เพลิงพญาล่ารัก (ปรับปรุง)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 16
เอาเพลิงพญามาให้อ่านค่ะ
ใครที่ยังไม่ได้อ่าน ตั้งแต่ตอนแรก ก็หาอ่านได้ในเวปนี้นะคะ
ส่วนใครที่อ่านแล้ว ก็อ่านต่อเลยค่ะ
จะลงให้อ่านจนจบ
ตอน 16
รถยนต์ที่วิ่งไปบนเส้นทางที่มุ่งสู่ทางออกจากหุบเขาพญานั้นอยู่ในสายตาของนายแห่งหุบเขากับผู้คุมกฏของคุกทมิฬ ทั้งหมดนั่งอยู่บนหลังม้าที่ยืนอยู่บนหน้าผาสูง ต่างมองรถที่วิ่งไปเรื่อยๆ ไม่นานก็มีสัญญาณจากคนเป็นนายให้แยกย้ายกันไป
นายอธิปนั่งอยู่บนรถที่วิ่งไป สายตามองสองข้างทางเหมือนสนใจแต่ไม่ใช่เลย เขากำลังขบฟันข่มอารมณ์โกรธของตัวเองไว้ ไม่น่าเชื่อว่าลูกที่ว่านอนสอนให้มาตลอด จะเปลี่ยนไปราวกับคนละคนอย่างนี้ เมื่อก่อนแม้ลูกเขาจะเอาแต่ใจ แต่เชื่อฟังและเห็นด้วยกับเขาไปทุกอย่าง ยิ่งถ้าเป็นเรื่องเงินๆทองๆ ก็ยิ่งเป็นลูกไม้ที่หล่นใต้ต้น ได้สายเลือดความอยากมีอยากได้มาจากเขาเต็มๆ แล้วนี่ไอ้ป๊ะเพลิงมันทำอะไรลูกเขา ถึงได้เปลี่ยนไปเหมือนคนละคนยังนี้ มิหนำซ้ำยังบอกให้เขาเลิกทำเสียอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ และไม่รู้ว่าจะไปตอบคำถามนายพลกฤษอย่างไร อุตสาห์ประวิงขอผลัดเปลี่ยนการมาที่นี่ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้มันมันตายใจ แต่มันกลับตลบหลังเขาได้อย่างเจ็บแสนนัก ระยำ!
เขาสบถออกมา แล้วบางอย่างก็ผุดขึ้นมาทิวทัศน์ที่ผ่านตาไปจึงหน้าสนใจ กระทั่ง... “จอดรถ” เขาสั่งลูกน้อง ซึ่งก็รีบทำตามคำสั่งทันที พอรถหยุดนิ่ง เขาก็ลงไปจากรถ กวาดตามองไปรอบบริเวณ จนลูกน้องที่ลงจากรถมายืนอยู่ข้างๆ ถามออกมาอย่างสงสัย
“นายจะทำอะไรครับ”
เขาไม่ตอบแต่เหยียดยิ้มเมื่อพึ่งลูกไม่ได้ เขาก็ต้องพึ่งตัวเอง ไหนก็เข้ามาในหุบเขาพญาแล้ว ก็น่าจะได้อะไรไปฝากนายพลกฤษบ้าง จึงเดินปีนขึ้นไปบนโขดหินที่สูงพอสมควร เพื่อมองหาแหล่งน้ำสีดำ แล้วเขาก็ได้เห็นมีกลุ่มคนกำลังหาบถังน้ำ ซึ่งคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากน้ำสีดำ จึงลงมาเดินนำลูกน้องทั้งสองคนไปตามทิศทางที่เห็น เร่งฝีเท้าเพื่อจะตามให้ทันและได้เห็นทั้งหมด ความโลภแทบจะพุ่งออกมาจากออก หันมาสบตากับลูกน้อง ซึ่งก็ยิ้มให้อย่างรู้ใจนาย แล้ววิ่งตามเพื่อจะทำอย่างที่ใจคิด แต่จู่ๆกลุ่มคนที่ตามมาติดๆก็หายไปจากสายตา
ลูกน้องทั้งสองคนงุนงงไม่ต่างจากคนเป็นนาย “นายครับ พวกมันหายไปได้ยังไง”
“หรือว่าผีหลอก” อีกคนพูดออกมาอย่างกลัวๆ เพราะรอบตัวเงียบสนิท มีแต่ป่าไม้ดูวิเวกยังไงชอบกล
“เหลวไหล” นายอธิปดุลูกน้องออกมา พลางคิดอย่างเจ็บใจที่พวกมันรอดไปได้ แต่จะให้เขาถอยหลังกลับไปมือเปล่านะไม่มีทาง “ค้นหาให้ทั่ว พวกมันต้องอยู่แถวนี้แหละ” เขาบอกแล้วเป็นผู้นำให้ลูกน้องตาม ไม่นานลูกน้องเขาก็ส่งสัญญาณ เขาจึงรีบเดินไปดู แล้วรอยยิ้มอย่างสมใจก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากเขา จึงพยักหน้าให้ลูกน้องจัดการได้
คนงานทั้งห้าคนหยุดกึกอยู่กับที่ เมื่อจู่ๆก็มีคนมาดักหน้าพร้อมอาวุธปืนที่เล็งมาหา ทั้งห้าคนวางหาบลงพลางจับตามองทั้งสามคนที่มายืนขวางอยู่ ขณะที่นายอธิปกับลูกน้องก็ผยองเดินกร่างเข้าไปอย่างกระหยิ่ม และหลุบตามองถังน้ำตรงหน้า แล้วก็ได้เห็นสิ่งที่อยากจะเห็นมานาน น้ำสีดำในถัง หัวใจเขาเต้นแรงก่อนจะยื่นมือไปแตะเพื่อเช็กให้แน่ใจว่าใช่สิ่งที่คิดหรือไม่ แต่คนงานรีบเอาตัวไปขวางไว้ ลูกน้องเขาก็รีบปรี่เข้ามาเอาปืนจ่อหัว จ้องหน้าอย่างเหี้ยมๆ นายอธิปจึงได้สัมผัสกับน้ำสีดำและก็ใช่อย่างที่คิดไว้
“ฮะๆๆๆ” เขาหัวเราะออกมาลั่น แล้วหันมามองหน้าคนงาน ปรับสีหน้าให้กระด้าง บอกด้วยเสียงเหี้ยมๆ “พวกมึงไปขนมาจากไหน พากูไปดูเดี๋ยวนี้” ไม่มีใครตอบออกมาและจ้องหน้าเขาอย่างบอกให้รู้ว่าไม่ทำตามคำสั่งเด็ดขาด “จะลองดีกับกูเหรอ”
“จัดมันเลยไหมนาย” ลูกน้องเขาถามแล้วปลดล็อกจะเตรียมพร้อมจะส่งวิญญาณ
“อย่า เดี๋ยวเสียงดังเรียกพวกมันมา แค่...” นายอธิปพูดค้างไว้ แล้วใช้ปืนในมือตัวเองตบไปที่หน้าไอ้คนที่ยืนขวางอยู่ “ผัวะ” ซ้ำไปซ้ำมา ขณะที่อีกสี่คนก็อยากจะเข้ามาช่วย แต่ปืนที่จ่ออยู่ตรงหน้า ไม่สามารถทำได้อย่างใจคิด ได้แต่สงสารเพื่อน กระทั่งเห็นทรุดลงคุกเข่าตรงหน้าคนทำ แถมยังใช้เท้าเหยียบอกไว้ พร้อมกับถามเสียงเหี้ยม “จะบอกไหม”
“บอกๆแล้ว” เสียงคนงานสั่นออกมาอย่างหวาดกลัว นายอธิปยิ้มอย่างสมใจ
“ดี” ว่าแล้วก็ยกเท้าออกจากอก แล้วกระชากมันขึ้นมา “แต่กูเปลี่ยนใจแล้ว มึงนำทางกูไปดีกว่า” พูดจบก็หันไปมองลูกน้อง “มัดพวกมันไว้ แล้วขนของพวกนี้ไปใส่ท้ายรถ”
“ครับนาย แต่เราน่าจะแก้แค้นให้กับคนของเราที่ตายไปบ้างนะนาย”
นายอธิปเลิกคิ้วขึ้นเพียงนิด ก็ยิ้มออกมาอย่างเห็นด้วย “พวกมึงจะทำยังไง”
ลูกน้องของเขาทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างรู้ใจ แล้วจับคนงานทั้งสี่ไปแขวนคอไว้กับต้นไม้ พอเห็นทั้งหมดดิ้นพราดๆหนีมือมัจจุราชด้วยความทรมานก็พากันหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ และเสียงหัวเราะก็หยุดขวับ เมื่อมีดคมกริบบินมาตัดเถาวัลที่ห้อยคอทั้งสี่คนร่วงลงมากองกับพื้น
สีหน้าทั้งสองคนตื่นตะลึงพร้อมหันปืนไปยังทิศทางที่มีดบินมา และพากันร้อง “โอย โอย” เมื่อมีดบินมาปักเข้าที่หัวไหล่ ปืนร่วงลงพื้นพร้อมการปรากฎตัวของคนที่ทำร้ายพวกมัน ทั้งหมดนั่งอยู่บนหลังม้ามีผ้าสีดำปิดไว้ครึ่งหน้าแววตาฉายความน่ากลัว จนทั้งสองคนถอยไปหาคนเป็นนาย ซึ่งรีบเก็บปืน ปล่อยตัวไอ้คนที่จับไว้เพราะรู้ว่าไอ้พวกที่มานั่นเป็นใคร ถ้าเป็นคนอื่นยังไม่เท่าไร ถ้าเป็นไอ้ป๊ะเพลิงอายุเขาได้สั้นลงแน่ จึงยกมือขึ้นให้ดูว่าไม่ได้ทำอะไร ทุกอย่างแค่ล้อเล่นกันเท่านั้น
“ไม่มีอะไร แค่ล้อเล่นกันนิดหน่อยเท่านั้นเองใช่ไหม” เขาหันไปพยักเพยิดกับลูกน้อง ซึ่งตอนแรกก็ยังงงๆ ก่อนจะรีบพยักหน้าตามอย่างพอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“ใช่ๆ ไม่มีอะไร แค่ล้อเล่นเนอะๆ”
ไม่มีใครเล่นกับพวกมัน สีหน้าแต่ละคนยังเคร่งขรึม และลงจากหลังม้าเดินดาหน้ามายืนอยู่ไม่ห่าง นายอธิปจึงถามอย่างโง่ๆออกไปทั้งที่รู้อยู่แล้ว “พวกแกเป็นใคร”
“เจ้าถิ่น”
คำตอบชวนขนลุก แต่นายอธิปยังทำใจดีสู้เสือ “แถวนี้บรรยากาศดีนะ ฉันนายอธิปมาเยี่ยมลูกสาวพิมพ์ลดา นายหญิงของพวกแกไง ตอนนี้หลงทางนิดหน่อย ก็จะกลับแล้ว”
“กลับเหรอ” เสียงนั้นติดจะเยาะหยัน “คนกับรถอยู่คนละทาง จะกลับยังไง สับปลับสิ้นดี และคนที่เข้ามาในหุบเขาพญา ถ้าเป็นคนดี คงไม่มีสันดานเที่ยวสอดส่องเหมือนโจรอย่างนี้หรอก ที่สำคัญทำร้ายคนของที่นี่ด้วย”
“ก็บอกแล้วไงแค่ล้อเล่น”
“งั้นเราก็ควรจะเล่นด้วยใช่ไหม” น้ำเสียงเย็นๆนั้นทำให้นายอธิปกับลูกน้องหน้าถอดสีและมองตากันเลิ่กลัก แล้วถอยห่างเพื่อจะหนี แต่ช้าไปเสียแล้ว ทั้งหมดโดนควบคุมตัว
พิมพ์ลดายืนใจคอไม่ดีอยู่ในห้องครัวเรือนเชิงผา เพราะเป็นห่วงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ สิ่งที่ได้รับรู้มาทั้งหมดนั้น ทำให้เธอหวั่นกลัว ถ้าป๊ะเพลิงรู้ว่าเขามา ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ลอยนวลออกไปง่ายๆ อาจจะทำอันตรายเขา แม้เธอไม่มีความรู้สึกผูกพัน แต่เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ เธอจะยอมให้เขาถูกทำร้ายได้ไง
