ทูนหัวขา มาเป็นสามีฉันเถอะ
ทูนหัวขา มาเป็นสามีฉันเถอะ
เมื่อคุณหมอหนุ่มผู้แสนจะเย็นชากับความรักอย่าง ‘รัชยุทธ์ ภวันรัตนกุล’ ต้องมาปะทะกับกับสาวแสบจอมตื้อแถมหัวดื้อสุดฤทธิ์อย่าง ‘แพรววนิด วรจักรเกรียงไกร’ วิศวกรสาวสุดมั่น เพียงเพราะความแค้นที่โดนคุณหมอหนุ่มด่าทออย่างเจ็บแสบ เรื่องราวชวนปวดหัวจึงเริ่มต้นขึ้น เมื่อเธอคิดจะกระตุกหนวดเสือด้วยการงัดกลยุทธ์ร้อยแปดออกมายั่วยวนคุณหมอคู่อริ ตามคอนเซปต์ยั่วให้อยากแล้วจากไป แต่กลับไม่เป็นอย่างที่เธอคิด เมื่อคุณหมอเจ้าเล่ห์กลับหาสารพัดวิธีทำให้แม่เสือสาวต้องกลายเป็นแมวน้อยเชื่องๆตกอยู่ใต้อ้อมกอดของเขาแต่เพียงผู้เดียว
“คุณหมอรู้ได้ยังคะว่าจูบไม่หอม ก็ในเมื่อคุณหมอยังไม่เคยจูบเลยนี่คะ”” แพรววนิดเดินตามชายหนุ่มที่เข้ามาในห้อง ก่อนจะหย่อนสะโพกลงกับหน้าตักที่แข็งแรง มือบางยกขึ้นลูบริมฝีปากหยักไปมาด้วยท่าทีที่ยั่วยวนสุดๆ ก่อนที่ใบหน้าหวานจะค่อยๆโน้มเข้ามาใกล้ มืออีกข้างก็ลูบแผงอกกว้างขึ้นลงสร้างความร้อนวูบวาบให้ศัลยแพทยหนุ่มไม่น้อย การกระทำของหญิงสาวทำเอารัชยุทธ์ตกตะลึงกับสัมผัสที่ใกล้ชิดและแนบแน่น ใจของศัลยแพทยหนุ่มเต้นระส่ำอย่างไม่เป็นจังหวะ อาจเป็นเพราะหัวใจที่ร้างรักมานาน พอมีหญิงสาวเข้ามาใกล้ชิด หัวใจที่เคยเย็นชาก็กลับมาสั่นไหวอีกครั้ง ไม่! ให้ตายเขาก็ไม่มีทางชอบยัยคุณจอมยั่วนี่หรอก
“นี่คุณ…”…” พอได้สติคุณหมอก็พยายามดันร่างสาวน้อยช่างยั่วให้ลุกขึ้น ตามด้วยสายตาที่ตำหนิติเตียน แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้สึกกระดากอายกับการกระทำของตัวเองสักเท่าไหร่ “ลุกจากตัวผมได้แล้ว ผมหนัก” จริงๆเธอก็ไม่ได้น้ำหนักเยอะอย่างที่เขาพูดหรอก แต่การกระทำมากกว่าที่ทำให้เขาหนักใจ
“พริ้นท์ทำอะไรผิดเหรอคะ” …”แพรววนิดถามคล้ายกับไม่รู้ความผิดของตัวเอง ดวงตาหวานส่งสายตาเชิญชวนที่กระชากใจหนุ่มๆมานักต่อนัก แต่สำหรับผู้ชายอย่างรัชยุทธ์คงไม่ได้ผล ริมฝีปากบางจรดที่แก้มสากๆของศัลยแพทย์หนุ่มทั้งสองข้าง ทำเอารัชยุทธ์ถึงกับสติขาดผึง ลุกขึ้นอย่างไม่ทันให้แพรววนิดตั้งตัว เจ้าตัวเลยล่วงลงไปกับพื้น
“ผู้หญิงไร้ยางอายแบบคุณ ต่อให้แก้ผ้ามาโชว์ให้ดูอยู่ตรงหน้า ผมก็ไม่สนใจ” รัชยุทธ์บอกด้วยความเกรี้ยวกราด พลางหยิบทิชชู่มาเช็ดรอยลิปสติกของหญิงสาว แพรววนิดมองคุณหมอหนุ่มด้วยความสะใจ เพราะเธอสามารถทำให้เขาหัวเสียได้ และไม่ได้รู้สึกเจ็บกับคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย
“ใครจะไปรู้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นคุณหมอเองที่มาแก้ผ้าต่อหน้าพริ้นท์ก็ได้นะคะ อู๊ยยยย แค่คิดก็แซ่บเว่อร์แล้วคุณหมอขา” แพรววนิดทำปากซู๊ดซี๊ด พลางสำรวจร่างกายของรัชยุทธ์ด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ทำเอาคนถูกมองหน้าแดงด้วยความโกรธ ผู้หญิงอะไร คำว่ายางอายหายไปไหนหมด
เมื่อคุณหมอหนุ่มผู้แสนจะเย็นชากับความรักอย่าง ‘รัชยุทธ์ ภวันรัตนกุล’ ต้องมาปะทะกับกับสาวแสบจอมตื้อแถมหัวดื้อสุดฤทธิ์อย่าง ‘แพรววนิด วรจักรเกรียงไกร’ วิศวกรสาวสุดมั่น เพียงเพราะความแค้นที่โดนคุณหมอหนุ่มด่าทออย่างเจ็บแสบ เรื่องราวชวนปวดหัวจึงเริ่มต้นขึ้น เมื่อเธอคิดจะกระตุกหนวดเสือด้วยการงัดกลยุทธ์ร้อยแปดออกมายั่วยวนคุณหมอคู่อริ ตามคอนเซปต์ยั่วให้อยากแล้วจากไป แต่กลับไม่เป็นอย่างที่เธอคิด เมื่อคุณหมอเจ้าเล่ห์กลับหาสารพัดวิธีทำให้แม่เสือสาวต้องกลายเป็นแมวน้อยเชื่องๆตกอยู่ใต้อ้อมกอดของเขาแต่เพียงผู้เดียว
“คุณหมอรู้ได้ยังคะว่าจูบไม่หอม ก็ในเมื่อคุณหมอยังไม่เคยจูบเลยนี่คะ”” แพรววนิดเดินตามชายหนุ่มที่เข้ามาในห้อง ก่อนจะหย่อนสะโพกลงกับหน้าตักที่แข็งแรง มือบางยกขึ้นลูบริมฝีปากหยักไปมาด้วยท่าทีที่ยั่วยวนสุดๆ ก่อนที่ใบหน้าหวานจะค่อยๆโน้มเข้ามาใกล้ มืออีกข้างก็ลูบแผงอกกว้างขึ้นลงสร้างความร้อนวูบวาบให้ศัลยแพทยหนุ่มไม่น้อย การกระทำของหญิงสาวทำเอารัชยุทธ์ตกตะลึงกับสัมผัสที่ใกล้ชิดและแนบแน่น ใจของศัลยแพทยหนุ่มเต้นระส่ำอย่างไม่เป็นจังหวะ อาจเป็นเพราะหัวใจที่ร้างรักมานาน พอมีหญิงสาวเข้ามาใกล้ชิด หัวใจที่เคยเย็นชาก็กลับมาสั่นไหวอีกครั้ง ไม่! ให้ตายเขาก็ไม่มีทางชอบยัยคุณจอมยั่วนี่หรอก
“นี่คุณ…”…” พอได้สติคุณหมอก็พยายามดันร่างสาวน้อยช่างยั่วให้ลุกขึ้น ตามด้วยสายตาที่ตำหนิติเตียน แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้สึกกระดากอายกับการกระทำของตัวเองสักเท่าไหร่ “ลุกจากตัวผมได้แล้ว ผมหนัก” จริงๆเธอก็ไม่ได้น้ำหนักเยอะอย่างที่เขาพูดหรอก แต่การกระทำมากกว่าที่ทำให้เขาหนักใจ
“พริ้นท์ทำอะไรผิดเหรอคะ” …”แพรววนิดถามคล้ายกับไม่รู้ความผิดของตัวเอง ดวงตาหวานส่งสายตาเชิญชวนที่กระชากใจหนุ่มๆมานักต่อนัก แต่สำหรับผู้ชายอย่างรัชยุทธ์คงไม่ได้ผล ริมฝีปากบางจรดที่แก้มสากๆของศัลยแพทย์หนุ่มทั้งสองข้าง ทำเอารัชยุทธ์ถึงกับสติขาดผึง ลุกขึ้นอย่างไม่ทันให้แพรววนิดตั้งตัว เจ้าตัวเลยล่วงลงไปกับพื้น
“ผู้หญิงไร้ยางอายแบบคุณ ต่อให้แก้ผ้ามาโชว์ให้ดูอยู่ตรงหน้า ผมก็ไม่สนใจ” รัชยุทธ์บอกด้วยความเกรี้ยวกราด พลางหยิบทิชชู่มาเช็ดรอยลิปสติกของหญิงสาว แพรววนิดมองคุณหมอหนุ่มด้วยความสะใจ เพราะเธอสามารถทำให้เขาหัวเสียได้ และไม่ได้รู้สึกเจ็บกับคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย
“ใครจะไปรู้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นคุณหมอเองที่มาแก้ผ้าต่อหน้าพริ้นท์ก็ได้นะคะ อู๊ยยยย แค่คิดก็แซ่บเว่อร์แล้วคุณหมอขา” แพรววนิดทำปากซู๊ดซี๊ด พลางสำรวจร่างกายของรัชยุทธ์ด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ทำเอาคนถูกมองหน้าแดงด้วยความโกรธ ผู้หญิงอะไร คำว่ายางอายหายไปไหนหมด
