พรานท่องพนา
นิยายเกี่ยวกับความรักของหนุ่มขี้เล่นกับสาวสวยหัวโบราณ ที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด ทั้งคู่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเพื่อพิสูจน์ความรัก การใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ การไม่เชื่อใจกันและกัน การที่รู้จักกันไม่มากพอ ส่งผลให้ต้องแยกทางร้างกันไป และเมื่อต่างก็มีทิฐิ ทำให้การจะกลับมาเดินร่วมทางกันใหม่ทำได้ไม่ง่ายนัก
Tags: พระเอกเป็นตำรวจตระเวนชายแดน นางเอกเป็นไฮโซหัวโบราณ

ตอน: ตอนที่ 8 ใกล้เข้ามาอีกนิด

เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อหมันหยาและถนอมนวลขนกระเป๋าเดินทางใบย่อม ลงมาใส่รถตู้ที่จอดรออยู่หน้าโรงแรม สองสาวก็พบสรคมณ์ในเครื่องแบบชุดพรางแขนยาวพับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก กำลังยืนคุยอยู่กับคุณเสาวณีย์หัวหน้าของพวกเธอ และหัวหน้าสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอขุขันธ์ชื่อวิชัย ที่จะเดินทางเข้าไปตามหมู่บ้านต่างๆด้วยกัน หมันหยาอดสังเกตเห็นไม่ได้ว่าชายหนุ่มผู้นั้น สนทนาโต้ตอบกับคุณเสาวณีย์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่กว่าหลายปี ด้วยสีหน้าท่าทางที่สุภาพ ไม่มีรอยกริ่มในแววตาเหมือนที่เคยเห็น แต่แล้วเมื่อเขาหันมาเห็นและสบตาเธอ ตาคู่นั้นก็มีรอยยิ้มซ่านขึ้นมาทันที หญิงสาวหลบตาเขาโดยอัตโนมัติ ก่อนจะรีบชวนถนอมนวลให้ขึ้นไปนั่งในรถตู้ ที่มีเพื่อนร่วมงานหลายคนคนนั่งรออยู่แล้ว


อีกสิบนาทีต่อมาหมันหยาซึ่งนั่งอยู่ในที่นั่งริมหน้าต่างรถ เห็นสรคมณ์เดินผละไปจากตรงที่ยืนคุยอยู่กับคุณเสาวณีย์และวิชัย เธอไม่รู้ว่าเขาไปไหน แต่เห็นหัวหน้าของเธอเดินมาขึ้นรถตู้คันที่เธอนั่งอยู่ โดยมีวิชัยเดินตามมาด้วย หนุ่มใหญ่หัวหน้าสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอฯ เปิดประตูรถด้านหน้าขึ้นไปนั่งคู่กับคนขับ เมื่อพร้อมแล้วอีกสองสามนาทีต่อมารถตู้ก็เริ่มออกเดินทาง


หลังจากที่รถวิ่งไปตามถนนสายเล็กๆที่คดเคี้ยววกเวียนได้ครู่ใหญ่ ถนอมนวลซึ่งนั่งอยู่ติดกันก็สะกิดบอกหมันหยา ให้ดูรถปิกอัพสีดำที่วิ่งแซงจากด้านหลังขึ้นไปอยู่ข้างหน้ารถตู้

“หยาเห็นปิกอัพคันนั้นไหม มีพวกตชด.นั่งกันอยู่เต็มเลย ดูเหมือนคุณสรคมณ์จะนั่งข้างหน้าคู่กับคนขับนะ”

หมันหยามองไปที่ปิกอัพคันที่เพื่อนชี้ให้ดู ตอนนี้รถคันนั้นแล่นห่างทิ้งระยะออกไปพอสมควร ในลักษณะเหมือนนำทาง

“เขาจะไปไหนกันน่ะ” ถนอมนวลถามลอยๆ
“คงจะกลับไปที่หมวดฯ ของเขาละมัง “ หมันหยาตอบอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา “คุณสรคมณ์เขาอบรมจบแล้วนี่ จะมาอยู่ทำไมในอำเภอนี้ล่ะ”

“แต่เราว่าพวกเขามีอาวุธด้วยนะ เราหมายถึงปืนน่ะ หรือจะออกไปลาดตระเวน”

หมันหยาหัวเระขำเพื่อน “แหม เชี่ยวชาญจังนะ สมเป็นสูกสาวตำรวจจริงๆ รู้ด้วยว่าเขาจะไปทำอะไรกัน”

“อย่าลืมสิว่าพ่อฉันก่อนจะไปเป็นครูฝึก เคยทำงานแถวชายแดนมาหลายปี ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะ” ถนอมนวลนิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่งก็พูดต่อเหมือนรำพึงกับตัวเอง “หรือว่านอกจากช่วยนำทางแล้ว เขาอาจจะมาทหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้พวกเราก็ได้ จริงไหม? ไม่งั้นจะพกปืนกันมาทำไมมากมาย”

“ดูแลความปลอดภัย” หมันหยาทำหน้านิ่ว “หมายความว่าไอ้ที่ๆเรากำลังจะไปไม่ปลอดภัยงั้นหรือ”