แม่นมทั้งสองคนปรายตามองหน้ากันอย่างพอจะรู้ว่าหญิงสาวคิดสิ่งใดอยู่ จึงวางมือจากผักที่กำลังหั่นอยู่ ซึ่งพอดีกับที่พิมพ์ลดาตัดสินใจ มองมาที่ทั้งคู่พอดี
“พิมพ์อยากเจอป๊ะเพลิง นมพอจะรู้ไหมคะว่าเขาอยู่ที่ไหน”
“หนูพิมพ์จะไปพูดเรื่องนายอธิปเหรอ”
พิมพ์ลดาไม่อยากจะตอบ แต่ปิดบังไปก็แค่นั้นจึงยอมรับออกมา “ค่ะ พิมพ์กลัวว่าเขาจะมีอันตราย ป๊ะเพลิงต้องรู้ว่าเขามาที่นี่ จึงอยากไปบอกให้รู้ว่าเขาแค่มาเยี่ยมพิมพ์ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีเลย”
“ถ้าแค่นั้นหนูพิมพ์ไม่ไปก็ได้ เพราะป๊ะเพลิงจะไม่ทำอะไรคนที่ไม่ทำเรื่องไม่ดีเด็ดขาด”
“แต่พิมพ์กลัวว่า...” สีหน้าเธอบอกความไม่แน่ใจ เพราะจากที่ได้คุยกันนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าคนที่ได้ชื่อว่าพ่อ ท่าทางเขาไม่น่าไว้ใจเลย สองนมก็มองตากันอย่างพอจะรู้สันดานของคนเช่นกัน
“ป๊ะเพลิงคงอยู่บนหน้าผา แต่ที่นั้นต้องขี่ม้าขึ้นไป หนูพิมพ์คงไปไม่ได้”
“มีใครพอจะพาพิมพ์ไปได้ไหมคะ” แม่นมทั้งสองคนส่ายหน้า “งั้นพิมพ์จะไปที่คุกทมิฬ” เธอตัดสินใจแล้วเดินออกไปจากห้องครัวทันที นมสดกับนมสุกจะเรียกไว้ก็ไม่ทันแล้ว จึงได้แต่พากันถอนหายใจออกมา และขออย่าให้มีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นมาอีกเลย
ร่างอรชรเดินลิ่วไปที่คุกทมิฬ พลางคิดว่าจะพูดยังไงที่จะให้คนที่นั้นพาเธอไปหาป๊ะเพลิง ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วไป แต่ถ้ามีเธอจะทำยังไง เรื่องราวดีๆของเธอกับเขา จะยังเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนไป ใบหน้างามหม่นด้วยความกังวล และหยุดยืนนิ่งเมื่อเห็นเจ้าพยัตกับนายของมันโผล่มา
“คุณ” เธอยิ้มอย่างดีใจที่เห็นเขา แต่ใบหน้าคมนิ่งจนความกังวลเพิ่มพูนขึ้นมาอีก และร้องออกมาเบาๆ เมื่อเขาควบเจ้าพยัตมาใกล้และคว้าตัวเธอไปนั่งบนหลังมัน พิมพ์ลดาจับขนที่คอมันไว้แน่น ก่อนจะหันมามองหน้าคม “จะไปไหนคะ”
ไม่มีคำตอบนอกจากแรงกระตุ้นให้ม้าวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เธอจึงต้องหลบสายลมด้วยการซบหน้ากับอกเขา กระทั่งเจ้าพยัตพาขึ้นมาถึงหน้าผาสูง เขาก็ลงจากหลังมันแล้วรับตัวเธอลงมายืนข้างๆ เจ้าพยัตเดินห่างไปและเล็มหญ้า ขณะที่นายของมันก็ยกมือขึ้นกอดอกมองเมียมายา
“นายอธิปมาหาเธอทำไม”
“มาเยี่ยมค่ะ” เธอบอกความจริงเพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งเธอต้องเก็บไว้เพราะไม่อยากให้มีความบางหมางใดๆ แต่กลับมีความเหยียดหยันขึ้นในใจเพลิง เมื่อสิ่งที่เขาเห็นกับคำพูดของเธอนั้นมันช่างตรงกันข้ามเสียเหลือเกิน
“แน่ใจว่าแค่นั้น”
“ค่ะ”
คำรับรองที่หนักแน่นทำให้มีคำเยาะหยันออกมา “ที่ผ่านมาฉันคิดว่าเธอเปลี่ยนไปแล้ว แต่จริงๆแล้วเธอไม่เปลี่ยนไปเลย สันดานคนเป็นยังไงก็เป็นยังนั้นจริงๆ เลิกเล่นละครเสียเถอะ เพราะมันใช่ไม่ได้ผลแล้ว”
พิมพ์ลดาเชิดหน้าขึ้นเมื่อถูกดูถูก และไม่เข้าใจว่าเขาจะต่อว่าเธอทำไม “ฉันไม่ได้เล่นละครอะไรทั้งนั้น และที่ฉันพูดก็คือความจริง”
“แล้วเธอจะเรียกสิ่งที่ฉันเห็นว่าอะไร”
“อะไร คุณเห็นอะไร” เธอถามอย่างงงๆ ก่อนจะเข้าใจว่าเขาคงเห็นที่เธอคุยกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ “ถ้าคุณเห็นฉันกับเขา เขาก็แค่...” เธอยังไม่ทันอธิบาย เพลิงก็ปรี่เข้ามากระชากข้อมือ ลากให้ไปหยุดยืนตรงหน้าผา ชี้ไปข้างล่างพร้อมกับเสียงกร้าวที่ดังออกมา
“ดูเสียให้เต็มตา”
ท่ามกลางแสงแดดที่อ่อนแสงลง นายอธิปกับลูกน้องถูกคุมตัวให้คุกเข่าอยู่กับพื้น ใบหน้าของทั้งสามคนซีดเผือดเพราะความหวาดกลัวที่เข้าเกาะกุมหัวใจ ผู้คุมกฏทั้งสามคน ดาบ ปืน ขวาน จ้องเขม็งอยู่อย่างนั้นกระทั่งเห็นพญาอินทรีโฉบต่ำลงมา ก็รู้ว่าได้เวลาลงทัณฑ์แล้ว
“กฎของหุบเขาพญา ใครดีมาดีตอบ ใครร้ายมาร้ายตอบ ใครลักลอบเข้ามาถ้าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต และใครที่ทำร้ายคนของหุบเขา ก็ต้องได้รับการกระทำนั้นเช่นกัน” ขวานประกาศกร้าว และมองนายอธิปด้วยสายตาเหี้ยมๆ ซึ่งก็ร้อนตัวรีบปฏิเสธออกมา
“ฉันไม่ได้ทำ” แม้จะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ก็หาได้มีใครเชื่อไม่ เพราะรู้เห็นกันอยู่เต็มอก จึงหาตัวตายตัวแทนผลักลูกน้องออกไปรับโทษ มันถึงกับตัวสั่นและรู้ซึ้งถึงจิตใจของนายที่มันภักดี แต่นาทีนี้มันก็รักตัวกลัวตายเหมือนกัน จึงรีบบอกว่า
“ฉะ ฉันไม่ได้ทำ นะ นายอธิปเป็นคนทำ”
“ไอ้สารเลว”
เสียงนายอธิปเค้นออกมาพร้อมกับถลาเข้ามาจะสั่งสอนลูกน้อง แต่... “ผัวะ” ด้ามปืนในมือขวานฟาดเข้าที่หน้าจนเซถลา และตามซ้ำ “อ้าก อ้าก” เสียงร้องออกมาพร้อมเลือดที่ไหลเปรอะเปื้อนหน้า ก่อนจะทรุดลงฟุบอยู่กับพื้นตรงหน้า ขวานเดินไปจิกหัวขึ้นมา “นี่สำหรับคนของฉันที่ถูกแกทำร้าย และต่อไปสำหรับคนที่คิดชั่วอย่างแก”
ลูกน้องทั้งสองคนเห็นความโหดแล้วก็ได้แต่หัวหดอย่างหวาดกลัว และยกมือขึ้นร้องขอความสงสารเมื่อปืนกับดาบเดินย่างสามขุมเข้ามาหา
“ไม่ ไม่อย่าทำอะไรพวกเราเลย”
“เราสำนึกผิดแล้ว ปล่อยพวกเราไปเถอะ” อีกคนรีบบอก
“เมื่อกี้คนของกูก็ร้องขอแบบนี้ แถมพวกเขาก็ไม่ได้ทำผิดอะไร อยู่ในแผ่นดินของตัวเอง แต่พวกมึงก็เข้ามาหาเรื่องและยังจับไปแขวนคอ ฉะนั้นกฏก็ต้องเป็นกฏ แต่การตายแบบนั้นมันง่ายไปสำหรับพวกมึง กูมีวิธีอื่นที่จะทำให้พวกมึงทรมานยิ่งกว่า”
พูดจบปืนก็เดินไปหิ้วน้ำสีดำมา เขาชูขึ้นตรงหน้าพวกมันพร้อมกับบอกว่า “พวกมึงอยากได้ไอ้น้ำสีดำนี้มากนักใช่ไหม กูจะสงเคราะห์ให้ และจะทำให้ดูว่านอกจากมันจะมีค่าแล้วมันมีโทษยังไงบ้าง” ว่าแล้วก็ราดใส่ตัวพวกมันรวมทั้งนายอธิปด้วย ซึ่งก็ได้แต่ร้องขอชีวิต แต่ทั้งสามคนไม่มีให้และเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เมื่อเห็นคบเพลิงถูกจุดขึ้นมา และไม่ใช่แค่มันสองคน คนที่ยืนมองอยู่บนหน้าผาก็ไม่ต่างกัน
“ไม่นะ” พิมพ์ลดากรีดร้องออกมาด้วยความกลัว แล้วหันมาวิงวอนคนที่ยืนอยู่ข้างๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า “คุณต้องห้ามพวกเขานะ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้บอกอะไร และพวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรด้วย”
“แล้วที่พวกมันทำร้ายคนของฉันละ การแขวนคอคนที่ไม่มีทางสู้ ไม่มีแม้แต่อาวุธ นั่นเรียกว่าอะไร” เสียงเพลิงเย็นเฉียบ และไม่ใช่แค่เสียง แม้แต่สีหน้าเขาก็เช่นกัน พิมพ์ลดาเองก็ตกตลึงไปเหมือนกันเพราะไม่รู้มาก่อน
“แต่คุณก็ไม่มีสิทธิพิพากษาพวกเขาแบบนั้น”
“แล้วใครมีสิทธิ จะบอกว่าคนมีกฎหมายอย่างนั้นเหรอ ที่นี่มันบ้านป่าเมืองเถื่อน ทุกอย่างมันต้องตาต่อตาฟันต่อฟัน ใครดีมาฉันดีตอบ ใครร้ายมาฉันร้ายกว่า และไม่มีคำว่าปราณีสำหรับคนเลวๆอีกแล้ว”
พิมพ์ลดามองต่ำลงไปข้างล่าง ไฟจากคบเพลิงยังลุกอยู่อย่างน่ากลัว แล้วหันกลับมามองหน้าคม “ฉันขอร้อง คุณอย่าทำอะไรพวกเขาเลยนะ ถ้าคุณอยากรู้ว่าเขามาหาฉันทำไม ฉันยอมบอกแล้วก็ได้”
“มันสายไปแล้วพิมพ์ลดาเพราะความเชื่อใจของฉันที่มีต่อเธอ มันหมดไปแล้ว”
