สัตตะลังกา
พลอยชีวันเคยใช้ชีวิตเป็นนักข่าวธรรมดาๆ จนกระทั่งได้พบกับพี่น้องกะเหรี่ยงเกอที่เดินทางออกมาจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมรัฐ หล่อนจึงได้รู้ว่าชีวิตหล่อนจะไม่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังจากได้พบกับเขา ป่าไม้หนุ่มเจ้าของฉายา "ปากหมา หน้าหื่น ปืนโหด โคตรเหี้ยม"
หากนวนิยายเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ใดก็ตามหันมารักและต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่าของไทยเอาไว้ ผู้เขียนขอมอบผลและคุณงามความดีให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกท่าน รวมถึงอุทิศแด่ คุณสืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษป่าไม้ไทยอีกด้วย
หากนวนิยายเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ใดก็ตามหันมารักและต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่าของไทยเอาไว้ ผู้เขียนขอมอบผลและคุณงามความดีให้กับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกท่าน รวมถึงอุทิศแด่ คุณสืบ นาคะเสถียร วีรบุรุษป่าไม้ไทยอีกด้วย
Tags: ป่าไม้,ลี้ลับ,โรแมนติก,ผจญภัย
ตอน: บทที่ ๑๓
บทที่ ๑๓
ตั้งแต่เช้า วาสะเดินออกมาจากบ้านเพื่อนั่งทานข้าวบริเวณชานบ้าน แวะลงมาล้างมือที่อ่างปั้นดินเผา แล้วเดินกลับขึ้นไปบนบ้าน อยู่ในนั้นเกือบถึงตอนเย็นจึงเดินลงมา ทีจอนั่งคอย เฝ้ารอว่าวาสะจะไปไหน ทำอะไรบ้าง อยู่อย่างนี้มาตั้งแต่งานฝังศพ ตั้งใจว่าจะหาเบาะแสอะไรสักอย่าง แต่กลับไม่พบอะไร เขากลับบ้านพร้อมความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
จนกระทั่งตกเย็น
ผู้นำหมู่บ้านเดินลงมาจากเรือน เอามือไพล่หลัง เดินมองโน่นมองนี่ นานๆ จะหยุดทักทายคนในหมู่บ้านสักครั้ง เขาเดินไปตามริมน้ำ นั่งทอดสายตามองไปอย่างไร้จุดหมายอยู่นานโข คล้ายสุดท้ายก็ตัดสินใจได้จึงลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าไปยังท้ายหมู่บ้านอันเป็นที่ตั้งของบ้านหญิงชราซึ่งพักอาศัยอยู่กับหลานสาวอีกหนึ่งคน
ทีจอขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ หน้าต่าง ด้วยความหวังว่าจะได้ยินอะไรบ้าง
“ข้ามานั่งคิดดูแล้ว ข้าเห็นด้วยกับที่ทีจอพูด” เลือดในกายของทีจอเย็นเฉียบ แต่กระนั้นชีพจรกับเต้นรัว แทบจะกลั้นหายใจฟังประโยคต่อมา “เราควรจะบอกกคนในหมู่บ้านว่ามันเกิดอะไรขึ้น พวกเขามีสิทธิ์รู้”
“ถ้าเจ้าไม่กลัวว่าพวกเขาจะอพยพออกไปตายข้างนอกนั่น... ก็ตามใจเจ้าเถิด”
“พะปอ... ท่านพูดแบบนี้ก็เหมือนไม่มีทางเลือกเหลือให้ข้าเลย ท่านรู้ท่านเห็นอะไร ท่านบอกข้าสิ หรือจะให้ข้าทำอะไร บอกข้ามาสักอย่างเถอะ”
“ข้าไม่มีอะไรจะบอก... ข้าเห็นมีนิมิตอะไรมาสักพักแล้ว นับตั้งแต่วิญญาณบรรพบุรุษละทิ้งเราไปทีละดวง... ทีละดวง พร้อมๆ กับความเหี่ยวเฉาที่มาเยือนต้นสาละลังกา ถ้าหญิงผู้นั้นมาไม่ทันฝนสุดท้าย เราก็คงไม่รอดกันแน่ๆ”
ก่อนจะทันได้คิด ทีจอลุกขึ้นยืน ก้าวยาวๆ ขึ้นไปบนเรือนของอาจาแล้วผลักประตูบ้านเข้าไปด้วยความเกรี้ยวกราด
“ทุกคนในหมู่บ้านกำลังจะตาย! แล้วทำไมท่านทั้งสองยังคงนิ่งเฉยอยู่อย่างนี้! พวกท่านมันเห็นแก่ตัว ข้าจะนำความนี้ไปบอกคนในหมู่บ้าน”
“ทีจอ!” วาสะพยายามจะลุกขึ้นคว้าตัวชายหนุ่มแต่ทว่าไม่ทันเสียแล้ว ทีจอกระโดดผลุงลงมาจากชานเรือน วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปยังลานกลางหมู่บ้าน พร้อมตะโกนเสียงดังลั่น
“เราทุกคนในหมู่บ้านกำลังจะตาย!”
“พูดเรื่องอะไรของเจ้าน่ะทีจอ” ชาวบ้านเริ่มทยอยเข้ามามุงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะหมดทั้งหมู่บ้าน
“พะตือวาสะกับพะปอปิดบังอะไรเราอยู่ การที่ต้นสาละลังกาค่อยๆ ทิ้งใบ และลำต้นใกล้จะตายนั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ วิญญาณบรรพบุรุษกำลังจะละทิ้งหมู่บ้านเราไป นั่นคือเหตุผลว่าทำไมระยะหลังหมู่บ้านเราจึงมีการตายเกิดขึ้นบ่อยกว่าปกติ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ข้าได้ยินพะตือวาสะกับพะปอคุยกัน ถ้าไม่เชื่อพวกเจ้ารอถามพะตือได้เลย”
ดังนั้นเมื่อวาสะเดินมาถึงลานกลางหมู่บ้าน สายตาที่เต็มไปด้วยความคลางแคลงสงสัยจึงพุ่งตรงไปหาปราชญ์หมู่บ้านที่สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
“อธิบายมาเถอะพะตือ ว่าท่านปิดบังอะไรเราไว้”
วาสะถอนหายใจ นิ่งไปครู่ใหญ่ แต่ท้ายที่สุดก็ยอมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง
“หมายความว่าถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่มาเราจะตายกันทั้งหมู่บ้านอย่างนั้นหรือ นี่เรากำลังฝากความหวังไว้กับลูกหลานของคนที่เคยทำบัดสีในหมู่บ้านเราอย่างนั้นใช่ไหม นางจะมีหน้ากลับมาหรือพะตือ ท่านนี่ช่างน่าขัน... รอคอยอะไรที่มันไม่มีทางเกิดขึ้นจริง”
“นางไม่ผิด... แต่ต้องมารับกรรมที่บรรพบุรษของนางเคยก่อไว้ ข้าเชื่อว่านางจะมา เพื่อแก้ไขผิดให้เป็นถูก และเพื่อล้างคำสาปให้คนในหมู่บ้านของเรา”
“ท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่านางจะมา”
“อีกสองสัปดาห์... หากนางยังไม่มา ข้าจะออกไปตามหานางอีกครั้ง แล้วครั้งนี้หากยังไม่เจอ ข้ายินดีที่จะให้ทุกคนย้ายออกไปจากหมู่บ้านลังกา โดยที่ข้าจะอาสาอยู่ที่นี่เพื่อส่งข่าวทุกคนเอง”
