ปิ่นใจกะรัตพลอย (ชุด ลูกไม้ลายหงส์)
แม้จะต้องปะทะลมฝนรุนแรงขนาดไหน เธอก็ยังนับเป็นหงส์เหินที่งามสง่า แต่ใครจะคิดว่าสักวันนึง...ลมปากคนจะหักปีกหงส์ได้จริงๆ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: Chapter 14 : รุกฆาต(51-100%)



ยามเที่ยงของวันอากาศเย็นยะเยือกถึงได้อุ่นขึ้นบ้าง เพียงน้ำพลอยรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ช่วงนี้กรุงเทพฯ อากาศเย็นขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชวนให้เธออารมณ์ขุ่นมัวของเธอเริ่มดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เธอชอบฤดูหนาวที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พอจะเดาได้ว่ามันคงดีได้อย่างนี้อยู่ไม่กี่วันหรอก ถึงอย่างไรเสียกรุงเทพฯ ก็ยังคงเป็นกรุงเทพฯ อยู่วันยังค่ำ...



วันนี้เธอชวนเพื่อนรักทั้งสองมาปรึกษาหารือเรื่องสำคัญกันที่บ้าน แขกทั้งสองที่มาจึงขลุกอยู่บนเก้าอี้นวมมีผนักวางแขนในห้องนอนของเธอคนละตัว ตัวละหนึ่งมุม หันเข้าหาเตียงไม้สี่เสาตัวใหญ่ที่เพียงน้ำพลอยนั่งอยู่ แต่ละคนมีผ้าห่มแพรสีสวยคลุมเข่าทั้งสองข้างที่ยกชันขึ้นบนเก้าอี้ แขนทั้งสองข้างก็กอดเข่าไว้พร้อมกับถือแก้วช็อคโกแลตร้อนไว้ในมือ มีเพียงน้ำผึ้งพระจันทร์ที่นั่งทำหน้ามุ่ย เพราะเธอไม่ชอบของร้อน แต่ช่วงนี้อากาศเย็น ทุกคนจึงคร้านจะไปหาน้ำแข็งมาใส่ให้ เธอจึงได้แต่รอให้มันหายร้อนเสียก่อนแล้วค่อยยกขึ้นจิบ



“ยังไงฉันก็ไม่เห็นด้วย มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยสีหน้าคร่ำเครียด



“ฉันก็ไม่เห็นด้วย พี่เพชรเป็นคนยังไงก็รู้กันอยู่ ดีไม่ดีอาร์ทูเอ็นคอร์ปอาจได้เปลี่ยนเป็นชื่ออื่นในปีหน้านี้ก็ได้” ทิพย์น้ำปรุงโพล่งขึ้นบ้าง ทว่าพอสิ้นเสียงตัวเองแล้วหันไปมองสีหน้าเพื่อนทั้งสองถึงได้รู้ว่าเมื่อครู่ตัวเองออกจะพูดตรงเกินไปหน่อย จึงได้หดคอลดท่าทางฮึกเหิมของตัวเองลง แล้วเอ่ยขอโทษออกไปเสียงอ่อน



“ขอโทษ...”



เพียงน้ำพลอยไม่คิดถือสาเพื่อน เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เพื่อนพูดนั้นถึงจะตรงไปหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะฟังไม่ขึ้น ส่วนน้ำผึ้งพระจันทร์นั้น พอได้ยินทิพย์น้ำปรุงพูดไปตรงเสียขนาดนั้น ก็คิดว่าตัวเองคงไม่เหลืออะไรต้องพูดอีก เพราะทุกอย่างเข้าใจได้ด้วยประโยคนั้นไปหมดแล้ว



“แต่ก็ไม่แน่หรอก ถ้ายังอยู่ในมือฉันมันอาจเปลี่ยนเป็นชื่ออื่นตั้งแต่ปีนี้ก็ได้” เพียงน้ำพลอยพูดด้วยสีหน้าละอายใจ



“แกไม่ลองสู้ต่อสักหน่อยวะ” น้ำผึ้งพระจันทร์โน้มน้าวเพื่อนอีกครั้ง เพราะยังรู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่าจะยังมีทางออกอื่นนอกจากยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้ ทั้งยังรู้ดีว่าเพียงน้ำพลอยนั้นแม้จะกิริยาท่าทางอ่อนโยน หากแท้ที่จริงไม่ใช่คนอ่อนแอ การได้ยินว่าเพื่อนรักถอดใจยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้ จึงทำให้เธอตกใจไม่น้อย



“สู้ยังไงล่ะ แกก็เห็นว่าฉันพยายามหน้าด้านหน้าทนแค่ไหนแล้ว ปิดหูปิดตาทำไม่รู้เห็นเซ็นรับมรดกไป เข้าไปทำงานในฐานะประธานบริษัท แต่แล้วเป็นยังไง...โปรเจ็คทั้งหมดกลายเป็นอัมพาตเพราะไม่มีใครฟังฉัน บริษัทกำลังจะถูกปรับเป็นร้อยล้าน พวกหุ้นส่วนก็ขู่ว่าจะขายหุ้น ถ้าคนพวกนั้นเทขายหุ้นจริง หุ้นในมือฉันได้กลายเป็นเศษกระดาษแน่” เพียงน้ำพลอยระบายออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ



“ไม่แน่ว่าปล่อยให้คนพวกนั้นเทขายอาจจะดีกว่า ฉันกับน้ำปรุงจะช่วยกันช้อนเอง” น้ำผึ้งพระจันทร์เสนอทางออกอย่างใจเย็น



“ใช่! ให้นางขายเลย ฉันจะช้อนเอง” ทิพย์น้ำปรุงเสริมทับ



“พวกแกอย่าทำให้ฉันดูน่าสมเพชไปมากกว่าเดิมเลย ฉันรบกวนพวกแกมามากพอแล้ว ถ้าคราวนี้ยังต้องให้พวกแกช่วยอีก ต่อให้ฉันนั่งเป็นประธานบริษัทต่อไปได้ก็ไม่มีหน้าจะไปสั่งงานใครเขาหรอก” ความหวังดีของเพื่อนเพียงน้ำพลอยรับไว้ได้ด้วยใจเท่านั้น จึงปฏิเสธออกไปอย่างสุภาพ



“แล้วแกจะยอมแพ้อย่างนี้น่ะเหรอ” ทิพย์น้ำปรุงยังไม่อยากจะเชื่อว่าเพียงน้ำพลอยผู้ถูกเคี่ยวกร่ำอยู่ในวงการธุรกิจมานานเสียจนเขี้ยวลากดิน จะยอมประเคนทุกอย่างของตัวเองใส่มือคนอื่นอย่างง่าย เพียงเพราะถูกกล่าวหาว่ามีดวงข่มคนอื่นเท่านั้น



“แล้วฉันยังจะทำอะไรได้อีก” เพียงน้ำพลอยถอนหายใจยาวราวคนชราปลงตกในชีวิต ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ



“ค้าขายต้องอาศัยความเชื่อใจ คนพวกนั้นไม่ใช่ไม่เชื่อในความสามารถฉัน แต่เขาไม่เชื่อดวงฉัน แล้วฉันจะพิสูจน์ยังไงได้ จะให้ฉันหาหมอดูมายืนยันรึไง...แล้วฉันจะต่างกับพวกเขาตรงไหน” เสียงเนิบนาบของเพียงน้ำพลอยเอ่ยราวกำลังพูดเรื่องเรื่อยเปื่อย ก่อนจะหัวเราะขื่นๆ ให้กับโชคชะตาของตัวเอง



พอได้ฟังเพื่อนพูดแล้วน้ำผึ้งพระจันทร์จึงหันหน้าไปมองทิพย์น้ำปรุงด้วยสายตาที่เข้าใจกันดี ถึงแม้มันยากจะยอมรับ ทว่ามันกลับเป็นความจริงที่ปฏิเสธได้ยากเหลือเกิน หนทางแก้ไขปัญหานี้มืดมนจนแทบมองไม่เห็นทางจริงๆ สิ่งเดียวที่จะสามารถพิสูจน์เรื่องทุกอย่างได้อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘เวลา’ แต่มีการทำธุรกิจการค้าประเภทไหนบ้างที่รอคอยเวลาได้นานปานนั้น บางทีมันอาจเป็นอย่างที่เพียงน้ำพลอยพูด



ไม่เหลือทางเดินต่อแล้ว...เหลือแต่ทางถอยเท่านั้น...



