เพลิงพญาล่ารัก (ปรับปรุง)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 15
ตอน 15
นายพลกฤษนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายตัวใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางสวนในคฤหาสน์ของตัวเอง ในมือมีโทรศัพท์ให้พลิกเล่นไปมา ขณะสายตามองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ไร้เมฆมาบดบังดวงอาทิตย์ที่ทอแสงลงมา เหมือนตัวเขาในเวลานี้ที่มีแต่เรื่องดีๆเข้ามา สิ่งที่ได้รู้จากไอ้ชาติสร้างความพอใจให้เขาไม่น้อย ความเป็นจริงขยับเข้ามาหาเขาอีกนิดแล้วซินะ หึๆๆ เขาหัวเราะอยู่ในใจ แล้วตวัดสายตาไปมองลูกน้องที่เดินมาหา มาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ก้มหน้าคำนับแล้วพูดออกมา
“ดอกไม้ไม่ได้ประดับบนแจกันแต่ถูกเด็ดทิ้งไปแล้วครับท่าน”
ไม่มีความแปลกใจในสีหน้าของนายพลกฤษ เพราะพอจะรู้จากการได้คุยกับคนที่ส่งดอกไม้ให้ไปอยู่แล้ว ว่าเป็นยังไง และรู้สึกผิดหวังที่มันไม่ใช่ไม้หลักปักขี้แลน โอนเอนไปกับสิ่งที่เขาส่งไปล่อลวงเพื่อให้ง่ายต่อการชักจูง แต่กลายเป็นไม้สักที่หนักแน่นไม่น้อย แต่ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง สุดท้ายมันก็จะต้องถูกเขาโค่นอยู่ดี
“ติดต่อมันไป บอกว่าฉันขอพบคืนนี้”
“ท่านจะขอโทษมันหรือครับ” เสียงท้วงด้วยความเป็นห่วง ว่าเจ้านายไม่ควรลดศักดิ์ศรีไปทำอย่างนั้น ทำให้นายพลกฤษยิ้มขอบใจมัน แล้วบอกว่า
“จะถือทำไมกับคำพูดลอยๆแค่คำสองคำ เพราะคนสมัยนี้มันไม่มีสัจจะกันอยู่แล้ว มันมีแต่ความอยากมีอยากได้ ชิงดีชิงเด่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการกันทั้งนั้น ไม่มีใครมายึดมั่นกับคำพูดอยู่หรอก” เสียงเขาออกจะหยัน “แล้วที่ฉันให้ไปสืบประวัติของมันเป็นยังไง”
“เป็นอย่างที่ท่านได้ยินมานั่นแหละครับ ไม่มีอะไรโคมลอยทั้งธุรกิจโรงแรมและบ่อน้ำมัน มีอยู่จริง เขาร่ำรวยแม้จะไม่ติดอันดับต่างๆ แต่ธุรกิจที่ทำกับความสำเร็จที่เกิดมีมากมายจริงๆครับ”
“งั้นฉันควรจะทำให้มันอยู่ในกำมือเร็วๆซินะ” พูดออกมาแล้วนายพลกฤษก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ โบกมือให้ลูกน้องไปจัดการเรื่องนัดหมาย แล้วเอนหลังพิงพนักผ่อนคลายสบายๆ เพราะทุกอย่างกำลังไปได้ตามแผนที่วางไว้ และถ้าสำเร็จ โลกทั้งใบนี้เหมือนจะเป็นของเขาจริงๆ
******
เวลาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วพระอาทิตย์ลับลาไป แสงไฟก็สว่างขึ้นมาแทน ร่างสูงของหินลงมาจากรถยนต์สุดหรู แหงนหน้าขึ้นมองโรงแรมสถานที่นัดหมาย แล้วตวัดสายตามองไปรอบบริเวณที่ยืนอยู่ แสงไฟบนต้นไม้วาววับตามจังหวะที่มนุษย์สร้างขึ้นมา มันสวยงาม แต่ยังสวยสู้สิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาไม่ได้ เขาคิดพลางเดินตรงไปที่ทางเข้า
ผู้คนหลายกลุ่มเดินผ่านเขาไป ทั้งผู้ชายผู้หญิงแต่งตัวสวยงามดูดีราวกับมาร่วมงานอะไรสักอย่าง ซึ่งหินก็ไม่ได้สนใจ เพราะไม่เกี่ยวกับเขา ที่เกี่ยวก็คือไอ้นายพลชั่วที่นัดเขามาต่างหาก ไม่ต้องคิดสงสัยก็พอจะเดาได้ว่ามันนัดเขามาทำไม ร่างสูงเดินผ่านประตูเข้ามา ตรงไปที่ลิฟต์แก้ว เข้าไปยืนทันทีที่เปิดออก หันหน้าไปมองวิวทิวทัศน์ของเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยแสงไฟที่งดงามแต่น่าอึดอัด เพราะอัดแน่นไปเสียทุกอย่าง ไม่น่าสบายตา สบายใจเหมือนหุบเขาพญาที่เขาจากมาเลย
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหมุนตัวกลับมามองด้านในของโรงแรมขณะลิฟต์แก้วพาวิ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ความหรูหราผ่านสายตาเขาไป แต่ไม่มีอะไรน่าจดจำ กระทั่งภาพถ่ายขนาดใหญ่ของคู่บ่าวสาว ที่ตั้งอยู่หน้าห้องๆหนึ่ง ใบหน้าของเจ้าสาวตรึงสายตาเขา แม้เพียงเสี้ยววินาทีที่ลิฟต์เลื่อนขึ้นไปก็ตาม
ความแปลกใจก่อเกิดขึ้นในใจของหิน เพราะไม่เคยมีผู้หญิงคนไหน ดึงดูดใจเขาไว้ได้เลย มุมปากเขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วปัดมันทิ้งไป เมื่อลิฟต์หยุด ประตูเปิดออก เขาก็ก้าวออกมาเดินตรงไปยังห้องที่นัดหมาย พนักงานที่ยืนอยู่โค้งคำนับให้ ก่อนจะเปิดประตู เชิญเขาเข้าไปด้านใน ก็ได้เห็นว่าเป็นห้องอาหารกึ่งผับ เสียงเพลงเพราะๆดังแผ่วมากระทบหู ขณะสายตามองหานายพลกฤษ แล้วก็ได้เห็นนั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ตรงมุมห้อง โดยมีลูกน้องยืนคอยรองมือรองเท้าอยู่ด้านหลังสองคน
เขารู้สึกเบื่อหน่ายจนอยากจะหันหลังกลับ แต่หน้าที่ทำให้ต้องปั้นสีหน้าก่อนจะก้าวไปหา นายพลกฤษยิ้มรับแขกวีไอพีของเขา แล้วเชิญให้นั่ง พร้อมกับส่งสายตาให้สาวสวยเข้าไปนั่งคอยดูแลอยู่ข้างๆ ถามไถ่เรื่องดินฟ้าอากาศพอหอมปากหอมคอ ก็เริ่มที่จะคุยถึงเรื่องที่ใกล้กับความต้องการของตัวเอง
“คืนก่อนผมต้องขอโทษด้วยที่สร้างความไม่พอใจให้แก่คุณ ด้วยการส่งดอกไม้ไปให้โดยพละการ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเพียงแต่อยากพักจึงต้องปฏิเสธความหวังดี หวังว่าท่านจะไม่ถือสา”
“ไม่ ไม่ ไม่ ความพอใจของคุณต่างหากที่ผมต้องถือ แต่น่าเสียดายที่ดอกไม้ของผมไม่ถูกใจคุณ”
“แล้วเรื่องที่ถูกใจผม ไม่ทราบว่าท่าน...”
นายพลกฤษยิ้มคล้ายจะเอ็นดูที่เขาใจร้อน โดยไม่รู้ว่าเป็นการเสแสร้งเพื่อหลอกให้ตายใจเท่านั้น “ผมได้ข้อมูลมาแล้ว ไม่ผิดไปจากที่คุณได้ยินมาเท่าไร แต่ที่สำคัญคนที่ไปเจอไปเห็นมาแล้วกับตาเป็นคนใกล้ตัวผมเอง”
สีหน้าของหินตื้นเต้นขึ้นมาทันที “แล้วอย่างนี้ผมพอจะมีโอกาสได้เห็นบ้างไหมครับ”
“เรื่องนั้น...” นายพลกฤษทำท่าคล้ายลำบากใจ แต่ใจจริงนั้นคือเล่ห์เหลี่ยมเพื่อเพิ่มความสนใจของอีกฝ่าย ซึ่งก็ได้ผลเมื่อเห็นความกระหายจากสีหน้าของอีกฝ่าย แล้วแสร้งถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะบอกว่า “ผมจะหาทางดูก็แล้วกัน”
“ทำไมเหรอครับ ที่นั้นมีอะไร” หินถามอย่างคลางแคลง แต่ทำให้นายพลกฤษหัวเราะเยาะเขาอยู่ในใจ
“ดอกไม้งามก็ต้องมีหนามแหลมเป็นธรรมดา น้ำสีดำก็เช่นกัน ที่ๆมันอยู่มีแต่อันตราย การจะเข้าไปดูไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทุกอย่างมันต้องมี...”
“เท่าไรผมก็ยินดีจะจ่าย”
“คุณนี่ทันผมจริงๆ” เขาชมออกมา “แต่อย่าคิดเป็นจำนวนกันเลย ผมขอเปลี่ยนเป็นการร่วมมือระหว่างธุรกิจของเราดีกว่า”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ถ้าผมได้เห็นมันจริงๆ โรงแรมแถบทะเลทรายที่กำลังจะผุดขึ้นมาของผม จะผู้ร่วมทุนเป็นคุณรวมอยู่ด้วยแน่นอน แต่ว่า ผมต้องขอชมคนของคุณ ที่หาข่าวได้เร็วขนาดนี้ ชักอยากรู้จักคนใกล้ตัวของคุณแล้วซิ จะได้ให้บรรยายว่าเมื่อแรกที่ได้เห็นนั้นมันวิเศษแค่ไหน”
“ถ้าความร่วมมือของเราเป็นไปด้วยดี คุณได้รู้จักเขาแน่ ไว้ผมจะพาเขามาแนะนำให้รู้จัก ว่าแต่คุณแค่อยากเห็นน้ำสีดำนั้นอย่างเดียว หรือว่า...”
“ถ้าผมบอกว่าแค่นั้นคุณก็คงหัวเราะเยาะผม และผมก็คงเป็นคนโง่มากๆ ที่ปล่อยให้สิ่งที่มีมูลค่ามหาศาลหลุดมือไป”
ฮะๆๆๆ นายพลกฤษหัวเราะเสียงดัง พอสิ้นเสียงหัวเราะเขาก็ชูฮกอีกฝ่ายขึ้นมา “ไม่เลว คุณศิลา ฉลาดมาก ผมชอบคุณจริงๆ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ขอเวลาผมไปเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อน แล้วคุณจะได้เห็นมัน ถึงตอนนั้นเราอาจจะได้ครอบครองมันด้วยกัน”
พูดจบเขาก็ยื่นแก้วไปขอชนกับหิน ซึ่งก็ชนด้วยความเต็มใจเป็นที่สุด ทั้งคู่นั่งดื่มกันไปด้วยท่าทางที่แสนสุข แต่ลึกลงไปกว่านั้นคือเล่ห์กลที่พร้อมกับหักเหลี่ยมเฉือนคมกันตลอดเวลา และไม่นานนายพลกฤษก็เป็นฝ่ายบอกว่า “ผมคงต้องขอตัวกลับก่อน แก่แล้วอยากจะพัก แต่คนหนุ่มๆอย่างคุณไม่ต้องกลัวว่าจะเหงา ผมมีของเตรียมไว้ให้คลายเหงาแล้ว”
“ผมบอกแล้วว่า...”
