เกมรักมายาลวง (ซี่รีี่เหมืองเถื่อน)
บาดแผลในชีวิต หยาดน้ำตา ใครลิขิต เธอ (ธารธารา) หรือ เธอ (ธาราธาร)

หญิงสาวต่างแม่สองคน ใบหน้าเหมือนกัน ถูกชะตาเล่นตลก เมื่อวันที่เธอคนหนึ่งหายไป อีกคนก็กลับมา

ความชิงชัง เป็นพิษร้าย ทำลาย แม้กระทั่งชีวิต ต่อสู้ ช่วงชิง ร้ายมาร้ายกลับ ด้วย...เกมรักมายาลวง

เขา คือความอบอุ่นในชีวิต ที่ลิขิตหัวใจเธอ ตั้งแต่แรกเจอ

ความเจ็บซ้อนซ่อนด้วยหยดน้ำตา มาพร้อมคำว่า ...เธอคือคนที่ใช่

รอยยิ้ม ความรัก ใครจะได้ครอบครอง ‘เธอ’ คนที่ใช่ ‘เขา’ หรือ ใช่ ‘เธอ’ หรือเปล่า

Tags: โรมานซ์

ตอน:

ตอน 2
“กัปตันครับ”

เสียงฉลามดังขึ้น หยุดความคิดเขาไว้ หันไปมองหน้ามัน ซึ่งก็รู้ตัวว่าเขาคงรู้เรื่องที่มันปากสว่างแน่แล้ว จึงโค้งตัวลงจนหัวแทบจะชิดเข่า ยืดตัวขึ้นมาก็ยกมือขึ้นไหว้พร้อมกับบอกว่า “ขอโทษคร้าบ”

เขามองท่าทางมันด้วยความหมั่นไส้ แล้วยกพระตีนขึ้นยันวรกายมัน ซึ่งรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหลามได้อย่างหวุดหวิด มันหัวเราะร่วนที่สามารถทำได้ แถมยังอวดออกมาว่า “ไม่ได้กินหลามหรอก”

“แน่ใจเหรอ”

รอยยิ้มทะเล้นกลายเป็นยิ้มแหย เพราะรู้ดีว่าถ้าไม่ยอมดีๆ จะถูกลงโทษหนักกว่าเดิม จึงเดินลากขามายืนตรงหน้า ธอร์ก็ยกเท้าขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ถีบมันก็แสร้งเซถลาทำว่าถูกถีบจนเอวแทบเคล็ดไปแล้ว เขาส่ายหน้าอย่างระอามัน จะตามไปยันให้หายซ่า ก็เอ็นดูมันเกินกว่าจะทำได้

“เป็นไงบ้าง”

ฉลามเลิกคิ้วขึ้นสูงคล้ายจะไม่แน่ใจว่ากัปตันถามถึงอะไร แล้วก็นึกออกบอกให้ฟังว่า “รอด แต่ถามห้าพยักหน้าหนึ่ง ไม่รู้ว่าสมองฝ่อหรือบวมน้ำกันแน่”

“ก็ยังดีที่ฟังเข้าใจ ไม่หูหนวกตาบอด ให้ต้องใช้ภาษาใบ้ดำน้ำถามกันไปอีก”

“กัปตันจะไปดูไหม”

“มีอะไรให้น่าดูละ”

“ความสวยซิกัปตัน ถามได้” บอกแล้วมันก็หัวเราะหึๆในลำคอ ดึงไม้จิ้มฟันออกจากปาก แล้วบรรยายถึงความสวย “ผิวนี้ขาว แก้มนี้ใส่ ปากนิดจมูกโด่ง ดวงตาสวย เรียวปากอิ่มระเรื่อแดง น่าลิ้ม...”

“อย่าแตะ”

“อ้าว” เสียงร้องเสียดาย ก่อนจะโวยวายออกมา “ทำไมละกัปตัน คนก็เหมือนปลา จับมาได้ ใครๆก็อยากกิน แล้วมาห้ามนี้คือไร”

“คือช่วยแกไม่ให้กลับไปอยู่เรือนโทษที่เหมืองร้างไง หรือแกอยากกลับไป”
“ม้ายย...กลับ” มันลากเสียงยาว สีหน้าบอกความกลัว เพราะที่นั่นน่ากลัว บางคนทนการลงโทษไม่ไหวสิ้นลมไปก็มี

“งั้นก็เก็บนิสัยเดนคุกไว้ ไม่งั้นแกได้โดนขึงพรืดอยู่กลางเรือนโทษแน่”

พูดจบเขาก็เดินผ่านตัวมันไป ข้างหลังไอ้หลามก็กลับมาดี้ด้าใหม่ ก่อนจะหน้าเสีย เมื่อมีเสียงลอยมาว่า “ถ้าแกไม่เลิกทำตัวเป็นลิง ฉันจะจับโยนให้ฉลามกิน”

“ไรวะ” เสียงมันอ่อย เมื่อโดนรู้ทัน แล้วมองซ้ายมองขวาไม่เห็นใครยืนอยู่แล้วก็ทำท่าหวั่นๆ พึมพำออกมาว่า “นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเจ้านายพูดนะ ไอ้หลามเผ่นไปแล้ว ปรือออ” พูดจบก็วิ่งตามธอร์ไปทันที

กัปตันเดินลงบันไดมายังชั้นล่าง ที่ต่างจากชั้นบนราวกับไม่ใช่เรือลำเดียวกัน เพราะไม่มีแหอวนเครื่องมือจับสัตว์น้ำใดๆวางระเกะระกะให้รุกหูรุกตา ทุกพื้นที่สะอาดสะอ้าน แบ่งเป็นสัดส่วน มุมหนึ่งเป็นห้องครัว แถมมีบาร์เครื่องดื่ม มีโต๊ะวางของ มีเก้าอี้ให้นั่งคุย ลึกเข้าไปด้านใน ฝั่งตรงข้ามเป็นห้อง เขาเดินตรงไปเปิดประตูออก เอนตัวอิงขอบประตู สายตามองตรงไปยังคนที่นั่งพิงหมอนอยู่บนเตียงนอน แล้วตวัดไปมองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างเตียง ซึ่งก็คือหมอ ที่คนเป็นย่าส่งมาช่วยเขาทำภารกิจพร้อมฉลาม

