พรานท่องพนา
นิยายเกี่ยวกับความรักของหนุ่มขี้เล่นกับสาวสวยหัวโบราณ ที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด ทั้งคู่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเพื่อพิสูจน์ความรัก การใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ การไม่เชื่อใจกันและกัน การที่รู้จักกันไม่มากพอ ส่งผลให้ต้องแยกทางร้างกันไป และเมื่อต่างก็มีทิฐิ ทำให้การจะกลับมาเดินร่วมทางกันใหม่ทำได้ไม่ง่ายนัก
Tags: พระเอกเป็นตำรวจตระเวนชายแดน นางเอกเป็นไฮโซหัวโบราณ
ตอน: ตอนที่ 9 หนุ่มเจ้าเล่ห์
ทีมเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนเดินทางไปอบรมสัมมนาหลักสูตรหลากหลาย ตามโครงการต่างๆที่กำหนดกันเอาไว้แล้วในแผนพัฒนาชุมชนของแต่ละพื้นที่ รวมทั้งหมดห้าตำบลในยี่สิบหมู่บ้านในเขตอำเภอขุขันธ์ หมู่บ้านเหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ติดเขตชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา
ตืนสุดท้ายในหมู่บ้านสุดท้าย กำนันผู้ดูแลหมู่บ้านทั้งหมดในแถบนั้นจัดเลี้ยงอำลาและขอบคุณทีมเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน ที่เข้ามาสนับสนุนส่งเสริมแผนพัฒนาชุมชนของแต่ละหมู่บ้านให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด เป็นการเลี้ยงอาหารพื้นบ้านที่ชาวบ้านหลายครอบครัวพร้อมใจกันปรุงขึ้นมาและนำมารับประทานร่วมกัน เนื่องจากเป็นคืนสุดท้ายหลังจากเสร็จภารกิจ ท่านกำนันจึงได้จัดเหล้าพื้นบ้านดีกรีแรงมาบริการพวกหนุ่มๆ ด้วย
หมันหยาเห็นสรคมณ์ดื่มเหล้าไปแล้วสองสามแก้ว เขานั่งคุยกับกำนันเป็นภาษาภาคกลางบ้าง ภาษาอีสานบ้าง ด้วยท่าทางสนุกสนานครื้นเครง มีวิชัยซึ่งคงจะรู้จักสนิทสนมกันดีเพราะทำงานอยู่ในเขตอำเภอขุขันธ์ด้วยกันนั่งร่วมวงเหล้าอยู่ด้วย รวมทั้งเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนชายล้วนอีกสามคนที่เดินทางมาทำงานด้วยกันในครั้งนี้ วิชัยน่าจะอายุมากกว่าสรคมณ์อย่างน้อยก็สองสามปี หมันหยาได้ยินเขาเรียกวิชัยว่า ‘พี่ชัย’
“คุณสรคมณ์กินเหล้าดุเหมือนกันนะ หยา”
ถนอมนวลพูดเปรยๆกับเพื่อนระหว่างที่หลบจากวงเหล้ามานั่งตากลมเย็นๆบนชิงช้าหลังใหญ่ฝีมือชาวบ้าน ที่มีที่นั่งกว้างยาวสองแถวหันหน้าเข้าหากันแต่ไม่มีหลังคา ห่างออกมาจนมองไม่เห็นพวกที่นั่งกินเหล้า นั่งพูดคุยกันด้วยเรื่องต่างๆ ซึ่งมีคุณเสาวณีย์หัวหน้าของพวกเธอรวมอยู่ด้วย
หมันหยาไม่นึกแปลกใจกับเรื่องที่ถนอมนวลพูด เธอเคยเห็นมาแล้วที่อุบลฯตอนไปร่วมงานแต่งงานของแสงดาว
“แต่ความจริงก็เป็นเรื่องปกติ พวกทหารตำรวจกินเหล้ากันดุๆแทบทุกคน” ถนอมนวลยังพูดต่อไปเรื่อยๆ ตาก็คอยแอบสังเกตสีหน้าของเพื่อน “พ่อเราก็เหมือนกัน เแม่บ่นทีไรพ่อก็มักจะอ้างทุกทีว่าเป็นเรื่องจำเป็นทางสังคม คนไม่กินเหล้ามักจะมีเพื่อนน้อย ถ้ากินเหล้าด้วยกันบ่อยๆก็จะกลายเป็นเพื่อนกันไป สนิทกันง่ายเพราะรสนิยมตรงกัน ข่าวต่างๆก็มักจะหาได้ในวงเหล้า”
“แต่เราว่าไม่เห็นจำเป็นต้องหาเพื่อนหาข่าวอะไรที่นวลว่าจากวงเหล้าเลย” หมันหยาไม่เห็นด้วย “คงเป็นข้ออ้างที่จะกินเหล้ามากกว่า นี่เราไม่ได้หมายถึงคุณพ่อของนวลนะ เราหมายถึงคนกินเหล้าทั่วๆไป”
ถนอมนวลยิ้มเผล่ “หยาเนี่ยสงสัยจะแอนตี้คนกินเหล้าน่าดูเลย”
“เปล่า ไม่ถึงกับแอนตี้ คนที่กินนิดๆหน่อยๆเวลาไปงานสังคมก็เรื่องหนึ่ง แต่ประเภทที่ต้องกินทุกวัน หรือกินจนเมาแอ๋เที่ยวไปหาเรื่องคนอื่นนั่นสิที่เราไม่ชอบ”
“คุณสรคมณ์เนี่ยไม่รู้ว่าเป็นประเภทไหนนะ หยา จะว่ากินเหล้ามากก็คงไม่ใช่ ตั้งแต่มาทำงานแถวนี้สองอาทิตย์แล้ว ก็เพิ่งเห็นเขากินเหล้าคืนนี้เอง”
หมันหยาไม่ออกความเห็นว่าอย่างไรเกี่ยวชายหนุ่มผู้นั้น
“เจอกันที่นี่ตั้งสองอาทิตย์แล้ว มีโอกาสได้พูดคุยกันมากขึ้น ตอนนี้หยาคิดว่าคุณสรคมณ์เป็นคนยังไง?” ถนอมนวลเริ่มรุก
อีกฝ่ายนิ่งคิดหาคำพูดที่เหมาะสมก่อนจะตอบว่า “ก็โอเคนะ ดีกว่าตอนที่เจอกันใหม่ๆที่อุบลฯ เราก็เคยเล่าให้นวลฟังแล้วนี่"”
“แหม ยังไงๆกก็ต้องดีกว่าแน่ เขาอุตส่าห์ช่วยหยาตั้งหลายครั้งแล้วนี่นา เรื่องบนรถโฟตอนโน้นแล้วก็เรื่องตกบันไดไง เสียดายจัง อีกไม่กี่วันพวกเราก็จะกลับกรุงเทพฯกันแล้ว”
“ทำไมต้องเสียดาย หรือว่านวลเกิดติดใจขุขันธ์เสียแล้ว”
“ใครว่าล่ะ” ถนอมนวลยักไหล่ “ถ้าจะติดใจก็คงติดใจคนมากกว่า”
หมันหยามองหน้าเพื่อนอย่างสงสัย “ติดใจใคร? อย่าบอกนะว่าติดใจคุณสรคมณ์”
“ติดใจเหมือนกัน อยากได้เป็นแฟน” คนตอบทำหน้าตาย “แต่เสียดายที่เขาไม่สนใจเราเลยน่ะสิ เกิดมาอาภัพ รูปไม่สวยรวยเสน่ห์เหมือนบางคน เลยต้องหักใจขอเป็นแค่เพื่อนกับเขาก็พอ”
“นวลเนี่ยตลก พูดอะไรปาวๆ ระวังเถอะ ถ้าคุณสรคมณ์มาได้ยินเข้า เขาจะเข้าใจผิดเอาได้นะ”
“เขาไม่เข้าใจผิดหรอกน่า อ้าว! พอพูดถึงไก่ๆก็มาเลยเนอะ” ถนอมนวลยกมือขึ้นโบก “คุณสรคมณ์จะไปไหนหรือคะ? ถ้าไงก็เชิญทางนี้ก่อน มีเรื่องอยากจะถาม”
หมันหยามองไปตามมือที่โบกไหวๆของเพื่อนแล้วก้เห็นสรคมณ์ ที่ชะงักหยุดก่อนจะเปลี่ยนทิศทางเดินตรงเข้ามาที่ชิงช้าที่พวกเธอนั่งอยู่
“กำลังจะไปไหนหรือเปล่าคะ”
“จะไปเอาเหล้าที่รถครับ คุณนวล พอดีเหล้าของกำนันหมดแต่ยังอยากเมากันต่อ ผมมีติดรถอยู่ขวดนึง”
“งั้นคุณคมณ์ไปเอาเหล้าก่อนก็ได้ค่ะ ค่อยมาคุยกัน”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวค่อยไปก็ได้ ว่าแต่คุณนวลมีอะไรจะคุยกับผม”
“งั้นก็นั่งก่อนค่ะ นั่งข้างๆฉันก็ได้”
ชายหนุ่มเดินเข้ามานั่งลงบนชิงช้ากว้างตรงที่ถนอมนวลชี้ให้ ตรงข้ามกับด้านที่หมันหยานั่งอยู่
“เป็นยังไงบ้างครับ คุณหยา แอบหนีมานั่งกันสองคน สงสัยจะเบื่อตรงโน้น มีแต่คนกินเหล้า” เขาถามเธอยิ้มๆ
หมันหยาเห็นตาของเขาซึมนิดๆ ซึ่งเธอแน่ใจว่าคงจะเป็นเพราะเหล้าหลายแก้วที่เขาดื่มเข้าไปนั่นเอง
“ไม่ได้เบื่อหรอกค่ะ เราแค่อยากมานั่งชิงช้าเล่น ข้างนอกนี่เย็นสบายดี”'
“คุณนวลมีอะไรจะคุยกับผมไม่ใช่หรือครับ”
“ค่ะ แต่ไม่ใช่คุย จะสัมภาษณ์คุณคมณ์มากกว่า”
สรคมณ์หัวเราะกับท่าทางกระตือรือร้นของอีกฝ่าย เขาชอบคุยกับถนอมนวล เพราะเธอเป็นคนง่ายๆ เปิดเผย พูดอะไรตรงไปตรงมา ไม่เรื่องมาก มีลักษณะแก่นๆเหมือนเด็กผู้ชายมากกว่าหญิงสาววัยต้นยี่สิบ
“จะสัมภาษณ์ผมเรื่องอะไรครับ ผมไม่ใช่ดารานะครับ คุณนวล”
“เราไม่สนดาราหรอกต่ะ ไม่รู้จะสัมภาษณ์อะไรพวกเขา เข้าเรื่องดีกว่า วันนั้นพวกเราไปยืนดูคุณโดดร่มด้วยละ”
“เมื่อไหร่ครับ?”