ครั้นได้ยินวาจาที่เปล่งออกมาด้วยความหนักแน่นแล้ว เป็นที่พอใจกับชาวบ้านทั้งหลายจนยอมสลายการรวมตัวในที่สุด โดยมีทีจอยืนสบตากับวาสะอยู่เป็นคนสุดท้าย ก่อนจะสะบัดหน้าหนีคล้ายยังมีเพิ่งโทสะสุมอยู่ในอก
ตั้งแต่กลับเข้าไปในบ้าน ทีจอก็เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา จนกระทั่งตกดึกคืนนั้น เขาก็เริ่มเก็บข้าวของลงในห่อผ้า โดยไม่คาดคิดว่าน้องสาวจะตื่นขึ้นมาเห็นกลางดึก
“นั่นพี่จะไปไหน”
“ข้าจะไปตามหาหญิงผู้นั้นก่อนที่นางจะเดินทางมาถึงที่นี่ ข้าต้องเจอนางก่อนที่วาสะจะเจอนาง”
“พี่จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นนาง”
ทีจอมัดห่อผ้าไปพลาง เอียงเสี้ยวหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้เงาแสงไฟอันวูบไหวจากตะเกียงขึ้นมองพร้อมเอ่ยไปพลาง
“หมู่บ้านเราเข้ามาได้ทางเดียว จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่จะมุ่งหน้ามายังหมู่บ้านแห่งนี้”
“ถ้าเจอนางแล้วพี่จะทำอย่างไร”
ทีจอไม่ตอบ ส่งผลให้น้องสาวมีความร้อนใจอย่างมาก แม้พี่ชายผู้นี้จะมีความคิดแปลกๆ ในสายตาผู้อื่น แต่อย่างไร ทีจอก็ยังเป็นเลือดเนื้อเดียวกันกับตนเอง ซึ่งจะปล่อยให้ทำอะไรเสี่ยงๆ ไม่ได้เด็ดขาด “ทีจอ พี่คิดจะทำอะไรกันแน่”
“เจ้าไม่ต้องถามอะไรมาก เตรียมตัวเก็บข้าวเก็บของ บอกพ่อแม่ด้วยว่าข้าจะรีบกลับมา”
“เก็บของไปไหน”
“นาเลาะ” เขาหันมาหาน้องสาวด้วยสีหน้าจริงจัง “หมู่บ้านแห่งนี้ต้องคำสาป ข้าต้องพาคนออกไปจากหมู่บ้านนี้ให้ได้ เจ้าไม่สงสัยเลยหรือว่าโลกภายนอกนั่นมันเป็นอย่างไรบ้าง นี่เป็นโอกาสเดียวที่เราจะเป็นอิสระ”
“นั่นมันความคิดบ้าๆ... พะตือวาสะบอกเราแล้วให้รอ มิใช่หรือ”
“ข้าไม่นั่งรอให้ความตายมาเยือนหรอก” เขาตอบพร้อมคล้องแขนเข้ากับห่อผ้าแล้วลุกขึ้นยืน “เจ้าเองก็อย่าเที่ยวไปบอกใคร แล้วเร่งเก็บข้าวเก็บของเสีย ไม่เกินสามวันข้าจะรีบกลับมา”
จบคำก็หุนหันออกไปจากบ้าน เป็นการตัดโอกาสไม่ให้นาเลาะได้ประท้วงใดๆ ทั้งสิ้น
พลอยชีวันพยายามปรับสายตาให้เข้ากับความมืด... ในมือหล่อนมีกระบอกไฟฉายไว้นำทาง และรอบข้างมีแสงจากไฟฉายคาดบนศีรษะของเพื่อนร่วมเดินทางในครั้งนี้ ตั้งแต่หยุดรอให้ฝนซาจนถึงตอนนี้ฝนก็หยุดตกไปแล้ว เป็นเวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทราบคือร่างกายของหล่อนกำลังประท้วงอันเนื่องมาจากความหนาวและอาการอ่อนล้าอย่างหนัก หญิงสาวรู้สึกว่าตนเองขาสั่น จนต้องถอยไปเอนร่างพิงต้นไม้ ระหว่างรอให้เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าแขวนเปลให้นอน
เจ้าหน้าที่สามนายช่วยกันแขวนแผ่นพลาสติกหนาสูงเหนือศีรษะขึ้นไปเพื่อกันฝนและจะใช้เป็นบริเวณก่อไฟในค่ำคืนนี้ ขณะที่พลอยชีวันเกิดความสงสัยว่าจะก่อไฟท่ามกลางสายฝนอย่างไร หรือกระทั่งจะหาฟืนที่ไม่เปียกฝนมาจากไหน หล่อนก็คลายความสงสัยเมื่อสินธุ์นทีเดินหอบท่อนไม้ล้มขนาดใหญ่เข้ามาทิ้งลงใต้ร่มแผ่นพลาสติกและเริ่มผ่ากลางท่อนไม้ซึ่งน้ำฝนซึมเข้าไปไม่ถึง ก่อนจะเริ่มจุดไฟไล่ความชื้นและโยนกิ่งไม้ไว้รอบๆ เพื่อไล่น้ำฝนเช่นกัน นานใช่ย่อยกว่าที่กองไฟขนาดย่อมจะลุกโชนพอจะประกอบอาหาร
ครั้นไฟติดแล้วหัวหน้าชุดเดินป่าจึงหันกลับมาผูกเปล ใช้โซ่เหล็กขนาดพอดีผูกบริเวณหัวเปลทิ้งปลายด้านหนึ่งลงกับพื้นพื้นให้น้ำฝนไหลลงไปตามเส้นเหล็กดังกล่าวป้องกันน้ำไหลเข้าเปลสนาม อากาศคืนนี้คงหนาวสะท้านจิต แล้วนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มอดห่วงหญิงสาวคนเดียวในทีมไม่ได้
แสงไฟที่วูบไหวเรียกให้สินธุ์นทีหันกลับมามองต้นกำเนิดแสงที่เซถลาไปพิงซบต้นไม้ แม้จะมีแสงเพียงลางๆ แต่เขาก็มองเห็นว่าหล่อนมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ชายหนุ่มวางมือจากการผูกเชือกมุ้งเปลกับต้นไม้เดินเข้ามาหาหล่อน
“เพลิน... ไหวไหม”
“ไหวค่ะ”
“เป็นอะไร รู้สึกยังไง พูดมาสิ หนาว หรือปวดหัวอะไรมั้ย ไม่สบายหรือเปล่า”
“ปวดเมื่อยตัวนิดหน่อยค่ะ คงเป็นเพราะไม่เคยเดินแบกของหนักๆ ไกลๆ แบบนี้”
“ผมเข้าใจๆ” เขาผละไปครู่ใหญ่ก่อนจะกลับมาพร้อมขวดน้ำและซองยาพาราเซตามอล “กินยาก่อน ไม่ไหวให้บอกผมนะ ผมหมายความตามนี้จริงๆ ไม่ต้องแกล้งว่าไหว เดินไปไกลกว่านี้จะแย่เอา”
หญิงสาวรับน้ำและยามาป้อนเข้าปาก “รอก่อนนะ เดี๋ยวแขวนเปลก่อน แล้วไปนอนพัก หิวไหม”
นาทีนี้หล่อนเหนื่อยจนกินอะไรไม่ลงจริงๆ จึงได้แต่ส่ายหน้า มองเจ้าหน้าที่คนนั้นคนนี้ทำหน้าที่ของตน แคมป์ที่พักเริ่มเป็นรูปเป็น ขณะที่บางคนเมื่อเขวนเปลสนามของตนเรียบร้อยแล้วจึงหันเรียกให้หล่อนเข้าไปอยู่ใกล้กองไฟใต้แผ่นพลาสติกหนา
พลอยชีวันไม่รอช้า ตรงปรี่เข้าไปรับไออุ่นที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาก และมากกว่านั้นตอนที่ในมือได้กุมถ้วยสแตนเลสที่มีน้ำอุ่นๆ
“ระวังไฟนะครับ อย่าอยู่ใกล้มาก” นอบีเอ่ยเบาๆ
เท่าที่มีโอกาสได้สังเกต หญิงสาวสรุปกับตนเองว่า หนุ่มปาเกอญอผู้นี้ไม่ใช่คนช่างพูดนัก แต่เขามักจะใช้สายตาสำรวจบรรยากาศรอบตัวอยู่เสมอ แถมยังมีความรู้เรื่องนกอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญ ชนิดที่ตัวสินธุ์นทีซึ่งเรียนจบจากสาขาวิทยาศาสตร์สัตว์ป่าและทุ่งหญ้าหนำซ้ำยังเรียนปักษีวิทยาจบมาด้วยเกรดบีบวกยังมีความสามารถในการจำแนกชนิดนกแพ้นอบีด้วยซ้ำ
เพราะบางอย่างก็ไม่ได้มีสอนในห้องเรียน...