“ฉันเองก็เหนื่อย อยากอยู่เงียบๆ ทำอะไรที่อยากทำ แล้วก็ดูแลคุณย่า” เพียงน้ำพลอยเอ่ยขึ้นต่อพร้อมกับอมยิ้มบางๆ อย่างโล่งอก ทำให้ผู้ฟังปัญหาทั้งสองรู้สึกเบาใจขึ้น ที่อย่างน้อยการสูญเสียผลประโยชน์ครั้งนี้ ไม่ได้นำมาซึ่งความกล้ำกลืนขมขื่นขนาดนั้น



“ถ้าแกตัดสินใจแล้ว ฉันก็เชื่อแก” น้ำผึ้งพระจันทร์ส่งยิ้มให้กำลังใจเพื่อนอย่างจริงใจ ขณะที่ทิพย์น้ำปรุงนั้นรีบวางแก้วช็อคโกแลต แล้วหยิบผ้าห่มแพรออกจากขา ตบเข่าเตรียมตัวลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้น ราวคนรีบร้อนจะไปร่วมงานเทศกาลยังไงยังงั้น



“แกจะไปไหน” เพียงน้ำพลอยมองเพื่อนด้วยสายตางุนงง



“ก็ไปเที่ยวน่ะสิ ตอนนี้แกว่างกว่าเดิมแล้ว ต้องใช้เวลาว่างให้คุ้ม” ทิพย์น้ำปรุงไม่พูดพร่ำทำเพลง หันไปคว้าโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะใกล้ตัวพลางสะพายกระเป๋า เตรียมตัวออกไปข้างนอกอย่างปากพูดจริงๆ



“นี่ ฉันแค่จะโอนหุ้นให้พี่เพชร ไม่ได้ตกงาน งานอื่นก็ยังมีต้องทำมั้ย” เพียงน้ำพลอยเห็นท่าทางกระตือรือร้นเกินเหตุของเพื่อนแล้วอดว่าขึ้นด้วยเสียงประชดประชันไม่ได้



อันที่จริงสิ่งที่เธอพูดก็ไม่ได้ผิดจากแผนที่วางไว้นัก เธอตั้งใจไว้ว่าหลังจากนี้ นอกจากรับผิดชอบงานที่ร้านไอซ์ฟอกส์ร่วมกับเพื่อนแล้ว ยังจะช่วยคุณย่าทำขนมไทยที่เรือนไปขายที่ตลาด และยังมีเรือนเล็กๆ หลังหนึ่งใต้ถุนเรือนที่เธอตั้งใจว่าจะขออนุญาตคุณย่าของทำเป็นโรงปั้นของตัวเอง ทำได้น้อยหน่อยก็เก็บไว้ที่เรือน ทำได้มากหน่อยก็ส่งไปขาย คิดแล้วก็ดูจะมีหลายเรื่องต้องจัดการอยู่เหมือนกัน ไหนเลยจะมีเวลาว่างไปเที่ยวเล่นข้างนอก



“ก็เก็บไว้ทำวันอื่นบ้างจะเป็นไร วันนี้ไปเที่ยวกันก่อน นะๆๆ ฉันไม่ได้ออกไปข้างนอกนานแล้วนะ นะๆๆๆๆ” ทิพย์น้ำปรุงว่าพลางเข้าไปกอดแขนเพียงน้ำพลอยออดอ้อนเป็นเด็กๆ ทำเอาเธอได้แต่ส่ายหน้าอย่างละเหี่ยใจ



หลังจากออดอ้อนไม่เป็นผล เพื่อนร่างเล็กของเธอจึงเริ่มใช้วิธีฉุดกระชากลากดึง จนเธอต้องเดินตามไปเสียหลายก้าว ท้ายที่สุดก็ก้าวตามออกไปจากห้องนอนจนได้ ทว่าสิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือจะเห็นอุ่นนางต้นห้องของคุณย่ากำลังทำท่าย่องเบาลงจากเรือนราวกับแมวขโมย ทิพย์น้ำปรุงนึกสนุกจึงเดินย่องไปอยู่ด้านหลังแล้วสะกิดเรียกอีกฝ่ายเบาๆ



“ว้ายยย!!” ครั้นพอหันมาเผชิญหน้ากันแล้วอุ่นก็สะดุ้งเฮือกจนสุดตัว เท้าข้างหนึ่งที่กำลังจะก้าวลงบันไดเรือนลื่นพรืดจนเกือบตกลงไปทั้งอย่างนั้น ดีที่ทิพย์น้ำปรุงมือเท้าว่องไวใช้ได้ คว้าตัวคนขวัญเสียไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นอุ่นคงได้เสียกระดูกไปหลายท่อน หรือไม่ก็คงต้องหยอดน้ำข้าวต้มไปอีกหลายเดือนทีเดียว



“เล่นอะไรกันเจ้าคะ! พี่อุ่นเกือบหัวใจวายแน่ะ!” พอก้าวเท้าขึ้นมายืนบนเรือนได้ดีๆ อุ่นก็ได้แต่เอามือทาบอกบ่นกระปอดกระแปดให้กับความซุกซนของเพื่อนคุณหนู บ่นเสร็จคำหนึ่งก็ขยับออกให้ห่างหัวบันไดก้าวหนึ่ง คล้ายยังเข็ดขยาดกับความอกสั่นขวัญแขวนเมื่อครู่ไม่หาย



“จะไปไหนเหรอคะพี่อุ่น ย่องเงียบเชียว” น้ำผึ้งพระจันทร์ถามพลางอมยิ้มมากเล่ห์ ทว่าคนถูกถามกลับยังไม่ตอบในทันที เอาแต่หันรีหันขวางก่อนจะดันเจ้านายสาวทั้งสามไปหลบในมุมอับ เมื่อเห็นว่าน่าจะปลอดภัยแล้วถึงได้เอ่ยปาก



“รู้แล้วอย่าเอ็ดไปนะเจ้าคะ พี่อุ่นจะไปหาอาจารย์คงที่สำนักท้ายหมู่บ้านเจ้าค่ะ นังส้มโอแม่ค้าขายผลไม้ที่ตลาดมันเล่าให้พี่อุ่นฟังเมื่อวันก่อน บอกว่าอาจารย์คงท่านศักดิ์สิทธิ์มาก ใครเจ็บไข้ได้ป่วยนะเจ้าคะ ไปให้ท่านเป่าน้ำมนต์ให้ครั้งเดียวหายเป็นปลิดทิ้งเลยเจ้าค่ะ” อุ่นเล่าด้วยศรัทธาอันแรงกล้า ตรงกันข้ามกับคนฟังทั้งสามที่ฟังแล้วหดศีรษะหนีพร้อมกัน โดยเฉพาะเพียงน้ำพลอยกับน้ำผึ้งพระจันทร์ที่เอาแต่ส่ายหน้าแล้วก็หัวเราะเบาๆ



“แล้วพี่อุ่นไม่สบายตรงไหนถึงจะไปให้อาจารย์คงอาจารย์คายอะไรเนี่ยเป่าน้ำมนต์” เพียงน้ำพลอยถามพลางอมยิ้มอ่อนใจ ที่แท้คนเราก็เชื่อเรื่องพรรค์นี้ได้ถึงขนาดนี้ ไม่น่าเล่าคนที่บริษัทเธอถึงได้ดึงดันจะดึงเธอลงจากตำแหน่งให้ได้



“ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ นอกจากอาจารย์คงจะศักดิ์สิทธิ์เรื่องรักษาโรคแล้ว ท่านยังดูดวงแม่นอย่างกับตาเห็นแน่ะเจ้าค่ะ” อุ่นเล่าอย่างออกรสออกชาติ ทว่าคราวนี้มีคนสนใจใคร่รู้เพิ่มขึ้นมาด้วยหนึ่งคนแล้ว



“จริงเหรอคะพี่อุ่น!!” ทิพย์น้ำปรุงถามเสียงดังพลางเบิกตากว้าง ทำท่าสนอกสนใจอย่างเห็นได้ชัด



“เบาๆ เจ้าค่ะคุณน้ำปรุง ถ้าคุณท่านรู้เข้าล่ะก็พี่อุ่นถูกเฆี่ยนหลังขาดแน่เลยเจ้าค่ะ!” อุ่นพูดพร้อมกับถลาเข้าไปปิดปากทิพย์น้ำปรุงไว้ ขณะเดียวกันก็หันซ้ายหันขวาตรวจสอบความปลอดภัย



“เขาดูเรื่องเนื้อคู่ด้วยรึเปล่าคะ” ครั้นพอมือที่ปิดปากอยู่ถูกดึงกลับไป ทิพย์น้ำปรุงก็โพล่งถามต่อด้วยความตื่นเต้นจนมือไม้อยู่ไม่สุข



“นังส้มโอมันบอกพี่อุ่นว่า น้องสาวมันนังมะนาวเพิ่งไปหาฤกษ์แต่งกับผู้ชายที่อาจารย์คงบอกว่าเป็นเนื้อคู่เมื่อวานซืนนี่เองเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีอารมณ์ร่วม อุ่นยิ่งคล้ายกับมีประกายไฟอยู่ในดวงตา รีบร้อนรนเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้มาให้ผู้มีศักดิ์เป็นนายฟัง