“ก็ตอนที่คุณไปกระโดดดิ่งพสุธาที่สนามหน้าศาลากลางไง”
“อ้าว คุณนวลกับคุณหยาไปดูด้วยหรือครับ แล้วทำไมไม่ทักทายผมบ้างล่ะ”
“จะทักได้ยังไงล่ะคะ อยู่ห่างกันลิบลับ คงต้องตะโกนทักลั่นสนามละมัง”
หมันหยามองคนสองคนที่กำลังหัวเราะหัวใคร่กันอยู่อย่างไม่เข้าใจ ไม่เห็นมีอะไรน่าขันจนต้องหัวเราะลั่นๆกันแบบนั้น เส้นประสาทตื้นกันทั้งคู่หรืออย่างไร
“เรื่องนี้เองหรือครับที่ว่าจะสัมภาษณ์ผม”
“แม่นแล้วค่ะ คือวันนั้นฉันกับหยา” ถนอมนวลทำเป็นไม่เห็นตาขุ่นๆของเพื่อนที่จ้องมองมาเพราะถูกเอาชื่อไปอ้าง “เห็นคุณเป็นคนเดียวที่ดิ่งลงมาต่ำมากถึงจะกระตุกร่ม ทำเอาคนดูหัวใจจะวายไปตามๆกัน เกิดอะไรขึ้นหรือคะ ขัดข้องทางเทคนิคหรือทำซ่าอวดสาวๆ”
“โธ่ คุณนวล หาความผมแท้ๆ ไมได้ตั้งใจจะอวดสาวที่ไหนหรอกครับ” สรคมณ์เหลือบมองหมันหยาที่นั่งอยู่ตรงข้ามแว่บหนึ่งอย่างมีความหมาย “แต่ถ้าตอนนั้นผมรู้ว่าคุณนวลกับคุณหยากำลังตั้งอกตั้งใจดูอยู่ ผมอาจจะทำซ่าอวดสาวอย่างที่คุณนวลว่าก็ได้”
เห็นรอยยิ้มที่ซ่านขึ้นมาในสายตาที่มองเธอ ทำให้หมันหยาซึ่งหน้าร้อนผ่าวเพราะเข้าใจความหมายที่ส่งออกมาจากตาคู่นั้นต้องรีบออกตัวโดยเร็ว
”ความจริงวันนั้นฉันไม่ได้อยากจะดูหรอกค่ะดิ่งพสุธาอะไรนั่นน่ะ ฉันไม่ชอบดูความบ้าบิ่นของใคร นวลสิคะ เป็นคนอยากดู คงจะในฐานะลูกสาวพลร่มเก่าละมัง เขาอยากดูฉันก็เลยต้องยืนดูเป็นเพื่อน”
“อ้าว เป็นงั้นไป?” ถนอมนวลค้อนเพื่อนก่อนจะหันไปทางชายหนุ่มคนเดียวในที่นั้น “งั้นก็แปลว่เกิดการขัดข้องทางเทคนิค ใช่ไหมคะ?”
“ไม่ใช่หรอกครับ” สรคมณ์ทำหน้าเจื่อนๆกับแววตาของหมันหยาที่มองเขาเหมือนจะกล่าวหา “ผมแค่พนันกับเพื่อนเอาไว้ว่าจะไม่กระตุกร่มจนกว่าจะถึงระดับความสูง 1500 ฟุต มันไม่เชื่อว่าผมจะทำได้ เพราะการกระตุกร่มในระดับความสูงใกล้พื้นดินขนดนั้นค่อนข้างอันตราย ถ้าร่มเกิดขัดข้อง ผมจะมีเวลาน้อยมากที่จะใช้ร่มสำรองช่วยให้ลงถึงพื้นได้อย่างปลอดภัย”
“อ้าว! ตายจริง” ถนอมนวลร้องอย่างตกใจ ขณะที่หมันหยามองสรคมณ์อย่างขวางๆแกมหมั่นไส้
“เสียดายจังที่ร่มช่วยเอาไว้ ไม่งั้นป่านนี้พวกเราคงได้ไปงานคุณสรคมณ์กันแล้ว” หมันหยาพูดหน้าตาเฉย
“โอ้โฮ คุณหยา ทำไมใจร้ายจัง ไม่สงสารผมบ้างหรือครับ อยู่ๆก็อยากให้ผมตายซะยังงั้น”
“ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือคะ” หญิงสาวทำหน้าเฉยเมยก่อนจะแกล้งถามว่า “คุณสรคมณ์เป็นลูกกำพร้าใช่หรือเปล่าคะ”์
“ทำไมคุณหยาคิดยังงั้นล่ะครับ?”
“ก็คนที่เป็นลูกกำพร้าหรือไร้ญาติขาดมิตรส่วนใหญ่ไม่ใช่หรือคะ ที่มักจะทำอะไรแผลงๆ เสี่ยงๆ ไม่คิดหน้าคิดหลัง เพราะถือว่าตัวคนเดียว ไม่มีพ่อแม่พี่น้องให้ต้องเป็นห่วง”
คำตอบของเธอทำให้สรคมณ์ยิ้มมากขึ้น รีบโมเมทันที “สรุปว่าคุณหยาห่วงผมใช่ไหมครับ? ขอบคุณๆหยาจริงๆที่เป็นห่วง ไม่อยากให้ผมตาย”
หน้าของหมันหยาแดงก่ำ รู้ว่าเสียท่าเขาเข้าให้แล้ว “เรื่องอะไรฉันจะต้องไปห่วงคุณล่ะคะ ฉันกับคุณไม่ได้เป็นญาติกันสักหน่อย ฉันหมายถึงลูกกำพร้าทั่วๆไปเท่านั้น” แล้วเธอก็รีบพูดต่ออย่างรวดเร็วเพระกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอห่วงเพราะสนใจเขา “ฉันเสียดายแทนประเทศชาติ ที่เสียเงินไปตั้งมากมายกว่าจะผลิตทหารหรือตำรวจขึ้นมาได้สักคน เพื่อมาทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมืองหรือดูแลความปลอดภัยของประชาชน แต่กลับเอาชีวิตมาทิ้งเสียเฉยๆเพราะความคึกคะนองที่ไม่ค่อยจะเข้าท่าสักเท่าไหร่”
แม้จะเห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นนั่งอมยิ้มฟังคำอบรมของหมันหยาโดยไม่มีทีท่าสะดุ้งสะเทือนกับเสียงแข็งๆนั้น แต่ถนอมนวลซึ่งรู้ว่าเพื่อนของเธออาย เมื่ออายแล้วก็อาจจะพาลโกรธ ทำให้ความสัมพันธ์ที่เริ่มจะรุดหน้าไปในทางที่ดี ถอยหลังกลับไปที่เดิมอีก รีบยื่นมือเข้ามาขัดจังหวะเปลี่ยนเรื่องทันที
“ถามหน่อยเถอะ คุณคมณ์ กว่าจะใจกล้าทำอะไรเสี่ยงๆแบบนั้นได้ คุณกระโดดร่มมานานแค่ไหนคะ?”