Tags: โรแมนติกคอมเมดี้
ตอน: ตอนที่ 1 : แพรววนิดเอง จะใครล่ะ
ตอนที่ 1
แพรววนิดเอง จะใครล่ะ
เสียงโกลาหลเกิดขึ้นภายในโรงพยาบาล เหล่าแพทย์และพยาบาลวิ่งวุ่นเมื่อได้รับแจ้งจากทางตำรวจว่าเกิดอุบัติเหตุมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สภาพของผู้บาดเจ็บแต่ละคนเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย เหล่าแพทย์และพยาบาลต้องทำงานกันอย่างหนักเพื่อที่จะรักษาชีวิตคนไข้ได้ทันท่วงที
กว่าที่การทำงานของทุกคนจะสิ้นสุดลงก็ถึงเวลาเช้าพอดี รัชยุทธ์ ภวันรัตนกุล ศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านกระดูกและข้อต่อ เขาเดินออกจากห้องผ่าตัดในสภาพที่อิดโรยพร้อมกับแจ้งผลการผ่าตัดให้กับญาติคนไข้ทุกๆคน ก่อนจะขอตัวกลับไปที่ห้องพัก รัชยุทธิ์ทิ้งตัวลงกับเก้าอี้อย่างหมดแรง ตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์จนเป็นหมอเต็มตัวแล้ว ยังไม่เคยเจอเคสไหนหนักเท่าวันนี้เลย เพราะต้องใช้เวลาอยู่ภายในห้องผ่าตัดเกือบสิบชั่วโมงกว่าที่จะสามารถรักษาคนไข้ได้ปลอดภัยทุกคน
“ฟู่… เหนื่อยจริงๆเลยแหะวันนี้” ศัลยแพทย์หนุ่มพ่นลมหายใจเบาๆ ดวงตาคมค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ ขอนอนพักเอาแรงสักพัก เดี๋ยวค่อยกลับบ้านแล้วกันนะ แต่ยังไม่ทันที่จะได้พักสมใจ นางพยาบาลประจำแผนกก็โทรเรียกให้ไปตรวจอาการของรณพีร์ น้องเขยตัวแสบที่เขาพลั้งมือยิงเมื่อสองวันก่อน รัชยุทธ์ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนจะตัดใจลุกจากเก้าอี้เพื่อไปยังห้องพักพิเศษ
"ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นก็ได้ ฉันเป็นหมอไม่ใช่ฆาตกร” รัชยุทธ์บอกพลางตรวจบาดแผลของรณพีร์ แม้จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าไอ้น้องเขยตัวแสบเท่าไหร่ แต่เพราะรดาณัฐ น้องสาวสุดที่รักเป็นภรรยาของคนตรงหน้า ทำให้ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ แต่สาบานได้เลยว่าถ้าครั้งหน้ากล้าทำร้ายรดาณัฐอีก ลูกปืนจะไม่ได้ฝังแค่ที่หน้าท้องแน่ๆ เขาจะล่อเข้าที่กบาลเลยทีเดียว
“เท่าที่ตรวจคิดว่าอีกสองวันก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ ส่วนบาดแผลคงต้องใช้เวลาหน่อยกว่าจะหาย นายก็รีบๆหายซะ เดี๋ยวคนบางคนจะอกแตกตายซะก่อน รู้ไหมตอนที่นายยังไม่ฟื้น ใครบางคนร้องไห้เป็นเผาเต่าเลยนะ พูดอยู่อย่างเดียวว่าพี่แธมป์อย่าเป็นอะไรนะคะ โอ๊ย! หยิกพี่ทำไมเนี่ย” รัชยุทธ์ร้องลั่นเมื่อถูกน้องสาวหยิกเข้าที่เอวอย่างเต็มแรง ศัลยแพทย์หนุ่มปรายตามองน้องสาวที่ส่งค้อนวงโตมาให้ หน็อย! ยัยตัวแสบหยิกมาได้ เจ็บนะเฟ้ย
“พี่พีท เดี๋ยวเถอะนะ” รดาณัฐแหวใส่พี่ชาย ทำไมต้องพูดให้เธอเสียหน้าด้วย อย่างนี้คนใจร้ายนั่นคงจะหัวเราะเยาะเธอแย่
“พี่พูดอะไรผิดเหรอ”” รัชยุทธ์ทำหน้าล้อเลียนน้องสาว รดาณัฐทำท่าจะเข้ามาหยิกพี่ชายอีกรอบ แต่ศัลยแพทย์หนุ่มรีบไหวตัวไปอีกทาง
“ถ้าคิดจะทำอะไรพี่อีกล่ะก็ อย่าได้หวังเลย ไวไปสิบปีนะน้องสาว ฮ่าๆๆ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ เราควรจะดีใจนะ สามีใกล้ตาย เอ้ย! หายแล้ว โอเคๆ พี่ไปล่ะออกเวรแล้ว” เมื่อเห็นน้องสาวมองหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ศัลยแพทย์หนุ่มจึงต้องหาทางหนีก่อน แต่ก็ไม่วายกวนประสาทน้องสาวก่อนไป ด้วยการเอานิ้วมาจ่อที่ริมฝีปากเหมือนท่าสมจิตร จงจอหอ “เจ็บมาเยอะ ฮ่าๆๆ” รัชยุทธ์กวนประสาทน้องสาวจนพอใจ ก่อนที่จะหนีความผิดกลับไปที่ห้องพัก โดยมีสายตาเข่นเขี้ยวของรดาณัฐตามหลังมา
รัชยุทธ์เก็บเอกสารและเสื้อผ้าบางตัวเตรียมตัวกลับบ้าน ชายหนุ่มโทรศัพท์หามารดา ก่อนที่ท่านจะไปเยี่ยมญาติที่ต่างประเทศ รัชยุทธ์เดินคุยโทรศัพท์โดยไม่ลืมที่จะถือข้าวของทั้งหมดติดมือไปด้วย แต่ระหว่างทางที่จะเดินไปที่รถ รถคันหรูแถบยุโรปก็พุ่งตรงมาที่ชายหนุ่มด้วยความเร็วสูง เสียงแตรรถดังลั่น ทำให้รัชยุทธ์ต้องหันไปมอง ดวงตาคมเพิกตาโพลงราวกับเห็นมัจจุราชมาปลิดชีวิต โทรศัพท์และข้าวของทั้งหมดหล่นจากมือกระจัดกระจาย
เอี๊ยดดดด
เสียงเบรกรถดังลั่นลานจอดรถ ศัลยแพทย์หนุ่มยืนตะลึงราวกับเพิ่งผ่านพ้นความตาย อีกเพียงแค่เซนเดียวเท่านั้น ถ้าคนขับเบรกรถไม่ทัน ความตายคงจะมาเยือนเขาแน่ๆ
หญิงสาวร่างสูงโปร่งใส่แว่นกันแดดชาแนลสีดำ ผมสีแดงประกายน้ำตาลของเธอถูกบรรจงอย่างประณีต เรือนร่างเพรียวระหงอยู่ในชุดจั๊มสูทผ่าหลังสีน้ำเงินเข้มรัดรูป ข้อเท้ากลมกลึงถูกซ่อนอยู่ในรองเท้าส้นสูงปรี๊ด เดินลงมาจากรถอย่างหัวเสีย
“นี่อยากตายหรือยังไง ทำไมเดินไม่ดูรถบ้างฮะ” เสียงแหลมๆเอ่ยถามชายหนุ่มที่ยืนนิ่งราวกับเป็นเพียงรูปปั้นอย่างหัวเสีย รัชยุทธ์ตั้งสติได้ก็พิจารณารูปร่างหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ผู้หญิงอะไรไม่มีดีเลยสักอย่าง ตั้งแต่การแต่งตัวที่แสนจะยั่วยวนผู้ชายอย่างนั้น ชุดที่เธอใส่ก็แทบจะดันหน้าอกออกจนแทบจะปิดไม่มิด หน้าตาก็แต่งซะเข้มเหมือนกับนางเอกลิเก
“นายมีสิทธิ์อะไรมาจ้องมองฉันแบบนี้” หญิงสาวถามด้วยแววตาขุ่นเคือง เธอคือแพรววนิด สาวสวยสุดมั่นที่มีดีกรีจบการศึกษาปริญญาโทคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และยังพ่วงด้วยตำแหน่งลูกสาวเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้ เจ้าของใบหน้าหวานพิจารณาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ไอ้ผู้ชายคนนี้มันเป็นใคร กล้าดียังไงมาทำกิริยาแบบนี้กับเธอ
“เหอะ คิดหรือว่าผมอยากจะมองคุณ จะบอกอะไรให้นะ ที่มองก็เพราะสงสารพ่อแม่คุณที่เลี้ยงลูกสาวได้ไม่ดี นอกจากจะแต่งตัวยั่วยวนผู้ชายไปวันๆแล้ว ยังจะตายเร็วเพราะขับรถห่วยๆแบบนี้” สายตาคมมองหญิงสาวอย่างหยันเหยียด ให้ตายเถอะ ตั้งแต่เกิดยังไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหน นิสัยแย่เท่ายัยคนนี้เลย ใครได้เป็นเมียคงซวยไปทั้งชาติ