“ผมคิดแล้วว่าคุณจะปฏิเสธ แต่ผมคงต้องขัดใจคุณนิดหน่อย ไม่ได้มีอะไรมาก แค่อยากให้คุณมีความสุขเท่านั้น และรับรองว่าคุณจะจดจำคืนนี้ไปอีกนาน” ว่าแล้วเขาก็หันไปพยักหน้ากับลูกน้อง ไม่กี่อึดใจ แก้วใส่ไวน์ชั้นเลิศก็มายื่นให้ถึงมือ “แก้วสุดท้าย ฉลองให้กับความร่วมมือของเรา”
นายพลกฤษยกแก้วขึ้นเชิญ แล้วดื่มหมดแก้ว หินจำต้องดื่มเพื่อไม่ให้แผนที่วางไว้เสีย ซึ่งก็ได้เห็นรอยยิ้มที่พอใจของมัน แต่แววตามีเล่ห์เหลี่ยมบางอย่างที่ไม่น่าไว้ใจ แล้วเดินจากไป
หินมองตามหลังมันไปด้วยสายตาที่กระด้างและเจ็บใจที่มันมัดมือชกเขา ซึ่งรู้ดีว่าของที่ให้มาก็คงไม่พ้นผู้หญิง ครั้นจะยืนกรานปฏิเสธอีกครั้ง ก็กลัวว่าจะกระเทือนถึงการเป็นแขกวีไอพีที่มันให้มา แล้วสิ่งที่ทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่า อีกอย่างเขาไม่รู้ว่านี้จะเป็นเกมลองใจเขาของมันหรือเปล่า
มุมปากของหินเหยียดหยัน แล้วยกแก้วขึ้นดื่มดับอารมณ์โกรธ พอวางแก้วลงของที่มันพูดถึงก็เดินยิ้มหวานมาหา ร่างอรชรอยู่ชุดเซ็กซี่สีแดงสั้นเต่อ คอแหลมลึกถึงร่องอกอวบอิ่ม จนผู้ชายหลายคนที่นั่งอยู่ต่างโต๊ะเหลียวมองมา แต่ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจใคร นอกจากเดินตรงมาที่เขา ซึ่งกำลังคิดว่าจะทำยังไงเพื่อให้พ้นไปจากสถานการณ์นี้ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงชอบที่อ้อยมาป้อนให้ถึงปาก แต่คนอย่างเขาถ้าไม่รักไม่ชอบก็ไม่อยากจะยุ่งด้วย
ปลายนิ้วของหินเคาะกับโต๊ะขณะคิดว่าจะทำยังไง ให้บัวไม่ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น แล้วลุกขึ้นเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม เดินออกไปจากสถานการณ์นี้ โดยไม่สนว่าไอ้นายพลชั่วนั้นจะคิดยังไงเพราะแน่ใจว่ามันไม่มีทางที่จะตัดหางปล่อยวัดเขาเด็ดขาด เมื่อผลประโยชน์ล่อตามันอยู่นั้นเอง แต่...
เขาไม่สามารถทำอย่างที่คิดได้ เมื่อร่างกายกำลังมีบางอย่างผิดปรกติ มันวูบเหมือนเขาจะหลับลงไปในนาทีใดนาทีหนึ่ง ใจเขาหายวับหรือว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับป๊ะเพลิงมันกำลังจะเกิดขึ้นกับเขาด้วย แต่มันจะเกิดขึ้นได้ยังไง เขาถามตัวเอง แล้วคำรามอยู่ในใจ ‘ไอ้นายพลกฤษ’ ไอ้ชั่ว มันเอาอะไรให้เขากินและมันทำแบบนี้ทำไม หรือเพื่อปิดทางปฏิเสธของเขา
‘สารเลว’
เขาแค้นจนหนังหน้ากระตุก แล้วชมที่มันฉลาดคิดจะปิดทางปฏิเสธเขา ให้มัวเมาอยู่กับอบายมุขของมัน เพื่อใช้เป็นเกมต่อรองกับเขาครั้งต่อไป อย่าหวังว่าเขาจะยอมเป็นเหยื่อให้กลายเป็นลูกไก่ในกำมือของมันง่ายๆ
หินยกมือขึ้นกดขมับ แล้วหยิบขวดน้ำมาเทราดลงบนหัว เพื่อให้หายมึน สาวสวยที่เดินมาถึงมองอย่างตกใจ แต่ไม่ถอยห่างเพราะค่าจ้างที่ได้มานั้นมันมากพอที่เธอจะมองข้ามทุกอย่างไป ยิ้มหวานเป็นทับหน้าแล้วพาตัวเข้ามาไปเบียดแขนแกร่งสอดสองมือคล้องแขนพลางมองด้วยสายตายั่วยวนแต่ยังไม่ทันได้พูด ก็ถูกผลักออกไป
“ไปให้พ้น”
เสียงรอดไรฟันออกมาอย่างน่ากลัว แต่หญิงสาวไม่ถือสาเดินเข้ามาหาใหม่ “ใจร้ายจังค่ะ ยังไม่ทันได้รู้จัก ได้ทักทาย ได้สัมผัส ได้...” เธอยิ้มยั่วก่อนจะบอกว่า “อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ก็ไล่กันเสียแล้ว”
หินไม่สนใจว่าเธอจะพร่ำอะไร เขาคว้าแก้วน้ำสาดใส่หน้าตัวเอง แล้วบีบแก้วจนแตกคามือ คมแก้วบาดลึกจนเลือดไหลหยด แต่ไม่มีอาการเจ็บปวดออกมาให้เห็น หญิงสาวที่มองอยู่ตกใจก่อนจะหน้าซีด เมื่อมือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดยื่นมาแตะที่แก้ม
“ถ้าไม่อยากแหลกเหมือนแก้วก็อยู่เฉยๆ”
หญิงสาวตัวสั่นด้วยความกลัวพลางมองร่างสูงที่เดินออกไปจากโต๊ะ เธออยากจะก้าวตามแต่เลือดที่แก้มทำให้ไม่กล้า ส่วนหินก็พยายามฝืนความรู้สึกบางอย่างที่กำลังแล่นริ้วขึ้นมาครอบงำตัวเขา พาตัวเองไปให้พ้นจากที่นี่โดยเร็ว เพราะแน่ใจว่าคนของไอ้นายพลชั่วต้องจับตามองอยู่แน่นอน เขากำมือข้างที่เจ็บเพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นทาสสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่สนใจว่าเลือดจะไหลเยอะแค่ไหน และเมื่อประตูลิฟต์เปิดเขาก็ถลาเข้าไปในลิฟต์ไว้ทันที
เขารีบกดปุ่มให้ลิฟต์ปิดและกดตัวเลขโดยไม่รู้ว่าลิฟต์กำลังพาเขาไปชั้นไหน เพราะดวงตากำลังพร่ามัวและพร้อมจะปิด ไม่ได้เขาจะหลับไม่ได้ ถ้าเขาหลับ เขาอาจจะต้องกลายเป็นลูกไก่ให้ไอ้นายพลชั่วบีบเล่นทันที แม้จะไม่รู้ว่ามันคิดจะทำอะไร แต่ถ้านี้เป็นการวัดใจกัน เขาก็จะทำให้มันเห็นให้มันรู้ว่าเขาไม่ได้อ่อนหัด แต่เขาเป็นหิน เป็นหัวหน้าแห่งคุกทมิฬ เป็นคนของป๊ะเพลิง
เขาเอาหัวกระแทกกับผนังลิฟต์เพื่อรั้งสติไว้ พอประตูลิฟต์เปิดออกไม่ว่าชั้นไหน ก็ก้าวเซๆออกไปทันที แต่ขาเขาแทบจะก้าวไม่ออก ต้องเดินลากไปเรื่อยๆ ขณะที่ดวงตากับสมองเบลอไปหมด แต่แล้วในความเบลอ เขาเห็นประตูห้องหนึ่งเปิดออก ก็ถลาเข้าไปทันที และพยายามพูดออกไปให้เจ้าของห้องช่วยเหลือ
“อย่าให้ใครมาเอาตัวฉันไป”
ปากเขาพูดไปอย่างนั้นแต่สมองเขาจำไม่ได้แล้วว่าได้พูดอะไรออกไปอีกบ้าง และยังพูดต่อไปอีกหลายคำ ก่อนสติเขาจะดับวูบก็ได้ยินเสียงนุ่มๆดังขึ้นแต่เขาจับใจความไม่ได้ นอกจากจะเออออแล้วความรู้สึกเขาก็ดับวูบลงทันที
*******
ดวงจันทราลอยเด่นอยู่กลางนภา แสงสีเหลืองอร่ามงามจับตาจับใจ หญิงสาวที่นั่งมองอยู่ตรงหน้าต่างของห้องนอนบนเรือนเชิงผา ยิ่งมีแสงดวงดาวมารายล้อมดวงจันทร์ก็ยิ่งสวย พิมพ์ลดายิ้มออกมาและคิดว่าตั้งแต่เธอลืมตาขึ้นมาในหุบเขาพญา วันนี้เป็นวันที่เธอรู้สึกถึงความสุข สุขที่มาจากการยอมรับของคนที่เข้ามาอยู่ในหัวใจเธอตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“หนูพิมพ์” เธอหันมามองตามเสียงเรียกของนมสด หลังจากพาหมอกานต์มาดูอาการของเธอซึ่งไม่มีอาการใดให้น่าเป็นห่วงแล้วก็กลับไป แต่แม่นมทั้งสองคนยังนั่งอยู่กับเธอ “ไปนอนได้แล้วค่ะ ไม่ต้องรอป๊ะเพลิงหรอก”
“ไม่ได้รอเสียหน่อย” เสียงเธอเบา จนนมสดยิ้มอย่างรู้ทัน
“ดูงานในหุบเขาเสร็จแล้วป๊ะเพลิงก็ต้องไปดูที่คุกทมิฬด้วย เพราะนายหินไม่อยู่ จึงกลับมืดกว่าทุกวัน”
“งั้นนมก็ไปพักเถอะค่ะ พิมพ์พักมาทั้งวันแล้ว ยังไม่ง่วงเลยค่ะ”
“ถึงอย่างนั้นก็ต้องนอนค่ะ จะได้หายไวๆตามที่หมอกานต์บอก”
“ก็ได้ค่ะ”
เธอรับปาก เพราะไม่อยากให้ทั้งสองคนเป็นห่วงอีก ทั้งคู่จึงพากันกลับไปห้องของตัวเอง แต่พิมพ์ลดายังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่นานก็ลุกขึ้นแต่ไม่ทันได้หมุนตัวเดินออกมา ก็มีคนยื่นมือที่กำเอาไว้มาตรงหน้า ก่อนจะคลายออกให้เห็นเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยส่องแสงกะพริบวิบๆสวยงามอยู่บนฝ่ามือ แล้วกางปีกบินออกไปทางหน้าต่าง จนหายวับไปจากสายตา
“ขอบคุณค่ะ” เธอเอียงหน้ามาบอกคนที่เอามาให้ ทั้งที่อยากจะหมุนตัวมา แต่ไออุ่นจากตัวเขาที่ชิดใกล้อยู่ข้างหลัง ทำให้กลัวเขาจะเห็นความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในแววตา
“ทำไมไม่รอ”
“คะ” เธอทำหน้างุนงง แล้วก็เข้าใจเมื่อสายตาเขามองชุดนอนที่เธอใส่อยู่ แต่จะให้เธอรอให้เขามาเช็ดตัวได้ยังไง อายตาย บอกตัวเองแล้วก็บอกเขาว่า “ก็ พิมพ์ทำเองได้นิค่ะ”
“ขัดคำสั่งฉันจะทำยังไงดี” เขาถามพลางยื่นแขนไปเท้ากับขอบหน้าต่าง ตัวเธอจึงเหมือนตกอยู่ในอ้อมแขนเขา แค่นั้นยังไม่พอยังรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่แก้มด้วย
“ตีมือได้ไหมคะ”
“ได้ แต่ฉันอุทธรณ์ขอเปลี่ยนจากมือเป็นแก้มได้ไหม และขอเพิ่มอีกอย่างไม่ใช้มือตีแต่เปลี่ยนเป็นปลายจมูกได้หรือเปล่า”
“ไม่ได้ค่ะ เพราะขอยืนยันตามศาลชั้นต้น ห้ามเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรทั้งสิ้น”
เพลิงยกมุมปากขึ้นยิ้ม แล้ววางปลายคางบนไหล่เธอ พร้อมกับถามว่า “ถ้าฉันจะทำเสียอย่าง เธอจะทำยังไง โกรธ เกลียด หรืออาย”
“ถ้าให้สิทธิ์พิมพ์ขนาดนั้น พิมพ์จะสั่งขังคุกทมิฬ”
“เปลี่ยนเป็นคุกหัวใจเธอได้ไหม”
“ไม่ได้หรอกค่ะ” เธอบอกทั้งที่แก้มแดงเพราะปลาบปลื้มไปกับคำพูดของเขา ก่อนจะข่มเอาไว้แล้วบอกว่า “เพราะไม่มีใครขังใจของใครได้ นอกจากเจ้าของหัวใจจะเต็มใจอยู่เอง”
“แล้วถ้าฉันเต็มใจ”
“แล้วคุณเชื่อใจพิมพ์หรือยัง” ถามแล้วเธอก็หมุนตัวมามองหน้าคม ซึ่งพูดคำอื่นออกมาแทนคำที่เธออยากฟัง
“มายร์เดียร์”
พิมพ์ลดาไม่แน่ใจความหมายนัก จะคิดเองเออเอง ถ้าไม่ใช่อย่างที่คิดก็จะเสียใจ แต่จะให้ถามเขาก็ยังไม่กล้าพอ เพลิงก็ไม่พูดอะไรอีก เดินไปเข้าห้องน้ำ เธอก็เดินไปหยิบกางเกงนอนทั้งชั้นในชั้นนอกออกมาวางให้เขาที่ปลายเตียง แม้จะรู้สึกเขินอยู่บ้าง แต่ความจริงที่เธอกับเขาแต่งงานกันแล้ว แม้จะจำไม่ได้ ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้เช่นกัน
จากนั้นก็นั่งคิดไปเรื่อยๆ กระทั่งเพลิงนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำ และเห็นสิ่งที่วางอยู่ปลายเตียง ความรู้สึกดีๆก็เกิดขึ้นในใจเขาอีก ปรายตามองร่างอรชรเพียงนิด ก็เดินไปหยิบกางเกงมาใส่ เรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินมาขอผ้าขนหนูจะเอาไปเก็บ แต่เส้นด้ายที่พันอยู่ที่ปลายนิ้วทำให้เธอจับมือเขามาดู แล้วเงยหน้าขึ้นบอกเขาว่า
“เล็บฉีกค่ะ เดี๋ยวพิมพ์ตัดให้”
“ไม่ต้องหรอก ดึงก็ออกแล้ว”
“ไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวยิ่งฉีกก็ยิ่งเจ็บ”
“เจ็บแค่ตอนแรกจากนั้นก็ไม่เจ็บแล้ว”
“เคยทำหรือคะ”
“ใช่” คำตอบสั้น แต่แววตาที่มองอยู่บอกความหมายมากกว่านั้น มันเหมือนว่าเขากำลังโลมลูบเธอด้วยสายตา จึงรีบหมุนตัวเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งก่อนที่เธอจะแก้มแดงให้เขาเห็น หยิบกรรไกรตัดเล็บเพราะเคยเห็นว่าอยู่ในลิ้นชักออกมา ขณะที่เพลิงรู้สึกสุขใจกับการที่ได้หยอกเย้าเธอเล่น ได้เห็นการเขินอาย การมองค้อน ที่ช่างน่ารัก แล้วถอยไปนั่งบนเตียง จับตามองร่างอรชรกระทั่งเดินกลับมาหา มานั่งข้างๆ และขอมือเขา แต่เขากลับยกตัวเธอมานั่งบนตัก
พิมพ์ลดาตาโตด้วยความตกใจแต่จะเลื่อนตัวลงก็ไม่ได้ เพราะเขากอดไว้แน่น จึงอ้อมแอ้มบอกว่า “ปล่อยค่ะ พิมพ์ตัดไม่ถนัด”
“ไม่ต้องตัดหรอก นอนเถอะ”
“ทำไมคะ” ถามไปแล้วก็รอฟังว่าเขาจะตอบว่าไง แต่เพลิงกลับตอบด้วยการกระทำด้วยการยกปลายนิ้วขึ้นแตะที่แผลและรอยช้ำที่เห็นชัดอยู่ ก็คิดว่าเขาเป็นห่วง แต่การคิดเองไม่น่าชื่นใจเท่ากับได้ยินจากปากเขา
“ฉันเป็นห่วง”
“หมอกานต์บอกว่าพิมพ์ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”
“ถึงงั้นก็ควรเอาใจใส่ตัวเองมากกกว่ามาเอาใจใส่ฉัน ที่ไม่ได้เป็นอะไรเลย หรือว่าอยากให้ฉันเอาใจบ้าง”
“ถ้าพิมพ์บอกว่าใช่ แล้วคุณจะทำไงคะ” เธอแหย่เขาโดยไม่คิดอะไร แต่หารู้ไม่ว่าเหมือนเป็นการชี้โพรงให้กระรอกที่รอคอยจะแทะลิ้มชิมน้ำหวานอยู่แล้ว เพียงแต่...