“ก็นานเหมือนกันแหละครับ ผมกระโดดร่มแบบธรรมดามานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก่อนจะกระโดดแบบดิ่งพสุธา ตอนที่ดิ่งพสุธาครั้งแรกก็ไม่ได้ตั้งใจหรอกครับ เมาหน่อยๆด้วยซ้ำ รุ่นพี่ที่เป็นฝ.3 ที่กองกำกับฯ ผมหมายถึงหัวหน้าฝ่ายยุทธการและการฝึกน่ะครับ คุณนวล ชวนไปดูเขากระโดดร่มกัน รุ่นพี่คนนี้เขาเก่งระดับครูฝึก ไอ้ผมมันชอบยั่วชอบแหย่ แซวแกอยู่บ่อยๆเรื่องดิ่งพสุธาว่าไม่เห็นยากตรงไหนเลย ของกล้วยๆ ใครๆก็กระโดดได้ แกคงหมั่นไส้เลยท้าผมให้ลองขึ้นไปกระโดดดูเอาเองจะได้รู้ว่าเป็นยังไง “
ชายหนุ่มหยุดมองสีหน้าตื่นเต้นของหญิงสาวทั้งสองก่อนจะเล่าต่อไป
"ผมมันทั้งเมาทั้งซ่าอยู่แล้วนี่ครับ คุณนวล อีกอย่างก็ประเภทบ้าดีเดือด ใครท้าไม่ได้ ก็เลยแต่งชุดพลร่มตามแกไปขึ้นเครื่อง พอถึงคิวที่ผมจะต้องกระโดด ผมไปยืนตรงประตูเครื่อง มองลงไปเห็นความสูงแล้วเสียววาบแทบหายเมา ไม่กระโดดลงไปซะที บอกตรงๆเลยนะครับคุณนวลว่าผมเกือบจะเปลี่ยนใจไม่กระโดดแล้วสิ แต่พอได้ยินเสียงเฮียที่ยืนคุมอยู่ข้างหลังเยาะเย้ยถากถางว่ามึงไม่แน่จริงนี่หว่า ดีแต่คุย ถ้ากลัวก็ไม่ต้องกระโดด ผมก็เลยฮึดสู้ขึ้นมา บอกตัวเองว่าตายเป็นตาย แล้วก็หลับหูหลับตากระโดดลงไป ตอนที่กำลังดิ่งลงไป แทนที่ผมจะลอยคัวลงมาห้าวินาทีแล้วค่อยกระตุกร่มตามกฏ ลงไปได้เพียงแค่สองวินาทีผมก็รีบกระตุกร่มแล้ว คราวนั้นผมถูกเฮียแกด่ายับว่าไม่ทำตามกฏการดิ่งพสุธา หลังจากนั้น พอทำได้ครั้งนึงแล้วทีนี้ก็หายกลัว พัฒนาต่อไปเรื่อยๆแบบบ้าบิ่นตามสไตล์ของตัวเอง ผมบอกได้เลยครับ ตุณนวล คุณหยา ว่าผมรู้สึกมีความสุขและมีอิสระเสรีทุกครั้งที่ได้ขึ้นไปแหวกว่ายอากาศ”
"อ๋อ แสดงว่าความสุขของคุณสรคมณ์เนี่ยหาไม่ได้บนพื้นดินเหมือนคนทั่วไป ต้องขึ้นไปหาถึงข้างบนโน่น" เป็นเสียงเยาะๆของหมันหยา "แล้วที่ว่าชอบขึ้นไปแหวกว่ายอากาศน่ะ อยากรู้ว่าแค่ว่ายน้ำธรรมดาข้างล่างเนี่ยะ ว่ายเป็นหรือเปล่าคะ"
ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจ มองหน้าหมันหยาอย่างเอ็นดูกับคำค่อนขอดของเธอ
"โธ่ คุณหยา ยวนผมอีกแล้ว เรื่องว่ายน้ำน่ะเรื่องเล็ก ถ้าว่ายไม่เป็นก็เสียชื่อไอ้หนุ่มปากน้ำโพหมดสิครับ คุณหยาคงเคยเรียนวิชาภูมิศาสตร์มาบ้างละน่า เคยได้ยินไหมครับว่าแม่น้ำปิง วัง ยม น่านไหลมาบรรจบกันที่ปากน้ำโพ"
หมันหยาฟังคำตอบแบบยียวนกวนประสาทนั้นแล้วก็ทำตาคว่ำ เมินหน้าไปทางอื่น
“แล้วนี่คุณคมณ์กระโดดแบบดิ่งพสุธามากี่ครั้งแล้วคะ” ถนอมนวลถามต่ออย่างสนใจ
สรคมณ์ยิ้มเจื่อนๆ เหลือบมองหมันหยาแว่บหนึ่ง เขารู้ว่าเธอคิดว่าเขาคะนองเกินเหตุ “ก็ไม่มากไม่น้อยครับ คุณนวล กระโดดที่ศาลากลางวันนั้นครบครั้งที่ร้อยพอดี”
“โอ้โฮ ตั้งร้อยครั้ง ยกนิ้วให้เลย” ถนอมนวลทำเสียงตื่นเต้นชอบอกชอบใจ เธอเป็นคนโลดโผนและชอบเสี่ยง
“โชคดีที่คุณสรคมณ์ยังมีชีวิตรอดจนได้มากระโดดครบร้อยครั้ง” หมัยหยาทำเสียงเยาะๆให้เขารู้ว่าเธอไม่ได้ชื่นชมกับพฤติกรรมที่เธอเห็นว่าบ้าบิ่นของเขาเลย
“โธ่ คุณหยา แช่งผมอีกแล้ว” ชายหนุ่มทำเสียงออดๆที่ทำให้หมันหยาแอบยิ้มอยู่ในใจ
ถนอมนวลมองทีท่าเพื่อนของเธอกับหนุ่มคนนั้นอย่างไตร่ตรองก่อนจะบอกหมันหยาว่า “นั่งคุยกันไปก่อนนะ คอแห้ง จะไปหาน้ำกินหน่อย เดี๋ยวจะเอามาฝากหยาด้วย”
“ผมไปเอาให้ดีกว่าครับ คุณนวล”
“โอ๊ย ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณสรคมณ์ ฉันจะแว่บไปเข้าห้องน้ำด้วยน่ะ คุณช่วยนั่งเป็นเพื่อนหยาก่อนแล้วกัน ฉันไปไม่นานหรอก”
พอพูดจบถนอมนวลก็กระโดดลงจากชิงช้า วิ่งปร๋อไปโดยเร็วก่อนที่หมันหยาจะทันอ้าปากบอกเพื่อนว่าเธอจะไปด้วย
ทันทีที่ถนอมนวลลับตาไป หมันหยาก็เริ่มรู้สึกอึดอัด ไม่รู้จะพูดคุยอะไรกับสรคมณ์ หญิงสาวนึกเคืองเพื่อนอยู่เงียบๆที่เกิดจะหิวน้ำและอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาปุบปับ เอ๊ะ..หรือว่าถนอมนวลเจตนาจะทิ้งเธอไว้กับผู้ชายคนนี้ตามลำพัง ทำท่าเหมือนจะเปิดโอกาสให้เขาได้พูดคุยกับเธอก่อนจะลาจากกันไปในอีกวันสองวันข้างหน้า หญิงสาวเริ่มประหม่า
ส่วนสรคมณ์ก็ถือโอกาสที่ถนอมนวลเปิดให้จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และจังหวะที่หมันหยาเมินหน้าไปมองที่อื่นที่ไม่ใช่หน้าของเขา แอบมองหน้าสวยๆที่ถูกตาต้องใจตั้งแต่แรกเห็นที่อุบลฯเมื่อสองสามเดือนที่แล้ว ปากจมูกคิ้วคางของหมันหยางามรับกันไปหมด เสียอย่างเดียวที่เธอไม่ค่อยจะยอมยิ้มเสียเลย เขาเคยเห็นเธอยิ้มเต็มที่เพียงครั้งเดียวเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา เปล่า..ไม่ได้ยิ้มกับเขาหรอก เธอยิ้มกับคุณเสาวณีย์ต่างหาก ยิ้มที่เขาเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นช่างสว่างเจิดจ้าน่ารักน่ามองเสียเหลือเกิน ยามที่แย้มยิ้มเต็มที่อย่างนั้นมีรอยลักยิ้มบุ๋มลึกผุดขึ้นสองข้ามแก้ม ลักยิ้มที่ทำให้ใบหน้าของหมันหยางามเด่นยิ่งขึ้นไปอีก
“คุณหยาจะกลับกรุงเทพฯเมื่อไหร่ครับ” อยู่ๆสรคมณ์ก็ถามขึ้นมา มีรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้าคมสัน
“อย่างช้าก็คงวันมะรืนค่ะ”
“มาถึงศรีษะเกสแล้วทำไมคุณหยาไม่เลยไปเยี่ยมพี่แป๋วบ้างล่ะครับ ใกล้แค่นี้เอง”
“ต้องรีบกลับไปทำงานน่ะค่ะ ปกติฉันกับแป๋วก็โทรศัพท์คุยกันบ่อยๆอยู่แล้วนี่คะ แต่ถ้าคุณสรคมณ์เข้าอุบลฯ เจอแป๋วก็ช่วยบอกด้วยแล้วกันว่าว่างๆฉันจะไปเยี่ยม แต่ก็คงอีกนาน”
ขณะที่หมันหยาเริ่มรู้สึกผ่อนคลายที่สรคมณ์ชวนเธอพูดคุยด้วยเรื่องทั่วๆไป โดยไม่มีท่าทีกรุ้มกริ่มเหมือนก่อน แล้วอยู่ๆชายหนุ่มคนนั้นก็ตั้งคำถามที่ทำให้เธอเกือบสะดุ้ง
“พี่ชาติติดต่อคุณหยาบ้างหรือเปล่าครับ”
หมันหยามองหน้าสรคมณ์แว่บหนึ่งกับคำถามของเขา แล้วก็ได้ห็นแววตาระยิบระยับที่หายไปนานแล้วกลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“ถามทำไมคะ” หญิงสาวทำเสียงแข็งเหมือนจะปรามอยู่ในที
“ถามเพราะอยากรู้สิครับ ไม่ทราบว่าคุณหยาพอจะตอบได้ไหม”
แม้ไม่เข้าใจว่าเขาจะอยากรู้ไปทำไม แต่หมันหยาก็ตอบไปตามตรงแต่กึ่งประชด “คุณชาติเคยโทรศัพท์มาคุยด้วยสองสามครั้งค่ะ หวังว่าคุณสรคมณ์คงไม่ถามนะคะว่าคุยอะไรกัน”
อีกฝ่ายยิ้มน้อยๆ “อยากถามเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะป็นเรื่องส่วนตัวของคนสองคน ที่คนนอกอย่างผมไม่ควรเสียมารยาทล่วงล้ำเข้าไป”
ตาของหมันหยาเขียวขึ้นมาทันที ทั้งอายทั้งไม่พอใจกับนัยในตำพูดของเขา “หมายความว่ายังไงคะ หรือคุณเข้าใจว่าฉันกับคุณชาติ..เอ้อ..”