“แล้วนายมีสิทธิ์อะไรมาด่าฉัน” เสียงแหลมๆถามอย่างขุ่นเคือง หน็อย! ตั้งแต่เกิดยังไม่มีใครด่าเธอได้เจ็บแสบเท่าไอ้ผู้ชายคนนี้เลย รู้จักฉันน้อยไปซะแล้ว ไอ้ผู้ชายปากปลาร้า วันนี้มันวันซวยอะไรกัน ลงจากเครื่องมาปุ๊บ เช่ารถจากสนามบินก็เจอรถติดอยู่สามชั่วโมงกว่าจะมาถึงโรงพยาบาล แล้วยังจะต้องมาโดนคนแปลกหน้าด่าหน้าชาแบบนี้อีก แพรววนิดเอ๊ย ชีวิตจะนกไปไหนคะลูก
“ผมไม่ได้ด่าแต่ผมกำลังสอน สมองคุณคงประมวลผลช้า ที่บ้านไม่เคยบอกเหรอว่าเวลาทำผิดให้ขอโทษ แต่ผมคิดว่าถึงพวกท่านจะสอน คนสมองน้อยๆอย่างคุณคงจะไม่จำ” พอสั่งสอนยัยนางเอกลิเกเสร็จ ศัลยแพทย์หนุ่มก็เดินไปที่รถอย่างไม่ยี่หระ ทิ้งให้แพรววนิดกรีดร้องอยู่ในใจเพียงลำพัง ขาเรียวกระทืบเท้าลงกับพื้นด้วยความคับแค้นใจ
“ไม่เคยมีใครที่กวนประสาทฉันแล้วรอดไปได้สักคน ฉันต้องรู้ให้ได้ว่านายเป็นใคร ศพไม่สวยแน่ ไอ้ผู้ชายปากปลาร้า”
แพรววนิดคาดโทษชายหนุ่มในใจ ดวงตาหวานสะดุดตรงป้ายที่เขียนว่า ‘ที่จอดรถสำหรับแพทย์’’ หญิงสาวยิ้มร้าย เธอรู้แล้วว่าจะไปตามล่าหาไอ้ผู้ชายคนนี้ได้ที่ไหน อาจไม่มีใครรู้ว่าจ้าวแห่งนกอย่างเธอ จะนกจากผู้ชายเป็นอาชีพแล้ว ยังมีนิสัยจิกไม่ปล่อยดั่งพญาอินทรี ใครก็ตามที่กล้าทำให้เธอไม่พอใจ ไม่เคยรอดมือไปได้สักคน
‘นายเสร็จฉันแน่’
แพรววนิดยืดอกและเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจในแผนการชั่วร้าย คอยดูเถอะ แม่จะจิกไม่ปล่อยเอาให้ต้องมาอ้อนวอนสยบที่เท้าของเธอ คอยดูเถอะ
ปรื้น…ปรื้น…ปรื้นนนน
“จะบีบแตรอะไรนักหนาวะ เกิดมาไม่เคยบีบหรือไง น่ะ…นาย” แพรววนิดสะดุ้งตกใจ หญิงสาวหันมาสบถใส่เจ้าของเสียงรถไร้มารยาท ก่อนจะอ้าปากค้าง เมื่อคนๆนั้นคือไอ้หมอปากปลาร้าที่เธอเพิ่งจะมีเรื่องไปสดๆร้อนๆ
“นี่แม่คุณ จะยืนเก๊กเป็นนางแบบอีกนานไหม นี่มันโรงพยาบาลนะ ไม่ใช่แคทวอร์ก แล้วกรุณาอ่านป้ายด้วยนะครับว่าชั้นนี้เป็นที่จอดรถสำหรับแพทย์ หรือว่าอ่านหนังสือไม่ออกหรือยังไง ยัยสมองกลวง” รัชยุทธ์ลดกระจกลงฝั่งซ้ายมือลงและชี้ไปที่ป้ายชื่อลานจอดรถ อย่างยียวนชวนหาเรื่องแม่หน้าลิเกที่กำลังตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ ศัลยแพทย์หนุ่มยิ้มยั่วโทสะ ก่อนจะกดสวิชต์ให้กระจกปิดดั่งเดิม แล้วขับรถออกไปอย่างสบายอารมณ์ ทิ้งให้แพรววนิดตะโกนด่าอย่างไล่หลังอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้บ้า จะไปตายที่ไหนก็ไป”
หลังจากหัวเสียกับเหตุการณ์ปะทะกับผู้ชายปากปลาร้า แพรววนิดก็ขับรถไปจอดชั้นสำหรับผู้บริหารซึ่งอยู่ถัดไปอีกชั้นนึง ดวงตาคู่สวยมองบริเวณลานจอดรถที่เต็มไปด้วยป้ายชื่อและตำแหน่งของแต่ละคน มีความเป็นส่วนตัวมากๆค่ะ แล้วอย่างนี้ เธอจะจอดตรงไหนได้ล่ะเนี่ย หากแต่สายตากลับสะดุดตรงชื่อๆนึงที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี ‘อลิชา วรจักรเกรียงไกร’
“แม่เจ้าโว้ย ยัยน้ำเน่าได้เป็นผู้บริหารกับเขาด้วยเหรอวะ ตำแหน่งอะไรก็ไม่เขียน เป็นผู้บริหารฝ่ายไหนวะเนี่ย เออเว้ย พอร์ซรุ่นใหม่ซะด้วย คุณพ่อคงจะหลงหลานสาวคนนี้มากจริงๆ”
แพรววนิดแสยะยิ้ม นึกถึงหน้าลูกพี่ลูกน้องคู่แค้นที่มีปัญหากันมาตั้งแต่รุ่นพระเจ้าเหา คนๆเดียวกับที่ทำให้เธอกับบิดาต้องทะเลาะกัน จนท่านหยุดส่งเสียค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายตอนที่ยังศึกษาต่อปริญญาตรีที่ออสเตรเลีย เธอต้องตกระกำลำบากหาเงินส่งตัวเองเรียนจนจบ เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจแพรววนิด เธอตัดสินใจยื่นวีซ่า Working and Holiday เพื่อทำงานเก็บเงินเรียนต่อปริญญาโทอีกหนึ่งปี แต่นับว่ายังโชคดีที่เกรดเฉลี่ยปริญญาตรียังอยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้ได้ทุนการศึกษาบางส่วนและประหยัดค่าใช้จ่ายลงไป ลำพังแค่ทำงานร้านอาหารคงไม่พอ เธอรับจ็อบเขียนแบบและเขียนโปรแกรมให้บริษัทที่ไทยตามที่ได้เรียนตอนมัธยมปลาย ถึงได้เอาตัวรอดมาจนจบปริญญาโทนี่แหละ ที่สำคัญ เธอไม่เคยติดต่อกลับไปที่บ้านตลอดหกปี แม้แต่ตอนที่กลับมาต่อวีซ่า working ก็พักอาศัยกับน้าสาว และให้น้ารับรองเป็นผู้ปกครองในการสมัครเข้าโครงการนี้ เธอตัดการติดต่อกับครอบครัวฝั่งบิดาทุกคนและทุกช่องทาง แม้กระทั่งพี่ชายตัวเอง ดูเอาเถอะ เลือดในอกก็ไม่สำคัญเท่าเลือดคนอื่น สมเพชตัวเองไหมล่ะ แพรววนิด
หญิงสาวยิ้มที่มุมปาก เมื่อคิดอะไรดีๆขึ้นมาได้ ที่ว่าดีคือดีต่อตัวเอง แต่สร้างความลำบากให้ยัยน้ำเน่า ข้อหาหมั่นไส้ เอ๊ะ มีชื่อของคุณลุงตัวแสบหรือบิดาของยัยน้ำเน่าด้วย ตลกชะมัด อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แทนที่จะมารถคันรถเดียวกัน เปลืองชะมัด ดีเลย งั้นก็จอดรถขวางหน้ารถของสองพ่อลูกพร้อมกันเลย ขากลับเรียกแท็กซี่มารับ แล้วจอดรถทิ้งไว้ พรุ่งนี้ค่อยเรียกบริษัทเช่ารถมารับ สาแก่ใจอีพริ้นท์ยิ่งนัก อ้อ เกือบลืมใส่เบรกมือเลย ‘ยัยน้ำเน่าเอ๊ย เสร็จฉันล่ะ’
แพรววนิดหยิบกระเป๋าเดินทางสองใบที่อยู่ด้านหลังลง พร้อมทั้งกระเป๋าถือ ก่อนจะปิดท้ายลง เมื่อหยิบทุกอย่างครบแล้ว หญิงสาวมองรถคันหรูของสองพ่อลูกกาฝากด้วยความสะใจ เห็นทีว่าวันนี้คงจะมีสัมภเวสีกรีดร้องดังทั่วลานจอดรถแน่ๆ แพรววนิดลากกระเป๋าตรงไปที่ลิฟต์ด้วยความทุลักทุเล น้ำหนักทั้งหมดแค่สามสิบกิโลกรัมตามขั้นต่ำของสายการบินเองนะ ทำไมมันหนักชะมัด ขนาดว่าทิ้งเสื้อผ้าและของใช้อื่นๆไปบ้างแล้วนะเนี่ย คิดผิดหรือคิดถูกกันแน่ที่แกล้งยัยน้ำเน่า ถ้าขับรถไปที่บ้าน ก็มีคนมายกกระเป๋าให้แล้ว เอาโว้ย คิดจะเป็นราชสีห์ อย่ากลัวขวากหนาม เดี๋ยว…ไม่ใช่ล่ะ