“หายเจ็บแล้วฉันจะบอก”
พิมพ์ลดากดยิ้มด้วยความเขิน ก่อนจะร้องอุ้ยออกมา เมื่อเพลิงดึงตัวเธอลงนอนพร้อมกับเขา แขนข้างหนึ่งกักตัวเธอไว้ อีกข้างก็ไล้แก้มเธอเบาๆ แล้วหยอกเอินเธอว่า “อยากรู้ก่อนสักนิดไหม” เธอส่ายหน้าว่าไม่เพราะหัวใจเธอเต้นแรง แล้วหนีหน้าด้วยการหลับตา แต่อย่าคิดว่าจะพ้น เพราะริมฝีปากของเพลิงบอกใบ้ให้รู้ด้วยการจูบแผ่วที่หน้าผาก ดวงตา แก้มนุ่มแล้วหยุดนิ่งที่เรียวปากอิ่ม
“ลืมตาซิพิมพ์”
ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันคล้ายเจ้าตัวกำลังชั่งใจ ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นสบตาเขาที่เหมือนจะละลายใจเธอ แล้ว...ราตรีสวัสดิ์”
“ค่ะ ราตรีสวัสดิ์” บอกแล้วก็รีบซุกซ่อนหน้าที่สุดเขินไว้กับอกเขา เพลิงยิ้มด้วยความเอ็นดู แล้วนอนกอดเธอด้วยความสุขใจ
******
แสงไฟดับลงเมื่อดวงอาทิตย์ทอแสงขึ้นมาตรงเส้นขอบฟ้า ลำแสงสีทองลอดผ่านผ้าม่านที่ติดอยู่ภายในห้องของโรงแรมหรู ซึ่งเจ้าของห้องคือหญิงสาวกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงเคียงคู่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง ใบหน้าคมติดจะกระด้าง จมูกโด่งเป็นสันรับกับคิ้วเข้มพาดเฉียงกับดวงตาที่ยังปิดสนิท เธอพลิกตัวมากอดเขาเพราะความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ แต่ดูเหมือนจะยังไม่หายหนาวจึงเบียดตัวเข้าหา กระทั่งความหนาวคลายลงไปบ้าง ร่างกายก็นิ่งสนิท
ดวงตาของคนที่โดนกอดเริ่มที่จะกะพริบ แต่ยังไม่สามารถที่จะลืมได้เต็มตา เพราะรู้สึกมึนไปทั้งหัว จึงยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วกดขมับจนความมึนคลายลงไปบ้างก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่ดวงตาเขาเห็นคือฝ้าสีขาว โคมไฟระย้าคล้ายๆกับห้องพักที่เขาอยู่ แต่...มีบางอย่างกำลังบอกเขาว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องของเขา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยแต่ยังไม่ทันได้ครุ่นคิดก็มีบางอย่างขยุกขยิกอยู่ข้างๆ เขาละสายตามามองแล้วต้องเกร็งไปทั้งตัวเมื่อสิ่งที่รู้สึกนั่นคือ
‘ผู้หญิง’
ความงุนงงจู่โจมเข้ามาในสมองพร้อมทบทวนความทรงจำว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แล้วเด้งตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วเมื่อคิดออก ใบหน้าที่ติดจะกระด้างเคร่งเครียดด้วยความเจ็บใจ ที่ในที่สุดก็เสียรู้ไอ้นายพลชั่วจนได้ สองมือกำเข้าหากันแล้วต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบ ไม่มีความสงสัยว่าเจ็บเพราะอะไรเมื่อจำได้แล้ว นอกจากยกมือขึ้นเพื่อดูแผล แต่ไม่เห็นเพราะมีผ้าก๊อสพันไว้ แล้วละสายตามาสำรวจตัวเอง ชุดที่ใส่เมื่อคืนหายไปมีเสื้อคลุมโรงแรมมาอยู่บนตัวแทน เขาถอนหายใจอย่างหงุดหงิด แล้วจะลุกขึ้น แต่สายตามองไปที่ผู้หญิงที่หลับอยู่ข้างๆเสียก่อน ใบหน้าของเธอนั้นไม่ใช่ผู้หญิงของไอ้นายพลชั่ว
‘แล้วเธอเป็นใคร’
คำถามผุดขึ้นมาหรือว่าเป็นเจ้าของห้อง เขาคิดและต้องหยุดคิดอย่างทันท่วงทีเมื่อมีภาพบางอย่างผุดขึ้นมา ... เมื่อหน้าเธอนั้นเหมือนกับหน้าของผู้หญิงที่อยู่ในรูปที่เขามองอย่างลืมตัวนั่นเอง แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าเธอกำลังเป็นเจ้าสาวของผู้ชายคนอื่น แล้วเขามาอยู่บนเตียงเดียวกับเธอได้ยังไง
เขาไม่อยากจะเชื่อว่าฟ้าจะเล่นตลกกับเขาขนาดนี้ ใบหน้าเธอแม้ยามหลับก็ยังสวย ปาก คอ คิ้ว คาง ทุกอย่างรับกันอย่างหมดจดงดงามนักในสายตาเขา แล้วปรับสีหน้าให้นิ่งเฉยเมื่อเธอเริ่มรู้สึกตัว ดวงตาค่อยๆลืมขึ้น จนเขาได้เห็นความดำขลับ เธอลุกขึ้นนั่งมองหน้าเขา ไม่มีความงุนงงใดๆให้เห็น นอกจากจะยกมือขึ้นเสยเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าไปทัดใบหูพร้อมกับเปิดยิ้มให้เขา แล้วเสียงใส่ๆก็ดังออกมา
“สวัสดีค่ะคุณสามี”
“ฉันไม่เคยมีภรรยา”
หินปฏิเสธออกมาทันท่วงที ขณะที่สีหน้าก็บอกความไม่พอใจหญิงสาวที่เรียกเขาอย่างนั้น แต่เธอกลับยักไหล่ไม่เดือดร้อนกับทีท่าของเขา “แสดงว่าความจำเลือนหายไป”
“หมายความว่าไง”
เสียงเขาแข็งกระด้างสีหน้าก็ไม่ต่างกัน ถ้าเขาอยู่ที่คุกทมิฬหลายคนคงกลัว แต่นี่เธอกลับไม่มีอาการให้เห็น มุมปากเขาจึงยกขึ้นหยัน เลิกสนใจคำถาม เหวี่ยงขาลงจากเตียง กวาดสายตามองไปรอบห้องเพื่อหาชุดของตัวเอง เมื่อไม่เห็นก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าดู แต่ก็ไม่มี จึงยกมือขึ้นเท้าสะเอวอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันมามองร่างอรชรที่ยังนั่งมองเขาอยู่บนเตียง
“เสื้อผ้าฉันอยู่ไหน”
เขาถามแต่แทนที่เธอจะตอบคำถามเขา กลับย้อนถามมาว่า “เมื่อคืนคุณจำอะไรไม่ได้จริงๆเหรอ”
“ฉันไม่สนว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
“แต่ฉันสน” เธอบอกแล้วขยับตัวลงจากเตียง เดินไปพับฉากที่กางอยู่มุมห้อง ให้เขาเห็นชุดสูทของตัวเอง ซึ่งวางคู่กับชุดเจ้าสาวของเธอ แล้วหันมามองสบตาเขาพร้อมบอกว่า “เมื่อคืนนี้คุณเข้ามาในห้องฉัน แล้วพูดว่าอย่าให้ใครเอาตัวฉันไป แต่นั้นไม่สำคัญเท่ากับคำสัญยิงสัญญาที่คุณให้ไว้กับฉัน ว่าถ้าฉันช่วยคุณได้ คุณก็จะช่วยฉัน แล้วเมื่อคืนนี้..” เธอเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเขา “เป็นคืนแต่งงานของฉันกับผู้ชายแย่ๆคนหนึ่ง ซึ่งหนีงานวิวาห์ไปแล้ว ฉันก็เลยได้คุณมาแก้หน้าเป็นสามีแทน”
“ท้องกี่เดือนแล้วละถึงได้รีบร้อนหาผัว”
น้ำเสียงดูถูกกับสายตาที่มองอย่างดูแคลน ทำให้เธอชักสีหน้าใส่ด้วยความโกรธ แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็หายไป เพราะความจำเป็นมันมีมากกว่ามาใส่ใจคำพูดเขา แล้วยิ้มประชดแต่ยังอดที่จะว่าออกมาไม่ได้ “ปากหรือนั่น หน้าตาก็หล่อ แต่ปากไม่หล่อเหมือนหน้าเลย หยาบคายที่สุด แล้วจะบอกให้นะว่า ถึงฉันจะรีบร้อนหาผัว แต่ไม่มั่วไปหมดหรอกนะ”
“แล้วที่ทำไม่เรียกว่ามั่ว แล้วจะให้เรียกว่าอะไร”
“แก้ผ้าเอาหน้ารอดย่ะ”
“โดยใช้ฉันเป็นผัวสำรอง แล้วไอ้ผัวตัวจริงมันไปไหนเสียละ”
“เข้าป่าไปหาเก้ง เพราะไม่อาจปั้นหน้าว่ารักชะนีอย่างฉันได้อีกแล้วนะซิ”
มุมปากของหินเหยียดหยัน แล้วเดินผ่านตัวเธอไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเองมาใส่ สลัดเสื้อคลุมออกโดยไม่รู้ว่าเธอหมุนตัวตามมามอง เสียงร้องว้ายจึงดังขึ้นให้ได้ยิน แต่เขาไม่สนใจ ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็เดินมายืนกอดอกตรงหน้าเธอ
“ฉันสัญญาว่าถ้าเธอช่วยฉัน ฉันจะช่วยเธอใช่ไหม ตอนนี้ฉันเป็นผัวสำรองให้เธอเรียบร้อยแล้ว ก็ถือว่าฉันทำตามที่รับปากไว้แล้ว เราก็หมดหนี้ต่อกัน ฉันไปละ”
“ไม่ได้นะ” เสียงเธอร้อนรนขึ้นมาพลางจับแขนเขาไว้ “คุณต้องช่วยฉันให้ตลอดรอดฝั่งซิ จะทิ้งทุ่นกันอย่างนี้ฉันไม่ยอมนะ ตอนนี้พ่อแม่พี่น้องญาติๆฉัน ต่างก็รู้ว่าคุณเป็นสามีฉันแล้ว ถ้า ถ้าคุณจะทิ้งฉันไปอีก ฉันก็อายเขาตายซิ แค่ชั่วคืนเจ้าบ่าวหนี พอมีสามีก็จะทิ้งฉันไปอีก ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“บนคอนั้นแหละ”
บอกแล้วก็ปลดมือนุ่มออกจากแขน แต่เธอกลับยื้อไว้ไม่ยอมปล่อย แถมยังมองอย่างขอร้อง หินจึงเยาะออกมา “ดีจังโว้ยไม่ต้องเสียสักกะตังแดงเดียวก็ได้เมียมากอดฟรีๆ” เขาไม่พูดเปล่ายังใช้แขนที่ว่างกอดตัวเธอมาแนบอก แล้วก้มหน้าลงมาใกล้แก้มเนียนจนได้เห็นความหวั่นไหวในแววตา แต่อย่าคิดว่าเขาจะสน เมื่อยังบอกอีกว่า “แต่ตอนนี้ฉันยังไม่อยากได้เมียฟรี ถึงจะประเคนมาให้ถึงปากไม่เอา”
“สับปลับ”
“อย่าพูดออกมาสาวน้อย ถ้าเธอยังไม่รู้จักฉันดีพอ”
“ฉันไม่สน ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน แต่คุณมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
“งั้นเธอก็ไม่ใช่ลูกผู้หญิงเหมือนกัน เพราะผู้หญิงที่ดี เขาไม่เสนอตัวให้ผู้ชายแบบนี้หรอก”
ใบหน้างามร้อนผ่าวราวกับโดนตบ แค่นั้นยังไม่พอเขายังผลักเธอออกราวกับรังเกียจนักหนา แล้วก้าวยาวๆออกจากห้องนอนไปที่ประตูห้องพัก เปิดประตูออกเพื่อจะก้าวออกไป แต่... สีหน้าของเขาต้องนิ่งสนิท เมื่อเห็นไอ้นายพลชั่วยืนอยู่หน้าประตูพร้อมลูกน้องอีกสองคน แล้วอยากจะกระทืบมันให้หมอบคาตีน แต่กลัวว่าแผนที่วางไว้จะสูญเปล่า จึงต้องทำเฉย