ถนอมนวลไม่ตอบ แต่ชะโงกหน้าไปถามคุณเสาวณีย์ที่นั่งอยู่ข้างหน้าด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน

“พี่ณีย์ขา พวกตชด.ในรถปิกอัพนั่นเขาจะไปกับพวกเราด้วยหรือคะ”
“จ้ะ เขาจะไปด้วย ไปอยู่กับพวกเราจนกลับเลย”


“ทำไมต้องพกอาวุธไปด้วยล่ะคะ พี่ณีย์” ถนอมนวลถือเอาความสนิทส่วนตัวถามต่อไป “มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณนวล เพียงแต่หมู่บ้านที่เราจะไปเนี่ยอยู่ติดพรมแดน แล้วก็อยู่ในเขตรับผิดชอบของหมวดของคุณสรคมณ์ พวกตชด.เขาคุ้นเคยพื้นที่และรู้จักชาวบ้านแถวนั้นมากกว่าเรา เขาก็เลยไปด้วย ไปช่วยอำนวยความสะดวกให้เราในฐานะเจ้าถิ่น” วิชัยซึ่งนั่งอยู่ข้างคนขับเป็นคนตอบ

“กลัวอะไรกัน นวล หยา” คุณเสาวณีย์หันมาถาม “เขาก็แค่มาช่วยอำนวยความสะดวกให้งานของเราราบรื่นเท่านั้น”

“ขอบคุณค่ะพี่ณีย์ ขอบคุณนะคะพี่วิชัยที่ช่วยตอบให้น้องๆสบายใจ แหม..ตอนแรกหนูนึกว่าจะมีโจรมาคอยดักจี้รถซะอีก” ถนอมนวลพูดเจื้อยแจ้ว

รถตู้แล่นตามหลังรถปิกอัพของตำรวจชายแดนไปเรื่อยๆ วกวนไปมาบนถนนดินแดงแคบๆเป็นหลุมเป็นบ่อ ที่สองข้างทางเป็นป่าโปร่งๆบ้าง นาข้าวเขียวขจีที่ต้นข้าวกำลังออกรวงบ้าง นานๆจึงจะผ่านหมู่บ้านเล็กๆสักแห่งหนึ่ง พื้นที่บางตอนเป็นเนินสูงๆต่ำๆ หลังจากเดินทางกันมาประมาณสองชั่วโมง ในที่สุดรถสองคันที่วิ่งตามกันมาก็จอดลงตรงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง


ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ที่คงจะยืนคอยอยู่นานแล้ว เดินเข้าไปทักทายสรคมณ์ ที่กระโดดลงจากรถทันทีที่รถปิกอัพจอดลงตรงลานกลางหมู่บ้าน หมันหยาเห็นเขาทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนิทสนมด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เดาได้ไม่ยากว่าตงเคยรู้จักหรือพบปะกันมาก่อน สองสามนาทีต่อมาสรคมณ์ก็เดินนำหน้าพาชายผู้นั้นเข้ามาแนะนำ ให้รู้จักกับคุณเสาวณีย์และทีมงานนักพัฒนาชุมชน โดยแนะนำชายผู้นั้นว่าเป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านแห่งนั้น หลังจากทักทายและแนะนำตัวกันครู่หนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านก็พาผู้มาเยือนเข้าไปในบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูง หลังคามุงด้วยสังกะสี ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันสองหลังซึ่งอยู่ติดกัน โดยผู้หญิงและผู้ชายจะแยกกันพักคนละหลัง


“แล้วนี่คุณสรคมณ์กับพวกลูกน้องจะพักกับพวกเราหรือเปล่า” คุณเสาวณีย์ถามสรคมณ์ที่เดินตามเข้ามาในบ้าน
“ไม่หรอกครับ พวกผมมีที่พักต่างหาก เชิญพวกพี่พักผ่อนกันตามสบายเถิดครับ” ชายหนุ่มตอบแล้วถามต่อว่า “ วันนี้จะมีการอบรมหรือเปล่าครับ”
“มีค่ะ แต่จะเป็นช่วงบ่าย ตอนนี้ก็คงแค่เตรียมงานเท่านั้น”
“ผมเตรียมคนที่จะเข้ารับการอบรมบ่ายนี้ไว้พร้อมแล้วนะครับ” ผู้ใหญ่บ้านรายงานหัวหน้าทีมพัฒนาชุมชน
“ที่ประชุมล่ะคะ ผู้ใหญ่ฯจัดให้ที่ไหน” คุณเสาวณีย์ซัก เพราะรู้อยู่แล้วว่าหมู่บ้านแถบชายแดนห่างไกลอำเภอขนาดนี้ ไม่มีห้องประชุมเหมือนในตัวอำเภอ
“จัดเตรียมไว้แล้วครับ ตกลงกันว่าจะใช้ศาลาหมู่บ้าน จุคนได้ประมาณสามสิบคน พวกชาวบ้านมาช่วยกันทำความสะอาด จัดเก้าอี้เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว"
“งั้นพี่ว่าเดี๋ยวเอาของเก็บแล้วเราไปดูกันดีกว่านะ คุณวิชัย เผื่อมีอะไรขาดเหลือจะได้จัดการเสียก่อน จะได้ไม่ขลุกขลัก นี่ก็เพิ่งสิบโมงกว่าเอง ยังมีเวลาอีกเกือบสามชั่วโมง”
“ตอนเที่ยงเชิญทานอาหารกลางวันที่บ้านผมนะครับ”