“นี่ๆๆๆ เราไปกับพี่อุ่นกันเถอะ” ทิพย์น้ำปรุงหันมารบเร้าเพื่อนทั้งสองทันที ทำเอาเพียงน้ำพลอยกับน้ำผึ้งพระจันทร์ถึงขยาดกลัวจนถอยหลังไปสองก้าว เพราะไม่นึกว่าเพื่อนตัวเองจะเป็นไปด้วยอีกคน



“นี่แกก็เป็นไปอีกคนเหรอเนี่ย!” เพียงน้ำพลอยขึ้นเสียงต่อว่าอย่างไม่อยากจะเชื่อ



“ลองดูก็ไม่เสียหายนี่นา นะๆๆๆๆ ไปด้วยกันนะ น้าาาา” ทิพย์น้ำปรุงทั้งรบเร้าทั้งเขย่าแขนเพียงน้ำพลอยราวเด็กสามขวบอยากได้ขนม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่ทำหน้าระอาแต่ไม่มีวี่แววว่าจะพยักหน้า จึงหันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากน้ำผึ้งพระจันทร์แทน



“เจ้าจันทร์... น้าาาา” มือน้อยๆ โผเข้าไปเขย่าแขนน้ำผึ้งพระจันทร์บ้าง ทำเอาน้ำผึ้งพระจันทร์ได้แต่ทำหน้าปะหลับปะเหลือก ก่อนจะหันหน้าไปหาเพียงน้ำพลอยเพื่อลอบสังเกตสีหน้า จากนั้นจึงค่อยเอ่ยขึ้นเบาๆ



“เราก็ไปเป็นเพื่อนมันหน่อยแล้วกัน” สิ้นเสียงเอ่ย เพียงน้ำพลอยก็หันขวับมาหาเธอราวกับไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง



อันที่จริงน้ำผึ้งพระจันทร์ก็ไม่ได้สนใจเรื่องไร้สาระพรรค์นี้นัก เพียงแต่เห็นว่าวันนี้พวกเธอพูดคุยเรื่องหนักๆ กันมามากพอแล้ว ไปทำเรื่องไร้สาระบ้างก็ดีเหมือนกัน อีกอย่างก็คือทิพย์น้ำปรุงนั้นรบเร้าจะออกไปให้ได้ ถ้าพวกเธอไม่ยอมไปด้วยคงไม่พ้นถูกตามตอแยไปทั้งวันแน่ ไม่สู้ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ให้จบๆ จะดีกว่า



“แกก็อีกคนเหรอเนี่ย!!” คราวนี้น้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อยิ่งดังหนักขึ้นไปอีก



“งั้นแกก็ไปกับมันสองคนแล้วกัน ฉันอยู่บ้านดีกว่า” เพียงน้ำพลอยบอกปัดก่อนจะทำท่าหันหลังเดินหนี ทว่าถูกสี่มือจากสองคนดึงรั้งไว้เสียก่อน



“ไม่ได้! ไปก็ต้องไปด้วยกัน สองเสียงชนะหนึ่งเสียง ไป! ไปใส่รองเท้า!” ทิพย์น้ำปรุงสรุปรวบรัดตัดความ จบประโยคก็ผลักร่างเพื่อนหัวดื้อไปหยิบกระเป๋าเปลี่ยนรองเท้าทันที และด้วยความดึงดันนั้นเองก็ทำให้เพียงน้ำพลอยออกจากบ้านไปในที่สุด...





ณ เรือนเล็กริมน้ำ...



ฟรานย้ายมาอยู่ที่เรือนเล็กหลังแห่งนี้ได้สองวันแล้ว แต่ผ่านไปสองวัน เขากลับยังไม่เห็นเพียงน้ำพลอยแม้แต่เงา



เธอหลบหน้าเขา ข้อนั้นเขาได้กระจ่างแก่ใจแล้ว...



มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณย่าเธอใช้ให้เธอเอาขนมที่เพิ่มทำเสร็จใหม่ๆ มาให้เขา แต่เธอก็แก้ปัญหาได้อย่างง่ายดาย เพียงรับคำให้เป็นมั่นเป็นเหมาะ จากนั้นก็ถือมันลงจากเรือนแล้ว ยัดใส่มือบ่าวคนหนึ่งให้มาส่งแทน ส่วนตัวเองก็เดินเล่นอยู่ใต้ถุนเรือนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับขึ้นเรือนไป เรื่องนี้บ่าวที่ชื่ออุ่นบอกกับเขาเองกับปาก



เห็นได้ชัดเจนว่าเธอประกาศจุดยืนอย่างชัดเจน ว่าไม่มีใครหน้าไหนบังคับเธอได้ทั้งนั้น ขอเพียงเธอพอใจ จะไม่มาหาเขาทั้งชีวิตก็ย่อมทำได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจเลยสักนิด



ยามนี้เขาจึงนอนพิงหมอนที่เย็บด้วยหนังสีดำสลับแดงอันใหญ่เหมือนโซฟา ที่ทิพย์น้ำปรุงเอามาให้เป็นของขวัญขึ้นบ้านใหม่อยู่ที่ชานเรือน มือทั้งสองมือยกขึ้นประสานกันประคองท้ายทอย ดวงเนตรคมกริบเหม่อมองผืนฟ้ากว้าง หูก็ฟังเสียงน้ำไหลเอื่อยๆ ขณะที่สมองก็ครุ่นคิดหาแผนการไปเรื่อยเปื่อย



ขณะนั้นเอง ลูกสมุนสามคนที่เพิ่งได้มาใหม่ของเขาก็กระวีกระวาดขึ้นเรือนมาหาเขา ราวกับมีหูทิพย์ตาทิพย์ว่าเขากำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่พอดี...



ลูกสมุนทั้งสามนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหลาน 3 คนของยายช้อยที่เป็นแม่ครัว ชื่อ กล้า อาจ และหาญ คนโตสุดคือ กล้า อายุ 16 นอกนั้นอายุห่างกัน 1 ปี รูปร่างท้วมพอๆ กัน คนโตสูงยังไม่ถึงไหล่ฟรานดีนัก ผิวคร้ามแดด ทว่าแววตาสดใสเป็นประกายดี ฟรานเห็นแล้วรู้สึกว่าฉลาดเฉลียวใช้ได้ ทั้งยังพูดจาฟังง่ายกว่าพวกแม่อุ่นยายช้อย จึงไม่รังเกียจที่จะเรียกใช้อยู่บ่อยๆ พร้อมทั้งให้เงินเป็นสินน้ำใจอย่างมือเติบ



ส่วนเด็กหนุ่มทั้งสามนั้น แม้จะติดตรงที่ผู้มาใหม่นี้พูดจากระท่อนกระแท่นอยู่บ้าง ทว่ากลับมีกลิ่นเงินลอยออกจากตัวเสียจนตลบอบอวล ตั้งแต่วันแรกที่เขาย้ายเข้ามา แล้วใช้ให้ทั้งสามคนมาช่วยขนของ โดยให้รับเงินค่าขนมเป็นค่าตอบแทน ทั้งสามคนก็ได้แต่มองเงินในมือที่ได้มาในคราวเดียวแต่มากกว่าเงินที่เก็บหอมรอมริบมาทั้งปีตาลุกวาว เพียงไม่ถึงนาทีก็พร้อมใจกันเข้าสวามิภักดิ์กับผู้เช่ารายใหม่คนนี้ทันที ไม่ว่าจะถูกเรียกใช้หรือไม่ วันๆ หนึ่งจะต้องมาที่เรือนหลังเล็กนี้อย่างน้อยห้าครั้ง



“คุณฟรานครับ คุณฟราน...” หาญร้องเรียกนำมาก่อนตั้งแต่ตัวยังมาไม่ถึง ผ่านไปเสี้ยววินาทีเจ้าตัวถึงได้วิ่งหน้าตั้งตามเสียงมา ก่อนจะตามมาด้วยพี่ชายอีกสองคน ทำเอาฟรานเริ่มรู้สึกว่า หากเป็นอย่างนี้ทุกวันพื้นเรือนไม้หลังนี้คงได้ผุลงสักวันแน่



“อะไร...” ฟรานตอบเสียงยานคางอย่างเกียจคร้าน



“คุณน้ำพลอยออกจากบ้านไปแล้วครับ” สิ้นเสียงรายงานของหาญ ฟรานก็ลุกพรวดขึ้นทันที แววตาคมปลาบด้วยประกายตื่นตัว พลันถามออกไปอย่างไม่รีรอ



“ไปไหน”



“...” ทั้งสามรีบร้อนนำข่าวของเจ้านายมาบอก ‘ท่านผู้เช่า’ ทว่าข่าวของเขามีแค่เห็นหญิงสาวทั้งสามออกจากรั้วบ้านไปพร้อมกับแม่อุ่นเท่านั้น ส่วนแม่อุ่นไปไหนนั้นไม่มีใครในบ้านรู้สักคนเดียว ยามนี้ถูกถามจึงได้หันไปมองหน้ากันเอง ก่อนจะส่ายหน้าให้เขาอย่างจนปัญญา ฟรานจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างหัวเสีย ทว่าทันใดนั้นเอง เขาก็คล้ายกับคิดอะไรออกขึ้นมาบ้างจึงถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งกว่าเดิม



“ไปกับใคร”



“มีคุณน้ำพลอย คุณเจ้าจันทร์ คุณน้ำปรุง แล้วก็แม่อุ่นครับ” อาจตอบเสียงกระตือรือร้น



“งั้นเหรอ...” ฟรานอมยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะล้วงโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออกหาใครบางคนที่สามารถให้คำตอบเขาได้แน่นอน



ใครใช้ให้คนบางคนติดภรรยาจนรู้ความรู้เคลื่อนไหวของเธอทุกฝีก้าวกันเล่า...



