้นเอง ซึ่งคุณหญิงก็รู้ว่าเพราะอะไรและคิดด้วยว่า ควรจะพูดสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ให้รู้ หรือว่าควรจะนิ่งดี และท่านก็ตัดสินใจบอกว่า “เปล่า มาตามหายัยน้ำ”

“เอ๊ะ ก็อยู่ด้วยกัน แล้วจะมาตามหาทำไม” ถามออกไปแล้วเลอรัศมีก็เหมือนจะคิดได้ ว่าคำว่าตามหานั้นแปลเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากหายตัวไป สีหน้าเธอฉงนงงงวย และถามอย่างสนใจขึ้นมาทันที “ยัยน้ำหายไปเหรอคะ”

“ยังไม่แน่ชัด แค่ไม่เจอตัวหลายชั่วโมงแล้ว”

“หลายชั่วโมงแล้ว แอบไปแซบอะไรอยู่ที่ไหนหรือเปล่าละคะ ข่าวคาวใช่ย่อยเสียที่ไหน” ปลายเสียงออกจะเยาะ คุณหญิงที่ร้อนใจอยู่ จึงมองอย่างตำหนิและบอกว่า

“ก็แค่ข่าว ที่ไม่มีความจริง หล่อนไม่ควรไปเชื่อให้มันมากนักนะ”

“แต่ข่าวก็มักจะมาจากความจริงนะคะ อย่างที่เขาว่ากันว่า ไม่มีมูลหมาไม่ขี้”

“แต่ดูหล่อนจะขี้ร้อนนะ อยู่นิ่งๆดีกว่า อย่าร้อนใจเรื่องคนอื่นให้มากนัก”
เลอรัศมีหน้าม่านที่ถูกติติง แต่นาทีนี้เธอมีความสะใจมากกว่าจะใส่ใจให้เป็นทุกข์ ซ้ำไม่มีความห่วงใยใดๆให้ทั้งสิ้น แต่แสร้งพูดให้ดูดีออกมา “เลอถามด้วยความเป็นห่วง แล้วหายไปอย่างนี้งานเขาไม่ยุ่งวุ่นวายกันหมดเหรอคะ” ถามแล้วรอฟัง แต่แม่สามีก็เงียบ คนใช้ก็นิ่ง จึงเหน็บแนมออกมาเบาๆ “เป็นถึงนางเอกดัง ไร้ความรับผิดชอบ เอาแต่ใจตัวเองไม่เคยเปลี่ยน คนอื่นจะเดือดร้อนยังไงก็ช่าง แย่นะคะ แล้วนี่แม่เขารู้เรื่องหรือยัง หรือว่ายังไม่กลับ”

“รู้อะไร”

เสียงคนที่ถูกพูดถึง ดังขึ้นราวกับมีญาณรับรู้ ‘จรัสแข’ สะใภ้เอกของคุณหญิงทองจันทร์ นางนั่นดูน่ารัก อ่อนหวาน แต่พอมีเหตุการณ์ที่สร้างความเจ็บปวดในชีวิต นางก็เปลี่ยนเป็นคนร้ายๆแรงๆขึ้นมา นางเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ที่ว่างข้างขวามือท่าน ยกมือขึ้นไหว้ให้ความเคารพ แล้วเชิดหน้าขึ้นหันไปมองหน้าคนที่พูดถึงตัวเอง ซึ่งเปรียบเหมือนขมิ้นกับปูนที่ไม่เคยลงรอยกัน ถามด้วยเสียงที่เย็นชา

“เมื่อกี้ที่เธอพูด หมายความว่าไง รู้อะไร”

“ก็รู้ว่าลูกสาวเธอหายตัวไปไง” บอกแล้วก็ยิ้มเย้ย หวังจะเห็นอีกฝ่ายด่าวดิ้นด้วยความเจ็บปวด แต่ผิดคาด ไม่มีความผิดหวังหรือทุกข์ร้อนใดให้เห็น ซ้ำยังหยันกลับมาว่า