“ท่าทางไม่ค่อยดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าครับ” ถามพลางเตรียมหุงข้าวด้วยหม้อสนามไปพลาง
“เมื่อยตัวนิดหน่อยค่ะ มันเพลียๆ ยังไงบอกไม่ถูก”
“รอตรงนี้แป้บนึงครับ” นอบีหายไปครู่ใหญ่ก่อนจะกลับมาพร้อมเจลลี่รูปตัวการ์ตูนซองเล็ก “เวลาเพลียๆ พวกผมชอบกินอะไรหวานๆ มันช่วยให้รู้สึกดีขึ้นครับ หรือจะกินโอวัลตินมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ เกรงใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ กินเลยๆ” บอกด้วยน้ำเสียงจริงใจแกมคะยั้นคะยอ และด้วยความกระตือรือร้นนั้นทำให้หล่อนปฏิเสธไม่ลง รับซองขนมมาแกะเงียบๆ รสชาติหวานจัดทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย สอดส่ายสายตามองก็พบว่าเปลที่คลุมด้วยหลังคาแผ่นพลาสติกหนาทั้งห้าหลังกางรอบๆ กองไฟ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กลิ่นหอมของข้าวจากหม้อสนามทำให้พลอยชีวันเพิ่งรู้ว่าตนเองหิวขนาดไหน นอบียกข้าวลงมาจากกองไฟ ปลดหูหม้อสนามออกจากไม้ และวางลงบนพื้นข้างๆ กองไฟ เรียกวิธีแบบนี้ว่าการดงข้าว ซึ่งจะช่วยไล่น้ำออกจากข้าว โดยไม่ทำให้ข้าวไหม้และข้าวสุกทั่วกันทั้งหม้อ
เมื่อยกหม้อหุงข้าวลงมาดง สินธุ์นทีจึงก้าวเข้ามายืนใต้ผืนพลาสติกก่อกองไฟเพื่อเริ่มทำกับข้าว ที่มีทั้งปลาแห้ง น้ำพริก กุนเชียง และผักตระกูลข่าที่ลวกกินกับน้ำพริก เนื่องจากฝนลดความแรงลงแล้ว ทุกคนจึงมาล้อมวงกันทานข้าวเย็นในสภาพที่สำหรับหญิงสาวคนเดียวอย่างหล่อนแล้ว... มันค่อนข้างกระอักกระอ่วนอยู่เหมือนกัน
กล่าวคือ... ชายหนุ่มสามคนล้วนสวมเพียงกางเกงขาสั้น เหตุเพราะต้องผึ่งชุดเครื่องแบบไว้ใกล้ๆ กองไฟเพื่อใส่ซ้ำในเช้าวันพรุ่งนี้ และหากฝนยังตกอยู่แบบนี้ก็คงต้องใส่และถอดผึ่งตากไฟอย่างนี้ไปตลอดการเดินป่า ขณะที่ชายหนุ่มอีกคนมีเพียงผ้าขาวม้าพันกายท่อนล่าง ส่วนหล่อนนั้นใจหนึ่งก็อยากจะเปลี่ยนชุดเหมือนกันแต่มันรู้สึกประหลาดๆ และยังนึกภาพไม่ออกว่าตนเองจะเปลี่ยนชุดได้อย่างไร จึงต้องทานข้าวไปมองกองไฟต่างหน้าเพื่อนร่วมเดินทาง
นานเข้าหนุ่มๆ จึงทนเขินอายไม่ไหว ลุกขึ้นแยกย้ายไปทีละคนสองคน แต่คนตรงกันข้ามที่ดูเหมือนจะไม่มีท่าทีสะทกสะท้านกับการที่ต้องมาเปลือยอกกินข้าวตรงข้ามหญิงสาวคนเดียว
“อ้าว ลุกไปไหนกันล่ะ”
“ไม่ไหวครับ ผมร้อน” เสียงสมหมายดังมาจากเปลนอนของตนเอง
“ร้อนหรือเขิน เอาดีๆ”
“ผมไม่ได้ใจกล้าเหมือนผู้ช่วยฯ นะครับ”
“จะบอกว่าผมหน้าด้านว่างั้นเถอะ”
“ผมล้อเล่นครับ ฮ่าๆ”
“มานั่งกันเถอะค่ะ นั่งตรงนี้จะได้อุ่นๆ ฉันไม่ถือหรอก” เมื่อได้คำยืนยันดังนั้น สมหมายจึงเดินกลับมา โดยใช้ผ้าขาวม้าคลุมไหล่เอาไว้
“ผู้ช่วยฯ ไปเปลี่ยนเป็นกางเกงสิครับ”
“ไม่ได้เอามา” ตอบหน้าตาเฉย “เอาน่า... คุณเพลินเขาไม่ถือหรอก”
หล่อนมองเห็นประกายวิบวับสะท้อนแสงไฟในดวงตาของคนพูด มุมปากกดลึกลงเล็กๆ มันทำให้ทั้งเขินทั้งฉิวบอกไม่ถูก
สินธุ์นทีมองเห็นพลอยชีวันนั่งตาปรือภายหลังทานอาหารแล้วและวงข้าวเปลี่ยนเป็นวงสนทนาโอวัลตินอุ่นๆ คนละแก้วแทนของหวาน
“เพลิน... อิ่มแล้วก็ไปเปลี่ยนชุดนอนเถอะ ผ้าถุงเอามาไม่ใช่เหรอ ไปแอบๆ เปลี่ยนหลังเปลนั่นก็ได้ ระวังของในกระเป๋าเปียกล่ะ”
“หา?”
“พวกผมไม่แอบมองหรอก มืดขนาดนั้น ระวังตัวเองจะมองอะไรไม่เห็นดีกว่า เปลี่ยนเสร็จแล้วก็ขึ้นเปลนอนเลยนะ พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้า”
“ค่า...” ยานคางรับคำ แล้วลุกขึ้นยืน
“เอ้อ หาผ้าหาอะไรคลุมหัวด้วย ละอองฝนโดนจะไม่สบายเอา” หล่อนไม่ต้องการน้ำมาล้างหน้าล้างตัวอะไรอีกแล้ว เนื่องจากการตากฝนมาทั้งวัน ซ้ำยังรู้สึกเหนื่อยเฉอะแฉะ สิ่งที่ทำคือการเปลี่ยนชุดอย่างทุลักทุเล ปีนขึ้นเปล รูดซิปที่เป็นตาข่ายกันยุง เตรียมตัวเข้านอน
“สวดมนต์ขอเจ้าที่เจ้าทางก่อนนอนด้วยล่ะ” เสียงทุ้มยังตะโกนตามมาบอกแม้หล่อนจะหายเข้าไปในเปลแล้วก็ตาม ซึ่งแม้ตาจะปิด แต่หล่อนก็ยังยกมือพนมไหว้ขอเจ้าที่เจ้าทางตามที่เขาบอก ก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์อย่างรวดเร็ว
แต่ดูเหมือนว่าการสวดมนต์จะไม่ได้ผลเท่าไรนัก...
ความทรงจำล่าสุดที่พลอยชีวันจำได้คือหล่อนนอนขดคู้อยู่ในถุงนอน บนเปล ใต้ผ้าใบพลาสติกท่ามกลางเสียงฝนเปาะแปะเบาบางลงกว่าตอนเย็น แล้วเหตุไฉนตอนนี้ หล่อนจึงได้มายืนอยู่ท่ามกลางความมืด ในความรู้สึกและบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง พลอยชีวันมั่นใจว่าตนเองฝัน และพยายามจะปลุกตัวเองให้ตื่นจากห้วงความฝันที่ทั้งหนาวเย็นและวังเวง มันช่างเป็นฝันที่เหมือนจริงเสียจนหล่อนรู้สึกว่าทุกเส้นขนบนร่างกายตั้งชัน มองไปรอบกายมีแต่ความมืด ไม่มีสรรพเสียงใดๆ ก่อเกิดขึ้นมา จนผ่านไปเนินนาน หญิงสาวโดยสัญชาติญาณ หล่อนบอกให้ตัวเองดิ้นรนหาทางรอดด้วยการตื่นจากฝันร้ายให้ได้ จึงตัดสินใจตะโกนกับตัวเองดังๆ
“ตื่นสิเพลิน ตื่น! ตื่น...!!!”
“เจ้าจะไม่ตื่น... ไม่มีทางตื่น!”
พลอยชีวันหวีดร้องออกมาสุดเสียงเมื่อหันไปเห็นต้นตอของเสียงซึ่งมาจากหญิงสาวผมยาวที่คงไม่น่าตกใจอะไรหากเจ้าหล่อนไม่ได้ถูกแขวนคอ... หรืออาจจะแขวนคอตัวเองอยู่ใต้ต้นไทรมะเดื่อต้นใหญ่
ใบหน้าขาวซีด แต่งกายด้วยชุดชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเกอสีแดงเลือดนก ดวงตาม่วงบวมช้ำจ้องเขม็งมายังที่หล่อนยืนอยู่
“เจ้ามาทำไม! จงกลับออกไปเดี๋ยวนี้!”
“หนูต้องไป... หนูต้องไป” หล่อนตอบได้เพียงเท่านั้น
“เจ้าจะไม่มีทางไปถึง! ข้าจะขัดขวางทุกทางไม่ให้เจ้ากลับไปเหยียบแผ่นดินลังกาได้อีก!”
“กรี้ด!!!”
กรีดร้องเสียงแหลมก่อนจะสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย คล้ายคนที่จมน้ำและเมื่อได้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวฮุบเอาอากาศเฮือกใหญ่เข้าปอด หายใจหอบ ยกมือขึ้นแตะสร้อยเย็นเฉียบที่คอโดยอัตโนมัติ
หล่อนไม่ได้นอนอยู่ในเปล แต่อยู่บนพื้นใต้ผ้าใบผืนใหญ่ที่กางไว้เหนือกองไฟซึ่งกำลังลุกโชน หญิงสาวหันรีหันขวาง ผวาเข้าไปเกาะแขนสินธุ์นทีโดยอัตโนมัติ พร้อมกับถามเสียงสั่นๆ
“ฉันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง”
“ผมกับนอบียังไม่นอนตอนได้ยินคุณร้องเหมือนใจจะขาด หรือเหมือนคนหายใจไม่ออกอะไรแบบนั้น แถมยังดิ้นพล่านจนเปลสั่นต้นไม้แทบหัก ผมกับนอบีเลยเปิดเปลดู ตัวคุณเย็นเฉียบ จึงช่วยกันอุ้มมานอนข้างกองไฟ เป็นอะไรไป... ฝันร้ายหรือ”
หล่อนค่อยๆ ปล่อยมือจากท่อนแขนของเขา ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา นานโขกว่าจะตั้งสติได้ เมื่อได้ยินคำว่าฝัน... เหมือนเรื่องราวทั้งหมดเมื่อครู่จะย้อนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งมันทำให้หล่อนกลัวจนร้องไห้แบบที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
สินธุ์นทีร้องเฮ้ย ทำหน้าตาเลิกลั่กลอบสบตากับนอบีที่หน้าตาตื่นไม่แพ้กัน
“ใจเย็นๆ ตั้งสติก่อน”
ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่สามารถควบคุมความกลัวได้ พลอยชีวันนั่งร้องไห้เอาเป็นเอาตาย ตัวสั่นงันงก เขาไม่ได้ตั้งใจจะเอาเปรียบ หรือทำตัวเป็นพระเอก แต่ตอนนี้หญิงสาวต้องการความอุ่นใจหรืออะไรก็ตามที่ทำให้หล่อนดึงสติกลับมาได้ สินธุ์นทีจึงเขยิบเข้าไปโอบหล่อนเอาไว้แน่นๆ
“ใจเย็นๆ ผมอยู่ตรงนี้ พลอยชีวัน คุยกับผมก่อน...” ชายหนุ่มปลอบไปพลางลูบหลังลูบไหล่ไปพลาง แรกทีคนในอ้อมกอดดูจะขืนร่างไว้ แต่ต่อมาไม่นานก็ค่อยๆ โอนอ่อนผ่อนตามคลายความกลัวลง เช่นเดียวกับเสียงร้องไห้ที่กลายเป็นแค่เพียงเสียงสะอื้นในเกือบห้านาทีต่อมา
“ฉัน... ฝันร้าย นับตั้งแต่ฉันอายุยี่สิบเจ็ดปี ฝันเห็นภาพคนกลุ่มหนึ่งมาตลอด เป็นภาพเดิม ซ้ำๆ ที่ตัวฉันเองนอนอยู่ในก้นหลุม มีผู้หญิงชาวเกอคนหนึ่งคอยสาปแช่ง โรยดินเปียกๆ เย็นๆ บนร่างของฉัน... เหมือนกำลังจะฝังฉันให้ตายทั้งเป็น ฉันไม่เคยเชื่อเรื่องนี้จนกระทั่งวาสะปรากฏตัวขึ้นมาและบอกเล่าเรื่องราวคำสาปแช่งของชาวบ้านที่เกิดขึ้นเพราะบรรพบุรุษของฉันเคยทำเรื่องไม่ดีเอาไว้... คุณจะหาว่าฉันงมงายก็ได้”
“ไม่หรอก...” สินธุ์นทีเอ่ยขึ้นมาทันที พร้อมเพ่งมองไปยังเงาวูบไหวท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์สลัวๆ ส่องลงมาให้เห็นเป็นเงาเลือนร่างคล้ายรูปร่างของผู้หญิงผมยาว ก่อนที่จะจางหายไปต่อหน้าต่อตา
“ผมไม่กล่าวหาว่าคุณงมงายแน่นอน...”