ประโยคนั้นเป็นของผู้ใหญ่บ้านผิวดำเกรียม ที่หมันหยเดาเอาเองว่าคงมีเชื้อสายเขมรอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง เธอรู้มาก่อนแล้วว่าศรีสะเกษมีคนไทยเชื้อสายเขมร ลาวและจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่อพยพเข้ามา หรือไม่ก็แพ้สงครามและถูกกวาดต้อนเข้ามาตั้งรกรากอยู่แถวนี้ เช่นคนลาวในสมัยสงครามระหว่างสยามกับเวียงจันทน์ของเจ้าอนุวงศ์ ซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้งในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินและสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์

“ไหวมั้ย หยา”

ถนอมนวลถามเพื่อน เมื่อเห็นหมันหยามองโถส้วมแบบส้วมซึมที่ต้องนั่งยอง ที่แม้จะสะอาดพอสมควร แต่ก็ดูเก่าคร่ำมะคร่าและมีรอยแตกร้าวหลายจุด ฝาผนังครึ่งไม้ครึ่งปูนก็มีราสีดำขึ้นเป็นหย่อมๆ ส้วมหลังนี้ตั้งอยู่ใต้ถุนบ้านติดกับห้องอาบน้ำเล็กๆ ที่มีถังปูนบรรจุน้ำสีคล้ำๆ พื้นปูนก็มีรอยแตกระแหงไปทั่ว

หมันหยาเห็นสภาพห้องน้ำห้องส้วมแล้วก็อยากจะถอนใจอย่างอึดอัด แต่ก็รู้ว่าไม่มีทางเลือก จะหวังให้หมู่บ้านติดชายแดน มีอุปกรณ์อำนวยความะดวกพร้อมพรั่ง เหมือนที่บ้านของเธอคงเป็นไปไม่ได้ อุตส่าห์มีที่ให้ทำกิจส่วนตัวได้ตั้งแค่นี้ก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว เท่าที่เธอเคยรู้มา ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีห้องน้ำห้องส้วมอยู่ในบ้านด้วยซ้ำ ต้องไปถ่ายทุกข์ในป่าหรือใช้ส้วมหลุม ที่มีเพียงแผ่นไม้กระดานปิดปากหลุมเอาไว้ ของเสียในหลุมก็จะถูกนำไปหมักเป็นปุ๋ยหรือนำไปเลี้ยงหมู


ไม่ไกลจากหมู่บ้านเท่าไหร่มีลำห้วยเล็กๆไหลผ่าน แต่การจะเดินไปเดินกลับเพื่อตักน้ำมาอาบมาใช้แต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงมักจะอาศัยน้ำจากบ่อน้ำบาดาลสองบ่อกลางหมู่บ้าน ซึ่งในช่วงฤดูร้อนที่พื้นดินแห้งแล้งจนแตกระแหง ปริมาณน้ำในบ่อเหล่านี้ก็จะน้อยลง แม้แต่น้ำที่ใช้ดื่มกินกันอยู่ก็มีเพียงน้ำฝนที่รองเก็บใส่ตุ่มเอาไว้เท่านั้น สำหรับน้ำดื่มของพวกเธอคงตัดปัญหาเรื่องความไม่สะอาดหรือการปนเปื้อนไปได้ เพราะทีมงานของวิชัยได้จัดเตรียมเสบียงอาหาร และน้ำขวดสำหรับดื่มมาพรั่งพร้อมแล้วก่อนการเดินทาง

“ก็โอเคนะ นวล บางอย่างเลือกไม่ได้ก็คงต้องทำใจ”

ถนอมนวลมองเพื่อนอย่างเข้าใจ เธอเคยไปบ้านหมันหยา ได้เห็นสภาพความเป็นอยู่และหลักฐานบ้านช่องที่หรูหราโอ่อ่ามาแล้ว ยังเคยแอบคิดเล่นๆว่าหมันหยาไม่น่าจะมาเป็นข้าราชการในกรมการพัฒนาขุมชนให้ต้องเหนื่อยยากตรากตรำเลย เพราะส่วนใหญ่จะต้องออกไปทำงานภาคสนามในต่างจังหวัด ที่บางแห่งก็เป็นพื้นที่แห้งแล้งทุรกันดาร ถนอมนวลเคยถามหมันหยาเรื่องนี้และได้รับคำตอบว่ามารดาของเธออยากให้รับราชการ ไม่ได้คาดคิดว่าจะเป็นกรมการพัฒนาขุมชน แต่เมื่อสอบผ่านเข้ามาได้แล้วก็คงต้องทำต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเบื่อแล้วลาออกไปช่วยบิดาทำงาน หรือไม่ก็หาทางโยกย้ายไปหน่วยงานราชการอื่น