เขามองคนที่ช่วยชีวิตขึ้นมาเมื่อคืนนี้ ให้หมอดูอาการเบื้องต้นแล้วก็มาทำแผลให้เขา ซึ่งเขาก็ไม่ได้สนใจ มาเห็นเต็มตาก็คือตอนนี้ ใบหน้าสวยอย่างที่ไอ้หลามบรรยายไว้ แต่ซีดเซียวราวกับไม่มีสิ่งใดหล่อเลี้ยง ไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวาหรือสีสันใดๆแต่ก็ยังน่ามองและน่าค้นหาว่าทำไมเธอถึงถูกทิ้งลงทะเล

“เป็นไงหมอ มีอะไรคืบหน้าบ้าง”

น้ำเสียงกังวานดังออกมา คนที่ถูกเรียกว่าหมอ เป็นชายหนุ่มหน้าตี๋ อายุใกล้เคียงกับเขา ชื่อปลาวาฬ แต่เรียกแค่หมอปลาเฉยๆ ท่าทางสุภาพอ่อนน้อมสมกับหน้าที่การงาน ยิ้มตายิบยี่ให้คนถาม ก่อนบอกว่า “ไม่มีครับกัปตัน ร่างกายโดยรวมไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว จะมีก็แต่สาเหตุและความเป็นมา ที่ยังไม่รู้เพราะเธอไม่ยอมพูด”

“เป็นใบ้เหรอ”

ไม่มีคำตอบจากหมอปลา เพราะรู้ว่ากัปตันไม่ได้ถามเขา ส่วนคนที่ถูกถามก็นิ่งเฉย แม้แต่สายตาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง

“งั้นก็จับโยนลงทะเลอีกรอบ”

คำพูดนี้ทำให้หมอปลามองเลยไปที่ฉลาม ที่ยืนอยู่ด้านหลังกัปตัน เพราะรู้ดีว่าไม่ใช่การพูดเล่นหรือข่มขู่ แต่เป็นการเอาจริง คนที่ไม่เคยทำงานด้วยหรือคลุกคลีจะไม่รู้ว่าน้ำเสียงนิ่งๆ ยิ่งนิ่งเท่าไรก็เพิ่มความน่ากลัวขึ้นมากเท่านั้น จึงนึกห่วงหญิงสาวที่ยังเฉยเมย ไม่แสดงท่าทีใดๆออกมา

“ฉลาม”

“บัญชามา”

“ฉันไม่พูดซ้ำ นับหนึ่งแล้วไม่มีสอง มีแต่ต้องทำ”

“ได้หมดถ้าสดชื่น” ฉลามดีดไม้จิ้มฟันออกจากปาก แล้วเดินเข้าไปในห้อง ท่าทางกร่างๆกวนๆเหมือนข่มขู่หญิงสาว ซึ่งยังนิ่งเหมือนก้อนหินดุจเดิม คุณหมอที่มีความอ่อนโยนอยู่ในจิตใจ จึงต้องช่วยหยุดเจ้านายกับลูกน้อง ด้วยการบอกว่า

“กัปตันน่าจะให้เวลาเธออีกหน่อย เธอเพิ่งฟื้นอาจจะยังไม่พร้อมจะตอบ”

“ฉันไม่มีเวลาให้คนที่ไม่รู้จัก ถ้าไม่พร้อมจะพูด ก็อยู่ทำไมให้หนักเรือ”

“เธออาจจะหนักใจ จนหาทางออกไม่ได้ ก็เป็นไปได้”

“งั้นที่ช่วยไว้ ก็เข้าสุภาษิตที่ว่า หมูจะหามกลับเอาคานไปสอด”

“พูดตรงๆว่าเสือก” เสียงฉลามขานรับเป็นลูกคู่ออกมา

“งั้นฉันก็ควรเปลี่ยนจากเสือกเป็นช่วยให้สมหวังซินะ” มุมปากกัปตันกดยิ้มร้ายแล้วสั่ง “เอาตัวไปได้”

“กัปตัน!” หมอปลาตกใจ เมื่อการยับยั้งไม่ได้ผล ลุกขึ้นยืนเพื่อจะขอร้อง แต่ต้องหยุดยั้งคำพูดไว้ เพราะรู้จักกัปตันหนุ่มดีว่ามีความเด็ดขาดมากแค่ไหน ถ้าไม่มีเหตุผลเพียงพอก็ยากที่จะเปลี่ยนใจ และคนต้นเรื่องก็นิ่งเฉย ไม่ยอมพูดออกมาราวกับยอมรับในชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง

ฉลามเดิมยิ้มกริ่มเข้าไปหา แต่เพียงขยับ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา เปลี่ยนท่าทีกร่างๆเป็นความร้ายกาจ หันมาพูดกับกัปตันว่า “ก่อนโยนทิ้งทะเล ไอ้หลามขออะไรสักอย่างได้ไหม”

“จะขึ้นสวรรค์หรือไง”

“รู้ใจจริงกัปตัน ฮะๆๆๆ” มันหัวเราะด้วยความถูกใจ “เดนคุกอย่างหลาม สันดานชั่ว ขาวสวยอย่างนี้ ถึงหน้าจะซีดไปหน่อย แต่ได้สักทีไอ้หลามจะไม่ลืมพระคุณเลย”