“สวัสดีคุณศิลา แปลกใจหรือครับที่เห็นผม”
“ครับ และไม่คิดว่าคุณจะตามผมเหมือนเงาตามตัวขนาดนี้”
นายพลกฤษยิ้มรับคำแดกดันเล็กๆนั้นแล้วบอกว่า “โทษที จริงๆแล้วผมไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้นะ แต่ลูกน้องผมไปบอกว่าคุณบาดเจ็บ ผมจึงรีบมาดู ไม่คิดว่าความหวังดีเล็กๆน้อยๆ จะทำให้คุณเจ็บตัว” เขาว่าพลางหลุบตามองมือที่พันผ้าก๊อสไว้
“ไม่เป็นไรครับ แต่ว่าผมเป็นคนเจ็บแล้วจำ”
ฮะๆๆๆ นายพลกฤษหัวเราะเสียงดัง “แต่อย่าจำในสิ่งที่ผมทำเลย เพราะเป็นแค่การทดลองทดสอบของผมเท่านั้น หวังว่าคุณจะไม่ถือสา เพราะงานของผมมันค่อนข้างเสี่ยง จึงต้องการความมั่นใจว่าคนที่จะมาร่วมงานกับผมนั้นเป็นยังไง ไม่อยากได้คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาร่วมทาง เพราะจะกลายเป็นหอกข้างแคร่ให้ผมต้องย่ำแย่ จึงต้องทดสอบกันนิดหนึ่ง และงานนี้ผมถือว่าคุณสอบผ่าน”
“ขอบคุณครับ แต่ผมไม่ชอบการล้ำเส้นเกินไป และถ้าหากว่ามันมากนักหรือเกิดขึ้นอีกสักครั้ง บางทีผมอาจจะหาผู้ร่วมทางคนใหม่” หินบอกเพื่อให้ไอ้นายพลชั่วเห็นว่าเขาไม่พอใจกับสิ่งที่มันทำมาก และไม่สนใจมันเลยถ้าเขาไม่พอใจ ซึ่งก็ได้ผลเมื่อสีหน้าและแววตาของมันเคร่งเครียดขึ้น
“ผมขอโทษอีกครั้งก็แล้วกันและจะไม่ทำเรื่องที่คุณไม่พอใจอีก”
หินแสดงสีหน้าว่าพอใจให้เห็น แล้วจะก้าวออกไป แต่...ต้องเปลี่ยนใจ เมื่อเห็นสายตาไอ้นายพลชั่วมองไปด้านหลัง เขาขบฟันข่มความหงุดหงิดไว้เมื่อรู้ว่ามันมองใครโดยไม่ต้องหันไปมองเลย และก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อมันเอ่ยขึ้นมา
“คุณนี่ตาถึงใจๆ มิน่าถึงไม่สนใจดอกไม้ของผมเพราะมีดอกไม้ส่วนตัวอยู่แล้วนี่เอง แต่ว่าแค่เด็ดดมชมเล่นแค่ชั่วคราวหรือถาวรละ”
“ถาวรค่ะ” เสียงตอบออกมา พร้อมกับร่างอรชรที่เดินมายืนเคียงข้างร่างสูง ยิ้มหวานให้คนถามแต่ในใจนั้นคิดว่าเขาคงไม่พอใจ แต่เธอรึจะสนเพราะความจำเป็นต้องมัดเขาให้อยู่ไว้ก่อน โดยไม่รู้ว่าที่เธอคิดนั้นถูกส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนที่หินนิ่งนั้นเพราะยังไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับไอ้นายพลชั่วก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเกี่ยวข้อง เขาก็ไม่อยากจะพลาดให้มันเอามาเป็นข้ออ้างต่อรองกับอีกเขา
“โฮะ ต้องขอโทษด้วยที่ผมพูดแย่ๆออกไป ไม่ได้คิดจะดูถูกอะไรนะครับ แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง แล้วพอจะแนะนำตัวให้ผมรู้จักไว้บ้างได้ไหมครับ”
“อย่ารู้เลยค่ะ เพราะไม่คิดจะไปเป็นของเล่นแค่ชั่วคราวของใคร”
“หึๆๆ” นายพลกฤษหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เพราะน้อยครั้งจะเจอหญิงสาวที่มีความเป็นตัวเอง ไม่กลัว ไม่เกรงเขา “คุณนี้คมไม่เลว งั้นผมไม่รบกวนแล้วดีกว่า ขอตัวนะครับคุณศิลา และขอโทษอีกครั้งที่ทำให้คุณขุ่นเคืองใจ จากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้วแน่นอน” ให้คำมั่นแล้วนายพลกฤษก็เดินจากไปพร้อมลูกน้อง
ขณะที่ศิลาก็กระชากประตูปิดดังโครม แล้วหันขวับมาจับแขนหญิงสาวลากเข้าไปในห้องนอน เหวี่ยงเธอไปนั่งแหมะอยู่บนเตียง แล้วยืนจังก้ามองใบหน้างามที่เริ่มตึงขึ้นด้วยความไม่พอใจ และไม่รู้ว่าชายเสื้อคลุมเปิดให้เขาเห็นขาอ่อนนวลเนียนน่าสัมผัสนั้น ที่จริงเขาควรจะเดินออกไปโดยไม่ต้องสนใจเธออีก แต่แววตาไอ้นายพลชั่วนั้นทำให้ต้องเปลี่ยนใจ เพราะเธอถูกมันหมายหัวว่าเกี่ยวข้องกับเขาแล้วแน่นอน อีกอย่างถ้าเธอเกี่ยวข้องกับมัน การมีเธอไว้ใกล้ตัวให้รู้เขารู้เราดีกว่าที่จะปล่อยให้มันรู้เขาฝ่ายเดียว
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” เสียงเธอถามออกมาอย่างสงสัย แต่เขากลับถามไปอีกอย่าง
“เธอต้องการอะไร”
“ฉันตอบไปแล้วว่าต้องการคุณเป็นสามี”
“ถึงขนาดใช้วิธีด้านได้อายอดเหรอ”
“นี่” เสียงเธอออกจะโกรธ “ฉันไม่สนหรอกว่าคุณจะมองยังไง ฉันรู้แต่ว่าคุณต้องรับผิดชอบฉัน รับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง เมื่อรับปากฉันแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด”
“แบบไหนละ อ๋อฉันรู้แล้ว ฉันยังไม่ได้เปิดซิงเธอนี่เอง ถึงได้ร่ำร้องนัก”
“อีตาบ้า” เสียงเธอวี้ดออกมาขณะที่หน้าก็แดงก่ำ “ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้นสักหน่อย ฉันหมายถึงว่าคุณต้องไปอยู่กับฉันหรือฉันต้องไปอยู่กับคุณ เพื่อกันข้อครหาอย่างน้อยก็น่าจะสักระยะหนึ่ง ให้พ่อแม่กับวงศาคณาญาติของฉันไม่ต้องอับอายประชาชีที่เชิญมาร่วมเป็นสักขีพยานเมื่อคืนนี้นะ ที่จริงฉันก็ไม่ได้สนใจพวกนี้เท่าไรหรอก เพราะจะทุกข์หรือสุขก็อยู่ที่ฉันไม่ได้อยู่ที่เขา แต่ฉันไม่อยากให้พ่อกับแม่ไม่สบายใจอีกว่าเลือกคนใหม่มาแต่งงาน แล้วต้องเลิกกันตั้งแต่ข้าวสารยังไม่ลงไปก้นหม้อสักเม็ดด้วยซ้ำ น่าคุณช่วยฉันหน่อย” เธออ้อนวอนออกมา “ฉันสัญญาว่าจะไม่สร้างความรำคาญหรือเป็นตัวยุ่งให้คุณเด็ดขาด”
“ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้”
“หมายความว่าไง” เธอถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
“ฉันหมายถึงว่าการแต่งงานครั้งนี้มันมีความจำเป็นกับเธอมากนักเหรอ ถึงต้องอ้อนวอนฉัน ผู้ชายที่เธอไม่เคยรู้จักหัวนอนปลายเท้ามาก่อนแม้แต่ชื่อก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ มาเป็นผัว”
“ปากคุณนี่มันหยาบคาย น่าตบสักทีสองทีจริงๆ” เธอว่าอย่างไม่มีความกลัวพลางลุกขึ้นมายืนตรงหน้า สบตาที่ออกจะดุๆ แล้วบอกว่า “เอาง่ายๆนะคุณ ตอนนี้ฉันสิ้นคิด อย่างที่บอก ต้องขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อนเพื่อไม่ให้อับอายขายขี้หน้าไปมากกว่านี้ เพราะก่อนหน้านี้ฉันไม่สนใจผู้ชายที่พ่อกับแม่หามาให้ บอกว่าอยากหาเองและก็ได้เจอกับเขา คบกันได้ปีกว่าๆ ก็ตกลงแต่งงานกัน แต่พ่อกับแม่ฉันจะคัดค้าน เพราะอาบน้ำร้อนมาก่อนก็พอจะมองออกว่าเขาอาจจะไม่จริงใจ และดูแลฉันไม่ได้ แต่ฉันตาบอด ไม่สนใจคำตักเตือนจะแต่งให้ได้ สุดท้ายก็อย่างที่เห็นเจ้าบ่าวมาบอกฉันว่า ไม่สามารถที่จะร่วมหอลงโรงกับฉันได้ เพราะเพิ่งค้นพบว่าตัวเองชอบเก้งมากกว่าชะนี แล้วก็ทิ้งทุกอย่าง ทิ้งให้ฉันสุดแค้นแสนช้ำอยู่คนเดียว”
“แล้วฉันมาเป็นผัวสำรองเธอได้ยังไง”
**********
ชอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ แล้วพบกับเรื่องใหม่เร็วๆนี้ค่ะ
นายพลกฤษนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายตัวใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางสวนในคฤหาสน์ของตัวเอง ในมือมีโทรศัพท์ให้พลิกเล่นไปมา ขณะสายตามองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ไร้เมฆมาบดบังดวงอาทิตย์ที่ทอแสงลงมา เหมือนตัวเขาในเวลานี้ที่มีแต่เรื่องดีๆเข้ามา สิ่งที่ได้รู้จากไอ้ชาติสร้างความพอใจให้เขาไม่น้อย ความเป็นจริงขยับเข้ามาหาเขาอีกนิดแล้วซินะ หึๆๆ เขาหัวเราะอยู่ในใจ แล้วตวัดสายตาไปมองลูกน้องที่เดินมาหา มาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ก้มหน้าคำนับแล้วพูดออกมา
“ดอกไม้ไม่ได้ประดับบนแจกันแต่ถูกเด็ดทิ้งไปแล้วครับท่าน”
ไม่มีความแปลกใจในสีหน้าของนายพลกฤษ เพราะพอจะรู้จากการได้คุยกับคนที่ส่งดอกไม้ให้ไปอยู่แล้ว ว่าเป็นยังไง และรู้สึกผิดหวังที่มันไม่ใช่ไม้หลักปักขี้แลน โอนเอนไปกับสิ่งที่เขาส่งไปล่อลวงเพื่อให้ง่ายต่อการชักจูง แต่กลายเป็นไม้สักที่หนักแน่นไม่น้อย แต่ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง สุดท้ายมันก็จะต้องถูกเขาโค่นอยู่ดี
“ติดต่อมันไป บอกว่าฉันขอพบคืนนี้”
“ท่านจะขอโทษมันหรือครับ” เสียงท้วงด้วยความเป็นห่วง ว่าเจ้านายไม่ควรลดศักดิ์ศรีไปทำอย่างนั้น ทำให้นายพลกฤษยิ้มขอบใจมัน แล้วบอกว่า