“ผมเข้าใจพี่ชาติดีครับ ผู้ชายด้วยกันดูกันออก พี่ชาติเป็นคนดีนะครับคุณหยา ใครได้เป็นแฟนก็ต้องถือว่าโชคดี” สรคมณ์รุกต่อทันที
“เอ๊ะ นี่คุณเข้าใจว่าฉันกับคุณชาติชอบพอกันหรือไงคะ?” หมันหยาเริ่มตบะแตก “ไม่ต้องมาเชียร์หรอกค่ะ เสียเวลาเปล่า”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ?” อีกฝ่ายตีหน้าซื่อ แต่มีรอยยิ้มทั้งปากทั้งตา
“เลิกพูดเรื่องฉันกับคุณชาติได้แล้วค่ะ เราไม่มีอะไรกัน ฉันไม่เคยนึกอะไรกับเขา คุณชาติเป็นแค่คนรู้จัก เป็นผู้ชายที่สุภาพและน่านับถือคนหนึ่งเท่านั้น อีกอย่างฉันกับเขาก็เข้าใจตรงกันแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าคุณอยากจะหาแฟนให้คุณชาติสักคนจริงๆ ก็ขอแนะนำให้ลองไปทาบทามคนอื่นดีกว่าค่ะ” เธอทำหน้าบึ้ง ขยับจะลุกจากเชิงช้าที่นั่งอยู่
หมันหยาไม่คิดจะบอกเขาหรอก ว่าแม้ร้อยตำรวจเอกอภิชาติจะพยายามติดต่อพูดคุยกับเธอเพื่อสานสัมพันธ์ให้ก้าวหน้าไป แต่เมื่อไม่ได้ชอบเขาแบบนั้นเพราะเขาไม่ใช่ผู้ชายในสเป็คของเธอ หญิงสาวผู้ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองและไม่ประสงค์จะทำให้เขาเข้าใจผิด หลงมาเสียเวลากับเธอ ได้แสดงให้ชายหนุ่มผู้นั้นรู้ว่าเธอคบเขาได้เหมือนกัน แต่ก็ในฐานะเพื่อนเท่านั้น จะไม่มีอะไรมากกว่านั้น คำพูดแบบอ้อมๆของเธอทำให้อภิชาติยอมล่าถอยไปอย่างสุภาพบุรุษ
“เดี๋ยวก่อนครับคุณหยา อย่าเพิ่งโกรธ ที่ผมถามเรื่องพี่ชาติกับคุณหยาน่ะ ไม่ใช่เพราะอยากรู้อยากเห็นอะไรหรอกครับ ผมถามเพื่อความแน่ใจเท่านั้นครับ ก่อนหน้านี้ผมไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้ผมได้คำตอบจากคุณหยาแล้ว”
หมันหยาชะงัก มองหน้าสรคมณ์อย่างมืดแปดด้าน “แล้วคำตอบของฉันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยล่ะคะ?”
“เกี่ยวสิครับ เกี่ยวมากด้วย เพราะถ้าพี่ชาติกับคุณหยากำลังคบหาดูใจกันอยู่ ผมก็จะอยู่ห่างๆจากคุณหยา พี่ชาติเป็นรุ่นพี่ที่ผมทั้งรักและนับถือ ผมไม่มีวันจะหักหลังหรือทำร้ายจิตใจเขาได้ แต่ตอนนี้เมื่อผมรู้แล้วจากปากของคุณหยาเองว่าไม่มีอะไร ผมก็จะขออนุญาตคุณหยาตรงนี้และเดี๋ยวนี้เลยนะครับ ว่าแต่คุณหยาจะกรุณาอนุญาตไหมครับ."
หญิงสาวที่กำลังฟังคำพูดของเขาอยู่ทำหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าเขาจะขอให้เธออนุญาตเรื่องอะไร
"เอ๊ะ..คุณจะมาขออนุญาตเรื่องอะไรคะ คุณอยากจะทำอะไรก็ทำไปสิคะ ไม่ต้องมาบอกหรือขออนุญาตฉันหรือใครหรอก ทุกคนมีสิทธิจะทำสิ่งที่อยากทำด้วยกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือคะ"
ชายหนุ่มมาดเซอร์ในสายตาของหมันหยายิ้มกว้าง ทำหน้าเจ้าเล่ห์ ประกายตาระยิบระยับวับวิบ
"ขอบคุณมากนะครับ คุณหยา เอาเป็นว่าคุณหยาอนุญาตผมแล้วนะครับ"
"ค่ะ จะว่ายังงั้นก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของคุณ ไม่เกี่ยวกับฉัน ว่าแต่คุณขออนุญาตเรื่องอะไรคะ เป็นความลับที่บอกใครไม่ได้หรือเปล่า"
"ไม่ลับหรอกครับ ความจริงถ้าคุณหยาไม่ขัดข้องผมก็อยากจะป่าวประกาศให้รู้กันไปทั่วเสียด้วยซ้ำ"
ยิ้มของสรคมณ์ดูมีเลศนัยชอบกลทำให้หมันหยาต้องถามต่อด้วยความสงสัย "แหม..ถึงขนาดจะป่าวประกาศเชียวหรือคะ ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ บอกได้ไหมคะ"
"ยังไงผมก็ต้องบอกคุณหยาเป็นคนแรกอยู่แล้วละครับ แต่เมื่อกี้คุณหยาอนุญาตผมแล้วนะครับ คงไม่เปลี่ยนใจเลิกอนุญาตใช่ไหมครับ"
หมันหยาพยักหน้ารับโดยดี "ค่ะ ไม่เปลี่ยนใจหรอก เรื่องของคุณไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันนี่คะ อีกอย่างฉันก็ไม่ใช่คนโลเลพูดกลับไปกลับมา"
"ผมกับคุณหยาเหมือนกันเปี๊ยบเลยครับ ลงได้ให้สัญญาไว้กับใครหรือปักใจจะทำอะไรแล้วไม่มีทางจะเปลี่ยนใจง่ายๆ" " ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม นัยน์ตาแวววับ "งั้นผมบอกคุณหยาเลยนะครับว่าผมขออนุญาตเรื่องอะไร ฟังดีดีนะครับ"
ชายหนุ่มนิ่งไปนิดหนึ่ง มองหน้าหมันหยาแน่วแน่ด้วยแววตาที่คมกริบ ก่อนจะพูดด้วยเสียงและความหมายที่ชัดเจนจนหมันหยาต้องสะดุ้งวาบด้วยความตกใจคาดไม่ถึง หน้าของเธอร้อนวูบ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนั้นก็มีเพียงลุกจากชิงช้าวิ่งพรวดพราดออกไปทันที แม้ถนอมนวลที่เดินสวนมาจะทักอย่างแปลกใจกับสีหน้าซีดเผือดและท่าทางรีบร้อนเหมือนหนีใครมาของเธอ หญิงสาวก็ไม่ตอบแม้แต่คำเดียว วิ่งถลาต่อไปตามทิศทางที่นำไปสู่บ้านพัก
"ที่ผมขออนุญาตและคุณหยากรุณาอนุญาตแล้วก็คือ...ผมขออนุญาตจีบคุณหยาอย่างเป็นทางการตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ครับผม" นั่นคือคำตอบของสรคมณ์ที่ทำให้หมันหยาต้องวิ่งหนีไปเพราะไม่อาจสบตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นได้อีกต่อไป
ตืนสุดท้ายในหมู่บ้านสุดท้าย กำนันผู้ดูแลหมู่บ้านทั้งหมดในแถบนั้นจัดเลี้ยงอำลาและขอบคุณทีมเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน ที่เข้ามาสนับสนุนส่งเสริมแผนพัฒนาชุมชนของแต่ละหมู่บ้านให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด เป็นการเลี้ยงอาหารพื้นบ้านที่ชาวบ้านหลายครอบครัวพร้อมใจกันปรุงขึ้นมาและนำมารับประทานร่วมกัน เนื่องจากเป็นคืนสุดท้ายหลังจากเสร็จภารกิจ ท่านกำนันจึงได้จัดเหล้าพื้นบ้านดีกรีแรงมาบริการพวกหนุ่มๆ ด้วย