ความผิดหวังที่เขาพูดออกมา ไม่เท่ากับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจของพิมพ์ลดา ความสุขมลายหายไปหมดเหลือเพียงหยาดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาจนหน้าเขาพร่ามัว และจางหายไปเมื่อเธอฝั่งมันไว้ให้ลึกสุดใจ “ฉันกลายเป็นไอ้งั่งให้เธอกับพ่อของเธอมาแล้วครั้งหนึ่ง จะไม่มีครั้งที่สองอีกแล้ว”
“งั้นคุณก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ แล้วลงโทษฉันแทน เพราะฉันเป็นคนบอกพวกเขาให้ไปที่นั้นเอง”
แววตาของเพลิงกระด้างขึ้น และเมื่อพญาอินทรีส่งเสียงร้องออกมา คบเพลิงก็ถูกโยนลงพื้น เปลวไฟลุกพรึบโชติช่วงขึ้นมา พิมพ์ลดาช็อกไปชั่วขณะก่อนจะกรีดร้องออกมา “ไม่” เพราะที่ไฟเผาไหม้อยู่นั้นคือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเธอ หัวใจเธอถูกบีบคั้นอย่างรุนแรงผวาเข้าทุบตีร่างสูงพร้อมต่อว่า “คนเลว สารเลว หัวใจคุณทำด้วยอะไร ทำไมถึงได้โหดร้ายอย่างนี้” สองมือเธอฟาดใส่ตัวเพลิงโดยไม่สนใจว่าจะโดนส่วนไหน “คุณฆ่าเขาทำไม คนใจร้าย”
เสียงเธอสั่นอย่างคับแค้นใจ เพลิงจึงจับมือเธอไว้กำแน่นและกำจนเกือบจะหัก ขณะมองหน้าเธออย่างกระด้าง “มันยังน้อยกว่าสิ่งที่พ่อเธอทำ”
“งั้นก็ฆ่าฉันด้วยซิ”
แววตาของเพลิงวาววับแล้วลากเธอมายืนตรงหน้าผา เพียงเขาปล่อยมือเธอก็จะตกลงไปทันที ใบหน้างามเชิดขึ้นอย่างไร้ความกลัว เมื่อตอนนี้สิ่งที่เขาทำคือการสะบั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งความรักความสุขความเชื่อใจ ทุกอย่างจบสิ้นแล้วเธอจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร การทรมานเหรอ เธอทรมานมาจนจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว แล้วจะต้องทรมานไปอีกนานแค่ไหน พอแล้ว พอ เสียงเธอร่ำไห้อยู่ในใจ แล้วตัดทุกสิ่งหลับตาก่อนจะลืมตาขึ้นเหลือแค่ความว่างเปล่า ใบหน้าสงบนิ่ง ค่อยๆบิดข้อมือออกจากมือเขา เพื่อหงายหลังลงสู่หุบเหวด้านล่าง แต่...
ฝ่ามือหนากลับพลิกจับข้อมือเธอไว้แน่นและกระชากเข้ามา แต่ร่างอรชรอ่อนระทวยลงหมดสติไปแล้ว เขาจึงได้แต่มองใบหน้างามที่ซีดเซียว ก่อนจะขบกรามเข้าหากันแน่นที่ตัวเองใจไม่แข็งพอ แล้วช้อนร่างอรชรขึ้นอุ้ม พาเดินไปที่เจ้าพยัต วางเธอบนหลังมันก่อนจะเหวี่ยงตัวเองขึ้นนั่งดึงตัวเธอมาพิงอก แล้วบังคับให้เจ้าพยัตวิ่งกลับไปที่เรือนเชิงผา
************
เปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ในถังน้ำสีดำค่อยๆดับลง คนโยนคบเพลิงลงขู่เหยียดริมฝีปากหยันไอ้พวกที่เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ แม้จะไม่โดนเผาทั้งเป็น แต่สีหน้าพวกมันที่ตื่นตระหนกก็ซีดเหมือนคนที่ตายไปแล้วจริงๆ และยังไม่กล้าจะขยับไปไหนเพราะกลัวเชื้อไฟจะกลายเป็นเชื้อเพลิงเผาตัวเพราะตัวยังเต็มไปด้วยน้ำมัน
นายอธิปมองหน้าผู้คุมกฎคุกทมิฬด้วยความคลางแคลงใจ ว่าทำไมถึงไม่เผาพวกตน จะว่าใจดีแววตาของพวกมันก็บอกว่าไม่ใช่ “แกปล่อยพวกฉันทำไม”
“ใครบอกว่าจะปล่อย” หนึ่งในผู้คุมกฏถามออกมา ลมหายใจของนายอธิปกับลูกน้องที่เพิ่งจะคล่องคอจึงติดขัดเพราะหวาดกลัวอีกครั้ง
“หมาย หมายความว่าไง” เสียงตะกุกตะกักดังแผ่ว
“หุบเขาพญาไม่ใช่สวนสาธารณะที่ใครจะเข้ามาเดินเล่นแล้วออกไปง่ายๆ” เสียงปืนห้วนเหี้ยม “ถ้าพวกแกคิดว่าทุกอย่างจะจบลงแค่นี้ ขอบอกว่าพวกแกคิดผิด ในเมื่อพวกแกไม่เคยหยุดที่บุกรุกที่นี่เพียงครั้งเดียวพวกฉันก็จะหยุดลงทัณฑ์พวกแกเพียงครั้งเดียวได้ยังไง”
“พวกเราสัญญาว่าจะหยุด”
“คำสัญญามันแค่ลมปากแต่สันดานต่างหากที่มันฝังอยู่ในตัว ซึ่งถ้าไม่ทำให้หลาบจำพวกแกไม่มีวันจะหยุด”
พูดจบปืนก็เดินไปหิ้วน้ำสีดำมาอีกถัง เขาราดเป็นวงกว้างรอบๆที่พวกมันนั่ง ก่อนจะทิ้งถังไป พร้อมๆกับเปลวไฟจากไม้ขีดในมือขวานก็ติดขึ้นมา “ถ้าพวกแกรอดไปจากเปลวเพลิงนี้ได้ นั่นแหละคือคำว่าปล่อยและขอให้ปล่อยวางจากหุบเขาพญาจริงๆเสียที แต่ถ้าไม่ก็อโหสิกรรมให้กันก็แล้วกัน”
สิ้นเสียงพูดขวานก็ดีดไม้ขีดลงพื้น “พรึบ” เปลวไฟลุกขึ้นมาไล่หลังทั้งสามคนที่เดินไปขึ้นหลังม้า แล้วควบออกไปโดยไม่สนใจเสียงคร่ำครวญ เสียงอ้อนวอนขอร้องของพวกโลภมาก แค่ที่ทำอยู่ก็ถือว่าปราณีมากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นพ่อของหญิงสาวที่เป็นนายหญิงหุบเขาพญาแล้วละก็ พวกมันคงเป็นผีไปนานแล้ว
ร่างอรชรที่ถูกอุ้มขึ้นบันไดเรือนเชิงผามา ทำให้สองนมที่นั่งเป็นห่วงหญิงสาวอยู่ถึงกับเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ผวาเข้ามาหานายแห่งหุบเขาที่เป็นคนอุ้มเธออยู่ทันที “ป๊ะเพลิง” ทั้งสองคนเอ่ยออกมาพร้อมกันขณะสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความตกใจ “เกิดอะไรขึ้นอีกเนี๋ย”
ไม่มีคำตอบจากเพลิงนอกจากเดินไปที่ห้องนอน วางร่างอรชรลงบนเตียงแล้วจะเดินออกมาจากห้อง นมสดกับนมสุกที่เดินตามมา คนหนึ่งรีบดักหน้าเขาไว้อีกคนก็รีบเข้าไปดูหญิงสาว “ทำไมหนูพิมพ์สลบไม่ได้สติอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้นป๊ะเพลิง”
เพลิงสบตาที่คาดคั้นของนมสดเพียงแวบเดียว ก็เดินอ้อมไปที่ประตู “เพราะพ่อของเธอนายอธิปใช่ไหม” คำพูดนี้หยุดมือที่กำลังจะเปิดประตูไว้ทันที “หนูพิมพ์ไม่ได้ทำอะไรเลยนะป๊ะเพลิง”
“ฉันเชื่อในสิ่งที่ฉันเห็น”
“แล้วได้ฟังในสิ่งที่เขาพูดกันด้วยหรือเปล่า”
“การยอมรับไม่เพียงพอหรือไง”
“หมายความว่าไง”
“สันดานคนเป็นยังไงก็เป็นยังงั้น สิ่งที่คิดว่าเปลี่ยนแท้จริงก็เป็นเพียงภาพลวงตามายาที่สร้างขึ้นมาเท่านั้น อย่าหลงให้มันมากนัก” พูดจบร่างสูงก็เปิดประตูออกไปทันที
นมสดยืนอึ้งอยู่เพียงครู่ก็หมุนตัวไปมองหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงก่อนจะสบตากับนมสุก ซึ่งก็ส่ายหน้าให้รู้ว่าไม่เชื่อเด็ดขาด จากนั้นก็ลุกขึ้นไปหยิบผ้ามาชุบน้ำเพื่อมาเช็ดตัวให้หญิงสาว โดยไม่เห็นว่าทันทีที่นางลุกขึ้นไป ก็มีน้ำตาซึมไหลออกมาจากหางตาของเธอ เพราะฟื้นขึ้นมาทันได้ยินประโยคเมื่อกี้พอดี
นมสดที่เดินมานั่งที่เตียงเห็นเข้าพอดีก็พลอยน้ำตาซึมไปด้วยเพราะคิดว่าเธอคงได้รับการทรมานอย่างแสนสาหัสถึงได้หมดสติอย่างนั้น “หนูพิมพ์” เสียงเรียกอันอ่อนโยน ทำให้พิมพ์ลดาลืมตาขึ้น กะพริบตาให้น้ำตาที่ยังคลออยู่เต็มเบ้าตาหายไป แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างคนไร้ชีวิตจิตใจ “เกิดอะไรขึ้น”
“นอกจากที่นี่แล้ว มีที่ไหนที่พอจะให้พิมพ์ไปบ้างคะ”
“หนูพิมพ์” น้ำเสียงเลือนลอยคล้ายเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากนั้นทำให้นมสดครางออกมาอย่างสงสาร “อยู่ที่นี่แหละค่ะ อยู่พิสูจน์ตัวเองให้ป๊ะเพลิงเห็นว่าหนูพิมพ์ไม่ได้ทำอะไรเลย”
พิมพ์ลดาไม่ฟังเสียงนมสด เพราะรู้แก่ใจดีว่าทุกอย่างมันจบสิ้นไปหมดแล้ว แล้วจะอยู่ให้ยิ่งเจ็บปวดไปเพื่ออะไร เธอลุกขึ้นยืนแม้ขาจะยังสั่นเพราะร่างกายที่อ่อนแอแต่ก็ฝืนไว้ด้วยใจที่เข้มแข็ง เดินไปที่ประตู นมสุกที่เดินถือผ้าเข้ามา ถึงกับตกใจ มองนมสดที่นั่งน้ำตาคลออยู่ ก็รีบวางผ้าไว้แล้วเดินมาที่หญิงสาว
“หนูพิมพ์ จะไปไหน”
สองมือของพิมพ์ลดายกขึ้นไหว้สองนม แล้วเดินออกไปจากห้อง นมสุกจะก้าวตามไปแต่เสียงนมสดเรียกไว้เสียก่อน “นางสุก ไม่ต้อง” สีหน้าของนมสุกเต็มไปด้วยความงุนงงและละล้าละลังทั้งอยากจะถามเหตุผลจากนมสดและอยากจะตามหญิงสาวไป