“จะถือทำไมกับคำพูดลอยๆแค่คำสองคำ เพราะคนสมัยนี้มันไม่มีสัจจะกันอยู่แล้ว มันมีแต่ความอยากมีอยากได้ ชิงดีชิงเด่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการกันทั้งนั้น ไม่มีใครมายึดมั่นกับคำพูดอยู่หรอก” เสียงเขาออกจะหยัน “แล้วที่ฉันให้ไปสืบประวัติของมันเป็นยังไง”
“เป็นอย่างที่ท่านได้ยินมานั่นแหละครับ ไม่มีอะไรโคมลอยทั้งธุรกิจโรงแรมและบ่อน้ำมัน มีอยู่จริง เขาร่ำรวยแม้จะไม่ติดอันดับต่างๆ แต่ธุรกิจที่ทำกับความสำเร็จที่เกิดมีมากมายจริงๆครับ”
“งั้นฉันควรจะทำให้มันอยู่ในกำมือเร็วๆซินะ” พูดออกมาแล้วนายพลกฤษก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ โบกมือให้ลูกน้องไปจัดการเรื่องนัดหมาย แล้วเอนหลังพิงพนักผ่อนคลายสบายๆ เพราะทุกอย่างกำลังไปได้ตามแผนที่วางไว้ และถ้าสำเร็จ โลกทั้งใบนี้เหมือนจะเป็นของเขาจริงๆ
******
เวลาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วพระอาทิตย์ลับลาไป แสงไฟก็สว่างขึ้นมาแทน ร่างสูงของหินลงมาจากรถยนต์สุดหรู แหงนหน้าขึ้นมองโรงแรมสถานที่นัดหมาย แล้วตวัดสายตามองไปรอบบริเวณที่ยืนอยู่ แสงไฟบนต้นไม้วาววับตามจังหวะที่มนุษย์สร้างขึ้นมา มันสวยงาม แต่ยังสวยสู้สิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาไม่ได้ เขาคิดพลางเดินตรงไปที่ทางเข้า
ผู้คนหลายกลุ่มเดินผ่านเขาไป ทั้งผู้ชายผู้หญิงแต่งตัวสวยงามดูดีราวกับมาร่วมงานอะไรสักอย่าง ซึ่งหินก็ไม่ได้สนใจ เพราะไม่เกี่ยวกับเขา ที่เกี่ยวก็คือไอ้นายพลชั่วที่นัดเขามาต่างหาก ไม่ต้องคิดสงสัยก็พอจะเดาได้ว่ามันนัดเขามาทำไม ร่างสูงเดินผ่านประตูเข้ามา ตรงไปที่ลิฟต์แก้ว เข้าไปยืนทันทีที่เปิดออก หันหน้าไปมองวิวทิวทัศน์ของเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยแสงไฟที่งดงามแต่น่าอึดอัด เพราะอัดแน่นไปเสียทุกอย่าง ไม่น่าสบายตา สบายใจเหมือนหุบเขาพญาที่เขาจากมาเลย
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหมุนตัวกลับมามองด้านในของโรงแรมขณะลิฟต์แก้วพาวิ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ความหรูหราผ่านสายตาเขาไป แต่ไม่มีอะไรน่าจดจำ กระทั่งภาพถ่ายขนาดใหญ่ของคู่บ่าวสาว ที่ตั้งอยู่หน้าห้องๆหนึ่ง ใบหน้าของเจ้าสาวตรึงสายตาเขา แม้เพียงเสี้ยววินาทีที่ลิฟต์เลื่อนขึ้นไปก็ตาม
ความแปลกใจก่อเกิดขึ้นในใจของหิน เพราะไม่เคยมีผู้หญิงคนไหน ดึงดูดใจเขาไว้ได้เลย มุมปากเขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วปัดมันทิ้งไป เมื่อลิฟต์หยุด ประตูเปิดออก เขาก็ก้าวออกมาเดินตรงไปยังห้องที่นัดหมาย พนักงานที่ยืนอยู่โค้งคำนับให้ ก่อนจะเปิดประตู เชิญเขาเข้าไปด้านใน ก็ได้เห็นว่าเป็นห้องอาหารกึ่งผับ เสียงเพลงเพราะๆดังแผ่วมากระทบหู ขณะสายตามองหานายพลกฤษ แล้วก็ได้เห็นนั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ตรงมุมห้อง โดยมีลูกน้องยืนคอยรองมือรองเท้าอยู่ด้านหลังสองคน
เขารู้สึกเบื่อหน่ายจนอยากจะหันหลังกลับ แต่หน้าที่ทำให้ต้องปั้นสีหน้าก่อนจะก้าวไปหา นายพลกฤษยิ้มรับแขกวีไอพีของเขา แล้วเชิญให้นั่ง พร้อมกับส่งสายตาให้สาวสวยเข้าไปนั่งคอยดูแลอยู่ข้างๆ ถามไถ่เรื่องดินฟ้าอากาศพอหอมปากหอมคอ ก็เริ่มที่จะคุยถึงเรื่องที่ใกล้กับความต้องการของตัวเอง
“คืนก่อนผมต้องขอโทษด้วยที่สร้างความไม่พอใจให้แก่คุณ ด้วยการส่งดอกไม้ไปให้โดยพละการ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเพียงแต่อยากพักจึงต้องปฏิเสธความหวังดี หวังว่าท่านจะไม่ถือสา”
“ไม่ ไม่ ไม่ ความพอใจของคุณต่างหากที่ผมต้องถือ แต่น่าเสียดายที่ดอกไม้ของผมไม่ถูกใจคุณ”
“แล้วเรื่องที่ถูกใจผม ไม่ทราบว่าท่าน...”
นายพลกฤษยิ้มคล้ายจะเอ็นดูที่เขาใจร้อน โดยไม่รู้ว่าเป็นการเสแสร้งเพื่อหลอกให้ตายใจเท่านั้น “ผมได้ข้อมูลมาแล้ว ไม่ผิดไปจากที่คุณได้ยินมาเท่าไร แต่ที่สำคัญคนที่ไปเจอไปเห็นมาแล้วกับตาเป็นคนใกล้ตัวผมเอง”
สีหน้าของหินตื้นเต้นขึ้นมาทันที “แล้วอย่างนี้ผมพอจะมีโอกาสได้เห็นบ้างไหมครับ”
“เรื่องนั้น...” นายพลกฤษทำท่าคล้ายลำบากใจ แต่ใจจริงนั้นคือเล่ห์เหลี่ยมเพื่อเพิ่มความสนใจของอีกฝ่าย ซึ่งก็ได้ผลเมื่อเห็นความกระหายจากสีหน้าของอีกฝ่าย แล้วแสร้งถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะบอกว่า “ผมจะหาทางดูก็แล้วกัน”
“ทำไมเหรอครับ ที่นั้นมีอะไร” หินถามอย่างคลางแคลง แต่ทำให้นายพลกฤษหัวเราะเยาะเขาอยู่ในใจ
“ดอกไม้งามก็ต้องมีหนามแหลมเป็นธรรมดา น้ำสีดำก็เช่นกัน ที่ๆมันอยู่มีแต่อันตราย การจะเข้าไปดูไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทุกอย่างมันต้องมี...”
“เท่าไรผมก็ยินดีจะจ่าย”
“คุณนี่ทันผมจริงๆ” เขาชมออกมา “แต่อย่าคิดเป็นจำนวนกันเลย ผมขอเปลี่ยนเป็นการร่วมมือระหว่างธุรกิจของเราดีกว่า”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ถ้าผมได้เห็นมันจริงๆ โรงแรมแถบทะเลทรายที่กำลังจะผุดขึ้นมาของผม จะผู้ร่วมทุนเป็นคุณรวมอยู่ด้วยแน่นอน แต่ว่า ผมต้องขอชมคนของคุณ ที่หาข่าวได้เร็วขนาดนี้ ชักอยากรู้จักคนใกล้ตัวของคุณแล้วซิ จะได้ให้บรรยายว่าเมื่อแรกที่ได้เห็นนั้นมันวิเศษแค่ไหน”
“ถ้าความร่วมมือของเราเป็นไปด้วยดี คุณได้รู้จักเขาแน่ ไว้ผมจะพาเขามาแนะนำให้รู้จัก ว่าแต่คุณแค่อยากเห็นน้ำสีดำนั้นอย่างเดียว หรือว่า...”
“ถ้าผมบอกว่าแค่นั้นคุณก็คงหัวเราะเยาะผม และผมก็คงเป็นคนโง่มากๆ ที่ปล่อยให้สิ่งที่มีมูลค่ามหาศาลหลุดมือไป”
ฮะๆๆๆ นายพลกฤษหัวเราะเสียงดัง พอสิ้นเสียงหัวเราะเขาก็ชูฮกอีกฝ่ายขึ้นมา “ไม่เลว คุณศิลา ฉลาดมาก ผมชอบคุณจริงๆ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ขอเวลาผมไปเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อน แล้วคุณจะได้เห็นมัน ถึงตอนนั้นเราอาจจะได้ครอบครองมันด้วยกัน”
พูดจบเขาก็ยื่นแก้วไปขอชนกับหิน ซึ่งก็ชนด้วยความเต็มใจเป็นที่สุด ทั้งคู่นั่งดื่มกันไปด้วยท่าทางที่แสนสุข แต่ลึกลงไปกว่านั้นคือเล่ห์กลที่พร้อมกับหักเหลี่ยมเฉือนคมกันตลอดเวลา และไม่นานนายพลกฤษก็เป็นฝ่ายบอกว่า “ผมคงต้องขอตัวกลับก่อน แก่แล้วอยากจะพัก แต่คนหนุ่มๆอย่างคุณไม่ต้องกลัวว่าจะเหงา ผมมีของเตรียมไว้ให้คลายเหงาแล้ว”
“ผมบอกแล้วว่า...”
“ผมคิดแล้วว่าคุณจะปฏิเสธ แต่ผมคงต้องขัดใจคุณนิดหน่อย ไม่ได้มีอะไรมาก แค่อยากให้คุณมีความสุขเท่านั้น และรับรองว่าคุณจะจดจำคืนนี้ไปอีกนาน” ว่าแล้วเขาก็หันไปพยักหน้ากับลูกน้อง ไม่กี่อึดใจ แก้วใส่ไวน์ชั้นเลิศก็มายื่นให้ถึงมือ “แก้วสุดท้าย ฉลองให้กับความร่วมมือของเรา”
นายพลกฤษยกแก้วขึ้นเชิญ แล้วดื่มหมดแก้ว หินจำต้องดื่มเพื่อไม่ให้แผนที่วางไว้เสีย ซึ่งก็ได้เห็นรอยยิ้มที่พอใจของมัน แต่แววตามีเล่ห์เหลี่ยมบางอย่างที่ไม่น่าไว้ใจ แล้วเดินจากไป
หินมองตามหลังมันไปด้วยสายตาที่กระด้างและเจ็บใจที่มันมัดมือชกเขา ซึ่งรู้ดีว่าของที่ให้มาก็คงไม่พ้นผู้หญิง ครั้นจะยืนกรานปฏิเสธอีกครั้ง ก็กลัวว่าจะกระเทือนถึงการเป็นแขกวีไอพีที่มันให้มา แล้วสิ่งที่ทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่า อีกอย่างเขาไม่รู้ว่านี้จะเป็นเกมลองใจเขาของมันหรือเปล่า
มุมปากของหินเหยียดหยัน แล้วยกแก้วขึ้นดื่มดับอารมณ์โกรธ พอวางแก้วลงของที่มันพูดถึงก็เดินยิ้มหวานมาหา ร่างอรชรอยู่ชุดเซ็กซี่สีแดงสั้นเต่อ คอแหลมลึกถึงร่องอกอวบอิ่ม จนผู้ชายหลายคนที่นั่งอยู่ต่างโต๊ะเหลียวมองมา แต่ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจใคร นอกจากเดินตรงมาที่เขา ซึ่งกำลังคิดว่าจะทำยังไงเพื่อให้พ้นไปจากสถานการณ์นี้ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงชอบที่อ้อยมาป้อนให้ถึงปาก แต่คนอย่างเขาถ้าไม่รักไม่ชอบก็ไม่อยากจะยุ่งด้วย
ปลายนิ้วของหินเคาะกับโต๊ะขณะคิดว่าจะทำยังไง ให้บัวไม่ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น แล้วลุกขึ้นเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม เดินออกไปจากสถานการณ์นี้ โดยไม่สนว่าไอ้นายพลชั่วนั้นจะคิดยังไงเพราะแน่ใจว่ามันไม่มีทางที่จะตัดหางปล่อยวัดเขาเด็ดขาด เมื่อผลประโยชน์ล่อตามันอยู่นั้นเอง แต่...