“ว่างมากเหรอ ถึงได้เอาปากไปคาบสีมาพ่นใส่คนอื่น”

เลอรัศมียิ้มรับคำแดกดัน อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วตอกกลับไปว่า “เธอควรจะมองตัวเอง ที่มัวแต่เที่ยว ไม่สว่างไม่กลับบ้านมากกว่าจะมาหาว่าฉันใส่ไฟนะ และที่ฉันพูดก็คือความจริง ถ้าไม่เชื่อ ถามคุณแม่ดูก็ได้”

จรัสแขยังไม่อยากเชื่อเท่าไร เพราะเกลียดหน้าคนตรงหน้า แต่ต่อหน้าแม่สามีที่ให้ความเคารพยำเกรงกันอยู่ ความเชื่อจึงมีมากกว่า หันมามองหน้าท่าน ซึ่งพยักหน้ายืนยัน จึงนิ่งไปและถามถึงต้นสายปลายเหตุ

“เกิดอะไรขึ้นคะ แล้วเรื่องมันเป็นยังไง”

คุณหญิงทองจันทร์เล่าเรื่องทั้งหมดที่รู้จากมีลักขณาให้ฟัง และบอกให้รู้ว่าท่านทำอะไรไปแล้วบ้าง ตอนนี้ก็รอฟังข่าวเท่านั้น

ได้รับคำยืนยันแล้วจรัสแขก็รู้สึกไม่พอใจลูกขึ้นมาทันที ไม่มีท่าทีห่วงใยให้คนที่มองอยู่เห็น มีแต่ความเหนื่อยใจแล้วบอกว่า “คงเบื่อความมารยาของที่นี่ และที่วงการมายา อาจจะหลบไปพักที่ไหนก็ได้ค่ะ”

“แหม พูดง่ายจัง” เลอรัศมีแขวะก่อนจะเหน็บออกมา “ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าสงสารยัยมีมี่ ที่รับใช้งกๆแล้วยังมาต้องปวดหัว เพราะต้องคอยคิดแก้ตัว แก้ต่าง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ จนหน้าแหกแล้วแหกอีก”

“ระวังจะหน้าแหกตามไปด้วย ถ้ายัยน้ำไม่ได้หายไปไหน” จรัสแขตอกกลับทันที “และควรจะหุบปากเธอไว้บ้าง ไม่ต้องแหกตามให้มากนัก เพราะฉันรำคาญ”

“บอกตัวเองเถอะ ว่าถ้ายัยน้ำไม่ติดต่อกลับมาหรือหาไม่เจอ จะทำยังไงกันดี ฉายานางเอกตัวแม่ ที่โด่งดังอันดับหนึ่ง เหมือนดวงดาวที่พราวระยับอยู่บนฟ้าคงริบหรี่และตกลงมาอับแสงก็คราวนี้”

“ดูเหมือนเธออยากจะให้เป็นเสียเหลือเกินนะ งั้นก็ฟังไว้ให้ดีถ้ายัยน้ำหายไปจริงๆ ฉันจะหมายหัวเธอเป็นอันดับหนึ่ง”

“ตามสบาย เพราะความจริงแล้วฉันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยทั้งสิ้น”

พูดจบก็ยิ้มท้า จรัสแขก็มองอย่างเขม่น ทั้งคู่ฟาดฟันกันด้วยสายตา โดยลืมไปว่านั่งอยู่หน้าคุณหญิงที่ต้องให้ความยำเกรง เพราะเป็นแม่สามี แต่ตอนนี้กลับเป็นเหมือนหัวหลักหัวตอ ท่านจึงต้องปรามออกมา “พอได้แล้วทั้งสองคน ถ้านั่งอยู่แล้วไม่มีประโยชน์ ก็แยกย้ายกันไปเสีย”