หมันหยาเห็นสรคมณ์ดื่มเหล้าไปแล้วสองสามแก้ว เขานั่งคุยกับกำนันเป็นภาษาภาคกลางบ้าง ภาษาอีสานบ้าง ด้วยท่าทางสนุกสนานครื้นเครง มีวิชัยซึ่งคงจะรู้จักสนิทสนมกันดีเพราะทำงานอยู่ในเขตอำเภอขุขันธ์ด้วยกันนั่งร่วมวงเหล้าอยู่ด้วย รวมทั้งเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนชายล้วนอีกสามคนที่เดินทางมาทำงานด้วยกันในครั้งนี้ วิชัยน่าจะอายุมากกว่าสรคมณ์อย่างน้อยก็สองสามปี หมันหยาได้ยินเขาเรียกวิชัยว่า ‘พี่ชัย’
“คุณสรคมณ์กินเหล้าดุเหมือนกันนะ หยา”
ถนอมนวลพูดเปรยๆกับเพื่อนระหว่างที่หลบจากวงเหล้ามานั่งตากลมเย็นๆบนชิงช้าหลังใหญ่ฝีมือชาวบ้าน ที่มีที่นั่งกว้างยาวสองแถวหันหน้าเข้าหากันแต่ไม่มีหลังคา ห่างออกมาจนมองไม่เห็นพวกที่นั่งกินเหล้า นั่งพูดคุยกันด้วยเรื่องต่างๆ ซึ่งมีคุณเสาวณีย์หัวหน้าของพวกเธอรวมอยู่ด้วย
หมันหยาไม่นึกแปลกใจกับเรื่องที่ถนอมนวลพูด เธอเคยเห็นมาแล้วที่อุบลฯตอนไปร่วมงานแต่งงานของแสงดาว
“แต่ความจริงก็เป็นเรื่องปกติ พวกทหารตำรวจกินเหล้ากันดุๆแทบทุกคน” ถนอมนวลยังพูดต่อไปเรื่อยๆ ตาก็คอยแอบสังเกตสีหน้าของเพื่อน “พ่อเราก็เหมือนกัน เแม่บ่นทีไรพ่อก็มักจะอ้างทุกทีว่าเป็นเรื่องจำเป็นทางสังคม คนไม่กินเหล้ามักจะมีเพื่อนน้อย ถ้ากินเหล้าด้วยกันบ่อยๆก็จะกลายเป็นเพื่อนกันไป สนิทกันง่ายเพราะรสนิยมตรงกัน ข่าวต่างๆก็มักจะหาได้ในวงเหล้า”
“แต่เราว่าไม่เห็นจำเป็นต้องหาเพื่อนหาข่าวอะไรที่นวลว่าจากวงเหล้าเลย” หมันหยาไม่เห็นด้วย “คงเป็นข้ออ้างที่จะกินเหล้ามากกว่า นี่เราไม่ได้หมายถึงคุณพ่อของนวลนะ เราหมายถึงคนกินเหล้าทั่วๆไป”
ถนอมนวลยิ้มเผล่ “หยาเนี่ยสงสัยจะแอนตี้คนกินเหล้าน่าดูเลย”
“เปล่า ไม่ถึงกับแอนตี้ คนที่กินนิดๆหน่อยๆเวลาไปงานสังคมก็เรื่องหนึ่ง แต่ประเภทที่ต้องกินทุกวัน หรือกินจนเมาแอ๋เที่ยวไปหาเรื่องคนอื่นนั่นสิที่เราไม่ชอบ”
“คุณสรคมณ์เนี่ยไม่รู้ว่าเป็นประเภทไหนนะ หยา จะว่ากินเหล้ามากก็คงไม่ใช่ ตั้งแต่มาทำงานแถวนี้สองอาทิตย์แล้ว ก็เพิ่งเห็นเขากินเหล้าคืนนี้เอง”
หมันหยาไม่ออกความเห็นว่าอย่างไรเกี่ยวชายหนุ่มผู้นั้น
“เจอกันที่นี่ตั้งสองอาทิตย์แล้ว มีโอกาสได้พูดคุยกันมากขึ้น ตอนนี้หยาคิดว่าคุณสรคมณ์เป็นคนยังไง?” ถนอมนวลเริ่มรุก
อีกฝ่ายนิ่งคิดหาคำพูดที่เหมาะสมก่อนจะตอบว่า “ก็โอเคนะ ดีกว่าตอนที่เจอกันใหม่ๆที่อุบลฯ เราก็เคยเล่าให้นวลฟังแล้วนี่"”
“แหม ยังไงๆกก็ต้องดีกว่าแน่ เขาอุตส่าห์ช่วยหยาตั้งหลายครั้งแล้วนี่นา เรื่องบนรถโฟตอนโน้นแล้วก็เรื่องตกบันไดไง เสียดายจัง อีกไม่กี่วันพวกเราก็จะกลับกรุงเทพฯกันแล้ว”
“ทำไมต้องเสียดาย หรือว่านวลเกิดติดใจขุขันธ์เสียแล้ว”
“ใครว่าล่ะ” ถนอมนวลยักไหล่ “ถ้าจะติดใจก็คงติดใจคนมากกว่า”
หมันหยามองหน้าเพื่อนอย่างสงสัย “ติดใจใคร? อย่าบอกนะว่าติดใจคุณสรคมณ์”
“ติดใจเหมือนกัน อยากได้เป็นแฟน” คนตอบทำหน้าตาย “แต่เสียดายที่เขาไม่สนใจเราเลยน่ะสิ เกิดมาอาภัพ รูปไม่สวยรวยเสน่ห์เหมือนบางคน เลยต้องหักใจขอเป็นแค่เพื่อนกับเขาก็พอ”
“นวลเนี่ยตลก พูดอะไรปาวๆ ระวังเถอะ ถ้าคุณสรคมณ์มาได้ยินเข้า เขาจะเข้าใจผิดเอาได้นะ”
“เขาไม่เข้าใจผิดหรอกน่า อ้าว! พอพูดถึงไก่ๆก็มาเลยเนอะ” ถนอมนวลยกมือขึ้นโบก “คุณสรคมณ์จะไปไหนหรือคะ? ถ้าไงก็เชิญทางนี้ก่อน มีเรื่องอยากจะถาม”
หมันหยามองไปตามมือที่โบกไหวๆของเพื่อนแล้วก้เห็นสรคมณ์ ที่ชะงักหยุดก่อนจะเปลี่ยนทิศทางเดินตรงเข้ามาที่ชิงช้าที่พวกเธอนั่งอยู่
“กำลังจะไปไหนหรือเปล่าคะ”
“จะไปเอาเหล้าที่รถครับ คุณนวล พอดีเหล้าของกำนันหมดแต่ยังอยากเมากันต่อ ผมมีติดรถอยู่ขวดนึง”
“งั้นคุณคมณ์ไปเอาเหล้าก่อนก็ได้ค่ะ ค่อยมาคุยกัน”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวค่อยไปก็ได้ ว่าแต่คุณนวลมีอะไรจะคุยกับผม”
“งั้นก็นั่งก่อนค่ะ นั่งข้างๆฉันก็ได้”
ชายหนุ่มเดินเข้ามานั่งลงบนชิงช้ากว้างตรงที่ถนอมนวลชี้ให้ ตรงข้ามกับด้านที่หมันหยานั่งอยู่
“เป็นยังไงบ้างครับ คุณหยา แอบหนีมานั่งกันสองคน สงสัยจะเบื่อตรงโน้น มีแต่คนกินเหล้า” เขาถามเธอยิ้มๆ
หมันหยาเห็นตาของเขาซึมนิดๆ ซึ่งเธอแน่ใจว่าคงจะเป็นเพราะเหล้าหลายแก้วที่เขาดื่มเข้าไปนั่นเอง
“ไม่ได้เบื่อหรอกค่ะ เราแค่อยากมานั่งชิงช้าเล่น ข้างนอกนี่เย็นสบายดี”'
“คุณนวลมีอะไรจะคุยกับผมไม่ใช่หรือครับ”
“ค่ะ แต่ไม่ใช่คุย จะสัมภาษณ์คุณคมณ์มากกว่า”
สรคมณ์หัวเราะกับท่าทางกระตือรือร้นของอีกฝ่าย เขาชอบคุยกับถนอมนวล เพราะเธอเป็นคนง่ายๆ เปิดเผย พูดอะไรตรงไปตรงมา ไม่เรื่องมาก มีลักษณะแก่นๆเหมือนเด็กผู้ชายมากกว่าหญิงสาววัยต้นยี่สิบ
“จะสัมภาษณ์ผมเรื่องอะไรครับ ผมไม่ใช่ดารานะครับ คุณนวล”
“เราไม่สนดาราหรอกต่ะ ไม่รู้จะสัมภาษณ์อะไรพวกเขา เข้าเรื่องดีกว่า วันนั้นพวกเราไปยืนดูคุณโดดร่มด้วยละ”
“เมื่อไหร่ครับ?”