เขาไม่สามารถทำอย่างที่คิดได้ เมื่อร่างกายกำลังมีบางอย่างผิดปรกติ มันวูบเหมือนเขาจะหลับลงไปในนาทีใดนาทีหนึ่ง ใจเขาหายวับหรือว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับป๊ะเพลิงมันกำลังจะเกิดขึ้นกับเขาด้วย แต่มันจะเกิดขึ้นได้ยังไง เขาถามตัวเอง แล้วคำรามอยู่ในใจ ‘ไอ้นายพลกฤษ’ ไอ้ชั่ว มันเอาอะไรให้เขากินและมันทำแบบนี้ทำไม หรือเพื่อปิดทางปฏิเสธของเขา
‘สารเลว’
เขาแค้นจนหนังหน้ากระตุก แล้วชมที่มันฉลาดคิดจะปิดทางปฏิเสธเขา ให้มัวเมาอยู่กับอบายมุขของมัน เพื่อใช้เป็นเกมต่อรองกับเขาครั้งต่อไป อย่าหวังว่าเขาจะยอมเป็นเหยื่อให้กลายเป็นลูกไก่ในกำมือของมันง่ายๆ
หินยกมือขึ้นกดขมับ แล้วหยิบขวดน้ำมาเทราดลงบนหัว เพื่อให้หายมึน สาวสวยที่เดินมาถึงมองอย่างตกใจ แต่ไม่ถอยห่างเพราะค่าจ้างที่ได้มานั้นมันมากพอที่เธอจะมองข้ามทุกอย่างไป ยิ้มหวานเป็นทับหน้าแล้วพาตัวเข้ามาไปเบียดแขนแกร่งสอดสองมือคล้องแขนพลางมองด้วยสายตายั่วยวนแต่ยังไม่ทันได้พูด ก็ถูกผลักออกไป
“ไปให้พ้น”
เสียงรอดไรฟันออกมาอย่างน่ากลัว แต่หญิงสาวไม่ถือสาเดินเข้ามาหาใหม่ “ใจร้ายจังค่ะ ยังไม่ทันได้รู้จัก ได้ทักทาย ได้สัมผัส ได้...” เธอยิ้มยั่วก่อนจะบอกว่า “อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ก็ไล่กันเสียแล้ว”
หินไม่สนใจว่าเธอจะพร่ำอะไร เขาคว้าแก้วน้ำสาดใส่หน้าตัวเอง แล้วบีบแก้วจนแตกคามือ คมแก้วบาดลึกจนเลือดไหลหยด แต่ไม่มีอาการเจ็บปวดออกมาให้เห็น หญิงสาวที่มองอยู่ตกใจก่อนจะหน้าซีด เมื่อมือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดยื่นมาแตะที่แก้ม
“ถ้าไม่อยากแหลกเหมือนแก้วก็อยู่เฉยๆ”
หญิงสาวตัวสั่นด้วยความกลัวพลางมองร่างสูงที่เดินออกไปจากโต๊ะ เธออยากจะก้าวตามแต่เลือดที่แก้มทำให้ไม่กล้า ส่วนหินก็พยายามฝืนความรู้สึกบางอย่างที่กำลังแล่นริ้วขึ้นมาครอบงำตัวเขา พาตัวเองไปให้พ้นจากที่นี่โดยเร็ว เพราะแน่ใจว่าคนของไอ้นายพลชั่วต้องจับตามองอยู่แน่นอน เขากำมือข้างที่เจ็บเพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นทาสสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่สนใจว่าเลือดจะไหลเยอะแค่ไหน และเมื่อประตูลิฟต์เปิดเขาก็ถลาเข้าไปในลิฟต์ไว้ทันที
เขารีบกดปุ่มให้ลิฟต์ปิดและกดตัวเลขโดยไม่รู้ว่าลิฟต์กำลังพาเขาไปชั้นไหน เพราะดวงตากำลังพร่ามัวและพร้อมจะปิด ไม่ได้เขาจะหลับไม่ได้ ถ้าเขาหลับ เขาอาจจะต้องกลายเป็นลูกไก่ให้ไอ้นายพลชั่วบีบเล่นทันที แม้จะไม่รู้ว่ามันคิดจะทำอะไร แต่ถ้านี้เป็นการวัดใจกัน เขาก็จะทำให้มันเห็นให้มันรู้ว่าเขาไม่ได้อ่อนหัด แต่เขาเป็นหิน เป็นหัวหน้าแห่งคุกทมิฬ เป็นคนของป๊ะเพลิง
เขาเอาหัวกระแทกกับผนังลิฟต์เพื่อรั้งสติไว้ พอประตูลิฟต์เปิดออกไม่ว่าชั้นไหน ก็ก้าวเซๆออกไปทันที แต่ขาเขาแทบจะก้าวไม่ออก ต้องเดินลากไปเรื่อยๆ ขณะที่ดวงตากับสมองเบลอไปหมด แต่แล้วในความเบลอ เขาเห็นประตูห้องหนึ่งเปิดออก ก็ถลาเข้าไปทันที และพยายามพูดออกไปให้เจ้าของห้องช่วยเหลือ
“อย่าให้ใครมาเอาตัวฉันไป”
ปากเขาพูดไปอย่างนั้นแต่สมองเขาจำไม่ได้แล้วว่าได้พูดอะไรออกไปอีกบ้าง และยังพูดต่อไปอีกหลายคำ ก่อนสติเขาจะดับวูบก็ได้ยินเสียงนุ่มๆดังขึ้นแต่เขาจับใจความไม่ได้ นอกจากจะเออออแล้วความรู้สึกเขาก็ดับวูบลงทันที
*******
ดวงจันทราลอยเด่นอยู่กลางนภา แสงสีเหลืองอร่ามงามจับตาจับใจ หญิงสาวที่นั่งมองอยู่ตรงหน้าต่างของห้องนอนบนเรือนเชิงผา ยิ่งมีแสงดวงดาวมารายล้อมดวงจันทร์ก็ยิ่งสวย พิมพ์ลดายิ้มออกมาและคิดว่าตั้งแต่เธอลืมตาขึ้นมาในหุบเขาพญา วันนี้เป็นวันที่เธอรู้สึกถึงความสุข สุขที่มาจากการยอมรับของคนที่เข้ามาอยู่ในหัวใจเธอตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“หนูพิมพ์” เธอหันมามองตามเสียงเรียกของนมสด หลังจากพาหมอกานต์มาดูอาการของเธอซึ่งไม่มีอาการใดให้น่าเป็นห่วงแล้วก็กลับไป แต่แม่นมทั้งสองคนยังนั่งอยู่กับเธอ “ไปนอนได้แล้วค่ะ ไม่ต้องรอป๊ะเพลิงหรอก”
“ไม่ได้รอเสียหน่อย” เสียงเธอเบา จนนมสดยิ้มอย่างรู้ทัน
“ดูงานในหุบเขาเสร็จแล้วป๊ะเพลิงก็ต้องไปดูที่คุกทมิฬด้วย เพราะนายหินไม่อยู่ จึงกลับมืดกว่าทุกวัน”
“งั้นนมก็ไปพักเถอะค่ะ พิมพ์พักมาทั้งวันแล้ว ยังไม่ง่วงเลยค่ะ”
“ถึงอย่างนั้นก็ต้องนอนค่ะ จะได้หายไวๆตามที่หมอกานต์บอก”
“ก็ได้ค่ะ”
เธอรับปาก เพราะไม่อยากให้ทั้งสองคนเป็นห่วงอีก ทั้งคู่จึงพากันกลับไปห้องของตัวเอง แต่พิมพ์ลดายังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่นานก็ลุกขึ้นแต่ไม่ทันได้หมุนตัวเดินออกมา ก็มีคนยื่นมือที่กำเอาไว้มาตรงหน้า ก่อนจะคลายออกให้เห็นเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยส่องแสงกะพริบวิบๆสวยงามอยู่บนฝ่ามือ แล้วกางปีกบินออกไปทางหน้าต่าง จนหายวับไปจากสายตา
“ขอบคุณค่ะ” เธอเอียงหน้ามาบอกคนที่เอามาให้ ทั้งที่อยากจะหมุนตัวมา แต่ไออุ่นจากตัวเขาที่ชิดใกล้อยู่ข้างหลัง ทำให้กลัวเขาจะเห็นความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในแววตา
“ทำไมไม่รอ”
“คะ” เธอทำหน้างุนงง แล้วก็เข้าใจเมื่อสายตาเขามองชุดนอนที่เธอใส่อยู่ แต่จะให้เธอรอให้เขามาเช็ดตัวได้ยังไง อายตาย บอกตัวเองแล้วก็บอกเขาว่า “ก็ พิมพ์ทำเองได้นิค่ะ”
“ขัดคำสั่งฉันจะทำยังไงดี” เขาถามพลางยื่นแขนไปเท้ากับขอบหน้าต่าง ตัวเธอจึงเหมือนตกอยู่ในอ้อมแขนเขา แค่นั้นยังไม่พอยังรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่แก้มด้วย
“ตีมือได้ไหมคะ”
“ได้ แต่ฉันอุทธรณ์ขอเปลี่ยนจากมือเป็นแก้มได้ไหม และขอเพิ่มอีกอย่างไม่ใช้มือตีแต่เปลี่ยนเป็นปลายจมูกได้หรือเปล่า”
“ไม่ได้ค่ะ เพราะขอยืนยันตามศาลชั้นต้น ห้ามเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรทั้งสิ้น”
เพลิงยกมุมปากขึ้นยิ้ม แล้ววางปลายคางบนไหล่เธอ พร้อมกับถามว่า “ถ้าฉันจะทำเสียอย่าง เธอจะทำยังไง โกรธ เกลียด หรืออาย”
“ถ้าให้สิทธิ์พิมพ์ขนาดนั้น พิมพ์จะสั่งขังคุกทมิฬ”
“เปลี่ยนเป็นคุกหัวใจเธอได้ไหม”
“ไม่ได้หรอกค่ะ” เธอบอกทั้งที่แก้มแดงเพราะปลาบปลื้มไปกับคำพูดของเขา ก่อนจะข่มเอาไว้แล้วบอกว่า “เพราะไม่มีใครขังใจของใครได้ นอกจากเจ้าของหัวใจจะเต็มใจอยู่เอง”
“แล้วถ้าฉันเต็มใจ”
“แล้วคุณเชื่อใจพิมพ์หรือยัง” ถามแล้วเธอก็หมุนตัวมามองหน้าคม ซึ่งพูดคำอื่นออกมาแทนคำที่เธออยากฟัง
“มายร์เดียร์”
พิมพ์ลดาไม่แน่ใจความหมายนัก จะคิดเองเออเอง ถ้าไม่ใช่อย่างที่คิดก็จะเสียใจ แต่จะให้ถามเขาก็ยังไม่กล้าพอ เพลิงก็ไม่พูดอะไรอีก เดินไปเข้าห้องน้ำ เธอก็เดินไปหยิบกางเกงนอนทั้งชั้นในชั้นนอกออกมาวางให้เขาที่ปลายเตียง แม้จะรู้สึกเขินอยู่บ้าง แต่ความจริงที่เธอกับเขาแต่งงานกันแล้ว แม้จะจำไม่ได้ ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้เช่นกัน
จากนั้นก็นั่งคิดไปเรื่อยๆ กระทั่งเพลิงนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำ และเห็นสิ่งที่วางอยู่ปลายเตียง ความรู้สึกดีๆก็เกิดขึ้นในใจเขาอีก ปรายตามองร่างอรชรเพียงนิด ก็เดินไปหยิบกางเกงมาใส่ เรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินมาขอผ้าขนหนูจะเอาไปเก็บ แต่เส้นด้ายที่พันอยู่ที่ปลายนิ้วทำให้เธอจับมือเขามาดู แล้วเงยหน้าขึ้นบอกเขาว่า
“เล็บฉีกค่ะ เดี๋ยวพิมพ์ตัดให้”
“ไม่ต้องหรอก ดึงก็ออกแล้ว”
“ไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวยิ่งฉีกก็ยิ่งเจ็บ”
“เจ็บแค่ตอนแรกจากนั้นก็ไม่เจ็บแล้ว”
“เคยทำหรือคะ”
“ใช่” คำตอบสั้น แต่แววตาที่มองอยู่บอกความหมายมากกว่านั้น มันเหมือนว่าเขากำลังโลมลูบเธอด้วยสายตา จึงรีบหมุนตัวเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งก่อนที่เธอจะแก้มแดงให้เขาเห็น หยิบกรรไกรตัดเล็บเพราะเคยเห็นว่าอยู่ในลิ้นชักออกมา ขณะที่เพลิงรู้สึกสุขใจกับการที่ได้หยอกเย้าเธอเล่น ได้เห็นการเขินอาย การมองค้อน ที่ช่างน่ารัก แล้วถอยไปนั่งบนเตียง จับตามองร่างอรชรกระทั่งเดินกลับมาหา มานั่งข้างๆ และขอมือเขา แต่เขากลับยกตัวเธอมานั่งบนตัก
พิมพ์ลดาตาโตด้วยความตกใจแต่จะเลื่อนตัวลงก็ไม่ได้ เพราะเขากอดไว้แน่น จึงอ้อมแอ้มบอกว่า “ปล่อยค่ะ พิมพ์ตัดไม่ถนัด”
“ไม่ต้องตัดหรอก นอนเถอะ”
“ทำไมคะ” ถามไปแล้วก็รอฟังว่าเขาจะตอบว่าไง แต่เพลิงกลับตอบด้วยการกระทำด้วยการยกปลายนิ้วขึ้นแตะที่แผลและรอยช้ำที่เห็นชัดอยู่ ก็คิดว่าเขาเป็นห่วง แต่การคิดเองไม่น่าชื่นใจเท่ากับได้ยินจากปากเขา
“ฉันเป็นห่วง”
“หมอกานต์บอกว่าพิมพ์ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”
“ถึงงั้นก็ควรเอาใจใส่ตัวเองมากกกว่ามาเอาใจใส่ฉัน ที่ไม่ได้เป็นอะไรเลย หรือว่าอยากให้ฉันเอาใจบ้าง”
“ถ้าพิมพ์บอกว่าใช่ แล้วคุณจะทำไงคะ” เธอแหย่เขาโดยไม่คิดอะไร แต่หารู้ไม่ว่าเหมือนเป็นการชี้โพรงให้กระรอกที่รอคอยจะแทะลิ้มชิมน้ำหวานอยู่แล้ว เพียงแต่...