ทั้งคู่จึงข่มอารมณ์เก็บไว้ในอก จรัสแขยกมือไหว้ขอโทษท่าน แล้วบอกว่า “งั้นแขขอไปพักก่อนนะคะ ถ้ามีอะไรคืบหน้าก็ให้เด็กไปตามด้วยก็แล้วกัน” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องทันที

เลอรัศมีปรายตามองตามไป แม้จะไม่เห็นความทุกข์ร้อน แต่เธอก็เชื่อว่าต้องมีความร้อนใจอยู่แน่ๆ ลูกทั้งคนหายไปใครบ้างจะไม่ทุกข์ แล้วหันมาบอกแม่สามีว่า “งั้นเลอก็ขอตัวเหมือนกัน เพราะอยู่ก็คงไม่มีประโยชน์ ดูเหมือนคุณแม่จะลืมอะไรบางอย่างไปแล้ว”

“หล่อนหมายความว่ายังไง”

“คุณแม่ลืมจริงๆ” เสียงของเลอรัศมีหยันอยู่ในที “ก็ใช่สิคะ ลูกของเลอคงไม่สำคัญเท่ากับลูกของจรัสแข ถึงแม้จะมีสายเลือดของคุณแม่เหมือนกันก็ตาม”

คุณหญิงทองจันทร์ รู้ได้ทันทีว่าท่านลืมอะไรไป ความจริงแล้วความรักของท่านนั่นมีให้เท่ากัน แต่การเอาใจใส่นั่นต่างกัน และสะใภ้ของท่านก็ไม่สนใจจะอยู่ฟังแล้ว ยกมือขึ้นไหว้ลาแล้วเชิดหน้าเดินออกไปด้วยแววตาที่เป็นประกายความคับแค้นใจ ... ทันทีที่หลังของเลอรัศมีพ้นออกไปจากห้อง เสียงของนางพุดก็ดังขึ้นทันที

“วันนี้คุณธารากลับมาจากเมืองนอกค่ะ”

“นั่นซินะ เกิดเรื่องกับยัยน้ำ ฉันก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย พุดก็ไปให้เด็กจัดเตรียมต้อนรับก็แล้วกัน”

“เตรียมตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ แต่เดี๋ยวก็จะไปดูว่าทำกันไปถึงไหนแล้ว”

“งั้นก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก”
นางพุดไม่อยากจะไป อยากจะอยู่ดูแลและรอข่าวจากผู้จัดการสาวเพราะเป็นห่วงคุณน้ำเหลือเกิน แต่ต้องลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเพราะหน้าที่ๆต้องทำ อีกอย่างเพื่อแบ่งเบาความหนักใจของท่าน สะใภ้สองคนนั่นเปรียบเสมือนขมิ้นกับปูน ที่ไม่มีวันจะเข้ากันได้เลย ซึ่งสร้างความหนักใจให้ท่านมากมาย และตอนนี้ความหนักใจต้องเพิ่มขึ้น เมื่อหลานคนหนึ่งหายไป และคนหนึ่งกำลังกลับมา

คุณหญิงทองจันทร์หันหน้าไปมองที่หน้าต่าง หวังจะให้ความเขียวชอุ่มของต้นไม้ใบหญ้า ผ่อนคลายความทุกข์ร้อนในจิตใจลงบ้าง แต่ไม่เลย เมื่อท่านกลับไปนึกถึงอดีต ความสงบสุขของตระกูลธรธาราหายไป เมื่อธร ลูกชายเพียงคนเดียวของท่าน แบ่งความรักให้กับผู้หญิงอีกคน ครอบครัวที่เคยสงบสุขจึงเปลี่ยนไป แค่นั้นยังไม่พอยังพาเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยกันอีก ความเจ็บปวดจึงเกิดขึ้นกับคนมาก่อน