“ตามสบาย แกจะขยี้ขย้ำยังไงก็ได้ ฉันรับรองว่าจะไม่ส่งไปที่เหมืองร้างเด็ดขาด เพราะที่แกทำไม่ขัดกับกฎของนายเหมืองเถื่อน เพราะคนที่ไม่อยากมีลมหายใจ ก็เหมือนของที่ไร้ค่า ไม่มีราคาพอจะให้เสียดายหรือเก็บไว้ให้เกะกะ”

“โหดร้ายเกินไปหรือเปล่ากัปตัน” หมอปลาที่ยืนฟังอยู่ อดไม่ได้ที่จะค้านออกมา “แค่นี้เธอก็เจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตแล้ว อย่าย่ำยีซ้ำเติมให้เป็นตราบาปติดตัวเธอไปอีกเลย”

“คุณธรรมเหรอหมอ”

“กัปตันก็มีไม่ใช่เหรอ”

“สำหรับคนที่มีคุณค่าก็คู่ควร แต่สำหรับคนที่ไร้ค่า ไม่รักแม้แต่ชีวิตของตัวเอง ก็ไม่คู่ควรกับคำๆนี้”

“แต่เราเพิ่งเจอเธอ ยังไม่รู้จักเธอ ไม่รู้ประวัติความเป็นมาของเธอด้วยซ้ำไป ไม่ด่วนตัดสินใจในตัวเธอ เกินไปหรือครับ”

“โอกาสไม่ใช่อากาศที่มีอยู่รอบตัว เมื่อให้แล้วไม่รับ หมดแล้วก็หมดเลย และหมอก็ควรจะหยุดไขว่คว้าแทนได้แล้ว”

หมอปลาที่ยังอยากจะพูดอีก จึงต้องเงียบ เพราะคำพูดสุดท้ายนั่นคือคำเตือนว่าอย่าได้พูดอะไรอีกเลย ไม่งั้นอาจจะเป็นเหมือนอากาศที่ไม่มีรูปร่างให้เห็นก็ได้ ได้แต่มองหญิงสาวอย่างเห็นใจ

ฉลามที่รอโอกาสอยู่แล้ว ก็พูดออกมาทันที “งั้นไอ้หลามจะถอดทีละชิ้น” มันบอกพร้อมแววตากะลิ้มกะเหลี่ย “ชมทีละส่วน แก้มก็คงจะกรุ่นจมูก ปากก็คงจะนุ่มลิ้น ผิวก็คงจะเนียนมือ จากนั้นก็จะลูบ จะสมรัก ทรวงทรงองเอวอย่างนี้ ได้สักทีคงฝันดีไปตลอดชาติ บรื้อ ยิ่งคิดก็... น้ำลายไหลแล้วกัปตัน” มันว่าพลางถูมือราวกลัดมัน หน้าตาหื่นกาม ก้าวย่างไปที่หญิงสาว ยื่นมือจะจับตัว แต่ยังไม่ทันได้แตะ...

“อย่าเสือก”
***********
“ธารา”

เสียงเรียกนั้นทำให้หญิงสาวที่กำลังเดินลากกระเป๋าออกมาจากอาคารผู้โดยสาร ของสนามบินระดับประเทศ หยุดชะงักพร้อมกับมองหาคนเรียก พอเห็นว่าเป็นใคร ริมฝีปากอิ่มบนใบหน้าเก๋ เพราะมีแว่นสีดำสวมปิดบังใบหน้าไว้ แย้มยิ้มออกมาด้วยความดีใจ แล้วรีบสาวเท้ามาหาคนเรียก ซึ่งมองร่างระหง ในชุดเดินทางสีครีม มือหนึ่งถือกระเป๋าแบรนด์หรู อีกมือก็ลากกระเป๋าแบรนด์เดียวกัน แล้วกางมือออกรับร่างระหงที่โถมเข้ามากอด

“คุณแม่” เสียงหวานใสดังออกมา พร้อมกับหอมแก้มคนที่กอดซ้ายขวา ก็ดันตัวออกมา มองใบหน้าของคนเป็นแม่ผ่านแว่นสีดำ กาลเวลาไม่อาจทำร้ายความสวยท่านได้ ซ้ำยังภูมิฐานให้เธอภูมิใจอีก “ไม่เจอคุณแม่หลายปีได้แต่โทรคุย วีดีโอคลอคุยกัน คิดถึงมากมายเลยค่ะ แล้วนี่คุณแม่มาคนเดียว” ถามพลางกวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นแต่คนที่ยืนนอบน้อมอยู่ด้านหลังคนเป็นแม่ ซึ่งน่าจะเป็นคนขับรถ แล้วไม่เห็นใครที่รู้จักอีก “คุณย่า...”

“จะหวังอะไรละลูก”

“แสดงว่าไม่มา” น้ำเสียงเธอไม่ได้ผิดหวัง ซ้ำยังยิ้มราวกับเป็นเรื่องขำ ทั้งที่สงสัยเพราะเสียงคนเป็นแม่นั้นบอกว่ามีบางอย่าง

“ลืมด้วยซ้ำว่าลูกกลับวันนี้”

“มีอะไรเกิดขึ้นเหรอคะ คุณย่าถึงไม่มา”

“ไว้คุยกันในรถดีกว่า ไหนขอแม่ดูลูกให้เต็มตาซิ ว่าสวยขึ้นแค่ไหน”

ว่าแล้วนางเลอรัศมีก็กวาดตามองลูกอย่างชื่นชม ความสวยเปล่งประกายเป็นออร่า เรียกสายตาให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาหันมามอง ด้วยความสนใจ แต่นางขัดใจกับแว่นสายตาที่ปิดไปครึ่งหน้า จึงยกมือขึ้นจะถอดออก อวดความสวยให้ใครต่อใครได้เห็น แต่ธาราจับมือคนเป็นแม่ไว้พร้อมกับบอกว่า

“ไปถอดในรถดีกว่าค่ะ”

นางเลอรัศมีอยากจะทักท้วงเพราะคิดถึงลูกมาก แต่ธาราคล้องแขนพาเดินไปด้วยกันเสียก่อน ส่วนกระเป๋าเดินทางทิ้งให้คนขับรถถือไป ผ่านไปครึ่งชั่วโมงสองแม่ลูกเข้ามานั่งอยู่ในรถที่ขับเคลื่อนไปบนถนนที่มุ่งสู่จุดหมาย ธาราทำอย่างที่พูดไว้ ถอดแว่นออกจากใบหน้า คนเป็นแม่ที่รอดูอยู่ถึงกับอึ้ง เมื่อ...