“เมียแกอยู่ไหน” ฟรานไม่รอฟังแม้แต่เสียง ‘ฮัลโหล’ ของคนปลายสายก็เข้าเรื่องทันที



‘วันๆ ถามหาแต่เมียฉัน เป็นบ้าอะไรวะ’ เหวินหยางหลงถามเสียงขุ่น



“เร็วๆ อย่าให้พูดหลายรอบ” ฟรานเริ่มรำคาญเพื่อนขึ้นมาตงิดๆ แล้ว ไม่รู้ว่าจะหวงอะไรกันนักหนา ฆ่าให้ตายเขาก็ไม่มีวันคิดไม่ซื่อกับยัยแม่มดนั่นหรอก จนป่านนี้แล้วมันยังไม่เข้าใจอีกหรือไงว่าเมียตัวเองน่าสยดสยองขนาดไหน



‘ฉันโทรหาเมื่อกี้เห็นบอกว่าจะไปดูดวงดูแดงอะไรสักอย่างนี่แหละ เห็นบอกว่าอยู่ท้ายหมู่บ้านคุณน้ำพลอย แกจะถาม...’



ตึ๊ดดดด ตึ๊ดดดด ตึ๊ดดดดดด...



เมื่อได้ข้อมูลครบแล้วฟรานก็คร้านจะฟังเสียงบ่นกระปอดกระปอดราวกับลุงแก่ๆ ของเพื่อนต่อ จึงกดตัดสายทิ้งโดยไม่รอให้มันพูดจบ จากนั้นก็หันกลับมาหาลูกสมุนทั้งสามพร้อมกับรอยยิ้มของผู้ล่า



“เตรียมตัว มีงานใหญ่ต้องทำ” ว่าจบเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอก็ดังตามมา ลูกสมุนทั้งสามฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันชวนขนลุกขนพองอยู่บ้าง แต่ในขณะเดียวกันกลิ่นเงินสะพัดก็ลอยฟุ้งไปทั่วเช่นกัน จึงพร้อมใจกันพยักหน้าแข็งขัน แล้วรอฟังคำบัญชาของ ‘ท่านผู้เช่า’





ณ สำนักอาจารย์คง...



ทิพย์น้ำปรุงจอดรถข้างกำแพงรั้วทางเข้าสำนักด้วยความตื่นเต้น อยากจะรีบจอดรถให้เสร็จจะได้เข้าไปในสำนักสักที ส่วนอีกสามชีวิตที่อยู่บนรถนั้นมีสภาพที่ต่างกันออกไปสามประเภท ประเภทแรกคือตื่นเต้นพอกันกับคนขับ ทั้งยังดีใจสุดแสนที่ตัวเองได้อานิสงค์นั่งรถคันหรูมาจนถึงสำนัก ไม่ต้องเปลืองแรงเดินมาเอง ส่วนประเภทที่สองนั้นรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง หากก็ยังพอทนไหว แต่ประเภทที่สามนี่สิ...แทบอยากกระโดดหนีออกไปจากรถให้รู้แล้วรู้รอดอยู่แล้ว



ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากนักว่าใครจัดอยู่ในประเภทไหน...



หลังจากจอดรถเสร็จเรียบร้อย ทิพย์น้ำปรุงกับอุ่นก็คล้องแขนกันเดินนำหน้าเข้าไปในสำนัก ส่วนเพียงน้ำพลอยกับน้ำผึ้งพระจันทร์นั้นได้แต่เดินตามไปอย่างเนือยๆ และยังมีบอดี้การ์ดของน้ำผึ้งพระจันทร์สองคนที่ทำได้แค่เดินปิดท้าบขบวนอย่างงงๆ



สำนักอาจารย์คงผู้มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นี้เป็นบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูน ตั้งอยู่สุดซอยท้ายหมู่บ้าน ถัดไปนั้นเป็นซอยตันพอดิบพอดี เพียงน้ำพลอยสังเกตเห็นคนล้นออกมานอกรั้วตั้งแต่ยังไม่ทันได้เข้าไปในสำนัก ยิ่งพอเดินเข้าไปหน่อย ก็ยิ่งได้เห็นว่าข้างในนั้นแออัดราวว่าจะไม่เหลืออากาศพอสำหรับพวกเธอยังไงยังงั้น แม้แต่แสงสว่างก็ยังมีพอสลัวๆ เท่านั้น ตรงลานแคบหน้าบ้านมีต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่สองต้น ซึ่งก็ไม่รู้จะเรียกว่ามันช่วยแผ่ร่มเงา หรือช่วยเพิ่มความสยดสยองกันแน่ เพราะกิ่งก้านที่ห้อยย้อยลงมานั้นเต็มไปด้วยผ้าแถบสามสีกับเส้นใยแมงมุมหรืออะไรสักอย่างเต็มไปหมด ข้างๆ กันนั้นยังมีโต๊ะเล็กๆ สำหรับวางของไหว้จำพวกน้ำแดง กระทงของคาวของหวานจนล้นโต๊ะ



เพียงน้ำพลอยกับเพื่อนสาวอีกสองคนบวกบอดี้การ์ดร่างสูงใหญ่อีกสองคน ยืนเบียดเสียดกับบรรดาผู้ศรัทธาในบารมีของอาจารย์คงจนเท้าลอยเหนือพื้น รู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ทำให้คนมีความกระตือรือร้นเท่ากับศูนย์อย่างเพียงน้ำพลอยยิ่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นกว่าเดิม แม้จะได้รับอานิสงค์ความช่วยเหลือจากบอดี้การ์ดแขนขายาวของน้ำผึ้งพระจันทร์ แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องมาทนทรมานอยู่ที่นี่ด้วย ในเมื่อตัวเองไม่ได้ต้องการรู้อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตจากอาจารย์คงอะไรนั่นแม้แต่นิดเดียว



เพียงน้ำพลอยหันซ้ายหันขวาคิดจะมองหาอุ่น เพื่อถามว่าตอนนี้พวกเธอกำลังรออะไรอยู่กันแน่ ทำไมไม่รีบเข้าไปทำธุระข้างในให้มันเสร็จสิ้นกันไปสักที ก็เห็นอุ่นเพิ่งจะเบียดร่างตัวเองฝ่าฝูงคนมาจากด้านในตัวสำนัก แล้วยื่นกระดาษสีขาวเคลือบพลาสติกแข็งมาให้เธอ ก่อนจะอธิบายว่า



“บัตรคิวเจ้าค่ะ”



สวรรค์! ที่พรรค์นี้ยังมีบัตรคิวด้วยเหรอเนี่ย!



เพียงน้ำพลอยได้แต่สบถอยู่ในใจเป็นล้านคำ วันนี้เธอนับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว



ครั้นพอคิดได้ว่าตัวเองช่วงโง่เง่าสิ้นดี ตอนนี้ไม่มีใครมาดึงตัวไว้แล้ว ไม่อยากอยู่ก็แค่กลับเท่านั้นเอง เธอจึงคิดจะแอบหนีกลับบ้านไปก่อน ทว่าพอได้มองหนทางสั้นๆ จากจุดที่ยืนอยู่ไปจนถึงรั้วสำนัก ที่อัดแน่นไปด้วยคนจนตัวเธอมีสภาพคล้ายปลากระป๋องที่อยู่ก้นกระป๋อง เธอก็รู้สึกว่าสมควรอดทนอยู่ตรงนี้เสียยังจะดีกว่า



“คิวที่ 81” ลูกศิษย์อาจารย์รูปร่างเตี้ยตัน ผิวสองสี ตาเล็กเรียว ดูเผินๆ คล้ายถังน้ำสีดำ ตะโกนเรียกคิว 81 เสียงดังก้องสำนัก เพียงน้ำพลอยฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเพราะจำได้ว่าฟังมาร่วมสิบกว่าครั้งแล้ว ก็ยังไม่ถึงคิวที่อุ่นหยิบมาสักที



ทว่าทันใดนั้นเองทิพย์น้ำปรุงก็ยื่นมือมาลากเธอที่ยืนปั้นหน้าบึ้งเข้าไปในสำนักด้วยกัน



ที่แท้...คิวที่ 81 นั้น ก็คือพวกเธอนั้นเอง...