หลังเสร็จงานบรรยายในตอนเย็น ผู้ใหญ่บ้านสมพรก็จัดอาหารมาเลี้ยงคณะเจ้าหน้าที่อีกมื้อหนึ่ง เป็นอาหารพื้นบ้านอีสานล้วนๆ ตั้งแต่ส้มตำมะละกอใส่ปลาร้า ก้อย ต้มแซบและอื่นๆ ไม่เว้นแม้แต่ลาบเลือดที่หมันหยาไม่ยอมแตะแม้แต่คำเดียว มื้อนี้สรคมณ์มาร่วมรับประทานด้วย ตามคำเชิญของคุณเสาวณีย์ผู้มีอาวุโสสูงสุด

“คุณหยาไม่ลองชิมลาบเลือดสักคำหรือครับ?”

ชายหนุ่มถามหมันหยาเมื่อเห็นเธอมองถนอมนวล ที่กำลังตักลาบเลือดเข้าปากด้วยท่าทางเอร็จอร่อย อย่างกระอักกระอ่วน
“ไม่ละค่ะ” หมันหยารีบปฏิเสธ “ฉันทานไม่เป็น”
“อร่อยนะครับ ลาบเลือดนี่เป็นของอร่อยของคนอีสาน คุณนวลท่าจะชอบ”
“แม่นแล้ว คุณคมณ์ “ถนอมนวลซึ่งมีอาหารเต็มปาก หันมาพะยักเพยิดกับเขา “อร่อยจริงๆ ฉันชอบมากเลย หยาน่าจะลองชิมสักหน่อยนะ ไม่ลองก็ไม่รู้ จริงไหม?”
หมันหยาทำหน้าสยดสยอง ไม่ยอมเหลือบแลไปที่อาหารจานนั้นเลย
“นวลก็รู้นี่ว่าฉันไม่ชอบอาหารสุกๆดิบๆ”

ความจริงถ้าไม่เกรงใจคนอื่นๆอีกหลายคนที่นั่งร่วมวงอยู่ด้วย หมันหยาคงพูดต่อไปแล้วว่ากลัวไข่พยาธิ ที่เธอคิดว่าน่าจะมีปะปนอยู่ในลาบเลือดจานนั้น

"ปลาร้าล่ะครับ คุณหยา ทานได้ไหม?" สรคมณ์ถามยิ้มๆ
"ทานได้ค่ะ" หมันหยาจำเป็นต้องตอบตามมารยาท
"แต่ผมไม่เห็นคุณหยาทานส้มตำเลยนี่ครับ"

'เอ๊ะ อีตาบ้านี่มาตั้งหน้าตั้งตาซักไซ้รสนิยมการกินอาหารของคนอื่นอยู่ได้ ตัวเองอยากจะกินอะไรก็กินๆเข้าไปสิ' หมันหยาคิดอย่างเคืองๆ เพราะกลัวว่าคนอื่นๆที่นั่งร่วมวงอยู่ด้วยจะนึกว่าเธอเรื่องมาก ประเภทไอ้โน่นก็กินไม่เป็น ไอ้นี่ก็ไม่อร่อย

"แล้วส้มตำกับปลาร้านั่นมันเกี่ยวกันตรงไหนไม่ทราบ" หญิงสาวเสียงแข็งขึ้นมาหน่อย เมื่อเห็นใครต่อใครหันมามองเธอยิ้มๆ เธอไม่ชอบเป็นจุดสนใจของใคร

ชายหนุ่มยิ้มกว้าง "ผมกำลังจะบอกคุณหยาว่าส้มตำตรงหน้าคุณหยาน่ะใส่ปลาร้าด้วย ถ้าคุณหยาชอบปลาร้า ทำไมไม่ลองชิมส้มตำบ้างล่ะครับ"

หมันหยาเหลือบมองส้มตำจานที่เขาว่าแวบหนึ่ง "ฉันแค่กินปลาร้าได้ ไม่ถึงกับชอบ ถ้าคุณชอบมากนักก็กินเองสิคะ"

อีกฝ่ายอมยิ้มกับท่าทางของเธอ บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากจะยั่วสาวน้อยหน้าตาน่ารักคนนี้นัก หรือว่าเขาจะชอบดูท่าอายแกมโกรธของเธอ

"ผมอิ่มแล้วละครับ" พูดจบเขาก็ตักส้มตำที่ว่าใส่ลงให้ในจานของหมันหยา "ลองชิมสักคำนะครับ คุณหยา ไม่งั้นผู้ใหญ่ฯอาจจะเข้าใจผิด คิดว่าคุณหยารังเกียจอาหารแบบชาวป่าชาวเขา ที่เขาอุตส่าห์ทำมาให้นะครับ"