“ทำไม แล้วหนูพิมพ์จะไปไหน” นางเลือกถามหาเหตุผลเพราะคิดว่าหญิงสาวคงไปไหนได้ไม่ไกลจากเพิงหมาแหงนแน่นอน
“ปล่อยเธอไปเถอะ อย่าไปรั้งเธอไว้อีกเลย ให้คนที่เขาสร้างปัญหาไว้จัดการเองก็แล้วกัน”
“ทำไม” ตอนนี้นมสุกมีคำถามนี้คำถามเดียวจริงๆ
“ก็อย่างที่เห็น ครั้งนี้หนูพิมพ์บอบช้ำเหลือเกิน จิตใจของเธอคงได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักจนใครก็ไม่สามารถรักษาใจเธอได้ นอจากคนที่ทำร้ายใจเธอ”
“โธ่หนูพิมพ์” สีหน้าของนมสุกเศร้าลงไม่ต่างจากนมสด “แต่มันมืดแล้วนะนางสด นมพิมพ์จะมีอันตรายหรือเปล่า อย่าลืมว่ามีคนจ้องจะทำร้ายเธออยู่”
สีหน้าของนมสดกังวลขึ้นมาทันที แล้วตัดใจพูดออกมาว่า “บางครั้งเราก็ไม่อาจฝืนชะตาได้ จากนี้ไปอะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดเถอะ เอ็งกับข้าทำมามากแล้ว ตอนนี้ก็ทำใจเสียเถอะ” พูดจบนางก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง โดยมีนมสุกเดินตามหลังไปเงียบๆ
***********
ท่ามกลางท้องฟ้ามืดดำแสงจันทร์ลอยเด่นกระจ่างแสงสีเหลืองนวลชวนให้จับตามอง แต่คนที่ยืนมองอยู่บนระเบียงเรือนไม้ของหัวหน้าคุกทมิฬ กลับเย้ยหยันความงดงามนั้น เพราะคิดว่ามันก็เป็นเพียงภาพลวงตาที่ชวนให้ครอบครองแต่ไม่เคยมีใครครอบครองอย่างที่หวังไว้สักที ดวงตาคมจึงละสายตามามองแค่แก้วน้ำจันในมือ แล้วยกขึ้นดื่มจนหมด ก็หยิบขวดรินใส่แก้วใหม่และดื่มจนหมดอีก เป็นอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ฟ้าหม่นจนดำมืดสนิทไปทั้งคุกทมิฬ
ด้านหลังของเขาคือผู้คุมกฏทั้งสามคนปืน ดาบ ขวาน ซึ่งนั่งขัดสมาทอยู่บนพื้นเรือน หลังรายงานงานที่ไปทำมาทั้งหมดก็นั่งจับตามองนายแห่งหุบเขาที่เอาแต่ดื่ม สาเหตุนั้นพอจะรู้กันอยู่ว่าเกิดจากนายอธิปกับพวกแต่นั้นคงไม่สำคัญเท่ากับเชื่อว่าผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเมีย รู้เห็นเป็นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“เรื่องคนที่ปล่อยตัวไป เป็นไงบ้าง” เสียงนายแห่งหุบเขาดังฝ่าความเงียบขึ้นมา ผู้คุมกฎปรายตามองกันแวบเดียว ขวานก็เป็นคนบอกว่า
“คนของเรารายงานมาว่ามันยังกลบดานเงียบอยู่ คงระวังตัวเพราะกลัวจะโดนไอ้คนที่จ้างมาเก็บ”
“หรือไม่ก็อ่านแผนเราออก เพราะเคยทำแบบนี้เหมือนกัน” ปืนให้ความเห็นออกมาบ้าง
“แต่มันคงกบดานอยู่ได้ไม่นานหรอก” เสียงดาบเยาะขึ้นมาเพราะรู้จักคนประเภทนี้ดี “หมดเงินเมื่อไรหางมันก็จะโผล่ออกมาทันที เชื่อสิ ไอ้คนพวกนี้ทำอะไรไม่เป็นนอกจากแบมือขอเงินจากคนเป็นนายหรือคนที่จ้างมาเท่านั้น”
ปืนกับขวานพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ยังไงก็อย่าให้พลาด เพราะฉันต้องการถอนรากถอนโคนให้เกลี้ยง”
ผู้คุมกฏทั้งสามคนพยักหน้ารับเสียงกร้าวกระด้างที่สั่งออกมา และไม่มีใครพูดอะไรอีก นอกจากดื่มเหล้าเคล้าเสียงเสียงหรีดริ่งเรไรที่ร้องฝ่าความสงัดมาเป็นระยะ
ขณะที่อีกมุมหนึ่งของหุบเขาพญา สายตาคู่หนึ่งก็เหม่อมองดวงจันทราโดยไม่สนใจทุกสิ่งรอบตัวเช่นกัน แต่ภายใต้ความนิ่งเฉย คือความเจ็บปวดจากการสูญเสียทั้งความรักและผู้ให้กำเนิด แม้จะไม่รู้สึกถึงความผูกพันแต่สายเลือดที่ยังไหลอยู่ในตัวคนที่ได้ชื่อว่าพ่อก็ให้มา และต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่โดยที่เธอไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย น้ำตาเอ่อขึ้นมาแล้วไหลรินแต่ไม่มีเสียงสะอื้น
คนที่ยืนมองอยู่ด้านหลังได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างสงสาร พลางคิดไปถึงยามตะวันโพล้เพล้เมื่อเย็นนี้ เขาเพิ่งกลับจากการไปเยี่ยมคนป่วยและเดินเข้าไปในป่าหาสมุนไพร เจอกับหญิงสาวที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางป่า สีหน้าและท่าทางที่ดูเลื่อนลอยราวกับได้รับความเจ็บปวดมานั้นสร้างความงุนงงให้เขาไม่น้อยและสงสัยว่าเธอมายืนทำอะไรในป่าแบบนี้
‘สวัสดีครับนายหญิง จะไปไหนครับ’
‘พิมพ์ไม่มีค่าขนาดนั้น อย่าเรียกอีก’
คำพูดนั้นสร้างความสงสัยให้เขามากขึ้น เพราะเจือด้วยความข่มขืนอย่างกับคนที่สิ้นหวัง ‘ครับ’ เขารับปากทั้งที่สงสัย ‘แล้วคุณพิมพ์จะไปไหนครับ ป่าข้างหน้าน่ากลัวและใกล้จะมืดแล้วด้วย อันตรายนะครับ’
‘แล้วหมอมีที่ให้พิมพ์ไปไหมคะ’
นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ได้คุยกันแล้วเขาก็พาเธอมาพักที่เรือน ตั้งแต่มาถึงเธอก็นั่งอยู่บนเก้าอี้มุมระเบียงซุกตัวอยู่เงียบๆ ไม่ปริปากพูดอะไร เขาก็ไม่กล้าถามมากนักแต่คิดว่าคงไม่มีใครที่จะทำร้ายเธอให้เป็นอย่างนี้เท่ากับนายแห่งหุบเขา หมอถอนหายใจออกมาเบาๆ และคิดต่อว่าคงต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้เขาก็จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อบอกตัวเองอย่างนั้นหมอก็เดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ไม่ห่าง
“คุณพิมพ์ครับ” เสียงหมอที่ดังขึ้นข้างหลัง ทำให้เธอหันมามอง “หมอจัดสำรับและเสื้อผ้าไว้ให้แล้ว คุณพิมพ์ไปทานแล้วพักผ่อนเถอะครับ”
“ขอบคุณค่ะ และขอโทษที่ทำให้หมอลำบาก”
“หมอไม่ได้ลำบากอะไรเลย คุณพิมพ์ไม่ต้องคิดมาก”
เธอฝืนยิ้มออกมาให้เพียงเล็กน้อย แล้วหันไปมองความมืดที่เหมือนกับตัวเธอในเวลา ความหนาวเย็นที่สายลมพามาโดนตัวเพียงนิดก็หนาวเหน็บไปถึงใจ เพราะความสิ้นหวังอ้างว้างไปหมด “หมอคะ อย่าบอกใครว่าพิมพ์อยู่ที่นี่ได้ไหมคะ”
“ครับ แต่ถึงหมอไม่บอก คุณพิมพ์ก็รู้ใช่ไหมครับว่าเราปิดบังนายแห่งหุบเขาไม่ได้”
“ค่ะ แต่พิมพ์คงไร้ตัวตนสำหรับเขาไปแล้ว และอย่าเอ่ยถึงเขาออกมาอีกเลยนะคะและพรุ่งนี้พิมพ์คงต้องรบกวนหมออีกครั้ง”
“ได้ครับ” หมอรับปากแล้วถอยไปนั่งที่แคร่ที่เตรียมไว้เป็นที่นอนของตัวเอง และแน่ใจแล้วว่าที่หญิงสาวเป็นอย่างนี้เพราะนายแห่งหุบเขาจริงๆ
********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
ใครที่ยังไม่ได้อ่าน ตั้งแต่ตอนแรก ก็หาอ่านได้ในเวปนี้นะคะ
ส่วนใครที่อ่านแล้ว ก็อ่านต่อเลยค่ะ
จะลงให้อ่านจนจบ
ตอน 16
รถยนต์ที่วิ่งไปบนเส้นทางที่มุ่งสู่ทางออกจากหุบเขาพญานั้นอยู่ในสายตาของนายแห่งหุบเขากับผู้คุมกฏของคุกทมิฬ ทั้งหมดนั่งอยู่บนหลังม้าที่ยืนอยู่บนหน้าผาสูง ต่างมองรถที่วิ่งไปเรื่อยๆ ไม่นานก็มีสัญญาณจากคนเป็นนายให้แยกย้ายกันไป
นายอธิปนั่งอยู่บนรถที่วิ่งไป สายตามองสองข้างทางเหมือนสนใจแต่ไม่ใช่เลย เขากำลังขบฟันข่มอารมณ์โกรธของตัวเองไว้ ไม่น่าเชื่อว่าลูกที่ว่านอนสอนให้มาตลอด จะเปลี่ยนไปราวกับคนละคนอย่างนี้ เมื่อก่อนแม้ลูกเขาจะเอาแต่ใจ แต่เชื่อฟังและเห็นด้วยกับเขาไปทุกอย่าง ยิ่งถ้าเป็นเรื่องเงินๆทองๆ ก็ยิ่งเป็นลูกไม้ที่หล่นใต้ต้น ได้สายเลือดความอยากมีอยากได้มาจากเขาเต็มๆ แล้วนี่ไอ้ป๊ะเพลิงมันทำอะไรลูกเขา ถึงได้เปลี่ยนไปเหมือนคนละคนยังนี้ มิหนำซ้ำยังบอกให้เขาเลิกทำเสียอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ และไม่รู้ว่าจะไปตอบคำถามนายพลกฤษอย่างไร อุตสาห์ประวิงขอผลัดเปลี่ยนการมาที่นี่ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้มันมันตายใจ แต่มันกลับตลบหลังเขาได้อย่างเจ็บแสนนัก ระยำ!