แพรววนิดกดไปที่ชั้นสูงสุดซึ่งเป็นห้องของผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการ แต่เมื่อกดไปแล้ว กลับไม่ติด ก่อนจะถึงบางอ้อ เมื่อเห็นว่าลิฟต์ตัวนี้ต้องใช้คีย์การ์ด เฮ้อ ชีวิตของนก ลำบ๊ากลำบากเหลือเกิน เอาเถอะ คิดว่าไปชั้น L หรือล็อปบี้ให้ประชาสัมพันธ์เรียกพี่ชายเธอลงมารับก็ได้
ทันทีที่แพรววนิดก้าวออกจากลิฟต์ ก็ถูกจับตามองจากผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ ผู้ป่วย หรือญาติคนไข้ นี่เจ้าหล่อนคิดว่ามาท่องเที่ยวอยู่ยุโรปหรือยังไง ถึงได้แบกกระเป๋ามาโรงพยาบาลด้วยใบเบ้อเร่อนั่น ทั้งยังแต่งตัวยังกับมาเดินแบบ ดู๊ดู ในที่ร่มแบบนี้ยังจะสวมแว่นตาดำอีก
เสียงซุบซิบนินทาที่กำลังวิจารณ์ต่อเสื้อผ้าและกระเป๋าของแพรววนิด ไม่ได้ทำให้ความมั่นหน้าลดน้อยลง ที่นี่โรงพยาบาลบิดาของเธอ เธอมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้ หญิงสาวเดินตรงไปที่สาวประชาสัมพันธ์ที่กำลังวุ่นๆอยู่กับการรับโทรศัพท์ แพรววนิดรอจนเจ้าหล่อนคุยโทรศัพท์เสร็จจึงเข้าไปทัก
“สวัสดีค่ะ โรงพยาบาลวรจักร ยินดีต้อนรับ วันนี้มาติดต่อเรื่องอะไรคะ” สาวสวยประชาสัมพันธ์ทักทายแพรววนิดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและเป็นกันเอง โดยไม่ได้สนใจกับการแต่งตัวของคนที่มาติดต่อ
“สวัสดีค่ะ ดิฉันต้องการติดต่อคุณหมอพบกรัณย์ วรจักรเกรียงไกรค่ะ” แพรววนิดบอก หญิงสาวยิ้มตอบกลับด้วยความพึงพอใจกับกิริยาและการบริการของประชาสัมพันธ์คนนี้ มันต้องแบบนี้สิ
“อ๋อ ท่านรองผู้อำนวยการ ได้นัดไว้หรือเปล่าคะ”
“เปล่าค่ะ”
“คุณชื่ออะไรคะ ดิฉันจะได้แจ้งทางคุณหมอให้ทราบ” สาวประชาสัมพันธ์เตรียมหยิบกระดาษโน้ตมาจดชื่อ
“บอกเขาว่าฉันชื่อแพรววนิด วรจักรเกรียงไกร มาขอพบค่ะ”
“คะ…คุณเป็นลูกสาวของท่านผู้อำนวยการเหรอคะ” สาวประชาสัมพันธ์ถามเสียงสั่น ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เจอบุคคลในตำนาน ไม่น่าเชื่อว่าใต้ใบหน้าสวยๆนี้จะซ่อนความร้ายและความแสบสัน ชนิดที่พริกขี้หนูทั้งสวนต้องเรียกพี่
“ใช่ค่ะ ตัวจริงเสียงจริง จะเอาบัตรประชาชนไปดูก็ได้นะคะ” แพรววนิดถอดแว่นำออกและลวงมือไปหยิบกระเป๋าตังค์เพื่อหยิบบัตรยืนยันตัว ดูจากสีหน้าแล้ว เจ้าหล่อนคงคิดว่าเธอโกหกแน่ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะรีบติดต่อท่านรองให้นะคะ” สาวประชาสัมพันธ์รีบร้องห้าม หญิงสาวรีบต่อสายตรงไปที่เลขาหน้าห้องรองผู้อำนวยการ คุยกันได้สักพัก เจ้าหล่อนก็วางสายและพูดว่า “ทางเลขาแจ้งว่าท่านเพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่ค่ะ เพราะติดผ่าตัดทั้งคืน เพิ่งเสร็จตอนสายๆนี้เอง”
“งั้นไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ”
“เดี๋ยวค่ะ แต่ท่านผู้อำนวยการอยู่นะคะ กำลังเดินตรวจความเรียบร้อย คิดว่าอีกสักพักคงเสร็จ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่รบกวนดีกว่า ดิฉันคงกลับไปเจอทุกคนที่บ้านจะสะดวกกว่า”
“เอาอย่างนั้นเหรอคะ อย่างนั้นดิฉันจะเรียกแท็กซี่ให้นะคะ” สาวประชาสัมพันธ์บอก ก่อนจะกดแอพพลิเคชั่นเรียกรถให้แพรววนิดจากมือถือ
“ยัยหนู…” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง แพรววนิดยืนนิ่งแทบหยุดหายใจ รู้ดีว่าคนๆนี้เป็นใคร เธอยังไม่พร้อมจะเจอหน้าเขาเลย
“ฮายยยย แด๊ดดี้ ฮาว อาร์ ยู” แพรววนิดค่อยๆปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วหันไปเผชิญกับปฐวี หรือผู้เป็นบิดา เธอแกล้งดัดเสียงทักทายเล่นใหญ่รัชดาลัยให้บิดาอับอายเล่น ก่อนจะโผเข้ากอดและหอมแก้มท่านโดยไม่แคร์สายตาๆคู่ที่จ้องมองอยู่
“ยัยหนู หนูกลับมาหาพ่อแล้วจริงๆ เป็นอย่างไรบ้างลูก แล้วทำไมถึงไม่โทรบอกกันก่อน พ่อจะได้ให้คนไปรับ” แม้จะแปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงของลูกสาว แต่ความดีใจที่ลูกสาวกลับมาหา ทำให้ปฐวีเลือกที่ถามสารทุกข์สุกดิบของแพรววนิดมากกว่า ชายวัยกลางยกมือขึ้นหมายจะลูบบุตรสาว แต่เธอกลับเบี่ยงหลบแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“อุ๊บส์! พริ้นท์คงไม่กล้ารบกวนเวลาอันมีค่าของคุณพ่อขนาดนั้นหรอกค่ะ คุณพ่อทำงานอยู่ไม่ใช่เหรอคะ พริ้นท์ไม่รบกวนดีกว่า กู๊ดบาย ซี ยู ค่ะทุกคน” แพรววนิดบอก พร้อมกันไปโบกมือให้กับประชาสัมพันธ์และพนักงานคนอื่นๆที่ตามหลังบิดา
“เดี๋ยวสิลูก พ่อทำงานเสร็จพอดี เดี๋ยวไปทานข้าวกันนะลูก”
“คงไม่ดีกว่าค่ะ พริ้นท์ทานบนเครื่องมาแล้ว ที่แวะมาที่โรงพยาบาลก่อน ก็เพราะจะมาเซอร์ไพส์พี่พลัส แต่เห็นทางคุณประชาสัมพันธ์แจ้งว่าพี่พลัสเพิ่งออกเวรและกลับบ้านไปแล้ว”
“เมื่อคืนพี่เขาติดผ่าตัดทั้งคืนน่ะลูก”
“พริ้นท์ทราบแล้วค่ะ คุณประชาสัมพันธ์บอกพริ้นท์แล้ว”
“ยัยหนู…ยังโกรธพ่ออยู่รึ” แม้จะรู้คำตอบอยู่แก่ใจ แต่ปฐวีก็ไม่อาจทนเฉยต่อกิริยาที่เปลี่ยนไปของบุตรสาว มันเลวร้ายกว่าตอนที่เขาหย่ากับภรรยาเสียอีก ตอนนั้นแม้ว่าแพรววนิดจะทำตัวเกเรเรียกร้องความสนใจด้วยการมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนผู้ชายจนขึ้นโรงพักหลายๆครั้ง จนเกือบโดนไล่ออกจากโรงเรียน แต่ความสัมพันธ์ก็ยังไม่ห่างเหินเท่าตอนนี้
“โอ๊ย พริ้นท์ไม่บังอาจกล้าโกรธท่านปฐวี วรจักรเกรียงไกร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยักษ์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยหรอกค่ะ” วูบนึงดวงตาคู่สวยประกายแสงกร้าว แสดงออกถึงความโกรธและน้อยใจในตัวบิดา
“ยัยหนู…” ปฐวีครางเสียงแผ่ว เขารู้สึกผิดที่ทำให้บุตรสาวเสียใจ แม้ว่าใจอยากจะเข้าไปกอดปลอดขวัญ แต่ก็ละอายใจเกินกว่าที่จะทำเช่นนั้น จากการกระทำในอดีตของตัวเอง