หมันหยามองส้มตำในจานของเธออย่างอึดอัด ที่เธอไม่กล้ากินก็เพราะไม่แน่ใจว่าปลาร้าที่ปนอยู่ในส้มตำเป็นปลาร้าดิบหรือสุก เธอไม่เคยกินปลาร้าดิบ กลัวว่านอกจากจะไม่สะอาดแล้วยังอาจจะมีหนอน หรือตัวอะไรที่น่าขยะแขยงถูกหมักรวมอยู่ด้วย แต่เมื่อได้ยินข้ออ้างของสรคมณ์และเห็นผู้ใหญ่บ้านคนนั้นหันมามองเธอ หมันหยาก็จำเป็นจำใจต้องตักส้มตำเข้าปาก ส้มตำที่รสจัดและเผ็ดจัดคำนั้นทำให้ริมฝีปากของเธอแดงก่ำขึ้นมาทันที ทั้งแสบทั้งร้อน สรคมณ์ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆรีบส่งแก้วน้ำให้ แต่หมันหยาไม่รับ เธอรีบขอตัวลุกออกจากวง นึกโมโหผู้ชายหน้าหนวดกวนประสาทคนนั้นขึ้นมาอีกแล้ว ดูเขาตั้งหน้าตั้งตาจะทำให้เธอโกรธ แล้วเธอก็โกรธอย่างที่เขาคงต้องการได้ทุกครั้งสิน่า คนบ้า! สงสัยคงว่างมากไม่มีอะไรจะทำจนต้องมาคอยหาเรื่องแกล้งคนอื่นแบบนี้


คืนนั้นหมันหยาเข้านอนในมุ้งเดียวกับถนอมนวลตั้งแต่หัวค่ำ หลับๆตื่นๆพลิกไปพลิกมา เพราะไม่เคยชินกับการนอนในมุ้งสีขาวขมุกขมัวที่มีกลิ่นอับๆ ขณะที่เพื่อนของเธอหลับไปนานแล้ว หญิงสาวซึ่งดื่มน้ำเข้าไปหลายแก้วเมื่อตอนเย็น เพราะไม่คุ้นชินกับอาหารพื้นเมืองรสเผ็ดจัด รู้สึกอยากจะไปห้องน้ำแต่ก็ยังลังเลอยู่เพราะกลัวความมืดข้างนอก เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้ยังไม่มีไฟฟ้าเข้ามาถึง ชาวบ้านจึงยังต้องอาศัยแสงสว่างจากตะเกียง แต่ขณะนี้ทุกหนทุกแห่งมืดมิดเพราะตะเกียงเกือบทุกดวงในบ้านแต่ละหลัง ที่ปลูกอยู่ห่างๆกันถูกดับไปหมดแล้ว หมันหยาอยากจะปลุกถนอมนวลให้ตื่นลงไปเป็นเพื่อนเข้าห้องน้ำที่อยู่ใต้ถุนบ้าน แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจ รู้ว่าเพื่อนคนนี้ของเธอ ลงได้หลับไปแล้วก็ยากที่จะปลุกให้ตื่นได้ ถนอมนวลเป็นคนที่หลับง่ายแต่ตื่นยาก


หมันหยาลังเลอยู่ครู่ใหญ่ เธอนึกหวาดความมืดและความเงียบรอบตัว จนไม่คิดจะเดินลงไปเข้าห้องน้ำคนเดียว แต่เมื่อธรรมชาติเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ จนทนไม่ได้อีกต่อไป หญิงสาวก็หยิบไฟฉายดวงจิ๋วที่เอาติดตัวมาด้วย ที่วางอยู่ข้างหมอนที่หนุนอยู่มากดสวิชต์เปิด อาศัยลำแสงน้อยๆจากไฟฉายเปิดประตูห้อง ค่อยๆไต่บันไดที่สูงชันลงไปยังพื้นปูนเบื้องล่าง เมื่อลงจากบันไดมาได้ หญิงสาวก็มองไปรอบตัวที่มีแต่ความมืดและความเงียบอย่างหวาดหวั่น บนท้องฟ้ามีเพียงดวงจันทร์ข้างแรมเสี้ยวเล็กๆซีดๆ ลอยคว้างอยู่ลิบๆ อากาศเย็นเฉียบผิดกับตอนกลางวันที่ร้อนจัด ซึ่งเธอรู้ว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับแผ่นดินอีสาน ที่อุณหภูมิระหว่างกลางวันกับกลางคืนจะแตกต่างกันลิบลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่อยู่ใกล้กับเทือกเขาเช่นหมู่บ้านแถบนี้

หมันหยาเดินตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ตรงมุมลึกสุดอย่างรีบร้อน โดยพยายามบังคับสายตาไม่ให้หันไปมองบริเวณที่ไกลออกไปจากตัวบ้าน ที่มีต้นไม่ใหญ่น้อยมืดทะมึนขึ้นอยู่เป็นหย่อมๆ หลังออกจากห้องน้ำได้ด้วยความโล่งใจ หญิงสาวก็รีบเร่งสาวเท้าก้าวขึ้นบันได เพื่อกลับไปถึงห้องโดยเร็วที่สุด และความเร่งรีบจนเกินไปนี่เองที่ทำให้เธอสะดุดอะไรอย่างหนึ่งตรงบันไดขั้นที่สาม แรงสะดุดทำให้หญิงสาวผงะหงายหมุนคว้าง ไฟฉายในมือหลุดกระเด็นหายไปในความมืด ร่างของหมันหยากลิ้งลงมานอนหมอบอยู่ตรงตีนบันได