เขาสบถออกมา แล้วบางอย่างก็ผุดขึ้นมาทิวทัศน์ที่ผ่านตาไปจึงหน้าสนใจ กระทั่ง... “จอดรถ” เขาสั่งลูกน้อง ซึ่งก็รีบทำตามคำสั่งทันที พอรถหยุดนิ่ง เขาก็ลงไปจากรถ กวาดตามองไปรอบบริเวณ จนลูกน้องที่ลงจากรถมายืนอยู่ข้างๆ ถามออกมาอย่างสงสัย
“นายจะทำอะไรครับ”
เขาไม่ตอบแต่เหยียดยิ้มเมื่อพึ่งลูกไม่ได้ เขาก็ต้องพึ่งตัวเอง ไหนก็เข้ามาในหุบเขาพญาแล้ว ก็น่าจะได้อะไรไปฝากนายพลกฤษบ้าง จึงเดินปีนขึ้นไปบนโขดหินที่สูงพอสมควร เพื่อมองหาแหล่งน้ำสีดำ แล้วเขาก็ได้เห็นมีกลุ่มคนกำลังหาบถังน้ำ ซึ่งคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากน้ำสีดำ จึงลงมาเดินนำลูกน้องทั้งสองคนไปตามทิศทางที่เห็น เร่งฝีเท้าเพื่อจะตามให้ทันและได้เห็นทั้งหมด ความโลภแทบจะพุ่งออกมาจากออก หันมาสบตากับลูกน้อง ซึ่งก็ยิ้มให้อย่างรู้ใจนาย แล้ววิ่งตามเพื่อจะทำอย่างที่ใจคิด แต่จู่ๆกลุ่มคนที่ตามมาติดๆก็หายไปจากสายตา
ลูกน้องทั้งสองคนงุนงงไม่ต่างจากคนเป็นนาย “นายครับ พวกมันหายไปได้ยังไง”
“หรือว่าผีหลอก” อีกคนพูดออกมาอย่างกลัวๆ เพราะรอบตัวเงียบสนิท มีแต่ป่าไม้ดูวิเวกยังไงชอบกล
“เหลวไหล” นายอธิปดุลูกน้องออกมา พลางคิดอย่างเจ็บใจที่พวกมันรอดไปได้ แต่จะให้เขาถอยหลังกลับไปมือเปล่านะไม่มีทาง “ค้นหาให้ทั่ว พวกมันต้องอยู่แถวนี้แหละ” เขาบอกแล้วเป็นผู้นำให้ลูกน้องตาม ไม่นานลูกน้องเขาก็ส่งสัญญาณ เขาจึงรีบเดินไปดู แล้วรอยยิ้มอย่างสมใจก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากเขา จึงพยักหน้าให้ลูกน้องจัดการได้
คนงานทั้งห้าคนหยุดกึกอยู่กับที่ เมื่อจู่ๆก็มีคนมาดักหน้าพร้อมอาวุธปืนที่เล็งมาหา ทั้งห้าคนวางหาบลงพลางจับตามองทั้งสามคนที่มายืนขวางอยู่ ขณะที่นายอธิปกับลูกน้องก็ผยองเดินกร่างเข้าไปอย่างกระหยิ่ม และหลุบตามองถังน้ำตรงหน้า แล้วก็ได้เห็นสิ่งที่อยากจะเห็นมานาน น้ำสีดำในถัง หัวใจเขาเต้นแรงก่อนจะยื่นมือไปแตะเพื่อเช็กให้แน่ใจว่าใช่สิ่งที่คิดหรือไม่ แต่คนงานรีบเอาตัวไปขวางไว้ ลูกน้องเขาก็รีบปรี่เข้ามาเอาปืนจ่อหัว จ้องหน้าอย่างเหี้ยมๆ นายอธิปจึงได้สัมผัสกับน้ำสีดำและก็ใช่อย่างที่คิดไว้
“ฮะๆๆๆ” เขาหัวเราะออกมาลั่น แล้วหันมามองหน้าคนงาน ปรับสีหน้าให้กระด้าง บอกด้วยเสียงเหี้ยมๆ “พวกมึงไปขนมาจากไหน พากูไปดูเดี๋ยวนี้” ไม่มีใครตอบออกมาและจ้องหน้าเขาอย่างบอกให้รู้ว่าไม่ทำตามคำสั่งเด็ดขาด “จะลองดีกับกูเหรอ”
“จัดมันเลยไหมนาย” ลูกน้องเขาถามแล้วปลดล็อกจะเตรียมพร้อมจะส่งวิญญาณ
“อย่า เดี๋ยวเสียงดังเรียกพวกมันมา แค่...” นายอธิปพูดค้างไว้ แล้วใช้ปืนในมือตัวเองตบไปที่หน้าไอ้คนที่ยืนขวางอยู่ “ผัวะ” ซ้ำไปซ้ำมา ขณะที่อีกสี่คนก็อยากจะเข้ามาช่วย แต่ปืนที่จ่ออยู่ตรงหน้า ไม่สามารถทำได้อย่างใจคิด ได้แต่สงสารเพื่อน กระทั่งเห็นทรุดลงคุกเข่าตรงหน้าคนทำ แถมยังใช้เท้าเหยียบอกไว้ พร้อมกับถามเสียงเหี้ยม “จะบอกไหม”
“บอกๆแล้ว” เสียงคนงานสั่นออกมาอย่างหวาดกลัว นายอธิปยิ้มอย่างสมใจ
“ดี” ว่าแล้วก็ยกเท้าออกจากอก แล้วกระชากมันขึ้นมา “แต่กูเปลี่ยนใจแล้ว มึงนำทางกูไปดีกว่า” พูดจบก็หันไปมองลูกน้อง “มัดพวกมันไว้ แล้วขนของพวกนี้ไปใส่ท้ายรถ”
“ครับนาย แต่เราน่าจะแก้แค้นให้กับคนของเราที่ตายไปบ้างนะนาย”
นายอธิปเลิกคิ้วขึ้นเพียงนิด ก็ยิ้มออกมาอย่างเห็นด้วย “พวกมึงจะทำยังไง”
ลูกน้องของเขาทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างรู้ใจ แล้วจับคนงานทั้งสี่ไปแขวนคอไว้กับต้นไม้ พอเห็นทั้งหมดดิ้นพราดๆหนีมือมัจจุราชด้วยความทรมานก็พากันหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ และเสียงหัวเราะก็หยุดขวับ เมื่อมีดคมกริบบินมาตัดเถาวัลที่ห้อยคอทั้งสี่คนร่วงลงมากองกับพื้น
สีหน้าทั้งสองคนตื่นตะลึงพร้อมหันปืนไปยังทิศทางที่มีดบินมา และพากันร้อง “โอย โอย” เมื่อมีดบินมาปักเข้าที่หัวไหล่ ปืนร่วงลงพื้นพร้อมการปรากฎตัวของคนที่ทำร้ายพวกมัน ทั้งหมดนั่งอยู่บนหลังม้ามีผ้าสีดำปิดไว้ครึ่งหน้าแววตาฉายความน่ากลัว จนทั้งสองคนถอยไปหาคนเป็นนาย ซึ่งรีบเก็บปืน ปล่อยตัวไอ้คนที่จับไว้เพราะรู้ว่าไอ้พวกที่มานั่นเป็นใคร ถ้าเป็นคนอื่นยังไม่เท่าไร ถ้าเป็นไอ้ป๊ะเพลิงอายุเขาได้สั้นลงแน่ จึงยกมือขึ้นให้ดูว่าไม่ได้ทำอะไร ทุกอย่างแค่ล้อเล่นกันเท่านั้น
“ไม่มีอะไร แค่ล้อเล่นกันนิดหน่อยเท่านั้นเองใช่ไหม” เขาหันไปพยักเพยิดกับลูกน้อง ซึ่งตอนแรกก็ยังงงๆ ก่อนจะรีบพยักหน้าตามอย่างพอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“ใช่ๆ ไม่มีอะไร แค่ล้อเล่นเนอะๆ”
ไม่มีใครเล่นกับพวกมัน สีหน้าแต่ละคนยังเคร่งขรึม และลงจากหลังม้าเดินดาหน้ามายืนอยู่ไม่ห่าง นายอธิปจึงถามอย่างโง่ๆออกไปทั้งที่รู้อยู่แล้ว “พวกแกเป็นใคร”
“เจ้าถิ่น”
คำตอบชวนขนลุก แต่นายอธิปยังทำใจดีสู้เสือ “แถวนี้บรรยากาศดีนะ ฉันนายอธิปมาเยี่ยมลูกสาวพิมพ์ลดา นายหญิงของพวกแกไง ตอนนี้หลงทางนิดหน่อย ก็จะกลับแล้ว”
“กลับเหรอ” เสียงนั้นติดจะเยาะหยัน “คนกับรถอยู่คนละทาง จะกลับยังไง สับปลับสิ้นดี และคนที่เข้ามาในหุบเขาพญา ถ้าเป็นคนดี คงไม่มีสันดานเที่ยวสอดส่องเหมือนโจรอย่างนี้หรอก ที่สำคัญทำร้ายคนของที่นี่ด้วย”
“ก็บอกแล้วไงแค่ล้อเล่น”
“งั้นเราก็ควรจะเล่นด้วยใช่ไหม” น้ำเสียงเย็นๆนั้นทำให้นายอธิปกับลูกน้องหน้าถอดสีและมองตากันเลิ่กลัก แล้วถอยห่างเพื่อจะหนี แต่ช้าไปเสียแล้ว ทั้งหมดโดนควบคุมตัว
พิมพ์ลดายืนใจคอไม่ดีอยู่ในห้องครัวเรือนเชิงผา เพราะเป็นห่วงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ สิ่งที่ได้รับรู้มาทั้งหมดนั้น ทำให้เธอหวั่นกลัว ถ้าป๊ะเพลิงรู้ว่าเขามา ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ลอยนวลออกไปง่ายๆ อาจจะทำอันตรายเขา แม้เธอไม่มีความรู้สึกผูกพัน แต่เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ เธอจะยอมให้เขาถูกทำร้ายได้ไง
แม่นมทั้งสองคนปรายตามองหน้ากันอย่างพอจะรู้ว่าหญิงสาวคิดสิ่งใดอยู่ จึงวางมือจากผักที่กำลังหั่นอยู่ ซึ่งพอดีกับที่พิมพ์ลดาตัดสินใจ มองมาที่ทั้งคู่พอดี
“พิมพ์อยากเจอป๊ะเพลิง นมพอจะรู้ไหมคะว่าเขาอยู่ที่ไหน”
“หนูพิมพ์จะไปพูดเรื่องนายอธิปเหรอ”
พิมพ์ลดาไม่อยากจะตอบ แต่ปิดบังไปก็แค่นั้นจึงยอมรับออกมา “ค่ะ พิมพ์กลัวว่าเขาจะมีอันตราย ป๊ะเพลิงต้องรู้ว่าเขามาที่นี่ จึงอยากไปบอกให้รู้ว่าเขาแค่มาเยี่ยมพิมพ์ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีเลย”
“ถ้าแค่นั้นหนูพิมพ์ไม่ไปก็ได้ เพราะป๊ะเพลิงจะไม่ทำอะไรคนที่ไม่ทำเรื่องไม่ดีเด็ดขาด”