“หายเจ็บแล้วฉันจะบอก”
พิมพ์ลดากดยิ้มด้วยความเขิน ก่อนจะร้องอุ้ยออกมา เมื่อเพลิงดึงตัวเธอลงนอนพร้อมกับเขา แขนข้างหนึ่งกักตัวเธอไว้ อีกข้างก็ไล้แก้มเธอเบาๆ แล้วหยอกเอินเธอว่า “อยากรู้ก่อนสักนิดไหม” เธอส่ายหน้าว่าไม่เพราะหัวใจเธอเต้นแรง แล้วหนีหน้าด้วยการหลับตา แต่อย่าคิดว่าจะพ้น เพราะริมฝีปากของเพลิงบอกใบ้ให้รู้ด้วยการจูบแผ่วที่หน้าผาก ดวงตา แก้มนุ่มแล้วหยุดนิ่งที่เรียวปากอิ่ม
“ลืมตาซิพิมพ์”
ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันคล้ายเจ้าตัวกำลังชั่งใจ ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นสบตาเขาที่เหมือนจะละลายใจเธอ แล้ว...ราตรีสวัสดิ์”
“ค่ะ ราตรีสวัสดิ์” บอกแล้วก็รีบซุกซ่อนหน้าที่สุดเขินไว้กับอกเขา เพลิงยิ้มด้วยความเอ็นดู แล้วนอนกอดเธอด้วยความสุขใจ
******
แสงไฟดับลงเมื่อดวงอาทิตย์ทอแสงขึ้นมาตรงเส้นขอบฟ้า ลำแสงสีทองลอดผ่านผ้าม่านที่ติดอยู่ภายในห้องของโรงแรมหรู ซึ่งเจ้าของห้องคือหญิงสาวกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงเคียงคู่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง ใบหน้าคมติดจะกระด้าง จมูกโด่งเป็นสันรับกับคิ้วเข้มพาดเฉียงกับดวงตาที่ยังปิดสนิท เธอพลิกตัวมากอดเขาเพราะความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ แต่ดูเหมือนจะยังไม่หายหนาวจึงเบียดตัวเข้าหา กระทั่งความหนาวคลายลงไปบ้าง ร่างกายก็นิ่งสนิท
ดวงตาของคนที่โดนกอดเริ่มที่จะกะพริบ แต่ยังไม่สามารถที่จะลืมได้เต็มตา เพราะรู้สึกมึนไปทั้งหัว จึงยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วกดขมับจนความมึนคลายลงไปบ้างก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่ดวงตาเขาเห็นคือฝ้าสีขาว โคมไฟระย้าคล้ายๆกับห้องพักที่เขาอยู่ แต่...มีบางอย่างกำลังบอกเขาว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องของเขา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยแต่ยังไม่ทันได้ครุ่นคิดก็มีบางอย่างขยุกขยิกอยู่ข้างๆ เขาละสายตามามองแล้วต้องเกร็งไปทั้งตัวเมื่อสิ่งที่รู้สึกนั่นคือ
‘ผู้หญิง’
ความงุนงงจู่โจมเข้ามาในสมองพร้อมทบทวนความทรงจำว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แล้วเด้งตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วเมื่อคิดออก ใบหน้าที่ติดจะกระด้างเคร่งเครียดด้วยความเจ็บใจ ที่ในที่สุดก็เสียรู้ไอ้นายพลชั่วจนได้ สองมือกำเข้าหากันแล้วต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบ ไม่มีความสงสัยว่าเจ็บเพราะอะไรเมื่อจำได้แล้ว นอกจากยกมือขึ้นเพื่อดูแผล แต่ไม่เห็นเพราะมีผ้าก๊อสพันไว้ แล้วละสายตามาสำรวจตัวเอง ชุดที่ใส่เมื่อคืนหายไปมีเสื้อคลุมโรงแรมมาอยู่บนตัวแทน เขาถอนหายใจอย่างหงุดหงิด แล้วจะลุกขึ้น แต่สายตามองไปที่ผู้หญิงที่หลับอยู่ข้างๆเสียก่อน ใบหน้าของเธอนั้นไม่ใช่ผู้หญิงของไอ้นายพลชั่ว
‘แล้วเธอเป็นใคร’
คำถามผุดขึ้นมาหรือว่าเป็นเจ้าของห้อง เขาคิดและต้องหยุดคิดอย่างทันท่วงทีเมื่อมีภาพบางอย่างผุดขึ้นมา ... เมื่อหน้าเธอนั้นเหมือนกับหน้าของผู้หญิงที่อยู่ในรูปที่เขามองอย่างลืมตัวนั่นเอง แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าเธอกำลังเป็นเจ้าสาวของผู้ชายคนอื่น แล้วเขามาอยู่บนเตียงเดียวกับเธอได้ยังไง
เขาไม่อยากจะเชื่อว่าฟ้าจะเล่นตลกกับเขาขนาดนี้ ใบหน้าเธอแม้ยามหลับก็ยังสวย ปาก คอ คิ้ว คาง ทุกอย่างรับกันอย่างหมดจดงดงามนักในสายตาเขา แล้วปรับสีหน้าให้นิ่งเฉยเมื่อเธอเริ่มรู้สึกตัว ดวงตาค่อยๆลืมขึ้น จนเขาได้เห็นความดำขลับ เธอลุกขึ้นนั่งมองหน้าเขา ไม่มีความงุนงงใดๆให้เห็น นอกจากจะยกมือขึ้นเสยเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าไปทัดใบหูพร้อมกับเปิดยิ้มให้เขา แล้วเสียงใส่ๆก็ดังออกมา
“สวัสดีค่ะคุณสามี”
“ฉันไม่เคยมีภรรยา”
หินปฏิเสธออกมาทันท่วงที ขณะที่สีหน้าก็บอกความไม่พอใจหญิงสาวที่เรียกเขาอย่างนั้น แต่เธอกลับยักไหล่ไม่เดือดร้อนกับทีท่าของเขา “แสดงว่าความจำเลือนหายไป”
“หมายความว่าไง”
เสียงเขาแข็งกระด้างสีหน้าก็ไม่ต่างกัน ถ้าเขาอยู่ที่คุกทมิฬหลายคนคงกลัว แต่นี่เธอกลับไม่มีอาการให้เห็น มุมปากเขาจึงยกขึ้นหยัน เลิกสนใจคำถาม เหวี่ยงขาลงจากเตียง กวาดสายตามองไปรอบห้องเพื่อหาชุดของตัวเอง เมื่อไม่เห็นก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าดู แต่ก็ไม่มี จึงยกมือขึ้นเท้าสะเอวอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันมามองร่างอรชรที่ยังนั่งมองเขาอยู่บนเตียง
“เสื้อผ้าฉันอยู่ไหน”
เขาถามแต่แทนที่เธอจะตอบคำถามเขา กลับย้อนถามมาว่า “เมื่อคืนคุณจำอะไรไม่ได้จริงๆเหรอ”
“ฉันไม่สนว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
“แต่ฉันสน” เธอบอกแล้วขยับตัวลงจากเตียง เดินไปพับฉากที่กางอยู่มุมห้อง ให้เขาเห็นชุดสูทของตัวเอง ซึ่งวางคู่กับชุดเจ้าสาวของเธอ แล้วหันมามองสบตาเขาพร้อมบอกว่า “เมื่อคืนนี้คุณเข้ามาในห้องฉัน แล้วพูดว่าอย่าให้ใครเอาตัวฉันไป แต่นั้นไม่สำคัญเท่ากับคำสัญยิงสัญญาที่คุณให้ไว้กับฉัน ว่าถ้าฉันช่วยคุณได้ คุณก็จะช่วยฉัน แล้วเมื่อคืนนี้..” เธอเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเขา “เป็นคืนแต่งงานของฉันกับผู้ชายแย่ๆคนหนึ่ง ซึ่งหนีงานวิวาห์ไปแล้ว ฉันก็เลยได้คุณมาแก้หน้าเป็นสามีแทน”
“ท้องกี่เดือนแล้วละถึงได้รีบร้อนหาผัว”
น้ำเสียงดูถูกกับสายตาที่มองอย่างดูแคลน ทำให้เธอชักสีหน้าใส่ด้วยความโกรธ แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็หายไป เพราะความจำเป็นมันมีมากกว่ามาใส่ใจคำพูดเขา แล้วยิ้มประชดแต่ยังอดที่จะว่าออกมาไม่ได้ “ปากหรือนั่น หน้าตาก็หล่อ แต่ปากไม่หล่อเหมือนหน้าเลย หยาบคายที่สุด แล้วจะบอกให้นะว่า ถึงฉันจะรีบร้อนหาผัว แต่ไม่มั่วไปหมดหรอกนะ”
“แล้วที่ทำไม่เรียกว่ามั่ว แล้วจะให้เรียกว่าอะไร”
“แก้ผ้าเอาหน้ารอดย่ะ”
“โดยใช้ฉันเป็นผัวสำรอง แล้วไอ้ผัวตัวจริงมันไปไหนเสียละ”
“เข้าป่าไปหาเก้ง เพราะไม่อาจปั้นหน้าว่ารักชะนีอย่างฉันได้อีกแล้วนะซิ”
มุมปากของหินเหยียดหยัน แล้วเดินผ่านตัวเธอไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเองมาใส่ สลัดเสื้อคลุมออกโดยไม่รู้ว่าเธอหมุนตัวตามมามอง เสียงร้องว้ายจึงดังขึ้นให้ได้ยิน แต่เขาไม่สนใจ ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็เดินมายืนกอดอกตรงหน้าเธอ
“ฉันสัญญาว่าถ้าเธอช่วยฉัน ฉันจะช่วยเธอใช่ไหม ตอนนี้ฉันเป็นผัวสำรองให้เธอเรียบร้อยแล้ว ก็ถือว่าฉันทำตามที่รับปากไว้แล้ว เราก็หมดหนี้ต่อกัน ฉันไปละ”
“ไม่ได้นะ” เสียงเธอร้อนรนขึ้นมาพลางจับแขนเขาไว้ “คุณต้องช่วยฉันให้ตลอดรอดฝั่งซิ จะทิ้งทุ่นกันอย่างนี้ฉันไม่ยอมนะ ตอนนี้พ่อแม่พี่น้องญาติๆฉัน ต่างก็รู้ว่าคุณเป็นสามีฉันแล้ว ถ้า ถ้าคุณจะทิ้งฉันไปอีก ฉันก็อายเขาตายซิ แค่ชั่วคืนเจ้าบ่าวหนี พอมีสามีก็จะทิ้งฉันไปอีก ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“บนคอนั้นแหละ”
บอกแล้วก็ปลดมือนุ่มออกจากแขน แต่เธอกลับยื้อไว้ไม่ยอมปล่อย แถมยังมองอย่างขอร้อง หินจึงเยาะออกมา “ดีจังโว้ยไม่ต้องเสียสักกะตังแดงเดียวก็ได้เมียมากอดฟรีๆ” เขาไม่พูดเปล่ายังใช้แขนที่ว่างกอดตัวเธอมาแนบอก แล้วก้มหน้าลงมาใกล้แก้มเนียนจนได้เห็นความหวั่นไหวในแววตา แต่อย่าคิดว่าเขาจะสน เมื่อยังบอกอีกว่า “แต่ตอนนี้ฉันยังไม่อยากได้เมียฟรี ถึงจะประเคนมาให้ถึงปากไม่เอา”
“สับปลับ”
“อย่าพูดออกมาสาวน้อย ถ้าเธอยังไม่รู้จักฉันดีพอ”
“ฉันไม่สน ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน แต่คุณมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