“ยัยน้ำ”

“ธาราค่ะ ธาราธารลูกของคุณแม่”

“แต่นี่ นี่” นางเลอรัศมีถึงกับพูดไม่ออก เมื่อหน้าลูกที่เห็นตรงหน้านั้นเหมือนกับลูกเลี้ยงที่หายตัวไปราวกับเป็นคนเดียวกัน หลายปีที่นางไม่เห็นลูก ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ ลูกของนางไปศัลกรรมมาหรือยังไง แม้จะมีบางมุมที่เห็นว่าไม่เหมือน แต่ถ้ามองผ่านๆนั่น...ช่างเหมือนเหลือเกิน “ลูกไปทำอะไรมา”

“วิวัฒนาการทางการแพทย์นิดหน่อยค่ะ แต่ที่สำคัญคือสายเลือดกับเวลาที่ทำให้เปลี่ยนไป” บอกแล้วก็ยิ้มให้คนเป็นแม่ แล้วถามต่อ “เหมือนมากเหรอคะ แม่ถึงกับพูดไม่ออก”

“ใช่ เหมือน เหมือนราวกับ...”

“อะไรคะ”

“ฝาแฝด”

ธาราธารนิ่งไปแล้วค่อยๆยิ้มออกมาราวกับเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากนัก “ดีจังค่ะ ตอนแรกธาราก็ไม่เอะใจนะคะ ว่าจะมีความเหมือนกันขนาดนี้ จนมีวันหนึ่ง มีคนที่คลั่งนางเอกดังเอามากๆ เอารูปมาให้ดู และบอกว่าหน้าหนูมีส่วนคล้ายกับเธอ โดยไม่รู้ว่าเรามีความสัมพันธ์กันยังไง ก่อนกลับเมืองไทยหนูก็เลยไปทำผม แต่งตัว แต่งหน้า เพื่อมาเซอร์ไพรส์แม่ไงค่ะ”

“เซอร์ไพรส์จริง มากด้วย คนที่ไม่รู้หรือไม่สนิทกันจริงๆคงดูไม่ออก หลอกคนได้เยอะทีเดียว”

“หนูทำขำๆค่ะ ไม่ทำไปหลอกใครหรอก กลัวถูกจับได้ อีกอย่างไม่กล้าไปเทียบรัศมีนางเอกดังหรอกค่ะ คนรักเขาเท่าผืนฟ้า คนชั่งเขาเท่าผืนเสื่อ ตัวหนูหรือจะไปสู้เขาได้” น้ำเสียงเหมือนจะน้อยใจ แต่ความจริงเป็นการหยันเสียมากกว่า คนเป็นแม่ที่ไม่ได้รู้ความคิดไปเสียทุกอย่าง ถึงกับเจ็บใจแทนขึ้นมาทันที

“คนรักมันเท่าผืนฟ้านั่นเหรอ แม่ว่าหนูเข้าใจผิดแล้วละ กิตติศักดิ์มันนะใช่ย่อย หนูคงไม่รู้เพราะจากไปอยู่เมืองนอกเสียนาน แต่กลับมาแล้วไม่นานหนูจะได้รู้เอง”

“แย่ขนาดนั้นเลยเหรอคะ แต่ทำไมป้ายโฆษณา” สายตาเธอมองป้ายโฆษณาข้างทาง ตั้งแต่รถวิ่งออกมาจากสนามบินแล้ว มีทั้งหนัง ทั้งละคร โฆษณาภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ผ่านถนนเส้นไหนก็เห็น “มีแต่รูปพี่น้ำละคะ แสดงว่าเด่นดังมากเลยนะคะ”

“มันไม่ได้ใช้ฝีมือหรอกลูก มันใช้เต้าไต่ มีงานกับใคร ข่าวคาวก็เล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน มั่ว จนแม่ไม่อยากพูดถึง” เสียงนางเหยียดหยันและรังเกียจ จนลูกที่ได้รับฟังรู้สึกได้ ก็เปลี่ยนเรื่องคุย

“แล้วคุณย่าเป็นไงบ้างคะ ยังไปนั่งร้อยพวงมาลัยที่ศาลากลางสวนอยู่อีกหรือเปล่า”

“ไป เกือบทุกวันละลูก และยังห้ามไม่ให้ใครเข้าไปเดินเล่นนอกจากคนมีสิทธิครอบครอง”

“ซึ่งก็คือนางเอกดัง”

“ใช่ แต่อีกไม่นานลูกก็อาจจะได้ใช้คำนี้บ้าง”

“หมายความว่าไงคะ”

นางเลอรัศมียิ้มให้ลูกขณะสายตาก็เต็มไปด้วยเลศนัยที่เพิ่งคิดขึ้นมา พร้อมกับบอกว่า “เดี๋ยวลูกก็จะได้รู้เอง”

“มีอะไรเกิดขึ้นหรือคะ” เธอถามออกมาอย่างสงสัย “จะเกี่ยวกับที่คุณย่าไม่มารับธาราหรือเปล่า”

“ก็มีส่วน แต่เดี๋ยวกลับถึงธรธารา ลูกก็จะรู้เอง แต่อาจจะไม่ได้พักผ่อน เพราะมีเรื่องให้ทำ”