สินธุ์นทีเดินกลับไปหยิบเสื้อแขนยาวของเขามาคลุมร่างบางเอาไว้ ทั้งสามหนุ่มสาวนั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟ ขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นเข้านอนกันไปหมดแล้ว
หลังจากนั่งเงียบอยู่นาน มีเพียงเสียงฟืนลั่นเปรี๊ยะๆ อยู่ในกองไฟ นอบีก็เอ่ยขึ้นมา
“ในบรรดาชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภายในจังหวัดเรา ชาวเกอเป็นกลุ่มที่มีจำนวนน้อยที่สุดแต่ก็มีความแข็งแกร่งด้านวัฒนธรรมและความเชื่อมากที่สุดครับโดยเฉพาะการนับถือผีป่าและผีบรรพบุรุษ” อาศัยเรื่องเล่าต่อๆ กันมาจากปู่ย่าตายายบอกเล่าให้หล่อนฟังเท่าที่พอจะทราบ “พวกเขาจะไม่ยอมรับความเชื่อหรือนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์จากภายนอกเลย เพราะเขาเชื่อว่าจะนำสิ่งเลวร้ายมาให้ครับ”
นอบีอธิบายเสียงเรียบ ขณะที่สองหนุ่มสาวมองหน้ากันด้วยความสงสัย เด็กหนุ่มจึงอธิบายต่อไปอีกว่า “ผมพอจะรู้จักชาวเกออยู่บ้างน่ะครับ ที่เขาออกมาจากหมู่บ้านก็มี”
“แล้วทำไมจึงออกมาล่ะ”
“ส่วนมากจะแอบออกมาเพราะความอยากรู้อยากเห็นน่ะครับ ปรับตัวได้ก็อยู่ต่อ ปรับตัวไม่ได้ก็กลับไปอยู่ในหมู่บ้านตามเดิม”
“แล้วภาษาที่พูดนี่เหมือนกันมั้ย”
“ไม่เลยครับ เกอ โผล่ว ปะกาเกอญอ ถูกจัดให้อยู่ในชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเหมือนกันแต่สื่อสารกันไม่รู้เรื่องเลยครับ ส่วนมากก็พูดภาษาไทยกลางกัน วัฒนธรรม ความเชื่อก็ไม่เหมือนกัน ผมก็ไม่ได้รู้อะไรมากหรอกครับ เขาไม่ค่อยเอาเรื่องข้างในออกมาพูด อย่างภาษานี่พอสอนได้ แต่อย่างอื่นเช่นเรื่องพิธีกรรม เขาไม่ค่อยพูดต่อให้คนนอกฟัง บางทีที่เราได้ยินกัน ฟังๆ กันมันอาจจะจริงบ้างเท็จบ้างก็ได้ครับ เช่นไอ้ที่บอกว่าเป็นหมู่บ้านกินคนนี่ไม่ใช่แน่นอน คนในหมู่บ้านไม่ทานเนื้อสัตว์นะครับ เท่าที่ผมทราบมา”
สินธุ์นทีพยักหน้ายืนยันอีกหนึ่งเสียง
“ฉันกลัว...” จู่ๆ หญิงสาวก็สารภาพออกมาเสียงสั่น “กลัวว่าคนข้างในนั้นจะเกลียดฉัน เพราะฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้หมู่บ้านเขาเกิดอาเพศ กลัวว่าเขาจะทำร้ายฉัน”
“ผมเชื่อใจวาสะ... ว่าเขาจะไม่พาคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างคุณไปเจอเรื่องร้ายๆ แบบนั้นแน่นอน แล้วผมก็อยากให้คุณเชื่อใจผม ตราบใดที่มีผมและทีมอยู่ คุณจะปลอดภัย”
ดวงตากลมโตมีประกายน้ำใสๆ เต้นระริกอยู่ในนั้น จ้องมองไปยังดวงหน้าที่เริ่มมีเคราเกาะรกครึ้มขึ้นทุกวันๆ สลับกับหนุ่มน้อยหน้าใส ซึ่งทั้งสองก็ต่างจ้องมองกลับมาด้วยสายตาแน่วแน่จริงใจไม่แพ้กัน ก่อให้เกิดกระแสความตื้นตันใจเอ่อล้นออกมาทางสองตา กระนั้นยังไม่วายจะพูดติดตลก
“แต่ยังไงคืนนี้ฉันก็นอนไม่หลับแล้วล่ะ กลัวฝันร้ายอีก”
“เรียกหายายทวดของคุณสิครับ... ขอให้ท่านมาช่วยดูแล” นอบีเอ่ย พลางลุกขึ้นยืน หยิบไฟฉายแล้วหายไปนานโขก่อนจะกลับมาพร้อมห่อผ้าเล็กๆ สามารถกำเอาไว้ในฝ่ามือ ยื่นให้พลอยชีวัน “ความเชื่อของบ้านผมพกห่อผ้านี้ไว้จะแคล้วคลาดปลอดภัยครับ”
“อ้าว แล้วนอบีล่ะ”
“ผมมีหลายอันครับ แม่ให้เอาติดตัวไว้เผื่อเจ้าหน้าที่คนอื่นด้วย” เด็กหนุ่มยิ้มซื่อๆ พลอยให้คนมองยิ้มตามด้วยความเอ็นดูระคนซึ้งใจ “ขอบคุณนะ”
“ทำใจให้สบายครับ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จะได้มีแรงเดินต่อวันพรุ่งนี้”
ปืน .38 ที่ผ่านการขัดเช็ดทำความสะอาดจนมันปลาบ วางลงบนโต๊ะไม้พะยูงที่ได้มาอย่างไม่ถูกกฎไม้กลางห้องใต้ดินที่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้ว่าห้องนี้มีอยู่ในบ้านทรงไทยหลังใหญ่ แล้วหยิบอีกหนึ่งกระบอกขึ้นมาเริ่มถอดส่วนประกอบออกทีละส่วน เมื่อมีผู้มาใหม่ก้าวเข้ามาในห้อง ชายผู้นั่งหัวโต๊ะจึงเงยหน้าขึ้นมอง วางอาวุธในมือลง
“สวัสดีครับนาย”
“ว่ายังไง นั่งก่อนสิ” ว่าพลางผายมือแทนการเชื้อเชิญ “วันนี้มีข่าวอะไรรึ”
“ผู้ช่วยฯ น้ำออกเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านลังกาแล้วนะครับ”
ประโยคดังกล่าวทำให้คนฟังตาโต หูผึ่ง ก่อนรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมจะผุดขึ้นมาบนใบหน้า “เอ็งรู้ใช่ไหมว่าพวกมันใช้ทางไหน”
“รู้ครับ เรามีพิกัดเส้นทางบันทึกไว้ในเครื่องจีพีเอส”
“ดี!” เอ่ยเสียงดังลั่น “พวกเอ็งเตรียมข้าวของให้พร้อม พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทางกัน”
“เอ่อนายครับ... มีอีกเรื่องเมื่อหลายวันก่อนผมเห็นผู้ช่วยฯ อีกคนไปนอนที่บ้านพรานจอม... ไม่ใช่แค่คืนเดียว แต่หลายคืนแล้วครับ ผมกลัวว่าพรานจอมจะเอาเรื่องที่เราจะทำไปบอกผู้ช่วยฯ คนนั้น”
นายใหญ่ยกมือขึ้นห้าม “เอาล่ะ... ข้าพอจะเข้าใจแล้ว”
ก่อนจะหันกลับไปหาคนสนิทที่ยืนอยู่ในเงามืดด้านหลัง “คืนนี้ไปจัดการทำความสะอาดบ้านพรานจอมหน่อย”
ผู้ออกคำสั่งค่อยๆ ยืดกายขึ้นยืนสูงตระหง่าน “เอาให้เหี้ยนนะ... รำคาญพวกแมงหวี่แมงวันจะมาตามเกาะแกะตอนที่ข้าออกล่าเหยื่อ...”