ความเจ็บซ้อนซ่อนรัก ก่อให้เกิดความอิจฉาริษยาและความชิงชัง ท่านก็ได้สร้างตึกที่เรียกว่าตึกซ้ายให้อยู่ แต่สุดท้ายลูกชายก็ตายจากไป ทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขไว้ให้ท่านสองคนได้ดูต่างหน้า ขณะที่สะใภ้สองคนก็ไม่ได้แยกย้ายจากไป ยังคงอยู่ร่วมชายคากับท่านตลอดมา แต่อยู่กันแบบหน้าชื่นอกตรม เพราะต่างก็ชิงชังกันและกัน และถ้าคำภาวนาของท่านไม่ได้ผล ท่านจะทำยังไงต่อไป

คิดมาถึงตรงนี้ คุณหญิงก็ถอนหายใจออกมายาวๆ เรี่ยวแรงที่มีอยู่เหมือนจะหดหายไป มันมืดมนไปทุกด้าน จะไปหวังพึ่งใคร ตอนนี้ท่านก็ไร้บารมีแล้ว ตั้งแต่ลูกชายเสียไป ก็ไม่มีคนทำงาน ทรัพย์สินที่มีอยู่ถูกขายไปทีละชิ้น เหลือแค่ตึกสองหลังนี้เท่านั้น ซึ่งท่านได้ยกให้หลานสาวที่หายไปแล้ว

แววตาท่านเหนื่อยล้า ก่อนจะเปล่งประกายออกมา เมื่อคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ความมืดมนที่ปกคลุมไปทั้งใจสลายไป กลายเป็นแสงสว่าง เพราะบางอย่างที่คิดขึ้นมาได้นั่นคือเพื่อนเก่า ที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ถ้าท่านติดต่อไปคงจะช่วยได้ทันที แต่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรแน่นอน ท่านคงต้องรอไปก่อน ไว้เมื่อถึงคราวจำเป็นจริงๆ ท่านจะติดต่อไปหา...

‘มาดามโรส แอ็คส์แน็ค’
*******
ท้องฟ้าสีครามสะท้อนกับพื้นน้ำทะเลให้เห็นเป็นสีฟ้าคราม ระลอกคลื่นพลิ้วไหวไปตามกระแสลมที่พัดมา กระทบกับเรือประมงหาปลาที่ทอดสมออยู่กลางทะเล นกนางนวลบินวนเล่นลมรอบกระโดงเรือ ส่งเสียงร้องขับกล่อมชายหนุ่มฉกรรจ์ที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหัวเรือ สายตาทอดเหม่อมองไปยังทะเลกว้าง ไกลสุดสายตา แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ซึมซับความไพเราะ เพราะมีเรื่องบางอย่างอยู่ในความคิดคำนึง

เมื่อคืนนี้ขณะที่เขาลงน้ำดำดิ่งลงไปหาความลับใต้ท้องทะเล ไม่คิดว่าจะเจอกับบางอย่าง ที่กำลังสร้างความสงสัยให้กับเขา

“กัปตัน”

เสียงเรียกตะโกนดังขึ้นด้านหลัง ทำให้ใบหน้าคมหล่อราวกับเทพบุตรหันมา ดวงตาสีน้ำตาลกล้าใต้คิ้วดกดำ มองลูกน้องที่เดินข้ามอุปกรณ์จับปลาที่วางระเกะระกะอยู่บนพื้นเรือ มาหยุดยืนตรงหน้า รูปร่างมันผอมสูงใบหน้าคมคร้ามแดด แก้มตอก ปากคาบไม้จิ้มฟัน ... ชื่อมันคือฉลามแต่แววตาไม่ได้ดุร้าย ออกจะกวนๆและขี้เล่น ยิ้มแฉ่งให้เขาแล้วก็ส่งโทรศัพท์ให้พร้อมสำบัดสำนวนที่ร่ายยาวออกมา

“องค์อินโทรมา ถามหาเทวดา รุกเทวา จึงอาสาเอามาให้”