“เรื่องอะไรคะ” ถามแล้วก็ไม่รอคำตอบ เพราะพอคิดได้ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็โวยออกมาเบาๆ “จะให้ธาราไปช่วยงานที่ร้านเสื้อผ้า หรือเครื่องเพชร รวมทั้งงานการกุศลต่างๆของแม่นั่นเหรอ ไม่เอาหรอกค่ะ ธาราขอพักสบายๆสักระยะก่อน แล้วค่อยไปทำ”

“ไม่ใช่เรื่องนั่น แต่เป็นเรื่องที่ลูกคาดไม่ถึง และไม่คิดว่าวันหนึ่งโชคจะวิ่งมาชนลูกจังๆขนาดนี้ แม่ขอแค่ทำตัวให้ว่านอนสอนง่าย เก็บนิสัยนางร้ายเอาไว้แล้วเอานิสัยนางเอกออกมาใช้เท่านั้นก็พอ”

ธาราธารมองคนเป็นแม่อย่างไม่เข้าใจ ครั้นจะถามให้กระจ่างท่านก็เปลี่ยนเรื่องคุย ให้เธอเล่าชีวิตในต่างแดนให้ฟัง จึงต้องรอให้ถึงธรธาราเท่านั้น ทุกอย่างก็คงจะกระจ่าง
******
พื้นน้ำทะเลถูกสายลมพัดเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ มากระทบกับลำเรือที่ทอดสมอให้ลอยนิ่งอยู่ เสียงดังซัดซ่าได้ยินชัดเจน เพราะไร้เสียงของคนที่ยืนอยู่บนเรือ เสียงเย็นๆของหญิงสาวก่อนหน้านี้ทำให้ไอ้หลามรู้สึกเหมือนโดนหมัดเสยเข้าปลายคาง ไม่คิดว่าหญิงสาวจะซัดได้เจ็บและแรงขนาดนี้ แต่มันก็ยังยิ้มเหมือนไม่รู้สึกอะไร เพราะสิ่งที่ทำลงไปก็เพื่อให้หญิงสาวรู้สึกกลัวขึ้นมาเท่านั้น

ขณะที่หมอปลาก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ที่โอกาสไม่ได้เป็นแค่อากาศอีกแล้ว แต่เธอไขว่คว้าต่อชีวิตตัวเองให้อยู่ต่อไป ส่วนกัปตันไม่มีความรู้สึกใด นอกจากจับจ้องหน้าเธอตาไม่กะพริบ

หญิงสาวเบือนหน้ามาสบตาทั้งสามคู่ที่มองอยู่ ที่เธอนิ่งนั่นเพราะกำลังช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ถูกอุ้มมาโยนทิ้งทะเล โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้ว่าใครที่ทำกับเธอได้อย่างเลือดเย็น และลืมตาขึ้นมาอยู่บนเรือ ที่ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของประเทศหรือของโลก และไม่รู้ว่าคนที่ช่วยนั้นเป็นใครมาจากนั้น ทำให้เธอหมดหวังไปทุกอย่าง แม้คนที่เจอหน้าเป็นคนแรกจะพูดภาษาเดียวกัน แนะนำตัวว่าเป็นหมอ แต่เธอก็ไม่หวังที่จะได้รับความหวังใดๆ จึงไม่อยากพูดอะไร นอกจากปล่อยตัวไปตามยถากรรม

แต่...อีกสองคนที่โผล่มา พร้อมกับความร้ายกาจ และเห็นเธอเป็นวัตถุที่ไร้ค่า มันทำให้เธอโกรธขึ้นมา และจ้องดวงตาคมกล้า อย่างไม่หวั่นเกรง เหมือนเขาเป็นเพียงอากาศที่ไม่ได้มีตัวตนอยู่ในสายตาเธอเลย

“พูดได้แล้วเหรอ”

“ได้ยินแล้วจะถามทำไม” คำตอบย้อนกลับมานิ่งๆแต่เชือดเฉือนอยู่ในที กัปตันหน้านิ่งหรี่ตาลงเล็กน้อย จับสังเกตหญิงสาว ที่ดูจะกล้าขึ้นมา

“แสดงว่าอยากมีชีวิตอยู่แล้ว”

“มันเรื่องของฉัน พวกคุณไม่มีสิทธิมาพิพากษา มาตัดสินชีวิตของฉัน”

“แต่เธออยู่บนเรือของฉัน ฉันมีสิทธิ และตอบแทนคนที่ช่วยชีวิตไว้ ด้วยคำพูดแบบนี้เหรอ”

“การช่วยเพื่อซ้ำเติมด้วยความชั่ว แค่คำพูดมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ”

ฉลามถึงกับสะดุ้งเพราะเหมือนการตีวัวกระทบคราด โดนหญิงสาวด่าทางอ้อมไม่พอ คงถูกกัปตันหมายหัว ที่ทำให้โดนหางเลขไปด้วย แต่กัปตันยังนิ่งอยู่ แล้วโต้ตอบกลับไป ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากสีหน้า

“นั่นนะซิ น้อยไปจริงๆที่ฉันปราณีกับคนที่ทำเหมือนไม่อยากมีชีวิตอยู่ พอดีขึ้นมาก็ปากกล้าอวดดีใส่”

“เป็นจิตวิญญาณของฉันหรือไง ถึงมารู้ใจฉันว่าจะอยากอยู่หรือไม่”

“ถึงไม่ได้เป็น แต่ฉันก็สามารถกำหนดจิตวิญญาณของเธอได้ก็แล้วกันว่าจะให้อยู่...หรือตาย”

น้ำเสียงที่ตอบกลับอย่างฉับพลันนั่นนิ่งเรียบเหมือนพื้นน้ำ ที่ดูไม่มีพิษร้ายอะไรเลย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย มันพร้อมที่จะพัดพาทุกอย่างให้พังพินาศลงในพริบตา ซึ่งหมอปลากับไอ้หลามที่คุ้นเคยกับคนพูดรู้แก่ใจดี ขณะที่หญิงสาวที่หยันทุกสิ่งกลับไม่รู้สึกรู้สา แถมยังถามอย่างไม่สะท้านกับคำพูดออกมาอีกว่า