“โอ๊ย!!” หมันหยาร้องออกมาด้วยความเจ็บและตกใจ

ทันใดนั้น ร่างดำทะมึนร่างหนึ่งก็วิ่งพรวดจากด้านนอกของตัวบ้านตรงรี่เข้ามา แสงจ้าจากไฟฉายกระบอกใหญ่ในมือของใครคนนั้นส่องปราดมาที่ตัวเธอ

“อ้าว! คุณหยา!” เป็นเสียงอุทานอย่างแปลกใจแกมตกใจของสรคมณ์
ชายหนุ่มวางปืนยาวที่ถืออยู่ในมือข้างหนึ่งลงบนพื้นข้างตัว ขณะทรุดกายลงนั่งข้างๆเธอ
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ คุณหยา เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า”
หมันหยายันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่พอเธอพยายามจะยืนขึ้นก็ต้องเซถลา รู้สึกเจ็บแปลบตรงข้อเท้าข้างหนึ่ง จนต้องนั่งลงไปบนพื้นตามเดิม
“เจ็บข้อเท้าหรือครับ?”
หญิงสาวพยักหน้า “ค่ะ”
“เจ็บมากไหมครับ”

เธอพยักหน้ารับอีก ตอนนี้เมื่อหายตกใจแล้วหมันหยาก็เริ่มรู้สึกอับอายที่ทำเหมือนคนซุ่มซ่าม ขึ้นบันไดได้แค่สามสี่ขั้นก็พลัดตกลงมาเสียแล้ว

สรคมณ์มีสีหน้ากังวลกับอาการของหมันหยา แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าถ้าเขาจะประคองเธอให้ลุกขึ้น เพื่อหาว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง เธอจะคิดว่าเขาหาทางจะถูกเนื้อต้องตัวเธอหรือเปล่า ชายหนุ่มพอจะดูออกว่าหมันหยาเป็นผู้หญิงที่ถือตัว ไม่สนิทสนมหรือยอมให้ใครเข้ามาใกล้ชิดได้ง่ายๆ

“คุณหยาลงมาทำอะไรข้างล่างดึกๆดื่นๆ นี่ก็ตีสามแล้ว”
หญิงสาวอึกอักก่อนจะบอกเขาไม่เต็มเสียงว่า “เอ้อ..ฉันลงมาห้องน้ำน่ะค่ะ”
“ทำไมไม่ชวนคุณนวลลงมาเป็นเพื่อนล่ะครับ”
“เห็นนวลเขากำลังหลับสบายเลยไม่อยากปลุก”
เธอไม่คิดจะฉีกหน้าเพื่อนด้วยการบอกเขาหรอก ว่าถนอมนวลเป็นคนนอนขี้เซา
“แล้วทำไมไม่เอาไฟฉายมาด้วยล่ะครับ ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ตะเกียงก็ดับหมดแล้ว”
“เอามาค่ะ แต่ไม่รู้กระเด็นไปไหนตอนที่ฉันสะดุดบันไดลงมา”

สรคมณ์นิ่งชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับหมันหยาว่า “ตรงโน้นมีแคร่ไม้ไผ่ ผมอยากจะขออนุญาตพยุงคุณหยาไปนั่งพักก่อน ได้ไหมครับ ตอนนี้คุณหยาเจ็บขา คงยังขึ้นบันไดไม่ได้ อีกอย่างผมก็อยากจะดูด้วยว่าข้อเท้าคุณหยาเป็นอะไรมากหรือเปล่า”

หมันหยาพยักหน้ายินยอมโดยดี ไม่ทันคิดอะไรมากมายเหมือนที่ชอบคิด เธอเดินลากขาโขยกเขยกเกาะแขนชายหนุ่มผู้นั้น ตามการประคับประคองของลำแขนแข็งแรงที่โอบหลวมๆอยู่รอบเอวเล็กๆของเธอ ไปนั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำ ตลอดเวลาดังกล่าวไฟฉายในมือของสรคมณ์เปิดอยู่ พอส่งร่างของหมันหยาให้นั่งลงบนแคร่ได้ ชกยหนุ่มก็ก้มลงดูข้อเท้าข้างที่หมันหยาบอกว่าเจ็บ

“ขอโทษนะครับ คุณหยา ขอผมลองกดข้อเท้าข้างนี้ดูหน่อยนะครับ”

หมันหยารู้สึกแปลกใจกับความสุภาพของเขาที่เอ่ยปากขออนุญาต และยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก เมื่อมือของเขาที่กดลงไปบริเวณข้อเท้าของเธอเต็มไปด้วยความนุ่มนวลและระมัดระวัง

“ข้อเท้าคุณหยาคงไม่ถึงกับหักหรือร้าว อาจจะแค่แพลงเท่านั้น มีแผลถลอกเล็กน้อยด้วย”
สรคมณ์ปล่อยมือจากข้อเท้าขาวผ่องที่ตอนนี้มีรอยช้ำ ที่คงจะเกิดขึ้นจากการกระแทกกับขั้นบันไดตอนที่พลัดตกลงมา
“คุณหยาอยู่คนเดียวสักครู่ได้ไหมครับ?”
“คุณสรคมณ์จะกลับแล้วหรือคะ?”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองสรคมณ์อย่างสงสัย ว่าใจคอเขาจะปล่อยให้เธอนั่งอยู่คนเดียวมืดๆอย่างนั้นจนสว่าง หรือจนกว่าจะหายเจ็บขาพอที่จะขึ้นบันไดไปข้างบนหรืออย่างไร