“ก็ตอนที่คุณไปกระโดดดิ่งพสุธาที่สนามหน้าศาลากลางไง”
“อ้าว คุณนวลกับคุณหยาไปดูด้วยหรือครับ แล้วทำไมไม่ทักทายผมบ้างล่ะ”
“จะทักได้ยังไงล่ะคะ อยู่ห่างกันลิบลับ คงต้องตะโกนทักลั่นสนามละมัง”
หมันหยามองคนสองคนที่กำลังหัวเราะหัวใคร่กันอยู่อย่างไม่เข้าใจ ไม่เห็นมีอะไรน่าขันจนต้องหัวเราะลั่นๆกันแบบนั้น เส้นประสาทตื้นกันทั้งคู่หรืออย่างไร
“เรื่องนี้เองหรือครับที่ว่าจะสัมภาษณ์ผม”
“แม่นแล้วค่ะ คือวันนั้นฉันกับหยา” ถนอมนวลทำเป็นไม่เห็นตาขุ่นๆของเพื่อนที่จ้องมองมาเพราะถูกเอาชื่อไปอ้าง “เห็นคุณเป็นคนเดียวที่ดิ่งลงมาต่ำมากถึงจะกระตุกร่ม ทำเอาคนดูหัวใจจะวายไปตามๆกัน เกิดอะไรขึ้นหรือคะ ขัดข้องทางเทคนิคหรือทำซ่าอวดสาวๆ”
“โธ่ คุณนวล หาความผมแท้ๆ ไมได้ตั้งใจจะอวดสาวที่ไหนหรอกครับ” สรคมณ์เหลือบมองหมันหยาที่นั่งอยู่ตรงข้ามแว่บหนึ่งอย่างมีความหมาย “แต่ถ้าตอนนั้นผมรู้ว่าคุณนวลกับคุณหยากำลังตั้งอกตั้งใจดูอยู่ ผมอาจจะทำซ่าอวดสาวอย่างที่คุณนวลว่าก็ได้”
เห็นรอยยิ้มที่ซ่านขึ้นมาในสายตาที่มองเธอ ทำให้หมันหยาซึ่งหน้าร้อนผ่าวเพราะเข้าใจความหมายที่ส่งออกมาจากตาคู่นั้นต้องรีบออกตัวโดยเร็ว
”ความจริงวันนั้นฉันไม่ได้อยากจะดูหรอกค่ะดิ่งพสุธาอะไรนั่นน่ะ ฉันไม่ชอบดูความบ้าบิ่นของใคร นวลสิคะ เป็นคนอยากดู คงจะในฐานะลูกสาวพลร่มเก่าละมัง เขาอยากดูฉันก็เลยต้องยืนดูเป็นเพื่อน”
“อ้าว เป็นงั้นไป?” ถนอมนวลค้อนเพื่อนก่อนจะหันไปทางชายหนุ่มคนเดียวในที่นั้น “งั้นก็แปลว่เกิดการขัดข้องทางเทคนิค ใช่ไหมคะ?”
“ไม่ใช่หรอกครับ” สรคมณ์ทำหน้าเจื่อนๆกับแววตาของหมันหยาที่มองเขาเหมือนจะกล่าวหา “ผมแค่พนันกับเพื่อนเอาไว้ว่าจะไม่กระตุกร่มจนกว่าจะถึงระดับความสูง 1500 ฟุต มันไม่เชื่อว่าผมจะทำได้ เพราะการกระตุกร่มในระดับความสูงใกล้พื้นดินขนดนั้นค่อนข้างอันตราย ถ้าร่มเกิดขัดข้อง ผมจะมีเวลาน้อยมากที่จะใช้ร่มสำรองช่วยให้ลงถึงพื้นได้อย่างปลอดภัย”
“อ้าว! ตายจริง” ถนอมนวลร้องอย่างตกใจ ขณะที่หมันหยามองสรคมณ์อย่างขวางๆแกมหมั่นไส้
“เสียดายจังที่ร่มช่วยเอาไว้ ไม่งั้นป่านนี้พวกเราคงได้ไปงานคุณสรคมณ์กันแล้ว” หมันหยาพูดหน้าตาเฉย
“โอ้โฮ คุณหยา ทำไมใจร้ายจัง ไม่สงสารผมบ้างหรือครับ อยู่ๆก็อยากให้ผมตายซะยังงั้น”
“ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือคะ” หญิงสาวทำหน้าเฉยเมยก่อนจะแกล้งถามว่า “คุณสรคมณ์เป็นลูกกำพร้าใช่หรือเปล่าคะ”์
“ทำไมคุณหยาคิดยังงั้นล่ะครับ?”
“ก็คนที่เป็นลูกกำพร้าหรือไร้ญาติขาดมิตรส่วนใหญ่ไม่ใช่หรือคะ ที่มักจะทำอะไรแผลงๆ เสี่ยงๆ ไม่คิดหน้าคิดหลัง เพราะถือว่าตัวคนเดียว ไม่มีพ่อแม่พี่น้องให้ต้องเป็นห่วง”
คำตอบของเธอทำให้สรคมณ์ยิ้มมากขึ้น รีบโมเมทันที “สรุปว่าคุณหยาห่วงผมใช่ไหมครับ? ขอบคุณๆหยาจริงๆที่เป็นห่วง ไม่อยากให้ผมตาย”
หน้าของหมันหยาแดงก่ำ รู้ว่าเสียท่าเขาเข้าให้แล้ว “เรื่องอะไรฉันจะต้องไปห่วงคุณล่ะคะ ฉันกับคุณไม่ได้เป็นญาติกันสักหน่อย ฉันหมายถึงลูกกำพร้าทั่วๆไปเท่านั้น” แล้วเธอก็รีบพูดต่ออย่างรวดเร็วเพระกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอห่วงเพราะสนใจเขา “ฉันเสียดายแทนประเทศชาติ ที่เสียเงินไปตั้งมากมายกว่าจะผลิตทหารหรือตำรวจขึ้นมาได้สักคน เพื่อมาทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมืองหรือดูแลความปลอดภัยของประชาชน แต่กลับเอาชีวิตมาทิ้งเสียเฉยๆเพราะความคึกคะนองที่ไม่ค่อยจะเข้าท่าสักเท่าไหร่”
แม้จะเห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นนั่งอมยิ้มฟังคำอบรมของหมันหยาโดยไม่มีทีท่าสะดุ้งสะเทือนกับเสียงแข็งๆนั้น แต่ถนอมนวลซึ่งรู้ว่าเพื่อนของเธออาย เมื่ออายแล้วก็อาจจะพาลโกรธ ทำให้ความสัมพันธ์ที่เริ่มจะรุดหน้าไปในทางที่ดี ถอยหลังกลับไปที่เดิมอีก รีบยื่นมือเข้ามาขัดจังหวะเปลี่ยนเรื่องทันที
“ถามหน่อยเถอะ คุณคมณ์ กว่าจะใจกล้าทำอะไรเสี่ยงๆแบบนั้นได้ คุณกระโดดร่มมานานแค่ไหนคะ?”