“พริ้นท์ลานะคะ พอดีจะไปหาเพื่อน” แพรววนิดรีบตัดบท ตอนนี้ไม่อยากจะคุยกับบิดาให้มากกว่านี้ ด้วยกลัวว่าจะเผลอหลุดความอ่อนแอให้ท่านได้เห็น ในเมื่อท่านไม่เคยสนใจกัน เธอก็ไม่จำเป็นต้องสนใจท่าน
“ได้ลูกได้ เอาไว้กลับบ้านแล้ว เราค่อยคุยกันก็ได้ อ้อ รอเดี๋ยวนะลูก เดี๋ยวพ่อมา” ปฐวีบอก ก่อนที่เขาจะเดินหายลับไปอีกมุมหนึ่ง และเดินกลับเข้ามาพร้อมธนบัตรสีเทาหลายสิบใบ
“ให้พริ้นท์ทำไมคะ” แพรววนิดเลิกคิ้วด้วยความสงสัย มือบางกรีดธนาบัตรปึกใหญ่ไปมา
“หนูเอาไปเท่านี้ก่อนนะลูก แล้วเดี๋ยวเลิกงานพ่อจะไปกดเงินมาให้ใหม่ รวมถึงทำบัตรเครดิตให้หนูด้วย”
“ไม่ต้องมาให้พริ้นท์หรอกค่ะ เก็บไว้ให้น้ำมนต์ หลานรักของคุณพ่อดีกว่า พริ้นท์อยู่ออสเตรเลียมาหกปีเต็มๆ โดยไม่ได้ใช้เงินของคุณพ่อสักบาท พริ้นท์ยังอยู่มาได้เลย” น้ำเสียงเย้ยหยันที่แฝงความน้อยใจของแพรววนิด ทำเอาปฐวีสะอื้นอยู่ในอก
“โธ่ ลูก… เอาเงินไปใช้นะลูก หนูอยากได้อะไรก็ซื้อเลย เดี๋ยวพ่อจะรีบทำบัตรเครดิตให้ใหม่ ถือเป็นของขวัญเรียนจบ” ปฐวีพยายามเอาอกเอาใจ ด้วยหวังว่าบุตรสาวจะให้อภัยกับสิ่งที่เขาทำพลาดลงไปในอดีต แม้ว่าจะช่วยไม่ได้มากก็เถอะ
“ของขวัญเรียนจบเงินแค่แสนสองแสนคงจะน้อยเกินไป พริ้นท์ขอรถเปิดประทุนแบบสี่ที่นั่งสักคัน ขอแบบรุ่นใหม่และราคาแพงที่สุดนะคะ เอาสักสามสิบล้านขึ้น จะได้ไม่น้อยหน้าว่าเป็นลูกสาวของผู้อำนวยการโรงพยาบาลวรจักร” พริ้นท์ยิ้มเยาะในใจ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี บิดาของเธอก็ยังทำนิสัยเดิมๆ คือใช้เงินแก้ปัญหา ก็ดี ในเมื่อเล่นไม้นี้มา เธอก็จะใช้ ใช้ และใช้เงินซื้อความสุขคืนบ้าง ให้สมกับที่ไปลำบากที่ออสเตรเลียอยู่หลายปี กับอีแค่รถราคาไม่กี่สิบล้าน ระดับท่านปฐวี คงมีจ่ายได้สบายอยู่แล้ว
“ได้สิลูก พ่อจะให้คนเอามาให้หนูวันพรุ่งนี้เลย” ปฐวีรีบรับคำ อะไรที่เป็นความสุขและความต้องการของลูก เขาก็จะหามาให้ จะแพงแค่ไหน ถ้ามันทำให้ลูกหายโกรธ เขาก็ยอม
“ขอบคุณค่ะ” แพรววนิดยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง เป็นเวลาเดียวกับที่รถแท็กที่มารับพอดี ปฐวีให้เจ้าหน้าที่ผู้ชายช่วยขนของขึ้นรถ เมื่อส่งแพรววนิดเสร็จ ปฐวีก็กลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง
คล้อยหลังทั้งเจ้านายและลูกสาวเจ้านายหายลับไป กลุ่มเจ้าหน้าที่บางส่วนก็ตั้งวงซุบซิบถึงการปรากฏตัวของแพรววนิด ที่สร้างตำนานเลื่องชื่อตามหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ไม่ว่างเว้นเมื่อหลายปีก่อน
“นี่ไง ลูกสาวท่านผู้อำนวยการ ที่เขาว่าถูกส่งไปดัดสันดานที่เมืองนอก เพราะเกเรจนครอบครัวเอือมระอา สงสัยจะดัดไม่ได้ ถึงได้ทำตัวแบบนี้ น่าสงสารท่านปฐวีจริงๆ”
แพรววนิดเอง จะใครล่ะ
เสียงโกลาหลเกิดขึ้นภายในโรงพยาบาล เหล่าแพทย์และพยาบาลวิ่งวุ่นเมื่อได้รับแจ้งจากทางตำรวจว่าเกิดอุบัติเหตุมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สภาพของผู้บาดเจ็บแต่ละคนเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย เหล่าแพทย์และพยาบาลต้องทำงานกันอย่างหนักเพื่อที่จะรักษาชีวิตคนไข้ได้ทันท่วงที
กว่าที่การทำงานของทุกคนจะสิ้นสุดลงก็ถึงเวลาเช้าพอดี รัชยุทธ์ ภวันรัตนกุล ศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านกระดูกและข้อต่อ เขาเดินออกจากห้องผ่าตัดในสภาพที่อิดโรยพร้อมกับแจ้งผลการผ่าตัดให้กับญาติคนไข้ทุกๆคน ก่อนจะขอตัวกลับไปที่ห้องพัก รัชยุทธิ์ทิ้งตัวลงกับเก้าอี้อย่างหมดแรง ตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์จนเป็นหมอเต็มตัวแล้ว ยังไม่เคยเจอเคสไหนหนักเท่าวันนี้เลย เพราะต้องใช้เวลาอยู่ภายในห้องผ่าตัดเกือบสิบชั่วโมงกว่าที่จะสามารถรักษาคนไข้ได้ปลอดภัยทุกคน
“ฟู่… เหนื่อยจริงๆเลยแหะวันนี้” ศัลยแพทย์หนุ่มพ่นลมหายใจเบาๆ ดวงตาคมค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ ขอนอนพักเอาแรงสักพัก เดี๋ยวค่อยกลับบ้านแล้วกันนะ แต่ยังไม่ทันที่จะได้พักสมใจ นางพยาบาลประจำแผนกก็โทรเรียกให้ไปตรวจอาการของรณพีร์ น้องเขยตัวแสบที่เขาพลั้งมือยิงเมื่อสองวันก่อน รัชยุทธ์ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนจะตัดใจลุกจากเก้าอี้เพื่อไปยังห้องพักพิเศษ
"ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นก็ได้ ฉันเป็นหมอไม่ใช่ฆาตกร” รัชยุทธ์บอกพลางตรวจบาดแผลของรณพีร์ แม้จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าไอ้น้องเขยตัวแสบเท่าไหร่ แต่เพราะรดาณัฐ น้องสาวสุดที่รักเป็นภรรยาของคนตรงหน้า ทำให้ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ แต่สาบานได้เลยว่าถ้าครั้งหน้ากล้าทำร้ายรดาณัฐอีก ลูกปืนจะไม่ได้ฝังแค่ที่หน้าท้องแน่ๆ เขาจะล่อเข้าที่กบาลเลยทีเดียว
“เท่าที่ตรวจคิดว่าอีกสองวันก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ ส่วนบาดแผลคงต้องใช้เวลาหน่อยกว่าจะหาย นายก็รีบๆหายซะ เดี๋ยวคนบางคนจะอกแตกตายซะก่อน รู้ไหมตอนที่นายยังไม่ฟื้น ใครบางคนร้องไห้เป็นเผาเต่าเลยนะ พูดอยู่อย่างเดียวว่าพี่แธมป์อย่าเป็นอะไรนะคะ โอ๊ย! หยิกพี่ทำไมเนี่ย” รัชยุทธ์ร้องลั่นเมื่อถูกน้องสาวหยิกเข้าที่เอวอย่างเต็มแรง ศัลยแพทย์หนุ่มปรายตามองน้องสาวที่ส่งค้อนวงโตมาให้ หน็อย! ยัยตัวแสบหยิกมาได้ เจ็บนะเฟ้ย
“พี่พีท เดี๋ยวเถอะนะ” รดาณัฐแหวใส่พี่ชาย ทำไมต้องพูดให้เธอเสียหน้าด้วย อย่างนี้คนใจร้ายนั่นคงจะหัวเราะเยาะเธอแย่
“พี่พูดอะไรผิดเหรอ”” รัชยุทธ์ทำหน้าล้อเลียนน้องสาว รดาณัฐทำท่าจะเข้ามาหยิกพี่ชายอีกรอบ แต่ศัลยแพทย์หนุ่มรีบไหวตัวไปอีกทาง