ตั้งแต่เช้า วาสะเดินออกมาจากบ้านเพื่อนั่งทานข้าวบริเวณชานบ้าน แวะลงมาล้างมือที่อ่างปั้นดินเผา แล้วเดินกลับขึ้นไปบนบ้าน อยู่ในนั้นเกือบถึงตอนเย็นจึงเดินลงมา ทีจอนั่งคอย เฝ้ารอว่าวาสะจะไปไหน ทำอะไรบ้าง อยู่อย่างนี้มาตั้งแต่งานฝังศพ ตั้งใจว่าจะหาเบาะแสอะไรสักอย่าง แต่กลับไม่พบอะไร เขากลับบ้านพร้อมความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
จนกระทั่งตกเย็น
ผู้นำหมู่บ้านเดินลงมาจากเรือน เอามือไพล่หลัง เดินมองโน่นมองนี่ นานๆ จะหยุดทักทายคนในหมู่บ้านสักครั้ง เขาเดินไปตามริมน้ำ นั่งทอดสายตามองไปอย่างไร้จุดหมายอยู่นานโข คล้ายสุดท้ายก็ตัดสินใจได้จึงลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าไปยังท้ายหมู่บ้านอันเป็นที่ตั้งของบ้านหญิงชราซึ่งพักอาศัยอยู่กับหลานสาวอีกหนึ่งคน
ทีจอขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ หน้าต่าง ด้วยความหวังว่าจะได้ยินอะไรบ้าง
“ข้ามานั่งคิดดูแล้ว ข้าเห็นด้วยกับที่ทีจอพูด” เลือดในกายของทีจอเย็นเฉียบ แต่กระนั้นชีพจรกับเต้นรัว แทบจะกลั้นหายใจฟังประโยคต่อมา “เราควรจะบอกกคนในหมู่บ้านว่ามันเกิดอะไรขึ้น พวกเขามีสิทธิ์รู้”
“ถ้าเจ้าไม่กลัวว่าพวกเขาจะอพยพออกไปตายข้างนอกนั่น... ก็ตามใจเจ้าเถิด”
“พะปอ... ท่านพูดแบบนี้ก็เหมือนไม่มีทางเลือกเหลือให้ข้าเลย ท่านรู้ท่านเห็นอะไร ท่านบอกข้าสิ หรือจะให้ข้าทำอะไร บอกข้ามาสักอย่างเถอะ”
“ข้าไม่มีอะไรจะบอก... ข้าเห็นมีนิมิตอะไรมาสักพักแล้ว นับตั้งแต่วิญญาณบรรพบุรุษละทิ้งเราไปทีละดวง... ทีละดวง พร้อมๆ กับความเหี่ยวเฉาที่มาเยือนต้นสาละลังกา ถ้าหญิงผู้นั้นมาไม่ทันฝนสุดท้าย เราก็คงไม่รอดกันแน่ๆ”
ก่อนจะทันได้คิด ทีจอลุกขึ้นยืน ก้าวยาวๆ ขึ้นไปบนเรือนของอาจาแล้วผลักประตูบ้านเข้าไปด้วยความเกรี้ยวกราด
“ทุกคนในหมู่บ้านกำลังจะตาย! แล้วทำไมท่านทั้งสองยังคงนิ่งเฉยอยู่อย่างนี้! พวกท่านมันเห็นแก่ตัว ข้าจะนำความนี้ไปบอกคนในหมู่บ้าน”
“ทีจอ!” วาสะพยายามจะลุกขึ้นคว้าตัวชายหนุ่มแต่ทว่าไม่ทันเสียแล้ว ทีจอกระโดดผลุงลงมาจากชานเรือน วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปยังลานกลางหมู่บ้าน พร้อมตะโกนเสียงดังลั่น
“เราทุกคนในหมู่บ้านกำลังจะตาย!”
“พูดเรื่องอะไรของเจ้าน่ะทีจอ” ชาวบ้านเริ่มทยอยเข้ามามุงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะหมดทั้งหมู่บ้าน
“พะตือวาสะกับพะปอปิดบังอะไรเราอยู่ การที่ต้นสาละลังกาค่อยๆ ทิ้งใบ และลำต้นใกล้จะตายนั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ วิญญาณบรรพบุรุษกำลังจะละทิ้งหมู่บ้านเราไป นั่นคือเหตุผลว่าทำไมระยะหลังหมู่บ้านเราจึงมีการตายเกิดขึ้นบ่อยกว่าปกติ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ข้าได้ยินพะตือวาสะกับพะปอคุยกัน ถ้าไม่เชื่อพวกเจ้ารอถามพะตือได้เลย”
ดังนั้นเมื่อวาสะเดินมาถึงลานกลางหมู่บ้าน สายตาที่เต็มไปด้วยความคลางแคลงสงสัยจึงพุ่งตรงไปหาปราชญ์หมู่บ้านที่สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
“อธิบายมาเถอะพะตือ ว่าท่านปิดบังอะไรเราไว้”
วาสะถอนหายใจ นิ่งไปครู่ใหญ่ แต่ท้ายที่สุดก็ยอมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง
“หมายความว่าถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่มาเราจะตายกันทั้งหมู่บ้านอย่างนั้นหรือ นี่เรากำลังฝากความหวังไว้กับลูกหลานของคนที่เคยทำบัดสีในหมู่บ้านเราอย่างนั้นใช่ไหม นางจะมีหน้ากลับมาหรือพะตือ ท่านนี่ช่างน่าขัน... รอคอยอะไรที่มันไม่มีทางเกิดขึ้นจริง”
“นางไม่ผิด... แต่ต้องมารับกรรมที่บรรพบุรษของนางเคยก่อไว้ ข้าเชื่อว่านางจะมา เพื่อแก้ไขผิดให้เป็นถูก และเพื่อล้างคำสาปให้คนในหมู่บ้านของเรา”
“ท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่านางจะมา”
“อีกสองสัปดาห์... หากนางยังไม่มา ข้าจะออกไปตามหานางอีกครั้ง แล้วครั้งนี้หากยังไม่เจอ ข้ายินดีที่จะให้ทุกคนย้ายออกไปจากหมู่บ้านลังกา โดยที่ข้าจะอาสาอยู่ที่นี่เพื่อส่งข่าวทุกคนเอง”
ครั้นได้ยินวาจาที่เปล่งออกมาด้วยความหนักแน่นแล้ว เป็นที่พอใจกับชาวบ้านทั้งหลายจนยอมสลายการรวมตัวในที่สุด โดยมีทีจอยืนสบตากับวาสะอยู่เป็นคนสุดท้าย ก่อนจะสะบัดหน้าหนีคล้ายยังมีเพิ่งโทสะสุมอยู่ในอก
ตั้งแต่กลับเข้าไปในบ้าน ทีจอก็เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา จนกระทั่งตกดึกคืนนั้น เขาก็เริ่มเก็บข้าวของลงในห่อผ้า โดยไม่คาดคิดว่าน้องสาวจะตื่นขึ้นมาเห็นกลางดึก
“นั่นพี่จะไปไหน”
“ข้าจะไปตามหาหญิงผู้นั้นก่อนที่นางจะเดินทางมาถึงที่นี่ ข้าต้องเจอนางก่อนที่วาสะจะเจอนาง”
“พี่จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นนาง”
ทีจอมัดห่อผ้าไปพลาง เอียงเสี้ยวหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้เงาแสงไฟอันวูบไหวจากตะเกียงขึ้นมองพร้อมเอ่ยไปพลาง
“หมู่บ้านเราเข้ามาได้ทางเดียว จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่จะมุ่งหน้ามายังหมู่บ้านแห่งนี้”
“ถ้าเจอนางแล้วพี่จะทำอย่างไร”
ทีจอไม่ตอบ ส่งผลให้น้องสาวมีความร้อนใจอย่างมาก แม้พี่ชายผู้นี้จะมีความคิดแปลกๆ ในสายตาผู้อื่น แต่อย่างไร ทีจอก็ยังเป็นเลือดเนื้อเดียวกันกับตนเอง ซึ่งจะปล่อยให้ทำอะไรเสี่ยงๆ ไม่ได้เด็ดขาด “ทีจอ พี่คิดจะทำอะไรกันแน่”
“เจ้าไม่ต้องถามอะไรมาก เตรียมตัวเก็บข้าวเก็บของ บอกพ่อแม่ด้วยว่าข้าจะรีบกลับมา”
“เก็บของไปไหน”
“นาเลาะ” เขาหันมาหาน้องสาวด้วยสีหน้าจริงจัง “หมู่บ้านแห่งนี้ต้องคำสาป ข้าต้องพาคนออกไปจากหมู่บ้านนี้ให้ได้ เจ้าไม่สงสัยเลยหรือว่าโลกภายนอกนั่นมันเป็นอย่างไรบ้าง นี่เป็นโอกาสเดียวที่เราจะเป็นอิสระ”
“นั่นมันความคิดบ้าๆ... พะตือวาสะบอกเราแล้วให้รอ มิใช่หรือ”
“ข้าไม่นั่งรอให้ความตายมาเยือนหรอก” เขาตอบพร้อมคล้องแขนเข้ากับห่อผ้าแล้วลุกขึ้นยืน “เจ้าเองก็อย่าเที่ยวไปบอกใคร แล้วเร่งเก็บข้าวเก็บของเสีย ไม่เกินสามวันข้าจะรีบกลับมา”
จบคำก็หุนหันออกไปจากบ้าน เป็นการตัดโอกาสไม่ให้นาเลาะได้ประท้วงใดๆ ทั้งสิ้น