เพียงน้ำพลอย ทิพย์น้ำปรุง น้ำผึ้งพระจันทร์ อุ่น และบอดี้การ์ดชาย 2 คน รวมทั้งสิ้นหกชีวิตเดินตามลูกศิษย์อาจารย์คงที่เหมือนถังน้ำคนนั้นเข้าไปข้างใน ท่ามกลางสายตา 2 รูปแบบของคนข้างนอก ประเภทแรกคือชื่นชมในรูปลักษณ์ที่โดดเด่นของหญิงสาวทั้งสามคน และอีกประเภทคือลอบสังเกตเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ว่า คนประเภทไหนกันที่พาบอดี้การ์ดชุดดำเข้ามาในที่แบบนี้ด้วย



หลังจากเดินขึ้นบันไดแคบๆ ขึ้นมาถึงชั้นสอง เพียงน้ำพลอยถึงได้รู้ว่าคนที่แออัดอยู่ข้างล่างนั้นยังไม่ใช่คนที่มาทั้งหมด ยังมีคนที่อยู่นั่งพับเพียบอยู่บนชั้นสองอีกหลายสิบคน พวกเธอต้องนั่งลงต่อท้ายคนกลุ่มนั้นอีกที สรุปก็คือ...การถูกเรียกขึ้นมาข้างบนนั้นไม่ได้หมายความว่าการรอได้สิ้นสุดลงแล้ว เธอยังต่อรอคิวที่ด้านบนอีกต่อหนึ่ง ถึงจะได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์คงผู้โด่งดัง...



รออีกเกือบครึ่งชั่วโมง... สุดท้ายคิวที่ 81 ของเธอก็มีโอกาสได้เข้าไปนั่งข้างหน้าสุด ทว่าตอนนี้มีเพียงทิพย์น้ำปรุงกับอุ่นเท่านั้นที่กระตือร้นตั้งแต่ต้นมาจนถึงตอนนี้ ในขณะที่น้ำผึ้งพระจันทร์นั้นเห็นได้ชัดว่าใกล้จะหมดความอดทนเต็มทีแล้ว



ส่วนตัวเธอน่ะหรือ...เหลือความอดทนน้อยยิ่งกว่าน้ำผึ้งพระจันทร์เสียอีก!



“ผัวเจ้าน่ะ เจ้าชู้มากรักงั้นรึ” เสียงแหบแห้งจากชายร่างแก่หง่อม ผมเผ้าหนวดเคราสีขาวโพลนยาวรุงรังเอ่ยขึ้นตั้งแต่ยังไม่มีใครได้ถาม ทำเอาน้ำผึ้งพระจันทร์หันขวับไปมองแทบไม่ทัน จากสีหน้าเบื่อหน่ายถึงขีดสุดจึงพลันเปลี่ยนเป็นสีหน้าตื่นตะลึงแทน ก่อนจะแดงก่ำด้วยโทสะในอก



“ไม่ต้องห่วง ตั้งแต่แต่งกับเจ้าเขาก็เลิกไปบ้างแล้วล่ะ” ชายชราว่าพลางหันไปหยิบกระโถนมาคายน้ำหมากด้วยท่าทางงกๆ เงิ่นๆ สีหน้าคล้ายกำลังอดทนอดกลั้นอะไรอยู่สักอย่าง หากแต่ท่าทางแบบนั้นคงมีแค่เพียงน้ำพลอยเท่านั้นที่สังเกตเห็น เพราะน้ำผึ้งพระจันทร์ในตอนนี้หูผึ่งตาลุกวาวแทบจะพ่นไฟออกมาได้อยู่แล้ว



“หมายความว่ายังไงที่ว่า ‘เลิกไปบ้าง’ ยังเลิกไม่หมดงั้นเหรอ!” น้ำผึ้งพระจันทร์ไม่กลัวจะเสียกิริยา ขึ้นเสียงถามลั่นสำนัก



“ไม่ต้องคิดมาก ไม่มีแล้วล่ะ” อาจารย์คงวัยชราบอกพลางอมยิ้มอยู่คนเดียว ทว่าคนถูกทักกลับคิดต่อยอดไปได้ร้อยแปดพันเก้าเรื่องแล้ว ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าหมอดูก็คู่กับหมอเดา แต่ถึงอย่างนั้นก็ตัดสินใจเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่ากลับไปต้องเค้นคอถามเอากับสามีจอมเจ้าชู้ของตัวเองให้รู้เรื่อง



“ส่วนเจ้า...” อาจารย์คงชี้นิ้วสั่นเทามาหาเพียงน้ำพลอย ก่อนจะเอ่ยขึ้นทั้งที่เธอยังไม่ได้บอกเลยสักคำว่าตัวเองก็อยากรู้ด้วย



“ฉันไม่อยากดูค่ะ” เพียงน้ำพลอยว่าพลางส่ายหน้าส่ายมือปฏิเสธ เพราะไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้เลยสักนิด หรือต่อให้เชื่อก็ไม่อยากรู้อยู่ดี ตอนนี้ชีวิตเธอแย่พอแล้ว หากดวงเธอแย่ยิ่งกว่านี้ล่ะ...เธอไม่ต้องใช้ชีวิตที่เหลืออย่างหวาดระแวงหรือไง



“คุณน้ำพลอย!! อย่าพูดอย่างนั้นสิเจ้าคะ ว่ายังไงเจ้าคะอาจารย์ ดวงคุณหนูของอิชั้นเป็นยังไงบ้าง” อุ่นรีบเอื้อมมือมากดมือที่ส่ายไปส่ายมาของเพียงน้ำพลอยลง ก่อนจะรีบหันไปขอคำทำนายจากอาจารย์คงผู้ศักดิ์สิทธิ์



“นั่นสิคะ เป็นยังไงบ้าง” ทิพย์น้ำปรุงถามเสริมทับอย่างกระตือรือร้น



“โอ๊ยย!!” เสียงร้องปริศนาลั่นสำนักดังแทรกขึ้น ทุกคนจึงรีบหันไปมองหน้ากันเพื่อหาต้นตอของเสียง ทว่าจนแล้วจนรอดก็ยังได้แต่มองหน้ากันเองอยู่อย่างนั้น เพราะไม่รู้ว่ามันดังมาจากไหน



“เสียงอะไรเจ้าคะ” อุ่นเอ่ยถามขึ้นก่อนใครเพื่อน



“นั่นสิคะ เหมือนจะเป็นเสียงคน แต่ใครล่ะ...” น้ำผึ้งพระจันทร์ถามพลางสอดส่องสายตาหา แต่คนอื่นๆ ที่นั่งกันอยู่ก็ยังคงมองหาอยู่เช่นกัน แสดงว่าคนร้องย่อมไม่ใช่คนที่นั่งอยู่ตรงนี้



“อะแฮ่มมม!!!” พ่อหมอวัยชรากระแอมเสียงดัง ทำให้สายตาทุกคู่หวนกลับมายังผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติอีกครั้ง



“เจ้าน่ะ จิตใจล่องลอยไปเสียไกล คนเขามาหาถึงที่แล้วแท้ๆ” พ่อหมอวัยแก่หง่อมตอบคำถามก่อนหน้าเหมือนไม่เคยถูกขัดจังหวะมาก่อนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือหากก็สัมผัสได้ว่าเจือแววหยอกล้อ ทว่าพอเพียงน้ำพลอยหันไปสบตาเขาตรงๆ เขากลับเบือนหน้าหนีไปเสียดื้อๆ



“ใครเจ้าคะ!” อุ่นเร่งเร้าถามต่อ เธอไม่เข้าใจสักนิด ใครเข้ามาออกไปอะไรกัน



“ก็เจ้าหนุ่มที่มันเข้ามาใกล้เจ้านั่นปะไร หึๆๆ คนมันคู่กันแล้ว ไม่แคล้วกันหรอก”



สิ้นเสียงทำนายทายทัก น้ำผึ้งพระจันทร์กับทิพย์น้ำปรุงก็ทำท่าคล้ายจะยิ้ม แต่ก็สุดท้ายต้องเก็บกลั้นไว้เพราะเห็นสายตาพิฆาตของเพียงน้ำพลอยเสียก่อน



เพียงน้ำพลอยไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จึงได้แต่นั่งเงียบๆ รอให้การดูดวงดูดาวไร้สาระอะไรนี่จบลง จะได้รีบหนีสถานการณ์น่าขายหน้านี้กลับบ้านสักที



คู่กันบ้าบออะไร! เหลวไหลทั้งเพ! เธอมีคู่กับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!!