“ถ้าคิดจะทำอะไรพี่อีกล่ะก็ อย่าได้หวังเลย ไวไปสิบปีนะน้องสาว ฮ่าๆๆ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ เราควรจะดีใจนะ สามีใกล้ตาย เอ้ย! หายแล้ว โอเคๆ พี่ไปล่ะออกเวรแล้ว” เมื่อเห็นน้องสาวมองหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ศัลยแพทย์หนุ่มจึงต้องหาทางหนีก่อน แต่ก็ไม่วายกวนประสาทน้องสาวก่อนไป ด้วยการเอานิ้วมาจ่อที่ริมฝีปากเหมือนท่าสมจิตร จงจอหอ “เจ็บมาเยอะ ฮ่าๆๆ” รัชยุทธ์กวนประสาทน้องสาวจนพอใจ ก่อนที่จะหนีความผิดกลับไปที่ห้องพัก โดยมีสายตาเข่นเขี้ยวของรดาณัฐตามหลังมา
รัชยุทธ์เก็บเอกสารและเสื้อผ้าบางตัวเตรียมตัวกลับบ้าน ชายหนุ่มโทรศัพท์หามารดา ก่อนที่ท่านจะไปเยี่ยมญาติที่ต่างประเทศ รัชยุทธ์เดินคุยโทรศัพท์โดยไม่ลืมที่จะถือข้าวของทั้งหมดติดมือไปด้วย แต่ระหว่างทางที่จะเดินไปที่รถ รถคันหรูแถบยุโรปก็พุ่งตรงมาที่ชายหนุ่มด้วยความเร็วสูง เสียงแตรรถดังลั่น ทำให้รัชยุทธ์ต้องหันไปมอง ดวงตาคมเพิกตาโพลงราวกับเห็นมัจจุราชมาปลิดชีวิต โทรศัพท์และข้าวของทั้งหมดหล่นจากมือกระจัดกระจาย
เอี๊ยดดดด
เสียงเบรกรถดังลั่นลานจอดรถ ศัลยแพทย์หนุ่มยืนตะลึงราวกับเพิ่งผ่านพ้นความตาย อีกเพียงแค่เซนเดียวเท่านั้น ถ้าคนขับเบรกรถไม่ทัน ความตายคงจะมาเยือนเขาแน่ๆ
หญิงสาวร่างสูงโปร่งใส่แว่นกันแดดชาแนลสีดำ ผมสีแดงประกายน้ำตาลของเธอถูกบรรจงอย่างประณีต เรือนร่างเพรียวระหงอยู่ในชุดจั๊มสูทผ่าหลังสีน้ำเงินเข้มรัดรูป ข้อเท้ากลมกลึงถูกซ่อนอยู่ในรองเท้าส้นสูงปรี๊ด เดินลงมาจากรถอย่างหัวเสีย
“นี่อยากตายหรือยังไง ทำไมเดินไม่ดูรถบ้างฮะ” เสียงแหลมๆเอ่ยถามชายหนุ่มที่ยืนนิ่งราวกับเป็นเพียงรูปปั้นอย่างหัวเสีย รัชยุทธ์ตั้งสติได้ก็พิจารณารูปร่างหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ผู้หญิงอะไรไม่มีดีเลยสักอย่าง ตั้งแต่การแต่งตัวที่แสนจะยั่วยวนผู้ชายอย่างนั้น ชุดที่เธอใส่ก็แทบจะดันหน้าอกออกจนแทบจะปิดไม่มิด หน้าตาก็แต่งซะเข้มเหมือนกับนางเอกลิเก
“นายมีสิทธิ์อะไรมาจ้องมองฉันแบบนี้” หญิงสาวถามด้วยแววตาขุ่นเคือง เธอคือแพรววนิด สาวสวยสุดมั่นที่มีดีกรีจบการศึกษาปริญญาโทคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และยังพ่วงด้วยตำแหน่งลูกสาวเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้ เจ้าของใบหน้าหวานพิจารณาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ไอ้ผู้ชายคนนี้มันเป็นใคร กล้าดียังไงมาทำกิริยาแบบนี้กับเธอ
“เหอะ คิดหรือว่าผมอยากจะมองคุณ จะบอกอะไรให้นะ ที่มองก็เพราะสงสารพ่อแม่คุณที่เลี้ยงลูกสาวได้ไม่ดี นอกจากจะแต่งตัวยั่วยวนผู้ชายไปวันๆแล้ว ยังจะตายเร็วเพราะขับรถห่วยๆแบบนี้” สายตาคมมองหญิงสาวอย่างหยันเหยียด ให้ตายเถอะ ตั้งแต่เกิดยังไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหน นิสัยแย่เท่ายัยคนนี้เลย ใครได้เป็นเมียคงซวยไปทั้งชาติ
“แล้วนายมีสิทธิ์อะไรมาด่าฉัน” เสียงแหลมๆถามอย่างขุ่นเคือง หน็อย! ตั้งแต่เกิดยังไม่มีใครด่าเธอได้เจ็บแสบเท่าไอ้ผู้ชายคนนี้เลย รู้จักฉันน้อยไปซะแล้ว ไอ้ผู้ชายปากปลาร้า วันนี้มันวันซวยอะไรกัน ลงจากเครื่องมาปุ๊บ เช่ารถจากสนามบินก็เจอรถติดอยู่สามชั่วโมงกว่าจะมาถึงโรงพยาบาล แล้วยังจะต้องมาโดนคนแปลกหน้าด่าหน้าชาแบบนี้อีก แพรววนิดเอ๊ย ชีวิตจะนกไปไหนคะลูก
“ผมไม่ได้ด่าแต่ผมกำลังสอน สมองคุณคงประมวลผลช้า ที่บ้านไม่เคยบอกเหรอว่าเวลาทำผิดให้ขอโทษ แต่ผมคิดว่าถึงพวกท่านจะสอน คนสมองน้อยๆอย่างคุณคงจะไม่จำ” พอสั่งสอนยัยนางเอกลิเกเสร็จ ศัลยแพทย์หนุ่มก็เดินไปที่รถอย่างไม่ยี่หระ ทิ้งให้แพรววนิดกรีดร้องอยู่ในใจเพียงลำพัง ขาเรียวกระทืบเท้าลงกับพื้นด้วยความคับแค้นใจ
“ไม่เคยมีใครที่กวนประสาทฉันแล้วรอดไปได้สักคน ฉันต้องรู้ให้ได้ว่านายเป็นใคร ศพไม่สวยแน่ ไอ้ผู้ชายปากปลาร้า”
แพรววนิดคาดโทษชายหนุ่มในใจ ดวงตาหวานสะดุดตรงป้ายที่เขียนว่า ‘ที่จอดรถสำหรับแพทย์’’ หญิงสาวยิ้มร้าย เธอรู้แล้วว่าจะไปตามล่าหาไอ้ผู้ชายคนนี้ได้ที่ไหน อาจไม่มีใครรู้ว่าจ้าวแห่งนกอย่างเธอ จะนกจากผู้ชายเป็นอาชีพแล้ว ยังมีนิสัยจิกไม่ปล่อยดั่งพญาอินทรี ใครก็ตามที่กล้าทำให้เธอไม่พอใจ ไม่เคยรอดมือไปได้สักคน
‘นายเสร็จฉันแน่’
แพรววนิดยืดอกและเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจในแผนการชั่วร้าย คอยดูเถอะ แม่จะจิกไม่ปล่อยเอาให้ต้องมาอ้อนวอนสยบที่เท้าของเธอ คอยดูเถอะ
ปรื้น…ปรื้น…ปรื้นนนน
“จะบีบแตรอะไรนักหนาวะ เกิดมาไม่เคยบีบหรือไง น่ะ…นาย” แพรววนิดสะดุ้งตกใจ หญิงสาวหันมาสบถใส่เจ้าของเสียงรถไร้มารยาท ก่อนจะอ้าปากค้าง เมื่อคนๆนั้นคือไอ้หมอปากปลาร้าที่เธอเพิ่งจะมีเรื่องไปสดๆร้อนๆ
“นี่แม่คุณ จะยืนเก๊กเป็นนางแบบอีกนานไหม นี่มันโรงพยาบาลนะ ไม่ใช่แคทวอร์ก แล้วกรุณาอ่านป้ายด้วยนะครับว่าชั้นนี้เป็นที่จอดรถสำหรับแพทย์ หรือว่าอ่านหนังสือไม่ออกหรือยังไง ยัยสมองกลวง” รัชยุทธ์ลดกระจกลงฝั่งซ้ายมือลงและชี้ไปที่ป้ายชื่อลานจอดรถ อย่างยียวนชวนหาเรื่องแม่หน้าลิเกที่กำลังตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ ศัลยแพทย์หนุ่มยิ้มยั่วโทสะ ก่อนจะกดสวิชต์ให้กระจกปิดดั่งเดิม แล้วขับรถออกไปอย่างสบายอารมณ์ ทิ้งให้แพรววนิดตะโกนด่าอย่างไล่หลังอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้บ้า จะไปตายที่ไหนก็ไป”
หลังจากหัวเสียกับเหตุการณ์ปะทะกับผู้ชายปากปลาร้า แพรววนิดก็ขับรถไปจอดชั้นสำหรับผู้บริหารซึ่งอยู่ถัดไปอีกชั้นนึง ดวงตาคู่สวยมองบริเวณลานจอดรถที่เต็มไปด้วยป้ายชื่อและตำแหน่งของแต่ละคน มีความเป็นส่วนตัวมากๆค่ะ แล้วอย่างนี้ เธอจะจอดตรงไหนได้ล่ะเนี่ย หากแต่สายตากลับสะดุดตรงชื่อๆนึงที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี ‘อลิชา วรจักรเกรียงไกร’