“แกไม่ต้องเอาสำนวนลิเกจากเหมืองร้างมาใช้กับฉัน เดี๋ยวฉันก็ถวายพระตีนให้หรอก” คนพูดไม่พูดเปล่า ยังแสร้งยกบาทาขึ้นมา ฉลามหลบวูบ ก่อนจะหัวเราะแหะๆพออีกฝ่ายดึงโทรศัพท์ไปจากมือ ก็รีบพาตัวเดินออกห่างไปทันที แต่ไม่ห่างหายไปจากสายตากัปตัน แล้วหันมาพูดกับคนที่อยู่ปลายสาย ซึ่งไม่ต้องถามก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร

“สวัสดีครับมาดาม”

“เรียกย่าไม่ได้หรือไง ตั้งแต่ลูกยันหลาน เรียกแม่เรียกย่านี่มันยากกันนักเหรอ” น้ำเสียงดังมาเรียบๆแต่คนฟังรู้ดีว่าท่านพูดเล่นมากกว่าจะจริงจัง จึงบอกไปว่า

“เรียกมาดามนี้แหละครับ รักที่สุดแล้ว”

มาดามโรส แอ็คส์แน็ค สตรีที่มีความเก่งกาจฉลาดหลักแหลม นำพาธุรกิจอัญมณีขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่ไปทั่วโลก นั่งอยู่ในสวนกล้วยไม้ ที่เพาะเลี้ยงไว้ ตอนนี้ชูช่อผลิดอกออกมาให้ท่านชื่นใจ ทุกวันนี้ท่านวางมือจากธุรกิจ ให้ลูกชายสองคนแม็คกับมาร์คสืบทอดกิจการ และยังมีหลานๆฉายาเสือร้ายทั้งหลาย เพราะไม่ได้เก่งแค่สมองแต่ฝีมือการต่อสู้ของแต่ละคนก็เฉียบขาด เมื่อได้รับการฝึกปรือมาจากพวกเดนคุกคดีอุกฉกรรจ์ปล้นฆ่าข่มขืน ออกจากคุกมากลับตัวกลับใจเจียระไนอัญมณีที่เหมืองร้าง ที่ลูกชายคนโตนายเหมืองฆินทร์เป็นเจ้าของครอบครองอยู่

คำว่ารักที่หลานชายพูดมาก ทำให้ท่านยิ้มอย่างสุขใจ แล้วตอบกลับไปว่า “ย่าก็รักเมธิส กัปตันธอร์ของย่าเหมือนกัน แล้วเมื่อไรจะขึ้นจากวารี มาอยู่กับย่าบนพื้นพสุธาเสียที”

“หึๆๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้นเพราะขำ แล้วถามกลับไปว่า “นายเหมืองแฝดจากเหมืองร้างมาเยี่ยมมาดามบ่อยหรือครับ ถึงได้พูดแบบลิเกเชียว”

“ใช่ จบภารกิจฆิตกับฆิคก็จะมาเยี่ยมย่า ไม่เหมือนเราหลอกติดภารกิจมาหาย่าไม่ได้สักที แล้วว่าไงที่ย่าถาม จะขึ้นมาเมื่อไร”

“ใกล้แล้วครับ แต่ตอนนี้กำลังมีปัญหานิดหน่อย”

คำตอบของหลานรักไม่ได้ทำให้ท่านกังวล กลับมีรอยยิ้มที่ริมฝีปาก แล้วถามออกไปทั้งที่พอจะรู้อยู่แล้ว “หนักหรือเบา”
“ยังไม่รู้ครับ”

“นุ่มนวลหน่อยก็ดี”

คำพูดแบบนี้แสดงว่าท่านรู้แล้วว่าปัญหาของเขาคืออะไร และคงไม่ใช่ใครที่ปากสว่าง ธอร์ตวัดสายตาไปมองคนที่เดินป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ห่าง กว่าโทรศัพท์จะมาถึงมือเขา ความลับก็ไม่มีในโลกแล้ว มุมปากเขากดยิ้มขำ ไม่ได้โกรธแต่หมั่นไส้ที่มันสาระแนไปทุกเรื่อง และท่านก็พูดออกมาเหมือนจะรู้ทันความคิดเขา