พลอยชีวันพยายามปรับสายตาให้เข้ากับความมืด... ในมือหล่อนมีกระบอกไฟฉายไว้นำทาง และรอบข้างมีแสงจากไฟฉายคาดบนศีรษะของเพื่อนร่วมเดินทางในครั้งนี้ ตั้งแต่หยุดรอให้ฝนซาจนถึงตอนนี้ฝนก็หยุดตกไปแล้ว เป็นเวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทราบคือร่างกายของหล่อนกำลังประท้วงอันเนื่องมาจากความหนาวและอาการอ่อนล้าอย่างหนัก หญิงสาวรู้สึกว่าตนเองขาสั่น จนต้องถอยไปเอนร่างพิงต้นไม้ ระหว่างรอให้เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าแขวนเปลให้นอน
เจ้าหน้าที่สามนายช่วยกันแขวนแผ่นพลาสติกหนาสูงเหนือศีรษะขึ้นไปเพื่อกันฝนและจะใช้เป็นบริเวณก่อไฟในค่ำคืนนี้ ขณะที่พลอยชีวันเกิดความสงสัยว่าจะก่อไฟท่ามกลางสายฝนอย่างไร หรือกระทั่งจะหาฟืนที่ไม่เปียกฝนมาจากไหน หล่อนก็คลายความสงสัยเมื่อสินธุ์นทีเดินหอบท่อนไม้ล้มขนาดใหญ่เข้ามาทิ้งลงใต้ร่มแผ่นพลาสติกและเริ่มผ่ากลางท่อนไม้ซึ่งน้ำฝนซึมเข้าไปไม่ถึง ก่อนจะเริ่มจุดไฟไล่ความชื้นและโยนกิ่งไม้ไว้รอบๆ เพื่อไล่น้ำฝนเช่นกัน นานใช่ย่อยกว่าที่กองไฟขนาดย่อมจะลุกโชนพอจะประกอบอาหาร
ครั้นไฟติดแล้วหัวหน้าชุดเดินป่าจึงหันกลับมาผูกเปล ใช้โซ่เหล็กขนาดพอดีผูกบริเวณหัวเปลทิ้งปลายด้านหนึ่งลงกับพื้นพื้นให้น้ำฝนไหลลงไปตามเส้นเหล็กดังกล่าวป้องกันน้ำไหลเข้าเปลสนาม อากาศคืนนี้คงหนาวสะท้านจิต แล้วนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มอดห่วงหญิงสาวคนเดียวในทีมไม่ได้
แสงไฟที่วูบไหวเรียกให้สินธุ์นทีหันกลับมามองต้นกำเนิดแสงที่เซถลาไปพิงซบต้นไม้ แม้จะมีแสงเพียงลางๆ แต่เขาก็มองเห็นว่าหล่อนมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ชายหนุ่มวางมือจากการผูกเชือกมุ้งเปลกับต้นไม้เดินเข้ามาหาหล่อน
“เพลิน... ไหวไหม”
“ไหวค่ะ”
“เป็นอะไร รู้สึกยังไง พูดมาสิ หนาว หรือปวดหัวอะไรมั้ย ไม่สบายหรือเปล่า”
“ปวดเมื่อยตัวนิดหน่อยค่ะ คงเป็นเพราะไม่เคยเดินแบกของหนักๆ ไกลๆ แบบนี้”
“ผมเข้าใจๆ” เขาผละไปครู่ใหญ่ก่อนจะกลับมาพร้อมขวดน้ำและซองยาพาราเซตามอล “กินยาก่อน ไม่ไหวให้บอกผมนะ ผมหมายความตามนี้จริงๆ ไม่ต้องแกล้งว่าไหว เดินไปไกลกว่านี้จะแย่เอา”
หญิงสาวรับน้ำและยามาป้อนเข้าปาก “รอก่อนนะ เดี๋ยวแขวนเปลก่อน แล้วไปนอนพัก หิวไหม”
นาทีนี้หล่อนเหนื่อยจนกินอะไรไม่ลงจริงๆ จึงได้แต่ส่ายหน้า มองเจ้าหน้าที่คนนั้นคนนี้ทำหน้าที่ของตน แคมป์ที่พักเริ่มเป็นรูปเป็น ขณะที่บางคนเมื่อเขวนเปลสนามของตนเรียบร้อยแล้วจึงหันเรียกให้หล่อนเข้าไปอยู่ใกล้กองไฟใต้แผ่นพลาสติกหนา
พลอยชีวันไม่รอช้า ตรงปรี่เข้าไปรับไออุ่นที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาก และมากกว่านั้นตอนที่ในมือได้กุมถ้วยสแตนเลสที่มีน้ำอุ่นๆ
“ระวังไฟนะครับ อย่าอยู่ใกล้มาก” นอบีเอ่ยเบาๆ
เท่าที่มีโอกาสได้สังเกต หญิงสาวสรุปกับตนเองว่า หนุ่มปาเกอญอผู้นี้ไม่ใช่คนช่างพูดนัก แต่เขามักจะใช้สายตาสำรวจบรรยากาศรอบตัวอยู่เสมอ แถมยังมีความรู้เรื่องนกอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญ ชนิดที่ตัวสินธุ์นทีซึ่งเรียนจบจากสาขาวิทยาศาสตร์สัตว์ป่าและทุ่งหญ้าหนำซ้ำยังเรียนปักษีวิทยาจบมาด้วยเกรดบีบวกยังมีความสามารถในการจำแนกชนิดนกแพ้นอบีด้วยซ้ำ
เพราะบางอย่างก็ไม่ได้มีสอนในห้องเรียน...
“ท่าทางไม่ค่อยดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าครับ” ถามพลางเตรียมหุงข้าวด้วยหม้อสนามไปพลาง
“เมื่อยตัวนิดหน่อยค่ะ มันเพลียๆ ยังไงบอกไม่ถูก”
“รอตรงนี้แป้บนึงครับ” นอบีหายไปครู่ใหญ่ก่อนจะกลับมาพร้อมเจลลี่รูปตัวการ์ตูนซองเล็ก “เวลาเพลียๆ พวกผมชอบกินอะไรหวานๆ มันช่วยให้รู้สึกดีขึ้นครับ หรือจะกินโอวัลตินมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ เกรงใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ กินเลยๆ” บอกด้วยน้ำเสียงจริงใจแกมคะยั้นคะยอ และด้วยความกระตือรือร้นนั้นทำให้หล่อนปฏิเสธไม่ลง รับซองขนมมาแกะเงียบๆ รสชาติหวานจัดทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย สอดส่ายสายตามองก็พบว่าเปลที่คลุมด้วยหลังคาแผ่นพลาสติกหนาทั้งห้าหลังกางรอบๆ กองไฟ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กลิ่นหอมของข้าวจากหม้อสนามทำให้พลอยชีวันเพิ่งรู้ว่าตนเองหิวขนาดไหน นอบียกข้าวลงมาจากกองไฟ ปลดหูหม้อสนามออกจากไม้ และวางลงบนพื้นข้างๆ กองไฟ เรียกวิธีแบบนี้ว่าการดงข้าว ซึ่งจะช่วยไล่น้ำออกจากข้าว โดยไม่ทำให้ข้าวไหม้และข้าวสุกทั่วกันทั้งหม้อ
เมื่อยกหม้อหุงข้าวลงมาดง สินธุ์นทีจึงก้าวเข้ามายืนใต้ผืนพลาสติกก่อกองไฟเพื่อเริ่มทำกับข้าว ที่มีทั้งปลาแห้ง น้ำพริก กุนเชียง และผักตระกูลข่าที่ลวกกินกับน้ำพริก เนื่องจากฝนลดความแรงลงแล้ว ทุกคนจึงมาล้อมวงกันทานข้าวเย็นในสภาพที่สำหรับหญิงสาวคนเดียวอย่างหล่อนแล้ว... มันค่อนข้างกระอักกระอ่วนอยู่เหมือนกัน
กล่าวคือ... ชายหนุ่มสามคนล้วนสวมเพียงกางเกงขาสั้น เหตุเพราะต้องผึ่งชุดเครื่องแบบไว้ใกล้ๆ กองไฟเพื่อใส่ซ้ำในเช้าวันพรุ่งนี้ และหากฝนยังตกอยู่แบบนี้ก็คงต้องใส่และถอดผึ่งตากไฟอย่างนี้ไปตลอดการเดินป่า ขณะที่ชายหนุ่มอีกคนมีเพียงผ้าขาวม้าพันกายท่อนล่าง ส่วนหล่อนนั้นใจหนึ่งก็อยากจะเปลี่ยนชุดเหมือนกันแต่มันรู้สึกประหลาดๆ และยังนึกภาพไม่ออกว่าตนเองจะเปลี่ยนชุดได้อย่างไร จึงต้องทานข้าวไปมองกองไฟต่างหน้าเพื่อนร่วมเดินทาง
นานเข้าหนุ่มๆ จึงทนเขินอายไม่ไหว ลุกขึ้นแยกย้ายไปทีละคนสองคน แต่คนตรงกันข้ามที่ดูเหมือนจะไม่มีท่าทีสะทกสะท้านกับการที่ต้องมาเปลือยอกกินข้าวตรงข้ามหญิงสาวคนเดียว
“อ้าว ลุกไปไหนกันล่ะ”
“ไม่ไหวครับ ผมร้อน” เสียงสมหมายดังมาจากเปลนอนของตนเอง
“ร้อนหรือเขิน เอาดีๆ”
“ผมไม่ได้ใจกล้าเหมือนผู้ช่วยฯ นะครับ”
“จะบอกว่าผมหน้าด้านว่างั้นเถอะ”
“ผมล้อเล่นครับ ฮ่าๆ”
“มานั่งกันเถอะค่ะ นั่งตรงนี้จะได้อุ่นๆ ฉันไม่ถือหรอก” เมื่อได้คำยืนยันดังนั้น สมหมายจึงเดินกลับมา โดยใช้ผ้าขาวม้าคลุมไหล่เอาไว้
“ผู้ช่วยฯ ไปเปลี่ยนเป็นกางเกงสิครับ”
“ไม่ได้เอามา” ตอบหน้าตาเฉย “เอาน่า... คุณเพลินเขาไม่ถือหรอก”
หล่อนมองเห็นประกายวิบวับสะท้อนแสงไฟในดวงตาของคนพูด มุมปากกดลึกลงเล็กๆ มันทำให้ทั้งเขินทั้งฉิวบอกไม่ถูก
สินธุ์นทีมองเห็นพลอยชีวันนั่งตาปรือภายหลังทานอาหารแล้วและวงข้าวเปลี่ยนเป็นวงสนทนาโอวัลตินอุ่นๆ คนละแก้วแทนของหวาน
“เพลิน... อิ่มแล้วก็ไปเปลี่ยนชุดนอนเถอะ ผ้าถุงเอามาไม่ใช่เหรอ ไปแอบๆ เปลี่ยนหลังเปลนั่นก็ได้ ระวังของในกระเป๋าเปียกล่ะ”
“หา?”