“แม่เจ้าโว้ย ยัยน้ำเน่าได้เป็นผู้บริหารกับเขาด้วยเหรอวะ ตำแหน่งอะไรก็ไม่เขียน เป็นผู้บริหารฝ่ายไหนวะเนี่ย เออเว้ย พอร์ซรุ่นใหม่ซะด้วย คุณพ่อคงจะหลงหลานสาวคนนี้มากจริงๆ”
แพรววนิดแสยะยิ้ม นึกถึงหน้าลูกพี่ลูกน้องคู่แค้นที่มีปัญหากันมาตั้งแต่รุ่นพระเจ้าเหา คนๆเดียวกับที่ทำให้เธอกับบิดาต้องทะเลาะกัน จนท่านหยุดส่งเสียค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายตอนที่ยังศึกษาต่อปริญญาตรีที่ออสเตรเลีย เธอต้องตกระกำลำบากหาเงินส่งตัวเองเรียนจนจบ เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจแพรววนิด เธอตัดสินใจยื่นวีซ่า Working and Holiday เพื่อทำงานเก็บเงินเรียนต่อปริญญาโทอีกหนึ่งปี แต่นับว่ายังโชคดีที่เกรดเฉลี่ยปริญญาตรียังอยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้ได้ทุนการศึกษาบางส่วนและประหยัดค่าใช้จ่ายลงไป ลำพังแค่ทำงานร้านอาหารคงไม่พอ เธอรับจ็อบเขียนแบบและเขียนโปรแกรมให้บริษัทที่ไทยตามที่ได้เรียนตอนมัธยมปลาย ถึงได้เอาตัวรอดมาจนจบปริญญาโทนี่แหละ ที่สำคัญ เธอไม่เคยติดต่อกลับไปที่บ้านตลอดหกปี แม้แต่ตอนที่กลับมาต่อวีซ่า working ก็พักอาศัยกับน้าสาว และให้น้ารับรองเป็นผู้ปกครองในการสมัครเข้าโครงการนี้ เธอตัดการติดต่อกับครอบครัวฝั่งบิดาทุกคนและทุกช่องทาง แม้กระทั่งพี่ชายตัวเอง ดูเอาเถอะ เลือดในอกก็ไม่สำคัญเท่าเลือดคนอื่น สมเพชตัวเองไหมล่ะ แพรววนิด
หญิงสาวยิ้มที่มุมปาก เมื่อคิดอะไรดีๆขึ้นมาได้ ที่ว่าดีคือดีต่อตัวเอง แต่สร้างความลำบากให้ยัยน้ำเน่า ข้อหาหมั่นไส้ เอ๊ะ มีชื่อของคุณลุงตัวแสบหรือบิดาของยัยน้ำเน่าด้วย ตลกชะมัด อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แทนที่จะมารถคันรถเดียวกัน เปลืองชะมัด ดีเลย งั้นก็จอดรถขวางหน้ารถของสองพ่อลูกพร้อมกันเลย ขากลับเรียกแท็กซี่มารับ แล้วจอดรถทิ้งไว้ พรุ่งนี้ค่อยเรียกบริษัทเช่ารถมารับ สาแก่ใจอีพริ้นท์ยิ่งนัก อ้อ เกือบลืมใส่เบรกมือเลย ‘ยัยน้ำเน่าเอ๊ย เสร็จฉันล่ะ’
แพรววนิดหยิบกระเป๋าเดินทางสองใบที่อยู่ด้านหลังลง พร้อมทั้งกระเป๋าถือ ก่อนจะปิดท้ายลง เมื่อหยิบทุกอย่างครบแล้ว หญิงสาวมองรถคันหรูของสองพ่อลูกกาฝากด้วยความสะใจ เห็นทีว่าวันนี้คงจะมีสัมภเวสีกรีดร้องดังทั่วลานจอดรถแน่ๆ แพรววนิดลากกระเป๋าตรงไปที่ลิฟต์ด้วยความทุลักทุเล น้ำหนักทั้งหมดแค่สามสิบกิโลกรัมตามขั้นต่ำของสายการบินเองนะ ทำไมมันหนักชะมัด ขนาดว่าทิ้งเสื้อผ้าและของใช้อื่นๆไปบ้างแล้วนะเนี่ย คิดผิดหรือคิดถูกกันแน่ที่แกล้งยัยน้ำเน่า ถ้าขับรถไปที่บ้าน ก็มีคนมายกกระเป๋าให้แล้ว เอาโว้ย คิดจะเป็นราชสีห์ อย่ากลัวขวากหนาม เดี๋ยว…ไม่ใช่ล่ะ
แพรววนิดกดไปที่ชั้นสูงสุดซึ่งเป็นห้องของผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการ แต่เมื่อกดไปแล้ว กลับไม่ติด ก่อนจะถึงบางอ้อ เมื่อเห็นว่าลิฟต์ตัวนี้ต้องใช้คีย์การ์ด เฮ้อ ชีวิตของนก ลำบ๊ากลำบากเหลือเกิน เอาเถอะ คิดว่าไปชั้น L หรือล็อปบี้ให้ประชาสัมพันธ์เรียกพี่ชายเธอลงมารับก็ได้
ทันทีที่แพรววนิดก้าวออกจากลิฟต์ ก็ถูกจับตามองจากผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ ผู้ป่วย หรือญาติคนไข้ นี่เจ้าหล่อนคิดว่ามาท่องเที่ยวอยู่ยุโรปหรือยังไง ถึงได้แบกกระเป๋ามาโรงพยาบาลด้วยใบเบ้อเร่อนั่น ทั้งยังแต่งตัวยังกับมาเดินแบบ ดู๊ดู ในที่ร่มแบบนี้ยังจะสวมแว่นตาดำอีก
เสียงซุบซิบนินทาที่กำลังวิจารณ์ต่อเสื้อผ้าและกระเป๋าของแพรววนิด ไม่ได้ทำให้ความมั่นหน้าลดน้อยลง ที่นี่โรงพยาบาลบิดาของเธอ เธอมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้ หญิงสาวเดินตรงไปที่สาวประชาสัมพันธ์ที่กำลังวุ่นๆอยู่กับการรับโทรศัพท์ แพรววนิดรอจนเจ้าหล่อนคุยโทรศัพท์เสร็จจึงเข้าไปทัก
“สวัสดีค่ะ โรงพยาบาลวรจักร ยินดีต้อนรับ วันนี้มาติดต่อเรื่องอะไรคะ” สาวสวยประชาสัมพันธ์ทักทายแพรววนิดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและเป็นกันเอง โดยไม่ได้สนใจกับการแต่งตัวของคนที่มาติดต่อ
“สวัสดีค่ะ ดิฉันต้องการติดต่อคุณหมอพบกรัณย์ วรจักรเกรียงไกรค่ะ” แพรววนิดบอก หญิงสาวยิ้มตอบกลับด้วยความพึงพอใจกับกิริยาและการบริการของประชาสัมพันธ์คนนี้ มันต้องแบบนี้สิ
“อ๋อ ท่านรองผู้อำนวยการ ได้นัดไว้หรือเปล่าคะ”
“เปล่าค่ะ”
“คุณชื่ออะไรคะ ดิฉันจะได้แจ้งทางคุณหมอให้ทราบ” สาวประชาสัมพันธ์เตรียมหยิบกระดาษโน้ตมาจดชื่อ
“บอกเขาว่าฉันชื่อแพรววนิด วรจักรเกรียงไกร มาขอพบค่ะ”
“คะ…คุณเป็นลูกสาวของท่านผู้อำนวยการเหรอคะ” สาวประชาสัมพันธ์ถามเสียงสั่น ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เจอบุคคลในตำนาน ไม่น่าเชื่อว่าใต้ใบหน้าสวยๆนี้จะซ่อนความร้ายและความแสบสัน ชนิดที่พริกขี้หนูทั้งสวนต้องเรียกพี่
“ใช่ค่ะ ตัวจริงเสียงจริง จะเอาบัตรประชาชนไปดูก็ได้นะคะ” แพรววนิดถอดแว่นำออกและลวงมือไปหยิบกระเป๋าตังค์เพื่อหยิบบัตรยืนยันตัว ดูจากสีหน้าแล้ว เจ้าหล่อนคงคิดว่าเธอโกหกแน่ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะรีบติดต่อท่านรองให้นะคะ” สาวประชาสัมพันธ์รีบร้องห้าม หญิงสาวรีบต่อสายตรงไปที่เลขาหน้าห้องรองผู้อำนวยการ คุยกันได้สักพัก เจ้าหล่อนก็วางสายและพูดว่า “ทางเลขาแจ้งว่าท่านเพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่ค่ะ เพราะติดผ่าตัดทั้งคืน เพิ่งเสร็จตอนสายๆนี้เอง”
“งั้นไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ”
“เดี๋ยวค่ะ แต่ท่านผู้อำนวยการอยู่นะคะ กำลังเดินตรวจความเรียบร้อย คิดว่าอีกสักพักคงเสร็จ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่รบกวนดีกว่า ดิฉันคงกลับไปเจอทุกคนที่บ้านจะสะดวกกว่า”