“คนเขาหวังดี อย่าไปราวีละ เก็บมือเก็บเท้าไว้ทำภารกิจให้สำเร็จดีกว่า”

“แต่ผมว่าจะให้มันว่ายน้ำรอบเรือน่าจะดีกว่า”

“เก็บแรงไว้ทำอย่างอื่นเถอะ เพราะย่าสังหรณ์ใจว่าสิ่งที่ธอร์เจอ อาจจะเป็นแค่การเริ่มต้นของปัญหาที่จะนำความยุ่งยากมาให้ ระวังไว้ให้ดี แล้วภารกิจที่ทำอยู่ก็เช่นกัน การไปกระตุกหนวดมังกรให้ถลอก พวกลิ่วล้อต้องออกตามล่าแน่นอน”

“ผมพร้อมอยู่แล้ว และจะฝังเขี้ยวลากพวกมันเข้าไปให้กฎหมายจัดการ”

“งั้นก็อย่าลืมที่ย่าเตือน และอย่าลืมว่าลูกชายของย่า พ่อแม็คกับแม่เมรีของเรา ก็รออ้อมกอดของธอร์อยู่เหมือนกัน”

“ครับ ผมจะขึ้นไปกอดให้สุขใจเลย”

เขาคุยกับคนเป็นย่าอีกไม่เท่าไร ก็วางสายจากท่าน มองโทรศัพท์ในมือพร้อมกับคิดว่า คนเป็นย่ารู้เรื่องที่เขาทำลงไปแบบนี้แล้ว คงไม่ปล่อยให้เขาบินเดียวอีก คงต้องบินอยู่ภายใต้ปีกของตระกูล ซึ่งเขาไม่ชอบ ชอบที่จะบินอย่างอิสระมากกว่า เขาถอนหายใจยาวๆออกมา แล้วมองน้ำทะเลใสแจ๋วน่าลงไปแหวกว่ายเล่น แต่ความจริงมีสิ่งเจือปนที่สกปรกมากมายปะปนอยู่ ยิ่งเบื้องล่างที่ลึกลงไปยิ่งสกปรก และมันเป็นภารกิจของเขาที่จะต้องจัดการ ...

พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวเมื่อคืนนี้ เรือประมงลำนี้ทอดสมอนิ่งๆ รอเขาไปทำภารกิจ ใส่ชุดดำน้ำลงไปในน้ำ ดำดิ่งไปยังเรือลำใหญ่ ที่ภายนอกเป็นเรือสำราญท่องไปในทะเลกว้าง แต่ภายในที่เขาได้ข่าวมาว่าซ่อนเร้นสิ่งผิดกฎหมายและทำลายประเทศไว้ เขาแอบขึ้นไปบนเรือ ลัดเลาะไปตามเส้นทาง ที่เขารู้จักเป็นอย่างดี เพราะเบื้องหน้างานหลักเขาก็คือกัปตันเรือท่องเที่ยว แต่เบื้องหลังงานรองคือหน่วยสืบราชการลับ

เสียงเพลงจากด้านบนดังแว่วมาให้เขาได้ยิน พร้อมๆกับเสียงผู้คนที่กำลังสำราญกันอยู่ ซึ่งช่างไม่รู้เลยว่ากำลังช่วยไอ้เจ้าของเรือทำลายประเทศอยู่ เขาหลบคนที่เดินเป็นเวรยามอยู่สามคน ไปยังห้องบรรทุกสินค้าด้านล่าง ลังไม้นับสิบลัง วางเรียงรายอยู่บนพื้นเรือ เขางัดฝาลังออกมา รื้อลงไปใต้กล่อง แล้วก็ได้เจอได้เห็นสิ่งสกปรกที่เรียกว่า...ยาเสพติด บรรจุในถุงห่ออย่างดี ซึ่งพวกมันจะนำไปทิ้งดิ่งลงใต้ทะเล แล้วมีอีกฝ่ายดำน้ำมาเอาไป เป็นการลักลอบซื้อขายที่นอกจากจะทำลายประเทศแล้ว ยังทำลายทรัพยากรธรรมชาติด้วย
ธอร์มองของทั้งหมด ถ้าพวกมันทำสำเร็จ คิดเป็นมูลค่าหลักร้อยล้านทีเดียว เขารื้อออกมา กรีดถุงเทผงสีขาวลงในลังแล้วเอาน้ำยาทำลายที่พกมา เทลงไปทำลาย เขาทำแบบนี้ลังแล้วลังเล่า แล้วก็พลาดเมื่อพวกมันมาเจอเข้า