“พวกผมไม่แอบมองหรอก มืดขนาดนั้น ระวังตัวเองจะมองอะไรไม่เห็นดีกว่า เปลี่ยนเสร็จแล้วก็ขึ้นเปลนอนเลยนะ พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้า”
“ค่า...” ยานคางรับคำ แล้วลุกขึ้นยืน
“เอ้อ หาผ้าหาอะไรคลุมหัวด้วย ละอองฝนโดนจะไม่สบายเอา” หล่อนไม่ต้องการน้ำมาล้างหน้าล้างตัวอะไรอีกแล้ว เนื่องจากการตากฝนมาทั้งวัน ซ้ำยังรู้สึกเหนื่อยเฉอะแฉะ สิ่งที่ทำคือการเปลี่ยนชุดอย่างทุลักทุเล ปีนขึ้นเปล รูดซิปที่เป็นตาข่ายกันยุง เตรียมตัวเข้านอน
“สวดมนต์ขอเจ้าที่เจ้าทางก่อนนอนด้วยล่ะ” เสียงทุ้มยังตะโกนตามมาบอกแม้หล่อนจะหายเข้าไปในเปลแล้วก็ตาม ซึ่งแม้ตาจะปิด แต่หล่อนก็ยังยกมือพนมไหว้ขอเจ้าที่เจ้าทางตามที่เขาบอก ก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์อย่างรวดเร็ว
แต่ดูเหมือนว่าการสวดมนต์จะไม่ได้ผลเท่าไรนัก...
ความทรงจำล่าสุดที่พลอยชีวันจำได้คือหล่อนนอนขดคู้อยู่ในถุงนอน บนเปล ใต้ผ้าใบพลาสติกท่ามกลางเสียงฝนเปาะแปะเบาบางลงกว่าตอนเย็น แล้วเหตุไฉนตอนนี้ หล่อนจึงได้มายืนอยู่ท่ามกลางความมืด ในความรู้สึกและบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง พลอยชีวันมั่นใจว่าตนเองฝัน และพยายามจะปลุกตัวเองให้ตื่นจากห้วงความฝันที่ทั้งหนาวเย็นและวังเวง มันช่างเป็นฝันที่เหมือนจริงเสียจนหล่อนรู้สึกว่าทุกเส้นขนบนร่างกายตั้งชัน มองไปรอบกายมีแต่ความมืด ไม่มีสรรพเสียงใดๆ ก่อเกิดขึ้นมา จนผ่านไปเนินนาน หญิงสาวโดยสัญชาติญาณ หล่อนบอกให้ตัวเองดิ้นรนหาทางรอดด้วยการตื่นจากฝันร้ายให้ได้ จึงตัดสินใจตะโกนกับตัวเองดังๆ
“ตื่นสิเพลิน ตื่น! ตื่น...!!!”
“เจ้าจะไม่ตื่น... ไม่มีทางตื่น!”
พลอยชีวันหวีดร้องออกมาสุดเสียงเมื่อหันไปเห็นต้นตอของเสียงซึ่งมาจากหญิงสาวผมยาวที่คงไม่น่าตกใจอะไรหากเจ้าหล่อนไม่ได้ถูกแขวนคอ... หรืออาจจะแขวนคอตัวเองอยู่ใต้ต้นไทรมะเดื่อต้นใหญ่
ใบหน้าขาวซีด แต่งกายด้วยชุดชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเกอสีแดงเลือดนก ดวงตาม่วงบวมช้ำจ้องเขม็งมายังที่หล่อนยืนอยู่
“เจ้ามาทำไม! จงกลับออกไปเดี๋ยวนี้!”
“หนูต้องไป... หนูต้องไป” หล่อนตอบได้เพียงเท่านั้น
“เจ้าจะไม่มีทางไปถึง! ข้าจะขัดขวางทุกทางไม่ให้เจ้ากลับไปเหยียบแผ่นดินลังกาได้อีก!”
“กรี้ด!!!”
กรีดร้องเสียงแหลมก่อนจะสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย คล้ายคนที่จมน้ำและเมื่อได้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวฮุบเอาอากาศเฮือกใหญ่เข้าปอด หายใจหอบ ยกมือขึ้นแตะสร้อยเย็นเฉียบที่คอโดยอัตโนมัติ
หล่อนไม่ได้นอนอยู่ในเปล แต่อยู่บนพื้นใต้ผ้าใบผืนใหญ่ที่กางไว้เหนือกองไฟซึ่งกำลังลุกโชน หญิงสาวหันรีหันขวาง ผวาเข้าไปเกาะแขนสินธุ์นทีโดยอัตโนมัติ พร้อมกับถามเสียงสั่นๆ
“ฉันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง”
“ผมกับนอบียังไม่นอนตอนได้ยินคุณร้องเหมือนใจจะขาด หรือเหมือนคนหายใจไม่ออกอะไรแบบนั้น แถมยังดิ้นพล่านจนเปลสั่นต้นไม้แทบหัก ผมกับนอบีเลยเปิดเปลดู ตัวคุณเย็นเฉียบ จึงช่วยกันอุ้มมานอนข้างกองไฟ เป็นอะไรไป... ฝันร้ายหรือ”
หล่อนค่อยๆ ปล่อยมือจากท่อนแขนของเขา ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา นานโขกว่าจะตั้งสติได้ เมื่อได้ยินคำว่าฝัน... เหมือนเรื่องราวทั้งหมดเมื่อครู่จะย้อนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งมันทำให้หล่อนกลัวจนร้องไห้แบบที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
สินธุ์นทีร้องเฮ้ย ทำหน้าตาเลิกลั่กลอบสบตากับนอบีที่หน้าตาตื่นไม่แพ้กัน
“ใจเย็นๆ ตั้งสติก่อน”
ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่สามารถควบคุมความกลัวได้ พลอยชีวันนั่งร้องไห้เอาเป็นเอาตาย ตัวสั่นงันงก เขาไม่ได้ตั้งใจจะเอาเปรียบ หรือทำตัวเป็นพระเอก แต่ตอนนี้หญิงสาวต้องการความอุ่นใจหรืออะไรก็ตามที่ทำให้หล่อนดึงสติกลับมาได้ สินธุ์นทีจึงเขยิบเข้าไปโอบหล่อนเอาไว้แน่นๆ
“ใจเย็นๆ ผมอยู่ตรงนี้ พลอยชีวัน คุยกับผมก่อน...” ชายหนุ่มปลอบไปพลางลูบหลังลูบไหล่ไปพลาง แรกทีคนในอ้อมกอดดูจะขืนร่างไว้ แต่ต่อมาไม่นานก็ค่อยๆ โอนอ่อนผ่อนตามคลายความกลัวลง เช่นเดียวกับเสียงร้องไห้ที่กลายเป็นแค่เพียงเสียงสะอื้นในเกือบห้านาทีต่อมา
“ฉัน... ฝันร้าย นับตั้งแต่ฉันอายุยี่สิบเจ็ดปี ฝันเห็นภาพคนกลุ่มหนึ่งมาตลอด เป็นภาพเดิม ซ้ำๆ ที่ตัวฉันเองนอนอยู่ในก้นหลุม มีผู้หญิงชาวเกอคนหนึ่งคอยสาปแช่ง โรยดินเปียกๆ เย็นๆ บนร่างของฉัน... เหมือนกำลังจะฝังฉันให้ตายทั้งเป็น ฉันไม่เคยเชื่อเรื่องนี้จนกระทั่งวาสะปรากฏตัวขึ้นมาและบอกเล่าเรื่องราวคำสาปแช่งของชาวบ้านที่เกิดขึ้นเพราะบรรพบุรุษของฉันเคยทำเรื่องไม่ดีเอาไว้... คุณจะหาว่าฉันงมงายก็ได้”
“ไม่หรอก...” สินธุ์นทีเอ่ยขึ้นมาทันที พร้อมเพ่งมองไปยังเงาวูบไหวท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์สลัวๆ ส่องลงมาให้เห็นเป็นเงาเลือนร่างคล้ายรูปร่างของผู้หญิงผมยาว ก่อนที่จะจางหายไปต่อหน้าต่อตา
“ผมไม่กล่าวหาว่าคุณงมงายแน่นอน...”