“เอาอย่างนั้นเหรอคะ อย่างนั้นดิฉันจะเรียกแท็กซี่ให้นะคะ” สาวประชาสัมพันธ์บอก ก่อนจะกดแอพพลิเคชั่นเรียกรถให้แพรววนิดจากมือถือ
“ยัยหนู…” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง แพรววนิดยืนนิ่งแทบหยุดหายใจ รู้ดีว่าคนๆนี้เป็นใคร เธอยังไม่พร้อมจะเจอหน้าเขาเลย
“ฮายยยย แด๊ดดี้ ฮาว อาร์ ยู” แพรววนิดค่อยๆปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วหันไปเผชิญกับปฐวี หรือผู้เป็นบิดา เธอแกล้งดัดเสียงทักทายเล่นใหญ่รัชดาลัยให้บิดาอับอายเล่น ก่อนจะโผเข้ากอดและหอมแก้มท่านโดยไม่แคร์สายตาๆคู่ที่จ้องมองอยู่
“ยัยหนู หนูกลับมาหาพ่อแล้วจริงๆ เป็นอย่างไรบ้างลูก แล้วทำไมถึงไม่โทรบอกกันก่อน พ่อจะได้ให้คนไปรับ” แม้จะแปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงของลูกสาว แต่ความดีใจที่ลูกสาวกลับมาหา ทำให้ปฐวีเลือกที่ถามสารทุกข์สุกดิบของแพรววนิดมากกว่า ชายวัยกลางยกมือขึ้นหมายจะลูบบุตรสาว แต่เธอกลับเบี่ยงหลบแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“อุ๊บส์! พริ้นท์คงไม่กล้ารบกวนเวลาอันมีค่าของคุณพ่อขนาดนั้นหรอกค่ะ คุณพ่อทำงานอยู่ไม่ใช่เหรอคะ พริ้นท์ไม่รบกวนดีกว่า กู๊ดบาย ซี ยู ค่ะทุกคน” แพรววนิดบอก พร้อมกันไปโบกมือให้กับประชาสัมพันธ์และพนักงานคนอื่นๆที่ตามหลังบิดา
“เดี๋ยวสิลูก พ่อทำงานเสร็จพอดี เดี๋ยวไปทานข้าวกันนะลูก”
“คงไม่ดีกว่าค่ะ พริ้นท์ทานบนเครื่องมาแล้ว ที่แวะมาที่โรงพยาบาลก่อน ก็เพราะจะมาเซอร์ไพส์พี่พลัส แต่เห็นทางคุณประชาสัมพันธ์แจ้งว่าพี่พลัสเพิ่งออกเวรและกลับบ้านไปแล้ว”
“เมื่อคืนพี่เขาติดผ่าตัดทั้งคืนน่ะลูก”
“พริ้นท์ทราบแล้วค่ะ คุณประชาสัมพันธ์บอกพริ้นท์แล้ว”
“ยัยหนู…ยังโกรธพ่ออยู่รึ” แม้จะรู้คำตอบอยู่แก่ใจ แต่ปฐวีก็ไม่อาจทนเฉยต่อกิริยาที่เปลี่ยนไปของบุตรสาว มันเลวร้ายกว่าตอนที่เขาหย่ากับภรรยาเสียอีก ตอนนั้นแม้ว่าแพรววนิดจะทำตัวเกเรเรียกร้องความสนใจด้วยการมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนผู้ชายจนขึ้นโรงพักหลายๆครั้ง จนเกือบโดนไล่ออกจากโรงเรียน แต่ความสัมพันธ์ก็ยังไม่ห่างเหินเท่าตอนนี้
“โอ๊ย พริ้นท์ไม่บังอาจกล้าโกรธท่านปฐวี วรจักรเกรียงไกร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยักษ์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยหรอกค่ะ” วูบนึงดวงตาคู่สวยประกายแสงกร้าว แสดงออกถึงความโกรธและน้อยใจในตัวบิดา
“ยัยหนู…” ปฐวีครางเสียงแผ่ว เขารู้สึกผิดที่ทำให้บุตรสาวเสียใจ แม้ว่าใจอยากจะเข้าไปกอดปลอดขวัญ แต่ก็ละอายใจเกินกว่าที่จะทำเช่นนั้น จากการกระทำในอดีตของตัวเอง
“พริ้นท์ลานะคะ พอดีจะไปหาเพื่อน” แพรววนิดรีบตัดบท ตอนนี้ไม่อยากจะคุยกับบิดาให้มากกว่านี้ ด้วยกลัวว่าจะเผลอหลุดความอ่อนแอให้ท่านได้เห็น ในเมื่อท่านไม่เคยสนใจกัน เธอก็ไม่จำเป็นต้องสนใจท่าน
“ได้ลูกได้ เอาไว้กลับบ้านแล้ว เราค่อยคุยกันก็ได้ อ้อ รอเดี๋ยวนะลูก เดี๋ยวพ่อมา” ปฐวีบอก ก่อนที่เขาจะเดินหายลับไปอีกมุมหนึ่ง และเดินกลับเข้ามาพร้อมธนบัตรสีเทาหลายสิบใบ
“ให้พริ้นท์ทำไมคะ” แพรววนิดเลิกคิ้วด้วยความสงสัย มือบางกรีดธนาบัตรปึกใหญ่ไปมา
“หนูเอาไปเท่านี้ก่อนนะลูก แล้วเดี๋ยวเลิกงานพ่อจะไปกดเงินมาให้ใหม่ รวมถึงทำบัตรเครดิตให้หนูด้วย”
“ไม่ต้องมาให้พริ้นท์หรอกค่ะ เก็บไว้ให้น้ำมนต์ หลานรักของคุณพ่อดีกว่า พริ้นท์อยู่ออสเตรเลียมาหกปีเต็มๆ โดยไม่ได้ใช้เงินของคุณพ่อสักบาท พริ้นท์ยังอยู่มาได้เลย” น้ำเสียงเย้ยหยันที่แฝงความน้อยใจของแพรววนิด ทำเอาปฐวีสะอื้นอยู่ในอก
“โธ่ ลูก… เอาเงินไปใช้นะลูก หนูอยากได้อะไรก็ซื้อเลย เดี๋ยวพ่อจะรีบทำบัตรเครดิตให้ใหม่ ถือเป็นของขวัญเรียนจบ” ปฐวีพยายามเอาอกเอาใจ ด้วยหวังว่าบุตรสาวจะให้อภัยกับสิ่งที่เขาทำพลาดลงไปในอดีต แม้ว่าจะช่วยไม่ได้มากก็เถอะ
“ของขวัญเรียนจบเงินแค่แสนสองแสนคงจะน้อยเกินไป พริ้นท์ขอรถเปิดประทุนแบบสี่ที่นั่งสักคัน ขอแบบรุ่นใหม่และราคาแพงที่สุดนะคะ เอาสักสามสิบล้านขึ้น จะได้ไม่น้อยหน้าว่าเป็นลูกสาวของผู้อำนวยการโรงพยาบาลวรจักร” พริ้นท์ยิ้มเยาะในใจ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี บิดาของเธอก็ยังทำนิสัยเดิมๆ คือใช้เงินแก้ปัญหา ก็ดี ในเมื่อเล่นไม้นี้มา เธอก็จะใช้ ใช้ และใช้เงินซื้อความสุขคืนบ้าง ให้สมกับที่ไปลำบากที่ออสเตรเลียอยู่หลายปี กับอีแค่รถราคาไม่กี่สิบล้าน ระดับท่านปฐวี คงมีจ่ายได้สบายอยู่แล้ว
“ได้สิลูก พ่อจะให้คนเอามาให้หนูวันพรุ่งนี้เลย” ปฐวีรีบรับคำ อะไรที่เป็นความสุขและความต้องการของลูก เขาก็จะหามาให้ จะแพงแค่ไหน ถ้ามันทำให้ลูกหายโกรธ เขาก็ยอม
“ขอบคุณค่ะ” แพรววนิดยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง เป็นเวลาเดียวกับที่รถแท็กที่มารับพอดี ปฐวีให้เจ้าหน้าที่ผู้ชายช่วยขนของขึ้นรถ เมื่อส่งแพรววนิดเสร็จ ปฐวีก็กลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง
คล้อยหลังทั้งเจ้านายและลูกสาวเจ้านายหายลับไป กลุ่มเจ้าหน้าที่บางส่วนก็ตั้งวงซุบซิบถึงการปรากฏตัวของแพรววนิด ที่สร้างตำนานเลื่องชื่อตามหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ไม่ว่างเว้นเมื่อหลายปีก่อน
“นี่ไง ลูกสาวท่านผู้อำนวยการ ที่เขาว่าถูกส่งไปดัดสันดานที่เมืองนอก เพราะเกเรจนครอบครัวเอือมระอา สงสัยจะดัดไม่ได้ ถึงได้ทำตัวแบบนี้ น่าสงสารท่านปฐวีจริงๆ”
เพชรประกาย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ต.ค. 2560, 23:52:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ต.ค. 2560, 23:52:59 น.
จำนวนการเข้าชม : 776
<< บทนำ |