“เป็นพระเจ้าเหรอ ถึงมีสิทธิมาชี้ชะตาชีวิตคนอื่น”

“เทวดา”

สิ้นคำตอบสั้นๆความเงียบงันก็แทรกเข้ามา หมอปลากับไอ้หลามไม่แปลกใจกับคำเปรียบนี้ เพราะรูปลักษณ์กับองค์ประกอบของกัปตันที่รู้และเห็นนั้น เป็นอย่างที่พูดจริงๆ เขามีสายเลือดผสมระหว่างแม่ที่เป็นไทยแท้กับพ่อที่เป็นลูกครึ่งฝรั่ง หน้าตาถึงได้คม หล่อชนิดเทพบุตรที่จุติมาเกิดจริงๆ ยิ่งเกิดมาในตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ให้ความรักดูแลเขามาราวกับเทวดา แต่เมื่อด้านหนึ่งดีงามอีกด้านของตระกูลก็ร้ายกาจไม่ต่างจากมัจจุราช เพียงแต่ใครอย่างก้าวล้ำเข้าไปทำให้เจ็บปวดหรือโกรธแค้น จะได้รับการตอบแทนที่สาสม

คำประกาศนั้นทำให้หญิงสาวนิ่งงัน และรู้สึกว่าตัวเองคงหมดทางที่จะรอด หรือต่อให้ดิ้นรน ก็คงไม่รอดอยู่ดี ความหมดหวังกลบความโกรธ เสียงพูดจึงแผ่วหวิวเสมือนคนหมดสิ้นไปทุกอย่างอีกครั้ง “งั้นฉันก็คงตายไปแล้ว จึงได้พบเทวดา”

“ขี้ขลาด” เสียงพูดกร้าวขึ้นมา เมื่อเห็นความอ่อนแอของหญิงสาวอีกครั้ง “มดที่ตกลงไปในน้ำ มันยังพยายามที่จะว่ายหาข่อนไม้เกาะ แต่เธอที่เกาะได้แล้วกลับตอบแทนคนที่ช่วยชีวิตไว้ด้วยคำว่าเสือก และพอหมดหวังไปกับทุกอย่างก็หลบหน้าซุกความขี้ขลาดไว้ในความตาย ช่างไร้ค่าจริงๆ”

“ฉันไม่ได้ขอให้ช่วย”

“แล้วที่มาจมลงก้นทะเลนั่นเรียกว่าอะไร

“ฆาตกรรม”
*******
ดวงอาทิตย์สาดส่องแสงแรงกล้าออกมาให้ร้อนไปทุกหย่อมหญ้า แต่ความร้อนของแสงแดด ยังน้อยกว่าความร้อนใจของคุณหญิงทองจันทร์ประมุขตระกูลธรธารา ซึ่งนั่งรอฟังข่าวคราวของหลานสาวที่หายตัวไป อยู่ในห้องโถงพร้อมกับนางพุด แม่บ้านคนสนิท แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆกลับมา มีลักขณาผู้จัดการสาว คนดูแลที่ใกล้ชิดที่สุด ที่ไปโทรติดตามหาข่าว ก็กลับมานั่งร้อนใจตรงหน้าท่าน เมื่อทุกที่ๆคิดว่าหญิงสาวจะไป หรือทุกคนที่คิดว่าเธอจะติดต่อ ต่างไม่รู้ไม่เห็นไม่มีใครพบเจอเธอเลย

“มี่หมดหนทางแล้วค่ะคุณหญิง คราวนี้คงต้องตัดสินใจแล้วค่ะ ว่าจะทำยังไงต่อไป เพราะถ้ามัวแต่รออยู่อย่างนี้ งานทุกอย่างต้องพังหมดเลย” เสียงเธอเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มและกังวล ซึ่งคุณหญิงก็ไม่ต่างกัน แต่ท่าทีของท่านยังสงบนิ่ง

“มีงานอยู่อะไรบ้าง” ท่านถามออกมา

“บ่ายนี้มีนัดกับกองถ่าย ซึ่งใกล้จะปิดกล้องแล้ว มีแต่ฉากสำคัญๆ ไคลแมกซ์ของเรื่องทั้งนั้น ถ้าคุณน้ำไม่ไปถ่ายทำต่อ ความเสียหายจะเกิดขึ้นมากมายมหาศาลเลยค่ะ เพราะเรื่องนี้ออกอากาศไปแล้ว และกำลังได้รับความนิยมสูงสุดอยู่ในตอนนี้ แล้วยังมีงานถ่ายโฆษณากับหนัง ถ่ายแบบนิตยสารอีกมากมาย ตารางงานยาวเป็นหางว่าวเลยค่ะ”

“แล้วแต่ละงานพอจะผ่อนหนักให้เป็นเบา ได้บ้างไหม”

“บางงานก็พอจะยกเลิกหรือเลื่อนได้ค่ะ แต่บางงานที่เราเซ็นสัญญาไปแล้ว จะหนักมากถึงขึ้นถูกปรับหรือถูกฟ้องร้องได้ค่ะ”

คุณหญิงทองจันทร์รู้สึกเหมือนกับมีก้อนหินมาทับที่ใจเพิ่มขึ้นอีก ท่านไม่ได้สนใจเรื่องการถูกปรับหรือฟ้องร้อง จะเสียเท่าไร แค่ไหนก็เสียไป แต่ท่านกำลังกลัวว่าหลานสาวจะเป็นอะไรไปต่างหาก เวลาที่เดินผ่านไปกับการเงียบหายนั่นทรมานใจท่านเหลือเกิน ทั้งๆที่พยายามจะไม่คิดไปในทางที่เลวร้าย แต่การไม่ได้ข่าวคราวใดๆบีบคั้นให้ต้องคิด ว่าคงมีอะไรเกิดขึ้นกับหลานท่านแน่แล้ว