สินธุ์นทีเดินกลับไปหยิบเสื้อแขนยาวของเขามาคลุมร่างบางเอาไว้ ทั้งสามหนุ่มสาวนั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟ ขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นเข้านอนกันไปหมดแล้ว
หลังจากนั่งเงียบอยู่นาน มีเพียงเสียงฟืนลั่นเปรี๊ยะๆ อยู่ในกองไฟ นอบีก็เอ่ยขึ้นมา
“ในบรรดาชาติพันธุ์กะเหรี่ยงภายในจังหวัดเรา ชาวเกอเป็นกลุ่มที่มีจำนวนน้อยที่สุดแต่ก็มีความแข็งแกร่งด้านวัฒนธรรมและความเชื่อมากที่สุดครับโดยเฉพาะการนับถือผีป่าและผีบรรพบุรุษ” อาศัยเรื่องเล่าต่อๆ กันมาจากปู่ย่าตายายบอกเล่าให้หล่อนฟังเท่าที่พอจะทราบ “พวกเขาจะไม่ยอมรับความเชื่อหรือนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์จากภายนอกเลย เพราะเขาเชื่อว่าจะนำสิ่งเลวร้ายมาให้ครับ”
นอบีอธิบายเสียงเรียบ ขณะที่สองหนุ่มสาวมองหน้ากันด้วยความสงสัย เด็กหนุ่มจึงอธิบายต่อไปอีกว่า “ผมพอจะรู้จักชาวเกออยู่บ้างน่ะครับ ที่เขาออกมาจากหมู่บ้านก็มี”
“แล้วทำไมจึงออกมาล่ะ”
“ส่วนมากจะแอบออกมาเพราะความอยากรู้อยากเห็นน่ะครับ ปรับตัวได้ก็อยู่ต่อ ปรับตัวไม่ได้ก็กลับไปอยู่ในหมู่บ้านตามเดิม”
“แล้วภาษาที่พูดนี่เหมือนกันมั้ย”
“ไม่เลยครับ เกอ โผล่ว ปะกาเกอญอ ถูกจัดให้อยู่ในชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเหมือนกันแต่สื่อสารกันไม่รู้เรื่องเลยครับ ส่วนมากก็พูดภาษาไทยกลางกัน วัฒนธรรม ความเชื่อก็ไม่เหมือนกัน ผมก็ไม่ได้รู้อะไรมากหรอกครับ เขาไม่ค่อยเอาเรื่องข้างในออกมาพูด อย่างภาษานี่พอสอนได้ แต่อย่างอื่นเช่นเรื่องพิธีกรรม เขาไม่ค่อยพูดต่อให้คนนอกฟัง บางทีที่เราได้ยินกัน ฟังๆ กันมันอาจจะจริงบ้างเท็จบ้างก็ได้ครับ เช่นไอ้ที่บอกว่าเป็นหมู่บ้านกินคนนี่ไม่ใช่แน่นอน คนในหมู่บ้านไม่ทานเนื้อสัตว์นะครับ เท่าที่ผมทราบมา”
สินธุ์นทีพยักหน้ายืนยันอีกหนึ่งเสียง
“ฉันกลัว...” จู่ๆ หญิงสาวก็สารภาพออกมาเสียงสั่น “กลัวว่าคนข้างในนั้นจะเกลียดฉัน เพราะฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้หมู่บ้านเขาเกิดอาเพศ กลัวว่าเขาจะทำร้ายฉัน”
“ผมเชื่อใจวาสะ... ว่าเขาจะไม่พาคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างคุณไปเจอเรื่องร้ายๆ แบบนั้นแน่นอน แล้วผมก็อยากให้คุณเชื่อใจผม ตราบใดที่มีผมและทีมอยู่ คุณจะปลอดภัย”
ดวงตากลมโตมีประกายน้ำใสๆ เต้นระริกอยู่ในนั้น จ้องมองไปยังดวงหน้าที่เริ่มมีเคราเกาะรกครึ้มขึ้นทุกวันๆ สลับกับหนุ่มน้อยหน้าใส ซึ่งทั้งสองก็ต่างจ้องมองกลับมาด้วยสายตาแน่วแน่จริงใจไม่แพ้กัน ก่อให้เกิดกระแสความตื้นตันใจเอ่อล้นออกมาทางสองตา กระนั้นยังไม่วายจะพูดติดตลก
“แต่ยังไงคืนนี้ฉันก็นอนไม่หลับแล้วล่ะ กลัวฝันร้ายอีก”
“เรียกหายายทวดของคุณสิครับ... ขอให้ท่านมาช่วยดูแล” นอบีเอ่ย พลางลุกขึ้นยืน หยิบไฟฉายแล้วหายไปนานโขก่อนจะกลับมาพร้อมห่อผ้าเล็กๆ สามารถกำเอาไว้ในฝ่ามือ ยื่นให้พลอยชีวัน “ความเชื่อของบ้านผมพกห่อผ้านี้ไว้จะแคล้วคลาดปลอดภัยครับ”
“อ้าว แล้วนอบีล่ะ”
“ผมมีหลายอันครับ แม่ให้เอาติดตัวไว้เผื่อเจ้าหน้าที่คนอื่นด้วย” เด็กหนุ่มยิ้มซื่อๆ พลอยให้คนมองยิ้มตามด้วยความเอ็นดูระคนซึ้งใจ “ขอบคุณนะ”
“ทำใจให้สบายครับ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จะได้มีแรงเดินต่อวันพรุ่งนี้”
ปืน .38 ที่ผ่านการขัดเช็ดทำความสะอาดจนมันปลาบ วางลงบนโต๊ะไม้พะยูงที่ได้มาอย่างไม่ถูกกฎไม้กลางห้องใต้ดินที่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้ว่าห้องนี้มีอยู่ในบ้านทรงไทยหลังใหญ่ แล้วหยิบอีกหนึ่งกระบอกขึ้นมาเริ่มถอดส่วนประกอบออกทีละส่วน เมื่อมีผู้มาใหม่ก้าวเข้ามาในห้อง ชายผู้นั่งหัวโต๊ะจึงเงยหน้าขึ้นมอง วางอาวุธในมือลง
“สวัสดีครับนาย”
“ว่ายังไง นั่งก่อนสิ” ว่าพลางผายมือแทนการเชื้อเชิญ “วันนี้มีข่าวอะไรรึ”
“ผู้ช่วยฯ น้ำออกเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านลังกาแล้วนะครับ”
ประโยคดังกล่าวทำให้คนฟังตาโต หูผึ่ง ก่อนรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมจะผุดขึ้นมาบนใบหน้า “เอ็งรู้ใช่ไหมว่าพวกมันใช้ทางไหน”
“รู้ครับ เรามีพิกัดเส้นทางบันทึกไว้ในเครื่องจีพีเอส”
“ดี!” เอ่ยเสียงดังลั่น “พวกเอ็งเตรียมข้าวของให้พร้อม พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทางกัน”
“เอ่อนายครับ... มีอีกเรื่องเมื่อหลายวันก่อนผมเห็นผู้ช่วยฯ อีกคนไปนอนที่บ้านพรานจอม... ไม่ใช่แค่คืนเดียว แต่หลายคืนแล้วครับ ผมกลัวว่าพรานจอมจะเอาเรื่องที่เราจะทำไปบอกผู้ช่วยฯ คนนั้น”
นายใหญ่ยกมือขึ้นห้าม “เอาล่ะ... ข้าพอจะเข้าใจแล้ว”
ก่อนจะหันกลับไปหาคนสนิทที่ยืนอยู่ในเงามืดด้านหลัง “คืนนี้ไปจัดการทำความสะอาดบ้านพรานจอมหน่อย”
ผู้ออกคำสั่งค่อยๆ ยืดกายขึ้นยืนสูงตระหง่าน “เอาให้เหี้ยนนะ... รำคาญพวกแมงหวี่แมงวันจะมาตามเกาะแกะตอนที่ข้าออกล่าเหยื่อ...”
อนัญชนินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 พ.ย. 2560, 22:12:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 พ.ย. 2560, 22:12:48 น.
จำนวนการเข้าชม : 1176
<< บทที่ ๑๒ |
แว่นใส 24 พ.ย. 2560, 07:28:43 น.
น่ากลัวมากเลย
น่ากลัวมากเลย
goldensun 25 พ.ย. 2560, 15:19:15 น.
อุปสรรคไปหมู่บ้านลังกาของเพลินเพียบเลย
ระหว่างทาง นอกจากธรรมชาติ ยังมีคนกับเรื่องเหนือธรรมชาติขวางอีก ลุ้นๆๆๆ
อุปสรรคไปหมู่บ้านลังกาของเพลินเพียบเลย
ระหว่างทาง นอกจากธรรมชาติ ยังมีคนกับเรื่องเหนือธรรมชาติขวางอีก ลุ้นๆๆๆ
sunflower 24 ธ.ค. 2560, 11:56:22 น.
น่ากลัวอ่าาาา
น่ากลัวอ่าาาา
oolong 27 ต.ค. 2561, 09:55:30 น.
ไม่เขียนต่อแล้วเหรอคะ หรือ จบเป็นเล่ม มีebook ไหมคะ
ไม่เขียนต่อแล้วเหรอคะ หรือ จบเป็นเล่ม มีebook ไหมคะ