“ก็นานเหมือนกันแหละครับ ผมกระโดดร่มแบบธรรมดามานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก่อนจะกระโดดแบบดิ่งพสุธา ตอนที่ดิ่งพสุธาครั้งแรกก็ไม่ได้ตั้งใจหรอกครับ เมาหน่อยๆด้วยซ้ำ รุ่นพี่ที่เป็นฝ.3 ที่กองกำกับฯ ผมหมายถึงหัวหน้าฝ่ายยุทธการและการฝึกน่ะครับ คุณนวล ชวนไปดูเขากระโดดร่มกัน รุ่นพี่คนนี้เขาเก่งระดับครูฝึก ไอ้ผมมันชอบยั่วชอบแหย่ แซวแกอยู่บ่อยๆเรื่องดิ่งพสุธาว่าไม่เห็นยากตรงไหนเลย ของกล้วยๆ ใครๆก็กระโดดได้ แกคงหมั่นไส้เลยท้าผมให้ลองขึ้นไปกระโดดดูเอาเองจะได้รู้ว่าเป็นยังไง “
ชายหนุ่มหยุดมองสีหน้าตื่นเต้นของหญิงสาวทั้งสองก่อนจะเล่าต่อไป
"ผมมันทั้งเมาทั้งซ่าอยู่แล้วนี่ครับ คุณนวล อีกอย่างก็ประเภทบ้าดีเดือด ใครท้าไม่ได้ ก็เลยแต่งชุดพลร่มตามแกไปขึ้นเครื่อง พอถึงคิวที่ผมจะต้องกระโดด ผมไปยืนตรงประตูเครื่อง มองลงไปเห็นความสูงแล้วเสียววาบแทบหายเมา ไม่กระโดดลงไปซะที บอกตรงๆเลยนะครับคุณนวลว่าผมเกือบจะเปลี่ยนใจไม่กระโดดแล้วสิ แต่พอได้ยินเสียงเฮียที่ยืนคุมอยู่ข้างหลังเยาะเย้ยถากถางว่ามึงไม่แน่จริงนี่หว่า ดีแต่คุย ถ้ากลัวก็ไม่ต้องกระโดด ผมก็เลยฮึดสู้ขึ้นมา บอกตัวเองว่าตายเป็นตาย แล้วก็หลับหูหลับตากระโดดลงไป ตอนที่กำลังดิ่งลงไป แทนที่ผมจะลอยคัวลงมาห้าวินาทีแล้วค่อยกระตุกร่มตามกฏ ลงไปได้เพียงแค่สองวินาทีผมก็รีบกระตุกร่มแล้ว คราวนั้นผมถูกเฮียแกด่ายับว่าไม่ทำตามกฏการดิ่งพสุธา หลังจากนั้น พอทำได้ครั้งนึงแล้วทีนี้ก็หายกลัว พัฒนาต่อไปเรื่อยๆแบบบ้าบิ่นตามสไตล์ของตัวเอง ผมบอกได้เลยครับ ตุณนวล คุณหยา ว่าผมรู้สึกมีความสุขและมีอิสระเสรีทุกครั้งที่ได้ขึ้นไปแหวกว่ายอากาศ”
"อ๋อ แสดงว่าความสุขของคุณสรคมณ์เนี่ยหาไม่ได้บนพื้นดินเหมือนคนทั่วไป ต้องขึ้นไปหาถึงข้างบนโน่น" เป็นเสียงเยาะๆของหมันหยา "แล้วที่ว่าชอบขึ้นไปแหวกว่ายอากาศน่ะ อยากรู้ว่าแค่ว่ายน้ำธรรมดาข้างล่างเนี่ยะ ว่ายเป็นหรือเปล่าคะ"
ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจ มองหน้าหมันหยาอย่างเอ็นดูกับคำค่อนขอดของเธอ
"โธ่ คุณหยา ยวนผมอีกแล้ว เรื่องว่ายน้ำน่ะเรื่องเล็ก ถ้าว่ายไม่เป็นก็เสียชื่อไอ้หนุ่มปากน้ำโพหมดสิครับ คุณหยาคงเคยเรียนวิชาภูมิศาสตร์มาบ้างละน่า เคยได้ยินไหมครับว่าแม่น้ำปิง วัง ยม น่านไหลมาบรรจบกันที่ปากน้ำโพ"
หมันหยาฟังคำตอบแบบยียวนกวนประสาทนั้นแล้วก็ทำตาคว่ำ เมินหน้าไปทางอื่น
“แล้วนี่คุณคมณ์กระโดดแบบดิ่งพสุธามากี่ครั้งแล้วคะ” ถนอมนวลถามต่ออย่างสนใจ
สรคมณ์ยิ้มเจื่อนๆ เหลือบมองหมันหยาแว่บหนึ่ง เขารู้ว่าเธอคิดว่าเขาคะนองเกินเหตุ “ก็ไม่มากไม่น้อยครับ คุณนวล กระโดดที่ศาลากลางวันนั้นครบครั้งที่ร้อยพอดี”
“โอ้โฮ ตั้งร้อยครั้ง ยกนิ้วให้เลย” ถนอมนวลทำเสียงตื่นเต้นชอบอกชอบใจ เธอเป็นคนโลดโผนและชอบเสี่ยง
“โชคดีที่คุณสรคมณ์ยังมีชีวิตรอดจนได้มากระโดดครบร้อยครั้ง” หมัยหยาทำเสียงเยาะๆให้เขารู้ว่าเธอไม่ได้ชื่นชมกับพฤติกรรมที่เธอเห็นว่าบ้าบิ่นของเขาเลย
“โธ่ คุณหยา แช่งผมอีกแล้ว” ชายหนุ่มทำเสียงออดๆที่ทำให้หมันหยาแอบยิ้มอยู่ในใจ
ถนอมนวลมองทีท่าเพื่อนของเธอกับหนุ่มคนนั้นอย่างไตร่ตรองก่อนจะบอกหมันหยาว่า “นั่งคุยกันไปก่อนนะ คอแห้ง จะไปหาน้ำกินหน่อย เดี๋ยวจะเอามาฝากหยาด้วย”
“ผมไปเอาให้ดีกว่าครับ คุณนวล”
“โอ๊ย ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณสรคมณ์ ฉันจะแว่บไปเข้าห้องน้ำด้วยน่ะ คุณช่วยนั่งเป็นเพื่อนหยาก่อนแล้วกัน ฉันไปไม่นานหรอก”
พอพูดจบถนอมนวลก็กระโดดลงจากชิงช้า วิ่งปร๋อไปโดยเร็วก่อนที่หมันหยาจะทันอ้าปากบอกเพื่อนว่าเธอจะไปด้วย
ทันทีที่ถนอมนวลลับตาไป หมันหยาก็เริ่มรู้สึกอึดอัด ไม่รู้จะพูดคุยอะไรกับสรคมณ์ หญิงสาวนึกเคืองเพื่อนอยู่เงียบๆที่เกิดจะหิวน้ำและอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาปุบปับ เอ๊ะ..หรือว่าถนอมนวลเจตนาจะทิ้งเธอไว้กับผู้ชายคนนี้ตามลำพัง ทำท่าเหมือนจะเปิดโอกาสให้เขาได้พูดคุยกับเธอก่อนจะลาจากกันไปในอีกวันสองวันข้างหน้า หญิงสาวเริ่มประหม่า
ส่วนสรคมณ์ก็ถือโอกาสที่ถนอมนวลเปิดให้จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และจังหวะที่หมันหยาเมินหน้าไปมองที่อื่นที่ไม่ใช่หน้าของเขา แอบมองหน้าสวยๆที่ถูกตาต้องใจตั้งแต่แรกเห็นที่อุบลฯเมื่อสองสามเดือนที่แล้ว ปากจมูกคิ้วคางของหมันหยางามรับกันไปหมด เสียอย่างเดียวที่เธอไม่ค่อยจะยอมยิ้มเสียเลย เขาเคยเห็นเธอยิ้มเต็มที่เพียงครั้งเดียวเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา เปล่า..ไม่ได้ยิ้มกับเขาหรอก เธอยิ้มกับคุณเสาวณีย์ต่างหาก ยิ้มที่เขาเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นช่างสว่างเจิดจ้าน่ารักน่ามองเสียเหลือเกิน ยามที่แย้มยิ้มเต็มที่อย่างนั้นมีรอยลักยิ้มบุ๋มลึกผุดขึ้นสองข้ามแก้ม ลักยิ้มที่ทำให้ใบหน้าของหมันหยางามเด่นยิ่งขึ้นไปอีก
“คุณหยาจะกลับกรุงเทพฯเมื่อไหร่ครับ” อยู่ๆสรคมณ์ก็ถามขึ้นมา มีรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้าคมสัน
“อย่างช้าก็คงวันมะรืนค่ะ”
“มาถึงศรีษะเกสแล้วทำไมคุณหยาไม่เลยไปเยี่ยมพี่แป๋วบ้างล่ะครับ ใกล้แค่นี้เอง”
“ต้องรีบกลับไปทำงานน่ะค่ะ ปกติฉันกับแป๋วก็โทรศัพท์คุยกันบ่อยๆอยู่แล้วนี่คะ แต่ถ้าคุณสรคมณ์เข้าอุบลฯ เจอแป๋วก็ช่วยบอกด้วยแล้วกันว่าว่างๆฉันจะไปเยี่ยม แต่ก็คงอีกนาน”
ขณะที่หมันหยาเริ่มรู้สึกผ่อนคลายที่สรคมณ์ชวนเธอพูดคุยด้วยเรื่องทั่วๆไป โดยไม่มีท่าทีกรุ้มกริ่มเหมือนก่อน แล้วอยู่ๆชายหนุ่มคนนั้นก็ตั้งคำถามที่ทำให้เธอเกือบสะดุ้ง
“พี่ชาติติดต่อคุณหยาบ้างหรือเปล่าครับ”
หมันหยามองหน้าสรคมณ์แว่บหนึ่งกับคำถามของเขา แล้วก็ได้ห็นแววตาระยิบระยับที่หายไปนานแล้วกลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“ถามทำไมคะ” หญิงสาวทำเสียงแข็งเหมือนจะปรามอยู่ในที
“ถามเพราะอยากรู้สิครับ ไม่ทราบว่าคุณหยาพอจะตอบได้ไหม”
แม้ไม่เข้าใจว่าเขาจะอยากรู้ไปทำไม แต่หมันหยาก็ตอบไปตามตรงแต่กึ่งประชด “คุณชาติเคยโทรศัพท์มาคุยด้วยสองสามครั้งค่ะ หวังว่าคุณสรคมณ์คงไม่ถามนะคะว่าคุยอะไรกัน”
อีกฝ่ายยิ้มน้อยๆ “อยากถามเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะป็นเรื่องส่วนตัวของคนสองคน ที่คนนอกอย่างผมไม่ควรเสียมารยาทล่วงล้ำเข้าไป”
ตาของหมันหยาเขียวขึ้นมาทันที ทั้งอายทั้งไม่พอใจกับนัยในตำพูดของเขา “หมายความว่ายังไงคะ หรือคุณเข้าใจว่าฉันกับคุณชาติ..เอ้อ..”