นางพุดที่กลับมานั่งข้างๆ หลังจากทำหน้าที่ของตัวเองเรียบร้อย ก็กังวลใจไม่ต่างกัน เพราะดูแลหญิงสาวมาตั้งแต่เล็กจนโต และยังไม่รู้จะช่วยบรรเทาความทุกข์ให้เจ้านายยังไง ได้แต่ถามหาทางที่พอจะผ่อนหนักให้เป็นเบาลงเท่านั้น “แล้วถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัยละคุณมี่ เช่นอาจจะเกิดอุบัติเหตุกับคุณน้ำ พวกเขาก็น่าจะเห็นใจกันบ้าง”

“ถ้าเป็นแบบคุณนมว่า เรื่องสุดวิสัยแบบนี้ ถ้าเกิดขึ้นจริง ก็ได้รับความเห็นใจแน่นอนค่ะ แต่มี่กลัวว่ามันจะไม่ใช่นะซิคะ คุณน้ำเธอเอาแต่ใจ จะทำอะไรก็ไม่เคยสนใจใคร ว่าได้ว่า ด่าได้ด่า ผิดหูนิดก็ว่าเสียจนหูชา มาหายไปโดยไม่บอกกล่าว ใครจะเห็น...”

“คุณมี่”

“อุ้ย มี่ขอโทษค่ะ อย่าถือสามี่เลยนะคะคุณหญิง มี่กำลังสติแตกเพราะหายนะกำลังมาจ่ออยู่ที่คอ มันใกล้เวลานัดของกองถ่ายแล้ว และวันนี้เป็นซีนสำคัญจริงๆ ถ้าไปไม่ทันหรือถ่ายทำไม่ได้ มี่ไม่อยากคิดล่วงหน้าเลยว่า จะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง”

ความกังวลฉายชัดอยู่บนใบหน้าทั้งสามคน แล้วพากันมองไปที่คนที่กำลังเดินเข้ามา จรัสแขสบตาทั้งสามคนที่มองมา นางอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ สวยพร้อมที่จะออกไปข้างนอก ทั้งๆที่เพิ่งกลับมาไม่กี่ชั่วโมง เดินมานั่งข้างแม่สามีที่ตายไปแล้ว

“ยังไม่ได้ข่าวยัยน้ำกันอีกเหรอ” เสียงถามโดยไม่ได้เจาะจงใคร ประมุขของธรธาราจึงตอบออกมาว่า

“สีหน้าฉันไม่ได้บอกหล่อนเหรอ”

“ไม่ค่ะ เพราะแขเห็นหน้าคุณแม่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะหนักหนาสาหัสแค่ไหน คุณแม่ก็นิ่งเฉยมาตลอด”

“แล้วจะต้องให้ฉันตีอกชกลมหรือไง หล่อนถึงจะรู้"

“ทำบ้างก็ดีนะคะ แขจะได้รู้ว่าเวลาที่คุณแม่เจ็บแล้วเป็นยังไง เหมือนที่แขเจ็บหรือเปล่า”

คุณหญิงรู้ได้ทันทีว่าลูกสะใภ้หมายถึงเรื่องราวในอดีต “ถ้าหล่อนไม่ปล่อยวาง หัวใจหล่อนก็จะมีหนามทิ่มให้เจ็บปวดร่ำไป”

“เรื่องผัวที่...”

“หล่อนจะสาวไส้ออกมาให้กากินหรือไง”

เสียงคุณหญิงเย็นชาออกมา จรัสแขจึงรู้สึกตัว ตวัดตามองไปที่มีลักขณา ซึ่งตั้งหน้าตั้งตาฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็น แล้วรีบกลบเกลื่อนยิ้มเจื่อนๆ ก่อนถามออกมาอย่างอ้อมแอ้ม “เอ่อ คือ คือคุณแขพอจะมีวิธี หรือคิดว่าจะ จะติดต่อคุณน้ำยังไงได้บ้างไหมคะ”

“ไม่มี” เสียงห้วนจนมีลักขณาสะดุ้งอยู่ในใจ แต่ยังถามออกมา

“แล้วจะทำยังไงกันดีคะ ตอนนี้ทุกคนมืดแปดด้านสิบด้านหมดแล้วค่ะ”

“นั่นมันเป็นความรับผิดชอบของเธอไม่ใช่เหรอ ดูแลกันยังไงให้คนทั้งคนหายไปได้ แล้วมาร้องแรกแหกกะเชิงกับคนที่ไม่ได้ดูอยู่ มันใช่เหรอ ถ้ายัยน้ำกลับมาอย่างแรกที่ฉันจะให้ทำ ฉันจะให้ไล่เธอออก ฐานบกพร่องต่อหน้าที่”

มีลักขณาถึงกับหน้าเสีย ก่อนจะฮึดขึ้นมาทั่งที่กลัวอยู่ในใจ เพราะเธอก็ไม่อยากอยู่รองรับอารมณ์ใครแล้วเหมือนกัน “ออกก็ออกค่ะแต่ก่อนจะไล่ออก คุณแขช่วยมี่คิดหน่อยซิคะว่า ถ้าคุณน้ำไม่กลับมาจะทำยังไงกันดี กับงานคือเงินเงินคืองานที่ยาวเป็นหางว่าวอยู่ในตอนนี้ มูลค่าตั้งหลายสิบล้านจะต้องหายวับไปในพริบตา”

ได้ยินจำนวนเงินแล้ว จรัสแขก็เครียดขึ้นมาทันที เพราะทุกวันนี้เธอไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ที่กินที่ใช้ก็คือเงินที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของลูก ที่เพียงเธอเอ่ยปากไม่ว่าจำนวนเท่าไร ก็จัดให้โดยไม่ขัด แล้วจู่ๆก็มาหายไปโดยที่เธอก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ... ตั้งแต่สามีปันใจทรยศเธอไปมีหญิงอื่นแล้วจากไป เธอก็ปันกายไปสำเริงสำราญเพื่อลบความเจ็บปวด ความสนใจในตัวลูกก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ จะเจอหน้าหรือได้พูดคุยกันก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น แล้วมาหายไปอย่างนี้ เธอจะคิดอะไรได้ นอกจาก...