“ผมจะไปเอายามาทาให้คุณหยาน่ะครับ”
พอเห็นเขาทำท่าจะผละไป หมันหยาก็รีบซักด้วยความข้องใจทันที
“เอ้อ...ตอนที่ฉันตกบันได คุณสรคมณ์บังเอิญอยู่แถวนี้หรือคะ?”
“ครับ ผมเดินอยู่แถวนี้พอดี ได้ยินเสียงร้องเลยวิ่งเข้ามา”
“ดึกดื่นป่านนี้คุณสรคมณ์มาทำอะไรอยู่แถวนี้คะ หรือว่ามาเดินเล่น”
“เปล่าตรับ ไม่ได้มาเดินเล่น”
“มีภารกิจแถวนี้หรือคะ?”
สรคมณ์อมยิ้ม รู้สึกเหมือนเธอกำลังไล่ต้อนเขา “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”

หมันหยาเหลือบมองปืนยาวที่เขาถือติดมือมาด้วย ตอนที่พยุงเธอมาที่แคร่ ก่อนจะวางมันลงบนแคร่เพื่อตรวจดูข้อเท้าของเธอ และตอนนี้เขาหยิบมันขึ้นมาถือไว้อีกครั้งหนึ่ง

“ทำไมคุณสรคมณ์ต้องถือปืนออกมาเดินท่อมๆแบบนี้ด้วยล่ะคะ หรือว่าที่นี่มีอันตราย ฉันกับนวลเห็นปืนหลายกระบอกในรถปิกอัพของคุณด้วย”

ชายหนุ่มอึ้งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะบอกเธอด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า”ไม่มีอันตรายอะไรหรอกครับ หมู่บ้านนี้อยู่ติดชายแดนมาก พวกผมก็เลยต้องตามมาดูและอำนวยความสะดวกในการทำงานให้พวกคุณหยา เป็นการประสานงานระหว่างหน่วยงานเท่านั้น คุณหยาไม่ต้องกังวลเรื่องอันตรายอะไรหรอกนะครับ พอทำแผลใส่ยาเสร็จก็ขึ้นไปนอนหลับให้สบาย”

ฟังแล้วหญิงสาวก็ชักใจคอไม่ค่อยดี เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง การพกปืนมาเดินท่อมๆในยามดึกดื่นเช่นนี้ ไม่น่าจะเป็นเพียงการประสานงานหรืออำนวยความสะดวกเท่านั้น เธอคิดว่าน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นที่สรคมณ์ไม่ได้พูดออกมา แต่ถึงจะสงสัยหมันหยาก็ไม่คิดจะซักไซ้ไล่เลียงเขา เพราะตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกปวดข้อเท้ามากขึ้นกว่าเก่า

“งั้นก็เชิญคุณสรคมณ์นะคะ ฉันจะรออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน ไม่แน่..ถ้ารู้สึกปวดน้อยลงพอจะเดินได้ ฉันอาจจะค่อยๆหาทางขึ้นไปข้างบนเอง”
“รอผมก่อนดีกว่าครับ คุณหยา เอาไฟฉายกระบอกนี้ไว้ด้วย จะได้ไม่มืดเกินไป”
สรคมณ์ส่งไฟฉายในมือให้เธอ แต่หญิงสาวไม่รับ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเอาไฟฉายมาด้วย เพียงแต่เอ้อ..สงสัยจะตกอยู่แถวบันไดโน่น”

ชายหนุ่มกราดไฟฉายในมือไปรอบๆ เมื่อเห็นไฟฉายกระบอกน้อยที่ตกอยู่ใต้บันได ก็เดินไปหยิบมาส่งให้หมันหยา ก่อนจะเดินออกไปจากใต้ถุนบ้านหลังนั้น

สรคมณ์กลับมาภายในห้านาทีโดยมีตชด.นายหนึ่ง หิ้วกระเป๋าที่มีเครื่องหมายกากะบาดสีแดงเดินตามมาด้วย หลังจากตรวจข้อเท้าข้างที่ปวดของหมันหยาเรียบร้อยแล้ว ตชด.วัยกลางคนผู้นั้นก็บอกว่ากระดูกข้อเท้าของเธอไม่ได้ร้าวหรือหัก แค่แพลงไปเท่านั้น เมื่อข้อเท้าของหมันหยาได้รับการทายาและใช้ผ้ายืดรัดบริเวณนั้นเอาไว้จนกระชับแน่น เพื่อสะดวกต่อการเดินโดยไม่เจ็บปวดมากนัก ก็เป็นอันเสร็จสิ้นขบวนการปฐมพยาบาล