“แต่พิมพ์กลัวว่า...” สีหน้าเธอบอกความไม่แน่ใจ เพราะจากที่ได้คุยกันนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าคนที่ได้ชื่อว่าพ่อ ท่าทางเขาไม่น่าไว้ใจเลย สองนมก็มองตากันอย่างพอจะรู้สันดานของคนเช่นกัน
“ป๊ะเพลิงคงอยู่บนหน้าผา แต่ที่นั้นต้องขี่ม้าขึ้นไป หนูพิมพ์คงไปไม่ได้”
“มีใครพอจะพาพิมพ์ไปได้ไหมคะ” แม่นมทั้งสองคนส่ายหน้า “งั้นพิมพ์จะไปที่คุกทมิฬ” เธอตัดสินใจแล้วเดินออกไปจากห้องครัวทันที นมสดกับนมสุกจะเรียกไว้ก็ไม่ทันแล้ว จึงได้แต่พากันถอนหายใจออกมา และขออย่าให้มีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นมาอีกเลย
ร่างอรชรเดินลิ่วไปที่คุกทมิฬ พลางคิดว่าจะพูดยังไงที่จะให้คนที่นั้นพาเธอไปหาป๊ะเพลิง ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วไป แต่ถ้ามีเธอจะทำยังไง เรื่องราวดีๆของเธอกับเขา จะยังเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนไป ใบหน้างามหม่นด้วยความกังวล และหยุดยืนนิ่งเมื่อเห็นเจ้าพยัตกับนายของมันโผล่มา
“คุณ” เธอยิ้มอย่างดีใจที่เห็นเขา แต่ใบหน้าคมนิ่งจนความกังวลเพิ่มพูนขึ้นมาอีก และร้องออกมาเบาๆ เมื่อเขาควบเจ้าพยัตมาใกล้และคว้าตัวเธอไปนั่งบนหลังมัน พิมพ์ลดาจับขนที่คอมันไว้แน่น ก่อนจะหันมามองหน้าคม “จะไปไหนคะ”
ไม่มีคำตอบนอกจากแรงกระตุ้นให้ม้าวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เธอจึงต้องหลบสายลมด้วยการซบหน้ากับอกเขา กระทั่งเจ้าพยัตพาขึ้นมาถึงหน้าผาสูง เขาก็ลงจากหลังมันแล้วรับตัวเธอลงมายืนข้างๆ เจ้าพยัตเดินห่างไปและเล็มหญ้า ขณะที่นายของมันก็ยกมือขึ้นกอดอกมองเมียมายา
“นายอธิปมาหาเธอทำไม”
“มาเยี่ยมค่ะ” เธอบอกความจริงเพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งเธอต้องเก็บไว้เพราะไม่อยากให้มีความบางหมางใดๆ แต่กลับมีความเหยียดหยันขึ้นในใจเพลิง เมื่อสิ่งที่เขาเห็นกับคำพูดของเธอนั้นมันช่างตรงกันข้ามเสียเหลือเกิน
“แน่ใจว่าแค่นั้น”
“ค่ะ”
คำรับรองที่หนักแน่นทำให้มีคำเยาะหยันออกมา “ที่ผ่านมาฉันคิดว่าเธอเปลี่ยนไปแล้ว แต่จริงๆแล้วเธอไม่เปลี่ยนไปเลย สันดานคนเป็นยังไงก็เป็นยังนั้นจริงๆ เลิกเล่นละครเสียเถอะ เพราะมันใช่ไม่ได้ผลแล้ว”
พิมพ์ลดาเชิดหน้าขึ้นเมื่อถูกดูถูก และไม่เข้าใจว่าเขาจะต่อว่าเธอทำไม “ฉันไม่ได้เล่นละครอะไรทั้งนั้น และที่ฉันพูดก็คือความจริง”
“แล้วเธอจะเรียกสิ่งที่ฉันเห็นว่าอะไร”
“อะไร คุณเห็นอะไร” เธอถามอย่างงงๆ ก่อนจะเข้าใจว่าเขาคงเห็นที่เธอคุยกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ “ถ้าคุณเห็นฉันกับเขา เขาก็แค่...” เธอยังไม่ทันอธิบาย เพลิงก็ปรี่เข้ามากระชากข้อมือ ลากให้ไปหยุดยืนตรงหน้าผา ชี้ไปข้างล่างพร้อมกับเสียงกร้าวที่ดังออกมา
“ดูเสียให้เต็มตา”
ท่ามกลางแสงแดดที่อ่อนแสงลง นายอธิปกับลูกน้องถูกคุมตัวให้คุกเข่าอยู่กับพื้น ใบหน้าของทั้งสามคนซีดเผือดเพราะความหวาดกลัวที่เข้าเกาะกุมหัวใจ ผู้คุมกฏทั้งสามคน ดาบ ปืน ขวาน จ้องเขม็งอยู่อย่างนั้นกระทั่งเห็นพญาอินทรีโฉบต่ำลงมา ก็รู้ว่าได้เวลาลงทัณฑ์แล้ว
“กฎของหุบเขาพญา ใครดีมาดีตอบ ใครร้ายมาร้ายตอบ ใครลักลอบเข้ามาถ้าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต และใครที่ทำร้ายคนของหุบเขา ก็ต้องได้รับการกระทำนั้นเช่นกัน” ขวานประกาศกร้าว และมองนายอธิปด้วยสายตาเหี้ยมๆ ซึ่งก็ร้อนตัวรีบปฏิเสธออกมา
“ฉันไม่ได้ทำ” แม้จะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ก็หาได้มีใครเชื่อไม่ เพราะรู้เห็นกันอยู่เต็มอก จึงหาตัวตายตัวแทนผลักลูกน้องออกไปรับโทษ มันถึงกับตัวสั่นและรู้ซึ้งถึงจิตใจของนายที่มันภักดี แต่นาทีนี้มันก็รักตัวกลัวตายเหมือนกัน จึงรีบบอกว่า
“ฉะ ฉันไม่ได้ทำ นะ นายอธิปเป็นคนทำ”
“ไอ้สารเลว”
เสียงนายอธิปเค้นออกมาพร้อมกับถลาเข้ามาจะสั่งสอนลูกน้อง แต่... “ผัวะ” ด้ามปืนในมือขวานฟาดเข้าที่หน้าจนเซถลา และตามซ้ำ “อ้าก อ้าก” เสียงร้องออกมาพร้อมเลือดที่ไหลเปรอะเปื้อนหน้า ก่อนจะทรุดลงฟุบอยู่กับพื้นตรงหน้า ขวานเดินไปจิกหัวขึ้นมา “นี่สำหรับคนของฉันที่ถูกแกทำร้าย และต่อไปสำหรับคนที่คิดชั่วอย่างแก”
ลูกน้องทั้งสองคนเห็นความโหดแล้วก็ได้แต่หัวหดอย่างหวาดกลัว และยกมือขึ้นร้องขอความสงสารเมื่อปืนกับดาบเดินย่างสามขุมเข้ามาหา
“ไม่ ไม่อย่าทำอะไรพวกเราเลย”
“เราสำนึกผิดแล้ว ปล่อยพวกเราไปเถอะ” อีกคนรีบบอก
“เมื่อกี้คนของกูก็ร้องขอแบบนี้ แถมพวกเขาก็ไม่ได้ทำผิดอะไร อยู่ในแผ่นดินของตัวเอง แต่พวกมึงก็เข้ามาหาเรื่องและยังจับไปแขวนคอ ฉะนั้นกฏก็ต้องเป็นกฏ แต่การตายแบบนั้นมันง่ายไปสำหรับพวกมึง กูมีวิธีอื่นที่จะทำให้พวกมึงทรมานยิ่งกว่า”
พูดจบปืนก็เดินไปหิ้วน้ำสีดำมา เขาชูขึ้นตรงหน้าพวกมันพร้อมกับบอกว่า “พวกมึงอยากได้ไอ้น้ำสีดำนี้มากนักใช่ไหม กูจะสงเคราะห์ให้ และจะทำให้ดูว่านอกจากมันจะมีค่าแล้วมันมีโทษยังไงบ้าง” ว่าแล้วก็ราดใส่ตัวพวกมันรวมทั้งนายอธิปด้วย ซึ่งก็ได้แต่ร้องขอชีวิต แต่ทั้งสามคนไม่มีให้และเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เมื่อเห็นคบเพลิงถูกจุดขึ้นมา และไม่ใช่แค่มันสองคน คนที่ยืนมองอยู่บนหน้าผาก็ไม่ต่างกัน
“ไม่นะ” พิมพ์ลดากรีดร้องออกมาด้วยความกลัว แล้วหันมาวิงวอนคนที่ยืนอยู่ข้างๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า “คุณต้องห้ามพวกเขานะ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้บอกอะไร และพวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรด้วย”
“แล้วที่พวกมันทำร้ายคนของฉันละ การแขวนคอคนที่ไม่มีทางสู้ ไม่มีแม้แต่อาวุธ นั่นเรียกว่าอะไร” เสียงเพลิงเย็นเฉียบ และไม่ใช่แค่เสียง แม้แต่สีหน้าเขาก็เช่นกัน พิมพ์ลดาเองก็ตกตลึงไปเหมือนกันเพราะไม่รู้มาก่อน
“แต่คุณก็ไม่มีสิทธิพิพากษาพวกเขาแบบนั้น”
“แล้วใครมีสิทธิ จะบอกว่าคนมีกฎหมายอย่างนั้นเหรอ ที่นี่มันบ้านป่าเมืองเถื่อน ทุกอย่างมันต้องตาต่อตาฟันต่อฟัน ใครดีมาฉันดีตอบ ใครร้ายมาฉันร้ายกว่า และไม่มีคำว่าปราณีสำหรับคนเลวๆอีกแล้ว”
พิมพ์ลดามองต่ำลงไปข้างล่าง ไฟจากคบเพลิงยังลุกอยู่อย่างน่ากลัว แล้วหันกลับมามองหน้าคม “ฉันขอร้อง คุณอย่าทำอะไรพวกเขาเลยนะ ถ้าคุณอยากรู้ว่าเขามาหาฉันทำไม ฉันยอมบอกแล้วก็ได้”
“มันสายไปแล้วพิมพ์ลดาเพราะความเชื่อใจของฉันที่มีต่อเธอ มันหมดไปแล้ว”
ความผิดหวังที่เขาพูดออกมา ไม่เท่ากับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจของพิมพ์ลดา ความสุขมลายหายไปหมดเหลือเพียงหยาดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาจนหน้าเขาพร่ามัว และจางหายไปเมื่อเธอฝั่งมันไว้ให้ลึกสุดใจ “ฉันกลายเป็นไอ้งั่งให้เธอกับพ่อของเธอมาแล้วครั้งหนึ่ง จะไม่มีครั้งที่สองอีกแล้ว”