หลังจากนั้นทิพย์น้ำปรุงได้ถามเรื่องเนื้อคู่ของตัวเองออกไป ทว่าถามไปได้คำถามเดียวก็ไม่คิดจะถามอะไรต่ออีก เพราะพ่อหมอสูงวัยบอกว่าเนื้อคู่นั้นมาแล้วแต่ต้องรอหน่อย ขึ้นอยู่กับว่าจะอยู่รอไหวรึเปล่า...พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ หากทิพย์น้ำปรุงยังไม่แก่ตายไปเสียก่อน จะต้องได้แต่งงานแน่นอน!



ฟังจบทิพย์น้ำปรุงก็ฟาดเงินสองพันลงบนพานสีทอง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินหนีลงจากสำนักทันที โดยไม่ทันรอให้ใครหน้าไหนทันได้เอ่ยถามเอ่ยลาแม้แต่คำเดียว



ขาขับรถกลับก็ขุดบรรพบุรุษ ของอาจารย์คงออกมาก่นด่าจนหมดแทบไม่เว้นช่วงหายใจ บอกว่าหากเรื่องพรรค์นั้นเป็นจริงขึ้นมาได้ เต่าก็คงบินได้แล้ว



แม้เพียงน้ำพลอยจะทั้งขำทั้งสงสารเพื่อน แต่ก็เห็นว่าที่ทิพย์น้ำปรุงพูดนั้นฟังขึ้นไม่น้อย



ถ้าเรื่องพรรค์นี้เป็นเรื่องจริง...เต่าก็คงบินอยู่บนท้องฟ้าแทนเครื่องบินแล้ว...





รัตติกาลเงียบสงบ แสงดาวแข่งแสงจันทร์ส่องสว่างนำทางคนถูกมอมเมา ทว่ากลิ่นดอกราตรีหอมอวลกลับราวร่ายมนตร์ให้คนหลงใหลอยู่ห้วงคำนึงยิ่งกว่าเดิม



หิ่งห้อยตัวน้อยบินวนคล้ายต้องการดูใจคนเจ็บ คนเจ็บกลับไม่นึกสำนึกบุญคุณ เอาแต่คิดถึงรอยยิ้มของใครบางคนที่สว่างไสวยิ่งกว่ามันเสียอีก



มือหนาค่อยๆ แต้มยาในตลับเล็กๆ ที่สามสมุนหามาให้ตามลำตัวเบาๆ หากแต่ทาไปได้สองที ก็ออกแรงเกาอีกสามที ยาที่แต้มไปจึงหลุดลอกออกหมด จึงก็ได้แต่ทาใหม่อยู่อย่างนั้น ตอนนี้ตัวเขาทั้งตัวแดงเห่อ ทั้งยังมีตุ่มเล็กๆ ขึ้นเต็มไปหมด ทั้งคันทั้งแสบ สภาพน่าอเนจอนาถที่สุด ดูไปแล้วคล้ายลูกสตรอเบอร์รี่ช้ำๆ ลูกนึงก็ไม่ปาน



“คุณฟรานเจ้าคะ คุณท่านให้เอาน้ำมะพร้าวน้ำหอมกับขนมตาลมาให้เจ้าค่ะ ตายแล้ว!! คุณฟราน!!! ไปโดนอะไรมาเจ้าคะ ผึ้งต่อยหรือเจ้าคะ!!!” อุ่นที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาในเรือนเล็ก เห็นฟรานนั่งเปลือยอกพิงหมอนหนังสีดำแดงตัวใหญ่อยู่ริมน้ำ กำลังทายาให้ตัวเองอย่างยากลำบาก พอเธอเข้าไปดูใกล้ๆ ถึงได้เห็นว่าเขาแดงเห่อไปทั่วทั้งตัว จึงร้องอุทานขึ้นด้วยความตกใจ



“มดกัดครับ...มดแดงกัด” ฟรานตอบเสียงกระท่อนกระแท่น ขณะเดียวกันก็เกาแขนหนาๆ ของตัวเองไปพลาง



เหตุมันก็เกิดจากที่สำนักดูดวงอะไรสักอย่างนั่นแหละ เดิมทีฟรานคิดจะไปจับอาจารย์คงอะไรนั่นขังไว้สักประเดี๋ยว แล้วสวมรอยเป็นอาจารย์คงเสียเอง เพราะไอ้อาจารย์คงที่ว่านี้ก็ไม่ใช่คนดีอะไร ทั้งยังไม่ได้แก่หง่อมอะไรสักนิด เป็นคนคนลวงโลกวัยกลางคนที่แขวนหนวดเครารุงรังจนมองไม่เห็นหน้าเห็นตาเท่านั้น ดังนั้นขอเพียงอาศัยการปลอมตัวในรูปแบบเดียวกันย่อมไม่มีใครจำได้แน่



ทว่าคิดไปคิดมา ถึงจำหน้าไม่ได้ แม่สามสาวนั่นก็ต้องจำรูปร่างเขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งภาษาไทยเขาก็ยังไม่แข็งแรง จึงวางแผนให้ไอ้กล้าทหารเอกของเขา ใส่เสื้อของไอ้อาจกับไอ้หาญเพิ่มไปอีกสองตัวจะได้ดูร่างหนาขึ้นมาอีกนิด แล้วใช้ผมปลอมหนวดปลอมของอาจารย์คงตัวจริงปกปิดร่องรอยอีกที จากนั้นก็สวมรอยเป็นอาจารย์คงตัวปลอมแทนอย่างแนบเนียน โดยบอกบทและเจตนารมย์ที่ต้องการสื่อให้เสร็จสรรพ แล้วให้มันไปแปลงเป็นภาษาไทยที่ฟังได้เอาเอง ส่วนเขาคอยบงการอยู่ด้านหลังฉาก เผื่อว่ามีเหตุฉุกเฉินอะไรจะได้บอกบทกันได้ทัน



แต่ใครจะคิดว่าด้านหลังฉากนั้นมีรังแมลงอยู่ด้วย ไอ้อาจกับไอ้หาญบอกเขาว่ามันเป็นมดคันไฟ โดนกัดแล้วจะเจ็บแสบเหมือนถูกไฟลวก ยิ่งเกาก็ยิ่งบวมแดงเห่อขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็แสบคันเกิดกว่าจะทนไหว จึงเผลอเกาไปหลายครั้ง สุดท้ายมันถึงได้บานเห่อขนาดนี้



เขาสู้กัดฟันยอมถูกมดกัดจนกระทั่งสามสาวนั่นถอนทัพกลับจากสำนักไป เดิมทีก็คิดว่าน่าจะใช้เวลาไม่นานนัก ถูกกัดไปไม่กี่ตัวก็คงไม่น่าเป็นอะไรมาก ทว่าพอทำนายไปได้สองคน ทิพย์น้ำปรุงก็ดันอยากรู้เรื่องเนื้อคู่ที่เขาไม่ได้เตี๊ยมกันไว้กับไอ้กล้าขึ้นมาเสียนี่ ระยะเวลาที่เคยคิดว่าจะสั้นจึงต้องยาวต่อไปอีก เขาต้องคิดคำทำนายกันสดๆ ตรงนั้น ทั้งเจ็บทั้งแสบทั้งคันไปทั้งตัว แต่สมองก็ยังสู้อุตส่าห์คิดบทให้ไอ้กล้าพูดออกไปจนได้



ขากลับมาเขาได้ยินพวกลูกสมุนหัวเราะกันคิกคัก จับใจความได้แค่ว่า ‘ที่แท้มดแดงที่แฝงพวงมะม่วงเป็นมดคันไฟนี่เอง’ พูดจบก็หัวเราะเสียงดังขึ้นไปใหญ่ เขาไม่เข้าใจความหมายของมันนัก ทว่าฟังจากเสียงหัวเราะก็พอจะรู้ได้ว่ามันไม่ใช่ความหมายดีอะไรนัก



“ตายแล้ว!!! ตายๆๆๆๆ !!!” อุ่นทำท่าคล้ายอยากจะเอื้อมไปจับร่างบานเห่อของเขา แต่ก็กลัวว่าเขาจะเจ็บจะคันขึ้นมาอีก จึงได้แต่อุทานซ้ำไปซ้ำมา



“ยังไม่ตายครับ แค่แสบๆ คันๆ” ฟรานอธิบายพลางส่งยิ้มแห้งๆ ให้



และชั่วขณะนั้นเอง ความเจ็บแสบก็คล้ายกับแล่นไปปลุกไหวพริบปฏิภาณเขาให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง จึงหันไปตีหน้าเจ็บปวดจะเป็นจะตายใส่อุ่น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรมานสุดแสนว่า