‘เฮ้ย’

เขาชะงักไปทันทีที่มีเสียงดังขึ้นข้างหลัง หน้าเขานิ่งและเหี้ยมขึ้นมาทันที แล้วค่อยๆหันไปมองพวกมัน ซึ่งมีสองคน หน้าตาเหี้ยมพอกับเสียงที่พูดกับเขา พร้อมกับสำรวจตัวมันอย่างรวดเร็ว เอวที่ตุงๆนั่นคงเป็นอาวุธหรือไม่

‘มึงเป็นใครวะ เข้ามาทำอะไรในห้องนี้’ หนึ่งในสองถามออกมา เขาเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นยิ้มขี้เล่นก่อนตอบไปว่า

‘เดินเล่น’

‘ห้องนี้ไม่ใช่ที่เดินเล่น แล้วนั่น...’

มันพูดได้แค่นั้น เขาก็ปรี่เข้าไปหาเล่นงานมันทันที มันเซไปอย่างไม่ทันตั้งตัว จากนั้นก็โต้ตอบ แต่เสียเปรียบเขาที่มีฝีมือดีกว่า มันจึงใช้เครื่องทุ่นแรง ปืนถูกดึงออกมาจากใต้เสื้อ ยิงใส่เขา เสียงที่ดังขึ้นเรียกพวกมันอีกหลายคนมา เขาต้องหนีหลบหลีกกระสุนที่ดังไล่หลัง แต่คนข้างบนไม่มีใครสนใจ เพราะเสียงเพลงกลบเสียงปืน

‘ตูม’

เขากระโจนลงน้ำพร้อมกับที่รู้สึกเจ็บที่ไหล่ แต่ไม่มีเวลาสนใจ นอกจากดำดิ่งหนี ใช้ออกซิเจนกระป๋องพาตัวเองห่างไปจากพวกมัน ก่อนจะโผล่ขึ้นมาว่ายน้ำห่างออกไป ลอยคอรอฉลามนำเรือลำนี้มาช่วย แต่ใครจะคิดว่าระหว่างรอ มีเรือลำหนึ่งตรงดิ่งมา เขารู้โดยสัญชาตญาณเพราะไม่มีสัญญาณใดๆส่งให้รู้ว่าเป็นเรือของฉลาม อีกอย่างมันผิดสังเกตที่ไม่มีไฟส่องสว่างจ้า มีเพียงดวงไฟดวงเล็กๆเท่านั้น เขาจมตัวลงให้จมูกกับตาโผล่เหนือน้ำเท่านั้น จับตาดูเรือลำนั้นอย่างไม่คลาดสายตา แล้วก็ได้เห็นบางอย่างที่ถูกโยนลงทะเล เขาดำดิ่งลงใต้น้ำอีกครั้ง ว่ายไปหาสิ่งนั้น แล้วก็ได้รู้ว่าเป็น...คน

**********

ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ ะ
ติดตามผลงานต่างๆ ของ Pream ได้ที่
แฟนเพจ https://www.facebook.com/pram18pream



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ย. 2560, 13:40:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ย. 2560, 13:40:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1290





    >>
แว่นใส 21 ก.ย. 2560, 21:15:16 น.
คือใครนะที่ถูกช่วยไว้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account