“งั้นคุณก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ แล้วลงโทษฉันแทน เพราะฉันเป็นคนบอกพวกเขาให้ไปที่นั้นเอง”
แววตาของเพลิงกระด้างขึ้น และเมื่อพญาอินทรีส่งเสียงร้องออกมา คบเพลิงก็ถูกโยนลงพื้น เปลวไฟลุกพรึบโชติช่วงขึ้นมา พิมพ์ลดาช็อกไปชั่วขณะก่อนจะกรีดร้องออกมา “ไม่” เพราะที่ไฟเผาไหม้อยู่นั้นคือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเธอ หัวใจเธอถูกบีบคั้นอย่างรุนแรงผวาเข้าทุบตีร่างสูงพร้อมต่อว่า “คนเลว สารเลว หัวใจคุณทำด้วยอะไร ทำไมถึงได้โหดร้ายอย่างนี้” สองมือเธอฟาดใส่ตัวเพลิงโดยไม่สนใจว่าจะโดนส่วนไหน “คุณฆ่าเขาทำไม คนใจร้าย”
เสียงเธอสั่นอย่างคับแค้นใจ เพลิงจึงจับมือเธอไว้กำแน่นและกำจนเกือบจะหัก ขณะมองหน้าเธออย่างกระด้าง “มันยังน้อยกว่าสิ่งที่พ่อเธอทำ”
“งั้นก็ฆ่าฉันด้วยซิ”
แววตาของเพลิงวาววับแล้วลากเธอมายืนตรงหน้าผา เพียงเขาปล่อยมือเธอก็จะตกลงไปทันที ใบหน้างามเชิดขึ้นอย่างไร้ความกลัว เมื่อตอนนี้สิ่งที่เขาทำคือการสะบั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งความรักความสุขความเชื่อใจ ทุกอย่างจบสิ้นแล้วเธอจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร การทรมานเหรอ เธอทรมานมาจนจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว แล้วจะต้องทรมานไปอีกนานแค่ไหน พอแล้ว พอ เสียงเธอร่ำไห้อยู่ในใจ แล้วตัดทุกสิ่งหลับตาก่อนจะลืมตาขึ้นเหลือแค่ความว่างเปล่า ใบหน้าสงบนิ่ง ค่อยๆบิดข้อมือออกจากมือเขา เพื่อหงายหลังลงสู่หุบเหวด้านล่าง แต่...
ฝ่ามือหนากลับพลิกจับข้อมือเธอไว้แน่นและกระชากเข้ามา แต่ร่างอรชรอ่อนระทวยลงหมดสติไปแล้ว เขาจึงได้แต่มองใบหน้างามที่ซีดเซียว ก่อนจะขบกรามเข้าหากันแน่นที่ตัวเองใจไม่แข็งพอ แล้วช้อนร่างอรชรขึ้นอุ้ม พาเดินไปที่เจ้าพยัต วางเธอบนหลังมันก่อนจะเหวี่ยงตัวเองขึ้นนั่งดึงตัวเธอมาพิงอก แล้วบังคับให้เจ้าพยัตวิ่งกลับไปที่เรือนเชิงผา
************
เปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ในถังน้ำสีดำค่อยๆดับลง คนโยนคบเพลิงลงขู่เหยียดริมฝีปากหยันไอ้พวกที่เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ แม้จะไม่โดนเผาทั้งเป็น แต่สีหน้าพวกมันที่ตื่นตระหนกก็ซีดเหมือนคนที่ตายไปแล้วจริงๆ และยังไม่กล้าจะขยับไปไหนเพราะกลัวเชื้อไฟจะกลายเป็นเชื้อเพลิงเผาตัวเพราะตัวยังเต็มไปด้วยน้ำมัน
นายอธิปมองหน้าผู้คุมกฎคุกทมิฬด้วยความคลางแคลงใจ ว่าทำไมถึงไม่เผาพวกตน จะว่าใจดีแววตาของพวกมันก็บอกว่าไม่ใช่ “แกปล่อยพวกฉันทำไม”
“ใครบอกว่าจะปล่อย” หนึ่งในผู้คุมกฏถามออกมา ลมหายใจของนายอธิปกับลูกน้องที่เพิ่งจะคล่องคอจึงติดขัดเพราะหวาดกลัวอีกครั้ง
“หมาย หมายความว่าไง” เสียงตะกุกตะกักดังแผ่ว
“หุบเขาพญาไม่ใช่สวนสาธารณะที่ใครจะเข้ามาเดินเล่นแล้วออกไปง่ายๆ” เสียงปืนห้วนเหี้ยม “ถ้าพวกแกคิดว่าทุกอย่างจะจบลงแค่นี้ ขอบอกว่าพวกแกคิดผิด ในเมื่อพวกแกไม่เคยหยุดที่บุกรุกที่นี่เพียงครั้งเดียวพวกฉันก็จะหยุดลงทัณฑ์พวกแกเพียงครั้งเดียวได้ยังไง”
“พวกเราสัญญาว่าจะหยุด”
“คำสัญญามันแค่ลมปากแต่สันดานต่างหากที่มันฝังอยู่ในตัว ซึ่งถ้าไม่ทำให้หลาบจำพวกแกไม่มีวันจะหยุด”
พูดจบปืนก็เดินไปหิ้วน้ำสีดำมาอีกถัง เขาราดเป็นวงกว้างรอบๆที่พวกมันนั่ง ก่อนจะทิ้งถังไป พร้อมๆกับเปลวไฟจากไม้ขีดในมือขวานก็ติดขึ้นมา “ถ้าพวกแกรอดไปจากเปลวเพลิงนี้ได้ นั่นแหละคือคำว่าปล่อยและขอให้ปล่อยวางจากหุบเขาพญาจริงๆเสียที แต่ถ้าไม่ก็อโหสิกรรมให้กันก็แล้วกัน”
สิ้นเสียงพูดขวานก็ดีดไม้ขีดลงพื้น “พรึบ” เปลวไฟลุกขึ้นมาไล่หลังทั้งสามคนที่เดินไปขึ้นหลังม้า แล้วควบออกไปโดยไม่สนใจเสียงคร่ำครวญ เสียงอ้อนวอนขอร้องของพวกโลภมาก แค่ที่ทำอยู่ก็ถือว่าปราณีมากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นพ่อของหญิงสาวที่เป็นนายหญิงหุบเขาพญาแล้วละก็ พวกมันคงเป็นผีไปนานแล้ว
ร่างอรชรที่ถูกอุ้มขึ้นบันไดเรือนเชิงผามา ทำให้สองนมที่นั่งเป็นห่วงหญิงสาวอยู่ถึงกับเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ผวาเข้ามาหานายแห่งหุบเขาที่เป็นคนอุ้มเธออยู่ทันที “ป๊ะเพลิง” ทั้งสองคนเอ่ยออกมาพร้อมกันขณะสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความตกใจ “เกิดอะไรขึ้นอีกเนี๋ย”
ไม่มีคำตอบจากเพลิงนอกจากเดินไปที่ห้องนอน วางร่างอรชรลงบนเตียงแล้วจะเดินออกมาจากห้อง นมสดกับนมสุกที่เดินตามมา คนหนึ่งรีบดักหน้าเขาไว้อีกคนก็รีบเข้าไปดูหญิงสาว “ทำไมหนูพิมพ์สลบไม่ได้สติอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้นป๊ะเพลิง”
เพลิงสบตาที่คาดคั้นของนมสดเพียงแวบเดียว ก็เดินอ้อมไปที่ประตู “เพราะพ่อของเธอนายอธิปใช่ไหม” คำพูดนี้หยุดมือที่กำลังจะเปิดประตูไว้ทันที “หนูพิมพ์ไม่ได้ทำอะไรเลยนะป๊ะเพลิง”
“ฉันเชื่อในสิ่งที่ฉันเห็น”
“แล้วได้ฟังในสิ่งที่เขาพูดกันด้วยหรือเปล่า”
“การยอมรับไม่เพียงพอหรือไง”
“หมายความว่าไง”
“สันดานคนเป็นยังไงก็เป็นยังงั้น สิ่งที่คิดว่าเปลี่ยนแท้จริงก็เป็นเพียงภาพลวงตามายาที่สร้างขึ้นมาเท่านั้น อย่าหลงให้มันมากนัก” พูดจบร่างสูงก็เปิดประตูออกไปทันที
นมสดยืนอึ้งอยู่เพียงครู่ก็หมุนตัวไปมองหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงก่อนจะสบตากับนมสุก ซึ่งก็ส่ายหน้าให้รู้ว่าไม่เชื่อเด็ดขาด จากนั้นก็ลุกขึ้นไปหยิบผ้ามาชุบน้ำเพื่อมาเช็ดตัวให้หญิงสาว โดยไม่เห็นว่าทันทีที่นางลุกขึ้นไป ก็มีน้ำตาซึมไหลออกมาจากหางตาของเธอ เพราะฟื้นขึ้นมาทันได้ยินประโยคเมื่อกี้พอดี
นมสดที่เดินมานั่งที่เตียงเห็นเข้าพอดีก็พลอยน้ำตาซึมไปด้วยเพราะคิดว่าเธอคงได้รับการทรมานอย่างแสนสาหัสถึงได้หมดสติอย่างนั้น “หนูพิมพ์” เสียงเรียกอันอ่อนโยน ทำให้พิมพ์ลดาลืมตาขึ้น กะพริบตาให้น้ำตาที่ยังคลออยู่เต็มเบ้าตาหายไป แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างคนไร้ชีวิตจิตใจ “เกิดอะไรขึ้น”
“นอกจากที่นี่แล้ว มีที่ไหนที่พอจะให้พิมพ์ไปบ้างคะ”
“หนูพิมพ์” น้ำเสียงเลือนลอยคล้ายเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากนั้นทำให้นมสดครางออกมาอย่างสงสาร “อยู่ที่นี่แหละค่ะ อยู่พิสูจน์ตัวเองให้ป๊ะเพลิงเห็นว่าหนูพิมพ์ไม่ได้ทำอะไรเลย”
พิมพ์ลดาไม่ฟังเสียงนมสด เพราะรู้แก่ใจดีว่าทุกอย่างมันจบสิ้นไปหมดแล้ว แล้วจะอยู่ให้ยิ่งเจ็บปวดไปเพื่ออะไร เธอลุกขึ้นยืนแม้ขาจะยังสั่นเพราะร่างกายที่อ่อนแอแต่ก็ฝืนไว้ด้วยใจที่เข้มแข็ง เดินไปที่ประตู นมสุกที่เดินถือผ้าเข้ามา ถึงกับตกใจ มองนมสดที่นั่งน้ำตาคลออยู่ ก็รีบวางผ้าไว้แล้วเดินมาที่หญิงสาว