“ตามคุณพลอยให้ผมที บอกว่าผมไม่สบายหนัก ไม่รู้จะตายรึเปล่า”



“อุ๊ย! ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เกิดคุณท่านรู้เข้าว่าพี่อุ่นหลอกคุณน้ำพลอยลงมาหาคุณฟรานดึกๆ ดื่นๆ พี่อุ่นถูกเฆี่ยนหลังขาดแน่เลยเจ้าค่ะ หรือไม่ก็คงถูกเอามะพร้าวห้าวยัดปาก” อุ่นว่าพลางทำท่าขนพองสยองเกล้า



“นะครับพี่อุ่น ตามให้ผมที ผมแสบจะตายอยู่แล้ว พี่อุ่นคงไม่ใจร้ายกับผม ใช่มั้ย...” ฟรานหยัดตัวลุกขึ้นจากโซฟาหนังนุ่มๆ แล้วเดินเข้าไปกระซิบออดอ้อนอุ่นใกล้ๆ ที่ริมหู มือหนาทั้งสองข้างก็ละจากการเกาแผลชั่วคราว หันมาลูบต้นแขนหญิงสาววัยทึนทึกแทน คนยึดมั่นถือมั่นอย่างอุ่นจึงเริ่มใจอ่อนขึ้นมาทีละนิด รู้สึกคล้ายกับตนกลับไปเป็นสาววัยแรกรุ่นอีกครั้ง และกำลังถูกชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเกี้ยวพาราสี



“ก็ได้เจ้าค่ะ” อุ่นกลั้นยิ้มบนใบหน้าแล้วเอ่ยรับปาก ก่อนจะวางข้าวของที่ถือมาไว้ตรงนั้น แล้วหันหลังจากไปทำสิ่งที่ได้รับไหว้วานมาทันที ทว่าระหว่างไปนั้นยังอดไม่ได้ที่จะยกมือสองข้างขึ้นประคองแก้มร้อนฉ่าของตัวเอง



อุ่นเป็นนางต้นห้องที่ยึดถือระเบียบที่เจ้านายขีดเส้นไว้ให้เสมอ ทว่าหัวใจของเธอนั้นยังรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นดรุณีแรกรุ่นอยู่ไม่เปลี่ยน ดังนั้นจึงลอบหาช่องโหว่จากกฎเกณฑ์เหล่านั้นบ้างเป็นครั้งคราวตามประสาคนหัวใจคึกคะนอง ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน...



เธอบอกตัวเองว่า ถึงแม้เธอจะถูกชายหนุ่มรูปงามออดอ้อนเสียจนเคลิบเคลิ้ม แต่หากวันนั้นเธอไม่เห็นเองกับตาว่าชายหนุ่มผู้นี้ปรนนิบัติดูแลคุณหนูสาวของตัวเองอย่างดี จนเห็นถึงความจริงใจที่มีอยู่จนเต็มหัวใจแล้วล่ะก็ เธอคงไม่มีทางเสี่ยงหลังขาดยอมขึ้นมาเป็นนางนกต่อถึงบนเรือนหรอก



ก๊อก ก๊อก ก๊อก...



ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบบนเรือนใหญ่ มีเสียงเคาะประตูดังแทรกเสียงลมพัดใบไม้ไหวกับเสียงหริ่งหรีดเรไรขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงน้ำหนักเท้าเบาๆ และเสียงเปิดประตู



“มีอะไรเหรอคะพี่อุ่น” เพียงน้ำพลอยในชุดนอนกระโปรงสีขาวแขนยาวแต่งระบายเล็กน้อยเอ่ยถามเสียงใสกังวานทันทีที่เห็นว่าอุ่นเป็นผู้มาเคาะประตู



“คุณฟรานน่ะสิเจ้าคะ ไข้ขึ้นสูง ผื่นขึ้นทั้งตัว แดงเห่ออย่างกับมะละกอสุกติดโรค พี่อุ่นไม่รู้จะทำยังไง จะเรียนคุณท่านก็คิดว่าท่านคงหลับแล้ว เลยมาเรียนคุณน้ำพลอย ทำยังไงดีเจ้าคะ” อุ่นตีหน้าตื่นตระหนกได้อย่างแนบเนียน ทั้งการบอกอาการจริงผสมเท็จนั้นก็สมจริงไม่หยอก ไหนจะน้ำเสียงหวาดกลัวจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์นั่นอีก เธอจึงเชื่อมั่นเจ็ดถึงแปดส่วนว่าคุณหนูสาวจะต้องเชื่อตนเป็นแน่



ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าอ่านไม่ออกว่าคิดอย่างไร เธอจะเอ่ยถามต่อก็กลัวจะเผยพิรุธ จึงได้แต่นิ่งรอคำตอบ



“ไม่สบายก็ไปหาหมอซะสิคะ มาหาน้ำพลอยทำไม” เพียงน้ำพลอยตอบอย่างเย็นชา ก่อนตั้งท่าจะปิดประตูห้องนอน ยังดีที่อุ่นคว้าบานประตูไว้ได้ทัน



“โธ่! ดึกดื่นขนาดนี้ กว่าหมอจะมาก็อีกนาน คุณน้ำพลอยก็ลงไปดูคุณฟรานเธอก่อนเถอะเจ้าค่ะ แล้วพี่อุ่นจะโทรไปตามหมอเอง เกิดมีคนตายในบ้านเรา ได้จับไข้หัวโกร๋นกันทั้งบ้านพอดีนะเจ้าค่ะ” อุ่นทำท่ากระซิบกระซาบประโยคสุดท้าย ก่อนจะทำท่าขนพองสยองเกล้า



เพียงน้ำพลอยเห็นท่าทางร้อนรนของอุ่นก็เริ่มใจอ่อนขึ้นมาเล็กน้อย บวกกับเริ่มคิดในแง่คุณธรรมของการเป็นเจ้าบ้านว่า หากเขาเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ เธอในฐานะเจ้าบ้านก็สมควรจะต้องลงไปดูเขาสักหน่อยจริงๆ



เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงกลับเข้าไปเอาผ้าคลุมไหล่ในห้อง แล้วเดินลงไปยังเรือนหลังเล็กเพื่อดูอาการคนเจ็บ ส่วนอุ่นนั้นบอกว่าจะรีบไปโทรศัพท์ไปตามหมอ เธอจึงไม่ได้อยู่รอแต่ล่วงหน้าไปก่อน



ทว่าพอมาถึงแล้วกลับเห็นร่างสูงร่างหนึ่งกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหมอนหนังอันใหญ่ บ่ากว้างๆ เปลือยเปล่าที่โผล่พ้นหมอนอันใหญ่มานั้นแดงเถือกเป็นปื้นๆ จริงๆ พอก้าวเข้าไปใกล้อีกหลายก้าวถึงได้เห็นว่าเขากำลังสูดปากด้วยความเจ็บแสบ มือก็แต้มยาให้ตัวเองไปเรื่อย ดูไปแล้วเขาน่าจะผื่นขึ้นทั้งตัวจริงๆ แต่ไม่คล้ายคนไข้ขึ้นสักนิด



“ไหนว่าเป็นไข้ ทำไมมานอนตากน้ำค้างตรงนี้” เพียงน้ำพลอยเอ่ยทัก



ได้ยินเสียงหวานใสกังวานของเธอ ฟรานพลันหันขวับมาในทันที ใจทั้งดวงเต้นระรัว เมื่อเห็นว่าเธอค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาทีละนิด



ความจริงเขาก็อยากจะแกล้งเจ็บเกินเหตุให้เธอเห็นใจอยู่เหมือนกัน ติดอยู่ตรงที่ว่าเขาคันเกินกว่าจะอยู่นิ่งๆ ได้ อีกทั้งอุ่นก็รีบขึ้นเรือนไปเสียก่อน เลยยังไม่ทันได้ตกลงกันว่าอุ่นจะบอกเพียงน้ำพลอยว่าเขามีอาการยังไง เขาจึงคิดว่าเท่าที่มีอยู่ก็น่าสงสารพอแล้ว แค่ทำท่าทรมานกว่าเดิมสักหน่อยก็เป็นใช้ได้



“ผมแสบเลยลุกขึ้นมาทายา” ฟรานว่าพลางก้มหน้าทายางุดๆ อย่างน่าเวทนา



“อ่อ ดูท่าชะตาคงยังไม่ขาด เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว รอหน่อยแล้วกัน” เพียงน้ำพลอยพูดจบก็หมุนตัวเตรียมกลับขึ้นเรือน หากทว่ามือหนาแดงเถือกของคนบางคนกลับเอื้อมมาคว้าเอวเธอไว้อย่างแรง จนร่างทั้งร่างเธอเซถลาเข้าสู่อ้อมกอดกว้างเปลือยเปล่าชวนใจสั่นนั้นของเขา