หมันหยาลองทดสอบด้วยการลุกขึ้นยืนและเดินไปมาช้าๆอยู่สองสามนาที หญิงสาวซึ่งรู้สึกว่าความปวดลดน้อยลง ถอนใจยาวอย่างโล่งอก เพราะพรุ่งนี้เธอจะต้องทำหน้าที่วิทยากรในช่วงเช้าสองชั่วโมง

“ขอบคุณๆ สรคมณ์และคุณคนนี้มากนะคะ ที่ช่วยเหลือฉัน”
“เวลาเดินยังเจ็บอยู่หรือเปล่าครับ”
“ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้วละค่ะ”
“งั้นคุณหยาก็ขึ้นข้างบนได้แล้วละครับ อีกหลายชั่วโมงกว่าจะสว่าง ไปเถิดครับ ผมจะขึ้นไปส่ง” แล้วสรคมณ์ก็หันไปสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาที่ยืนรีรออยู่ว่า “จ่า รอผมอยู่ตรงนี้ก่อน”

ชายหนุ่มเดินตามหลังหมันหยาไปที่บันได ฉายไฟฉายในมือไปตลอดทาง
“ก้าวช้าๆนะครับ คุณหยา ไม่ต้องกลัวตก ผมคอยระวังอยู่ข้างหลังคุณหยาแล้ว”

เมื่อถึงนอกชานเล็กๆเหนือบันไดหน้าประตูห้องที่นอนกับถนอมนวล หมันหยาก็หันมาทางชายหนุ่ม ที่ยืนอยู่บนบันไดขั้นสุดท้ายใกล้ๆเธอ

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ คุณสรคมณ์ กลับไปพักผ่อนได้แล้วละค่ะ”
"ครับ งั้นผมก็ลาคุณหยาตรงนี้เลยนะครับ"
"ค่ะ สวัสดีค่ะ คุณสรคมณ์"


หมันหยาเปิดมุ้งเข้าไปนอนข้างๆถนอมนวลและหลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มผู้กำลังเดินท่อมๆไปในความมืดและความเงียบ รู้สึกขอบใจความบังเอิญที่ทำให้มีโอกาสได้ช่วยเหลือหมันหยา ถ้าเขาไม่ได้เดินมาแถวนี้ในเวลานั้น เธออาจจะต้องนั่งทนเจ็บอยู่คนเดียวตรงตีนบันไดนั่นไปจนสว่างก็ได้ ท่าทางของเธอเท่าที่เห็นก็ไม่น่าจะเป็นคนสมบุกสมบันเหมือนเพื่อนของเธอ หมันหยาดูบอบบางเกินกว่าจะมาทำงานแบบนี้ ถ้าเปรียบผู้หญิงกับตุ๊กตาเธอก็เหมือนตุ๊กตาแก้วเจียรนัยฝีมือดีที่สวยเลอเลิศและราคาสูงลิบ แต่เปราะบางและง่ายต่อการแตกหัก ควรที่จะถูกเก็บอย่างทะนุถนอมไว้ในตู้โชว์ ไม่ใช่ตุ๊กตาชาวเขาที่สวยฉูดฉาดแต่ไม่ต้องการการดูแลมากนัก


ตอนที่ได้ยินเสียงร้องของเธอ เขาและลูกน้องอีกสองคนพร้อมอาวุธครบมือ ผลัดกันเดินไปรอบๆ หมู่บ้านและบริเวณใกล้เคียงมาสองสามชั่วโมงแล้ว เนื่องจากมีข่าวไม่ค่อยดีที่อาจจะนำอันตรายมาสู่คณะผู้มาเยือน และแม้แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ได้ ถ้าเขาประมาท ไม่นำพาต่อข่าวที่ได้รับ แม้หลายครั้งจะเป็นเพียงแค่ข่าวลวงก็ตาม


สิ่งที่ติดอยู่ในใจของหมันหยาตั้งแต่คืนนั้น คือความซาบซึ้งและสำนึกในน้ำใจของสรคมณ์ ที่เข้ามาช่วยเหลือเธอในยามคับขัน ถ้าเขาไม่ได้บังเอิญเดินผ่านมาจนได้ยินเสียงร้องของเธอ เธออาจจะต้องนั่งร้องโอดโอยกับความเจ็บปวดที่ได้รับอยู่คนเดียวใต้ถุนบ้านที่มืดมิดจนรุ่งเช้า หรือจนกว่าขาข้างที่แพลงของเธอจะค่อยยังชั่วพอที่จะพาเธอไต่บันไดสูงชันกลับขึ้นไปข้างบนได้ เมื่อได้พบกันโดยบังเอิญหลายครั้งและมีเหตุให้เข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้น หมันหยาก็เริ่มสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ แม้จะขี้เล่นหรือดูเหมือนหนุ่มเจ้าสำราญมากไปหน่อยในสายตาของเธอ แต่เขาก็มีอีกภาคหนึ่งที่ตรงกันข้ามแอบซ่อนอยู่ ภาคที่แม้จะยังลางเลือนไม่ชัดเจน...แต่ก็น่าค้นหา






greengrass
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ค. 2560, 18:58:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.ค. 2560, 20:44:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1019





<< ตอนที่ 7 รุกคืบ   ตอนที่ 9 หนุ่มเจ้าเล่ห์ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account