“หนูพิมพ์ จะไปไหน”
สองมือของพิมพ์ลดายกขึ้นไหว้สองนม แล้วเดินออกไปจากห้อง นมสุกจะก้าวตามไปแต่เสียงนมสดเรียกไว้เสียก่อน “นางสุก ไม่ต้อง” สีหน้าของนมสุกเต็มไปด้วยความงุนงงและละล้าละลังทั้งอยากจะถามเหตุผลจากนมสดและอยากจะตามหญิงสาวไป
“ทำไม แล้วหนูพิมพ์จะไปไหน” นางเลือกถามหาเหตุผลเพราะคิดว่าหญิงสาวคงไปไหนได้ไม่ไกลจากเพิงหมาแหงนแน่นอน
“ปล่อยเธอไปเถอะ อย่าไปรั้งเธอไว้อีกเลย ให้คนที่เขาสร้างปัญหาไว้จัดการเองก็แล้วกัน”
“ทำไม” ตอนนี้นมสุกมีคำถามนี้คำถามเดียวจริงๆ
“ก็อย่างที่เห็น ครั้งนี้หนูพิมพ์บอบช้ำเหลือเกิน จิตใจของเธอคงได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักจนใครก็ไม่สามารถรักษาใจเธอได้ นอจากคนที่ทำร้ายใจเธอ”
“โธ่หนูพิมพ์” สีหน้าของนมสุกเศร้าลงไม่ต่างจากนมสด “แต่มันมืดแล้วนะนางสด นมพิมพ์จะมีอันตรายหรือเปล่า อย่าลืมว่ามีคนจ้องจะทำร้ายเธออยู่”
สีหน้าของนมสดกังวลขึ้นมาทันที แล้วตัดใจพูดออกมาว่า “บางครั้งเราก็ไม่อาจฝืนชะตาได้ จากนี้ไปอะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดเถอะ เอ็งกับข้าทำมามากแล้ว ตอนนี้ก็ทำใจเสียเถอะ” พูดจบนางก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง โดยมีนมสุกเดินตามหลังไปเงียบๆ
***********
ท่ามกลางท้องฟ้ามืดดำแสงจันทร์ลอยเด่นกระจ่างแสงสีเหลืองนวลชวนให้จับตามอง แต่คนที่ยืนมองอยู่บนระเบียงเรือนไม้ของหัวหน้าคุกทมิฬ กลับเย้ยหยันความงดงามนั้น เพราะคิดว่ามันก็เป็นเพียงภาพลวงตาที่ชวนให้ครอบครองแต่ไม่เคยมีใครครอบครองอย่างที่หวังไว้สักที ดวงตาคมจึงละสายตามามองแค่แก้วน้ำจันในมือ แล้วยกขึ้นดื่มจนหมด ก็หยิบขวดรินใส่แก้วใหม่และดื่มจนหมดอีก เป็นอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ฟ้าหม่นจนดำมืดสนิทไปทั้งคุกทมิฬ
ด้านหลังของเขาคือผู้คุมกฏทั้งสามคนปืน ดาบ ขวาน ซึ่งนั่งขัดสมาทอยู่บนพื้นเรือน หลังรายงานงานที่ไปทำมาทั้งหมดก็นั่งจับตามองนายแห่งหุบเขาที่เอาแต่ดื่ม สาเหตุนั้นพอจะรู้กันอยู่ว่าเกิดจากนายอธิปกับพวกแต่นั้นคงไม่สำคัญเท่ากับเชื่อว่าผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเมีย รู้เห็นเป็นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“เรื่องคนที่ปล่อยตัวไป เป็นไงบ้าง” เสียงนายแห่งหุบเขาดังฝ่าความเงียบขึ้นมา ผู้คุมกฎปรายตามองกันแวบเดียว ขวานก็เป็นคนบอกว่า
“คนของเรารายงานมาว่ามันยังกลบดานเงียบอยู่ คงระวังตัวเพราะกลัวจะโดนไอ้คนที่จ้างมาเก็บ”
“หรือไม่ก็อ่านแผนเราออก เพราะเคยทำแบบนี้เหมือนกัน” ปืนให้ความเห็นออกมาบ้าง
“แต่มันคงกบดานอยู่ได้ไม่นานหรอก” เสียงดาบเยาะขึ้นมาเพราะรู้จักคนประเภทนี้ดี “หมดเงินเมื่อไรหางมันก็จะโผล่ออกมาทันที เชื่อสิ ไอ้คนพวกนี้ทำอะไรไม่เป็นนอกจากแบมือขอเงินจากคนเป็นนายหรือคนที่จ้างมาเท่านั้น”
ปืนกับขวานพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ยังไงก็อย่าให้พลาด เพราะฉันต้องการถอนรากถอนโคนให้เกลี้ยง”
ผู้คุมกฏทั้งสามคนพยักหน้ารับเสียงกร้าวกระด้างที่สั่งออกมา และไม่มีใครพูดอะไรอีก นอกจากดื่มเหล้าเคล้าเสียงเสียงหรีดริ่งเรไรที่ร้องฝ่าความสงัดมาเป็นระยะ
ขณะที่อีกมุมหนึ่งของหุบเขาพญา สายตาคู่หนึ่งก็เหม่อมองดวงจันทราโดยไม่สนใจทุกสิ่งรอบตัวเช่นกัน แต่ภายใต้ความนิ่งเฉย คือความเจ็บปวดจากการสูญเสียทั้งความรักและผู้ให้กำเนิด แม้จะไม่รู้สึกถึงความผูกพันแต่สายเลือดที่ยังไหลอยู่ในตัวคนที่ได้ชื่อว่าพ่อก็ให้มา และต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่โดยที่เธอไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย น้ำตาเอ่อขึ้นมาแล้วไหลรินแต่ไม่มีเสียงสะอื้น
คนที่ยืนมองอยู่ด้านหลังได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างสงสาร พลางคิดไปถึงยามตะวันโพล้เพล้เมื่อเย็นนี้ เขาเพิ่งกลับจากการไปเยี่ยมคนป่วยและเดินเข้าไปในป่าหาสมุนไพร เจอกับหญิงสาวที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางป่า สีหน้าและท่าทางที่ดูเลื่อนลอยราวกับได้รับความเจ็บปวดมานั้นสร้างความงุนงงให้เขาไม่น้อยและสงสัยว่าเธอมายืนทำอะไรในป่าแบบนี้
‘สวัสดีครับนายหญิง จะไปไหนครับ’
‘พิมพ์ไม่มีค่าขนาดนั้น อย่าเรียกอีก’
คำพูดนั้นสร้างความสงสัยให้เขามากขึ้น เพราะเจือด้วยความข่มขืนอย่างกับคนที่สิ้นหวัง ‘ครับ’ เขารับปากทั้งที่สงสัย ‘แล้วคุณพิมพ์จะไปไหนครับ ป่าข้างหน้าน่ากลัวและใกล้จะมืดแล้วด้วย อันตรายนะครับ’
‘แล้วหมอมีที่ให้พิมพ์ไปไหมคะ’
นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ได้คุยกันแล้วเขาก็พาเธอมาพักที่เรือน ตั้งแต่มาถึงเธอก็นั่งอยู่บนเก้าอี้มุมระเบียงซุกตัวอยู่เงียบๆ ไม่ปริปากพูดอะไร เขาก็ไม่กล้าถามมากนักแต่คิดว่าคงไม่มีใครที่จะทำร้ายเธอให้เป็นอย่างนี้เท่ากับนายแห่งหุบเขา หมอถอนหายใจออกมาเบาๆ และคิดต่อว่าคงต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้เขาก็จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อบอกตัวเองอย่างนั้นหมอก็เดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ไม่ห่าง
“คุณพิมพ์ครับ” เสียงหมอที่ดังขึ้นข้างหลัง ทำให้เธอหันมามอง “หมอจัดสำรับและเสื้อผ้าไว้ให้แล้ว คุณพิมพ์ไปทานแล้วพักผ่อนเถอะครับ”
“ขอบคุณค่ะ และขอโทษที่ทำให้หมอลำบาก”
“หมอไม่ได้ลำบากอะไรเลย คุณพิมพ์ไม่ต้องคิดมาก”
เธอฝืนยิ้มออกมาให้เพียงเล็กน้อย แล้วหันไปมองความมืดที่เหมือนกับตัวเธอในเวลา ความหนาวเย็นที่สายลมพามาโดนตัวเพียงนิดก็หนาวเหน็บไปถึงใจ เพราะความสิ้นหวังอ้างว้างไปหมด “หมอคะ อย่าบอกใครว่าพิมพ์อยู่ที่นี่ได้ไหมคะ”
“ครับ แต่ถึงหมอไม่บอก คุณพิมพ์ก็รู้ใช่ไหมครับว่าเราปิดบังนายแห่งหุบเขาไม่ได้”
“ค่ะ แต่พิมพ์คงไร้ตัวตนสำหรับเขาไปแล้ว และอย่าเอ่ยถึงเขาออกมาอีกเลยนะคะและพรุ่งนี้พิมพ์คงต้องรบกวนหมออีกครั้ง”
“ได้ครับ” หมอรับปากแล้วถอยไปนั่งที่แคร่ที่เตรียมไว้เป็นที่นอนของตัวเอง และแน่ใจแล้วว่าที่หญิงสาวเป็นอย่างนี้เพราะนายแห่งหุบเขาจริงๆ
********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ต.ค. 2560, 10:34:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ต.ค. 2560, 10:34:18 น.
จำนวนการเข้าชม : 1569
<< ตอน 15 |
phakarat 9 ต.ค. 2560, 23:11:51 น.
ดีใจได้อ่านต่อค่ะขอบคุณที่เอามาลงให้อ่านอีกนะคะ
ดีใจได้อ่านต่อค่ะขอบคุณที่เอามาลงให้อ่านอีกนะคะ