“ผมเข้าใจพี่ชาติดีครับ ผู้ชายด้วยกันดูกันออก พี่ชาติเป็นคนดีนะครับคุณหยา ใครได้เป็นแฟนก็ต้องถือว่าโชคดี” สรคมณ์รุกต่อทันที
“เอ๊ะ นี่คุณเข้าใจว่าฉันกับคุณชาติชอบพอกันหรือไงคะ?” หมันหยาเริ่มตบะแตก “ไม่ต้องมาเชียร์หรอกค่ะ เสียเวลาเปล่า”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ?” อีกฝ่ายตีหน้าซื่อ แต่มีรอยยิ้มทั้งปากทั้งตา
“เลิกพูดเรื่องฉันกับคุณชาติได้แล้วค่ะ เราไม่มีอะไรกัน ฉันไม่เคยนึกอะไรกับเขา คุณชาติเป็นแค่คนรู้จัก เป็นผู้ชายที่สุภาพและน่านับถือคนหนึ่งเท่านั้น อีกอย่างฉันกับเขาก็เข้าใจตรงกันแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าคุณอยากจะหาแฟนให้คุณชาติสักคนจริงๆ ก็ขอแนะนำให้ลองไปทาบทามคนอื่นดีกว่าค่ะ” เธอทำหน้าบึ้ง ขยับจะลุกจากเชิงช้าที่นั่งอยู่
หมันหยาไม่คิดจะบอกเขาหรอก ว่าแม้ร้อยตำรวจเอกอภิชาติจะพยายามติดต่อพูดคุยกับเธอเพื่อสานสัมพันธ์ให้ก้าวหน้าไป แต่เมื่อไม่ได้ชอบเขาแบบนั้นเพราะเขาไม่ใช่ผู้ชายในสเป็คของเธอ หญิงสาวผู้ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองและไม่ประสงค์จะทำให้เขาเข้าใจผิด หลงมาเสียเวลากับเธอ ได้แสดงให้ชายหนุ่มผู้นั้นรู้ว่าเธอคบเขาได้เหมือนกัน แต่ก็ในฐานะเพื่อนเท่านั้น จะไม่มีอะไรมากกว่านั้น คำพูดแบบอ้อมๆของเธอทำให้อภิชาติยอมล่าถอยไปอย่างสุภาพบุรุษ
“เดี๋ยวก่อนครับคุณหยา อย่าเพิ่งโกรธ ที่ผมถามเรื่องพี่ชาติกับคุณหยาน่ะ ไม่ใช่เพราะอยากรู้อยากเห็นอะไรหรอกครับ ผมถามเพื่อความแน่ใจเท่านั้นครับ ก่อนหน้านี้ผมไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้ผมได้คำตอบจากคุณหยาแล้ว”
หมันหยาชะงัก มองหน้าสรคมณ์อย่างมืดแปดด้าน “แล้วคำตอบของฉันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยล่ะคะ?”
“เกี่ยวสิครับ เกี่ยวมากด้วย เพราะถ้าพี่ชาติกับคุณหยากำลังคบหาดูใจกันอยู่ ผมก็จะอยู่ห่างๆจากคุณหยา พี่ชาติเป็นรุ่นพี่ที่ผมทั้งรักและนับถือ ผมไม่มีวันจะหักหลังหรือทำร้ายจิตใจเขาได้ แต่ตอนนี้เมื่อผมรู้แล้วจากปากของคุณหยาเองว่าไม่มีอะไร ผมก็จะขออนุญาตคุณหยาตรงนี้และเดี๋ยวนี้เลยนะครับ ว่าแต่คุณหยาจะกรุณาอนุญาตไหมครับ."
หญิงสาวที่กำลังฟังคำพูดของเขาอยู่ทำหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าเขาจะขอให้เธออนุญาตเรื่องอะไร
"เอ๊ะ..คุณจะมาขออนุญาตเรื่องอะไรคะ คุณอยากจะทำอะไรก็ทำไปสิคะ ไม่ต้องมาบอกหรือขออนุญาตฉันหรือใครหรอก ทุกคนมีสิทธิจะทำสิ่งที่อยากทำด้วยกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือคะ"
ชายหนุ่มมาดเซอร์ในสายตาของหมันหยายิ้มกว้าง ทำหน้าเจ้าเล่ห์ ประกายตาระยิบระยับวับวิบ
"ขอบคุณมากนะครับ คุณหยา เอาเป็นว่าคุณหยาอนุญาตผมแล้วนะครับ"
"ค่ะ จะว่ายังงั้นก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของคุณ ไม่เกี่ยวกับฉัน ว่าแต่คุณขออนุญาตเรื่องอะไรคะ เป็นความลับที่บอกใครไม่ได้หรือเปล่า"
"ไม่ลับหรอกครับ ความจริงถ้าคุณหยาไม่ขัดข้องผมก็อยากจะป่าวประกาศให้รู้กันไปทั่วเสียด้วยซ้ำ"
ยิ้มของสรคมณ์ดูมีเลศนัยชอบกลทำให้หมันหยาต้องถามต่อด้วยความสงสัย "แหม..ถึงขนาดจะป่าวประกาศเชียวหรือคะ ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ บอกได้ไหมคะ"
"ยังไงผมก็ต้องบอกคุณหยาเป็นคนแรกอยู่แล้วละครับ แต่เมื่อกี้คุณหยาอนุญาตผมแล้วนะครับ คงไม่เปลี่ยนใจเลิกอนุญาตใช่ไหมครับ"
หมันหยาพยักหน้ารับโดยดี "ค่ะ ไม่เปลี่ยนใจหรอก เรื่องของคุณไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันนี่คะ อีกอย่างฉันก็ไม่ใช่คนโลเลพูดกลับไปกลับมา"
"ผมกับคุณหยาเหมือนกันเปี๊ยบเลยครับ ลงได้ให้สัญญาไว้กับใครหรือปักใจจะทำอะไรแล้วไม่มีทางจะเปลี่ยนใจง่ายๆ" " ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม นัยน์ตาแวววับ "งั้นผมบอกคุณหยาเลยนะครับว่าผมขออนุญาตเรื่องอะไร ฟังดีดีนะครับ"
ชายหนุ่มนิ่งไปนิดหนึ่ง มองหน้าหมันหยาแน่วแน่ด้วยแววตาที่คมกริบ ก่อนจะพูดด้วยเสียงและความหมายที่ชัดเจนจนหมันหยาต้องสะดุ้งวาบด้วยความตกใจคาดไม่ถึง หน้าของเธอร้อนวูบ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนั้นก็มีเพียงลุกจากชิงช้าวิ่งพรวดพราดออกไปทันที แม้ถนอมนวลที่เดินสวนมาจะทักอย่างแปลกใจกับสีหน้าซีดเผือดและท่าทางรีบร้อนเหมือนหนีใครมาของเธอ หญิงสาวก็ไม่ตอบแม้แต่คำเดียว วิ่งถลาต่อไปตามทิศทางที่นำไปสู่บ้านพัก
"ที่ผมขออนุญาตและคุณหยากรุณาอนุญาตแล้วก็คือ...ผมขออนุญาตจีบคุณหยาอย่างเป็นทางการตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ครับผม" นั่นคือคำตอบของสรคมณ์ที่ทำให้หมันหยาต้องวิ่งหนีไปเพราะไม่อาจสบตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นได้อีกต่อไป
greengrass
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ต.ค. 2560, 16:14:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ต.ค. 2560, 20:20:22 น.
จำนวนการเข้าชม : 1007
<< ตอนที่ 8 ใกล้เข้ามาอีกนิด |