“ไม่มี”

“ไม่มีแล้วจะให้มี่ทำไงคะ กับงานที่รออยู่ข้างหน้านี้ เวลามันกระชั้นชิดเหมือนมีดที่มาจ่ออยู่ที่คอ รอเวลาที่จะแทงให้เลือดไหลออกมาแล้วนะคะ”

“รวมถึงเลือดเธอด้วยซินะ เพราะงานของลูกฉันก็เหมือนสายเลือดที่หล่อเลี้ยงเธออยู่ ซึ่งทำเงินให้เธอได้มากมาย และถ้ายัยน้ำไม่กลับมา เธอก็ต้องเจ็บไม่ต่างกัน”

“ไม่ใช่ค่ะ” เสียงปฏิเสธไม่หนักแน่น เพราะความจริงที่ค้ำคออยู่ คือสัจธรรมที่เธอก็ต้องกินต้องใช้ เหมือนทุกคนที่ดิ้นรนอยู่บนโลกใบนี้

“ฮึ” เสียงดังหยัน ก่อนจะบอกว่า “ฉันจะพยายามเชื่อเธอก็แล้วกัน งั้นเวลานี้เธอก็พยายามแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปก่อนก็แล้วกัน เหตุผลมีตั้งร้อยแปดพันเก้า หยิบยกมาสักสักสี่ห้าข้อตอบๆประวิงเวลาไปก่อน โรคฮิตๆที่พวกดาราเขาใช้กัน รถเสีย ท้องเสีย เกิดอุบัติเหตุ นอนอยู่โรงพยาบาล หรือเป็นอะไรก็ได้ ที่ไม่ต้องไปทำงานในวันนี้”

“บางงานก็พอจะทำได้หรอกค่ะ แต่บางงานทำไม่ได้นะซิค่ะ และที่สำคัญถ้าเราทำหรือพูดอะไรที่โกหกออกไป แล้วเอาตัวคุณน้ำมายืนยันไม่ได้ ความเสียหายจะเกิดขึ้นมากมาย เพราะถ้ามันเป็นข่าวออกไป เราก็จะถูกสังคมประณามทันที”

ได้ฟังคำอธิบายแล้ว คุณหญิงทองจันทร์กับนางพุดก็กลุ้มเข้าไปอีก ส่วนจรัสแขก็อยากจะบ้าตาย “โอ๊ย ถ้ามันยุ่งยากปางตายกันขนาดนี้ ฉันก็ไม่มีความคิดให้เธอแล้ว”

“แต่ฉันมี”

เสียงดังขึ้นพร้อมกับคนพูดที่เดินเยื่องย่างเข้ามาในห้องโถง เปิดยิ้มให้ทุกสายตาที่มองมา “เลอรัศมี” จรัสแขเอ่ยชื่อเสี้ยนหนามที่ตำใจออกมา แม้จะไม่ดังมากมาย แต่เจ้าของชื่อก็ยังได้ยิน

“ยังอยู่เหรอจ๊ะ ฉันนึกว่าเธอจะยังนอนทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เรื่องลูกเสียอีก”
“ลูกของฉัน ฉันจะนิ่งนอนใจหรือเต้นแรงเต้นกาก็ไม่แปลก แต่คนที่มายุ่งด้วยนี้ซิ ที่แปลก ว่าที่เข้ามายุ่ง ยุ่งเพราะหวังดีหรือหวังร้ายกันแน่”

“ก็แล้วแต่เธอจะคิด เอาที่สบายใจก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็เดินมานั่งบนโซนุ่มข้างซ้ายของคุณหญิงทองจันทร์ ซึ่งก็ถามออกมาเพื่อยุติข้อโต้แย้งทันที

“หล่อนมีความคิดยังไง”

“จะอะไร นอกจากเห็นแก่ตัว”

คุณหญิงทองจันทร์ตวัดสายตาปรามจรัสแขให้เงียบ ขณะที่เลอรัศมีไม่สนใจเสียงกระทบ ยังยิ้มทั้งที่ในใจนั้นแสนจะขุ่นเคือง ทั้งศัตรูทางใจและแม่สามีไม่ถามถึงลูกของนางสักนิด ทั้งๆที่นางเพิ่งไปรับมา แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวนางจะทำให้ทุกคนเห็นว่าลูกของนางมีค่าและความสำคัญแค่ไหน

“ที่เลอคิดก็คือ ตัวตายตัวแทนค่ะ”

“หล่อนหมายความว่ายังไง”

“ก็หมายความว่า...”

คำพูดหยุดไว้แค่นั้น แล้วใช้การกระทำบอก ด้วยการหันหน้าไปมองที่ด้านหน้าห้องโถง คุณหญิงทองจันทร์ จรัสแข และนางพุดมองตามไป แล้วไม่กี่อึดใจทุกคนก็ได้เห็น ร่างอรชรที่เดินออกมายืนอยู่กลางห้อง รูปร่างหน้าตา ใบหน้าที่เห็น ทำให้มีเสียงอุทานดังออกมา ทั้งตกใจ แผ่วเบาอย่างคาดไม่ถึง

“ยัยน้ำ คุณน้ำ”
*********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ย. 2560, 10:05:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.ย. 2560, 10:05:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1117





<<     >>
Kim 22 ก.ย. 2560, 11:06:22 น.
รอตอนต่อไปค่ะ


แว่นใส 22 ก.ย. 2560, 19:51:46 น.
ปลอมตัวเหรอ แสดงว่าวางแผนมาแทนที่นี่เอง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account