“งั้นเธอก็ไม่ใช่ลูกผู้หญิงเหมือนกัน เพราะผู้หญิงที่ดี เขาไม่เสนอตัวให้ผู้ชายแบบนี้หรอก”
ใบหน้างามร้อนผ่าวราวกับโดนตบ แค่นั้นยังไม่พอเขายังผลักเธอออกราวกับรังเกียจนักหนา แล้วก้าวยาวๆออกจากห้องนอนไปที่ประตูห้องพัก เปิดประตูออกเพื่อจะก้าวออกไป แต่... สีหน้าของเขาต้องนิ่งสนิท เมื่อเห็นไอ้นายพลชั่วยืนอยู่หน้าประตูพร้อมลูกน้องอีกสองคน แล้วอยากจะกระทืบมันให้หมอบคาตีน แต่กลัวว่าแผนที่วางไว้จะสูญเปล่า จึงต้องทำเฉย
“สวัสดีคุณศิลา แปลกใจหรือครับที่เห็นผม”
“ครับ และไม่คิดว่าคุณจะตามผมเหมือนเงาตามตัวขนาดนี้”
นายพลกฤษยิ้มรับคำแดกดันเล็กๆนั้นแล้วบอกว่า “โทษที จริงๆแล้วผมไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้นะ แต่ลูกน้องผมไปบอกว่าคุณบาดเจ็บ ผมจึงรีบมาดู ไม่คิดว่าความหวังดีเล็กๆน้อยๆ จะทำให้คุณเจ็บตัว” เขาว่าพลางหลุบตามองมือที่พันผ้าก๊อสไว้
“ไม่เป็นไรครับ แต่ว่าผมเป็นคนเจ็บแล้วจำ”
ฮะๆๆๆ นายพลกฤษหัวเราะเสียงดัง “แต่อย่าจำในสิ่งที่ผมทำเลย เพราะเป็นแค่การทดลองทดสอบของผมเท่านั้น หวังว่าคุณจะไม่ถือสา เพราะงานของผมมันค่อนข้างเสี่ยง จึงต้องการความมั่นใจว่าคนที่จะมาร่วมงานกับผมนั้นเป็นยังไง ไม่อยากได้คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาร่วมทาง เพราะจะกลายเป็นหอกข้างแคร่ให้ผมต้องย่ำแย่ จึงต้องทดสอบกันนิดหนึ่ง และงานนี้ผมถือว่าคุณสอบผ่าน”
“ขอบคุณครับ แต่ผมไม่ชอบการล้ำเส้นเกินไป และถ้าหากว่ามันมากนักหรือเกิดขึ้นอีกสักครั้ง บางทีผมอาจจะหาผู้ร่วมทางคนใหม่” หินบอกเพื่อให้ไอ้นายพลชั่วเห็นว่าเขาไม่พอใจกับสิ่งที่มันทำมาก และไม่สนใจมันเลยถ้าเขาไม่พอใจ ซึ่งก็ได้ผลเมื่อสีหน้าและแววตาของมันเคร่งเครียดขึ้น
“ผมขอโทษอีกครั้งก็แล้วกันและจะไม่ทำเรื่องที่คุณไม่พอใจอีก”
หินแสดงสีหน้าว่าพอใจให้เห็น แล้วจะก้าวออกไป แต่...ต้องเปลี่ยนใจ เมื่อเห็นสายตาไอ้นายพลชั่วมองไปด้านหลัง เขาขบฟันข่มความหงุดหงิดไว้เมื่อรู้ว่ามันมองใครโดยไม่ต้องหันไปมองเลย และก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อมันเอ่ยขึ้นมา
“คุณนี่ตาถึงใจๆ มิน่าถึงไม่สนใจดอกไม้ของผมเพราะมีดอกไม้ส่วนตัวอยู่แล้วนี่เอง แต่ว่าแค่เด็ดดมชมเล่นแค่ชั่วคราวหรือถาวรละ”
“ถาวรค่ะ” เสียงตอบออกมา พร้อมกับร่างอรชรที่เดินมายืนเคียงข้างร่างสูง ยิ้มหวานให้คนถามแต่ในใจนั้นคิดว่าเขาคงไม่พอใจ แต่เธอรึจะสนเพราะความจำเป็นต้องมัดเขาให้อยู่ไว้ก่อน โดยไม่รู้ว่าที่เธอคิดนั้นถูกส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนที่หินนิ่งนั้นเพราะยังไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับไอ้นายพลชั่วก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเกี่ยวข้อง เขาก็ไม่อยากจะพลาดให้มันเอามาเป็นข้ออ้างต่อรองกับอีกเขา
“โฮะ ต้องขอโทษด้วยที่ผมพูดแย่ๆออกไป ไม่ได้คิดจะดูถูกอะไรนะครับ แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง แล้วพอจะแนะนำตัวให้ผมรู้จักไว้บ้างได้ไหมครับ”
“อย่ารู้เลยค่ะ เพราะไม่คิดจะไปเป็นของเล่นแค่ชั่วคราวของใคร”
“หึๆๆ” นายพลกฤษหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เพราะน้อยครั้งจะเจอหญิงสาวที่มีความเป็นตัวเอง ไม่กลัว ไม่เกรงเขา “คุณนี้คมไม่เลว งั้นผมไม่รบกวนแล้วดีกว่า ขอตัวนะครับคุณศิลา และขอโทษอีกครั้งที่ทำให้คุณขุ่นเคืองใจ จากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้วแน่นอน” ให้คำมั่นแล้วนายพลกฤษก็เดินจากไปพร้อมลูกน้อง
ขณะที่ศิลาก็กระชากประตูปิดดังโครม แล้วหันขวับมาจับแขนหญิงสาวลากเข้าไปในห้องนอน เหวี่ยงเธอไปนั่งแหมะอยู่บนเตียง แล้วยืนจังก้ามองใบหน้างามที่เริ่มตึงขึ้นด้วยความไม่พอใจ และไม่รู้ว่าชายเสื้อคลุมเปิดให้เขาเห็นขาอ่อนนวลเนียนน่าสัมผัสนั้น ที่จริงเขาควรจะเดินออกไปโดยไม่ต้องสนใจเธออีก แต่แววตาไอ้นายพลชั่วนั้นทำให้ต้องเปลี่ยนใจ เพราะเธอถูกมันหมายหัวว่าเกี่ยวข้องกับเขาแล้วแน่นอน อีกอย่างถ้าเธอเกี่ยวข้องกับมัน การมีเธอไว้ใกล้ตัวให้รู้เขารู้เราดีกว่าที่จะปล่อยให้มันรู้เขาฝ่ายเดียว
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” เสียงเธอถามออกมาอย่างสงสัย แต่เขากลับถามไปอีกอย่าง
“เธอต้องการอะไร”
“ฉันตอบไปแล้วว่าต้องการคุณเป็นสามี”
“ถึงขนาดใช้วิธีด้านได้อายอดเหรอ”
“นี่” เสียงเธอออกจะโกรธ “ฉันไม่สนหรอกว่าคุณจะมองยังไง ฉันรู้แต่ว่าคุณต้องรับผิดชอบฉัน รับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง เมื่อรับปากฉันแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด”
“แบบไหนละ อ๋อฉันรู้แล้ว ฉันยังไม่ได้เปิดซิงเธอนี่เอง ถึงได้ร่ำร้องนัก”
“อีตาบ้า” เสียงเธอวี้ดออกมาขณะที่หน้าก็แดงก่ำ “ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้นสักหน่อย ฉันหมายถึงว่าคุณต้องไปอยู่กับฉันหรือฉันต้องไปอยู่กับคุณ เพื่อกันข้อครหาอย่างน้อยก็น่าจะสักระยะหนึ่ง ให้พ่อแม่กับวงศาคณาญาติของฉันไม่ต้องอับอายประชาชีที่เชิญมาร่วมเป็นสักขีพยานเมื่อคืนนี้นะ ที่จริงฉันก็ไม่ได้สนใจพวกนี้เท่าไรหรอก เพราะจะทุกข์หรือสุขก็อยู่ที่ฉันไม่ได้อยู่ที่เขา แต่ฉันไม่อยากให้พ่อกับแม่ไม่สบายใจอีกว่าเลือกคนใหม่มาแต่งงาน แล้วต้องเลิกกันตั้งแต่ข้าวสารยังไม่ลงไปก้นหม้อสักเม็ดด้วยซ้ำ น่าคุณช่วยฉันหน่อย” เธออ้อนวอนออกมา “ฉันสัญญาว่าจะไม่สร้างความรำคาญหรือเป็นตัวยุ่งให้คุณเด็ดขาด”
“ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้”
“หมายความว่าไง” เธอถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
“ฉันหมายถึงว่าการแต่งงานครั้งนี้มันมีความจำเป็นกับเธอมากนักเหรอ ถึงต้องอ้อนวอนฉัน ผู้ชายที่เธอไม่เคยรู้จักหัวนอนปลายเท้ามาก่อนแม้แต่ชื่อก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ มาเป็นผัว”
“ปากคุณนี่มันหยาบคาย น่าตบสักทีสองทีจริงๆ” เธอว่าอย่างไม่มีความกลัวพลางลุกขึ้นมายืนตรงหน้า สบตาที่ออกจะดุๆ แล้วบอกว่า “เอาง่ายๆนะคุณ ตอนนี้ฉันสิ้นคิด อย่างที่บอก ต้องขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อนเพื่อไม่ให้อับอายขายขี้หน้าไปมากกว่านี้ เพราะก่อนหน้านี้ฉันไม่สนใจผู้ชายที่พ่อกับแม่หามาให้ บอกว่าอยากหาเองและก็ได้เจอกับเขา คบกันได้ปีกว่าๆ ก็ตกลงแต่งงานกัน แต่พ่อกับแม่ฉันจะคัดค้าน เพราะอาบน้ำร้อนมาก่อนก็พอจะมองออกว่าเขาอาจจะไม่จริงใจ และดูแลฉันไม่ได้ แต่ฉันตาบอด ไม่สนใจคำตักเตือนจะแต่งให้ได้ สุดท้ายก็อย่างที่เห็นเจ้าบ่าวมาบอกฉันว่า ไม่สามารถที่จะร่วมหอลงโรงกับฉันได้ เพราะเพิ่งค้นพบว่าตัวเองชอบเก้งมากกว่าชะนี แล้วก็ทิ้งทุกอย่าง ทิ้งให้ฉันสุดแค้นแสนช้ำอยู่คนเดียว”
“แล้วฉันมาเป็นผัวสำรองเธอได้ยังไง”
**********
ชอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ แล้วพบกับเรื่องใหม่เร็วๆนี้ค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ต.ค. 2558, 16:51:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ต.ค. 2558, 16:51:20 น.
จำนวนการเข้าชม : 3633
<< ตอน 14 | ตอน 16 >> |
แว่นใส 2 ต.ค. 2558, 18:36:31 น.
ได้เมียมาแบบไม่รู้ตัวนะ
ได้เมียมาแบบไม่รู้ตัวนะ
konhin 3 ต.ค. 2558, 04:49:00 น.
แหมมมมมม นายหินได้เมียแบบ(ประชดตัวเอง)ว่าไม่ต้องเสียตังค์ แรง
แหมมมมมม นายหินได้เมียแบบ(ประชดตัวเอง)ว่าไม่ต้องเสียตังค์ แรง
Zephyr 3 ต.ค. 2558, 16:35:16 น.
เริ่มสนใจเมียไม่ตั้งตัวนี่มากเลยค่ะ
อิอิ คุยมานานจบตอนละ
นายหินรู้ยัง เมียชื่ออะไรฮะ
เริ่มสนใจเมียไม่ตั้งตัวนี่มากเลยค่ะ
อิอิ คุยมานานจบตอนละ
นายหินรู้ยัง เมียชื่ออะไรฮะ