ผมยาวสลวยคล้ายธารน้ำตกม้วนเป็นเกลียวคลื่นตรงช่วงปลาย กับลำคอหอมกรุ่นทำให้ฟรานสมาธิแตกกระเจิงไปชั่วขณะ เผลอถือวิสาสะวางคางเกยไว้บนไหล่บางๆ ของเธอ พลางคิดไปว่าจะมีสักครั้งในชีวิตไหมหนอที่เธอจะเต็มใจให้เขากอดบ้าง



เพียงน้ำพลอยออกแรงดิ้นสุดชีวิต พร้อมกันนั้นก็ยกมือตีลำแขนหนาของเขาจนเสียงดังเพี๊ยะ ทำเอาคนแสบคันอยู่แล้วก่อนหน้าร้องโวยวายลั่น รีบละมือที่กอดเธออยู่กลับมาเกาแขนตัวเองเป็นพัลวัน



“คุณ!!! ผมเจ็บอยู่นะ!!!” ฟรานร้องลั่น



“ก็ตีให้เจ็บ เจ็บแล้วจะได้จำ ต่อไปจะได้ไม่ทำรุ่มร่ามกับฉันอีก” หญิงสาวหน้ายกมือขึ้นกอดอก เชิดคางขึ้นข่มขู่ ดวงตากลมโตคู่นั้นฉายแววเย่อหยิ่งและดื้อรั้น ทว่า...เขากลับชอบมองมันเหลือเกิน...



“จำได้แล้ว...” ฟรานละสายตาจากเธอ ก้มหน้าลงตอบเสียงแผ่ว คิดว่าหากเขาเชื่อฟังเธอสักหน่อย เธอคงจะเห็นใจเขาขึ้นมาบ้าง แต่พอมาคิดทบทวนดูในวินาทีต่อมาแล้ว ถึงได้รู้ว่าตัวเองตัดสินใจผิดอย่างไม่น่าให้อภัย



เขารับปากไปแล้ว...ก็เท่ากับว่าต่อไปนี้เขาไม่มีสิทธิ์แตะต้องเธออีกน่ะสิ...



ในวินาทีนั้น เพียงน้ำพลอยเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาเปลือยท่อนบนอยู่ จึงเบือนหน้าหนีเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามออกไปเสียงห้วน ในวินาทีนั้นแก้มทั้งสองก็พลันร้อนฉ่าขึ้นมาจนเธอรู้สึกเหมือนตัวเองจะจับไข้ไปอีกคน



“แล้วไปทำอะไรมา”



“ผมโดนมดกัด” ฟรานตอบเสียงแผ่วอย่างน่าสงสาร ทำเอาคนตั้งท่าเงียบขรึมเกือบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ เผลอปล่อยให้เสียงหัวเราะในลำคอเล็ดลอดออกมา



“หึๆๆๆๆ”



“คนเขาเจ็บ ไม่สงสารยังพอว่า ยังจะมาหัวเราะกันอีก” ฟรานว่าพลางทำหน้ามุ่ย



“ไปเล่นพิเรนทร์ที่ไหนมาอีกล่ะถึงได้โดนมดกัดเอา” เพียงน้ำพลอยละความพยายามจะกลั้นยิ้มอีกต่อไป จึงได้หันไปมองเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พอลืมตัวหันไปเจอสภาพกึ่งเปลือยชวนใจสั่นนั้นอีกครั้ง ถึงได้รู้ว่าตัวเองไม่ควรมองเขาในยามนี้ จึงได้หันหน้าหนีไปแอบหัวเราะคนเดียวเหมือนเดิม



“ก็แถวนี้แหละ...หลานยายช้อยบอกว่าผมโดนมดคันไฟกัด” ฟรานตอบราวเด็กสารภาพผิด พยายามปิดหูปิดตาไปเสีย ไม่ให้ได้เห็นได้ยินว่าเธอกำลังขำสภาพอเนจอนาถของเขาแค่ไหน ก่อนจะยื่นตลับยาในมือให้เธอ



“อะไร” เพียงน้ำพลอยต้องหันหน้ากลับมามองเขาอย่างเสียไม่ได้เมื่อเห็นว่าเขายื่นของให้



“ทายาให้หน่อย” ฟรานเอ่ยขอเธอดื้อๆ พลางทำตาปริบๆ



“คุณแค่มดกัด ไม่ได้แขนขาด” เพียงน้ำพลอยโต้เสียงขุ่น เธอยังไม่ทันได้คิดบัญชีกับเขาเรื่องที่เขาสมคบคิดกับคนของเธอไปหลอกล่อเธอลงมาหา เขายังมีหน้ามาขอให้เธอทายาให้อีก คิดว่าทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วเธอจะลืมไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นรึไง



“ก็มันทาไม่ถนัดเห็นมั้ยเนี่ย” ฟรานว่าพลางแสร้งทำท่าเอื้อมมือไปแตะกลางหลังอย่างยากเย็นแต่สุดท้ายก็แตะไม่ถึง



“งั้นก็นอนมันทั้งแสบๆ คันๆ อย่างนี้แหละ” เธอตอบด้วยสีหน้าเย็นชาไม่ยี่หระ



“ไม่แฟร์เลย...” ฟรานก้มหน้าแสร้งส่งเสียงตัดพ้อขึ้นมาเบาๆ คล้ายว่ากำลังบ่นให้ตัวเองฟังคนเดียว ทว่าทั้งน้ำเสียงและระยะที่ห่างกันไม่ไกลนักก็ทำให้อีกฝ่ายได้ยินมันอย่างชัดเจน



“อะไรไม่แฟร์” เพียงน้ำพลอยเชิดคางถามเสียงขุ่น



“ทีผมยังใจดีกับคุณเลย แต่คุณกลับใจดีกับทุกคน ใจร้ายกับผมคนเดียว...” ฟรานตัดพ้อเสียงเศร้าสร้อยราวตัวเองเป็นเด็กสามขวบถูกพ่อแม่ละเลยความสำคัญ



“งั้นคุณช่วยบอกเหตุผลที่ฉันต้องใจดีกับคุณสักข้อซิ เอาแค่สักข้อก็พอ” หญิงสาวร่างบางเอียงคอถามด้วยสีหน้าสนใจใคร่รู้อย่างแท้จริง



เธออยากจะรู้นักว่าเขาอาศัยเหตุผลอะไรมาตัดสินว่าเธอจะต้องใจดีกับเขากัน



ทว่าทันใดนั้น คนตีหน้าสลดที่เพิ่งบอกเธอว่าถูกตีจนหลาบจำแล้ว กลับก้าวเข้ามาหาเธอใกล้ๆ ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาใกล้อีกก้าว จนเธอต้องถอยร่นไปหารั้วเหล็กกั้นทีละก้าว



แย่แล้วสิ...สถานการณ์เหมือนวันก่อนไม่มีผิด...



ไม่สิ...วันนี้ยังแย่เสียยิ่งกว่า เพราะท่อนบ่อนของเขามีเพียงกล้ามเนื้อหนันแน่น และผิวกายขาวสะอาดลื่นมือเท่านั้น...



เพียงน้ำพลอยได้แต่ลอบสบถก่นด่าตัวเองอยู่ในใจที่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยังไม่ทันที่เธอจะได้ก่นด่าเขาด้วยอีกคน ลำแขนแดงเถือกนั้นก็เข้ามากักขังเธอไว้ จนเธอไม่อาจหนีรอดไปไหน ได้แต่เผชิญหน้ากับลมหายใจร้อนระอุดุจเปลวเพลิงนั้นอย่างเสียไม่ได้



ใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลักนั้นค่อยๆ โน้มลงหาเธอใกล้ๆ จนริมฝีปากได้รูปกับจมูกโด่งเป็นสันห่างจากเธอไม่ถึงหนึ่งนิ้วดี ดวงตาดำสนิทดุจเจ้าหมาป่าแห่งรัตติกาลทำให้เพียงน้ำพลอยเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาทีละนิด



คนๆ นี้เห็นไกลๆ นับว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามสะดุดตาที่ีร้อยปีอาจมีได้สักคน ทว่าพออยู่ใกล้แล้วกลับได้กลิ่นอายลึกลับชวนพิศวงอยู่เสมอ ทั้งความผึ่งผาย ทรงอำนาจ และความสูงศักดิ์ร่ำไรที่แผ่ออกมาทำให้คนยำเกรงอย่างอดไม่ได้



ทั้งรูปลักษณ์ กิริยาท่าทาง เสน่ห์ที่หาได้ยาก แม้กระทั่งน้ำเสียงยามเอื้อนเอ่ย ช่างเชิญชวนและเย้ายวนให้ผู้หญิงอ่อนระทวย โอนอ่อนตามเขาไปเสียทุกอย่าง ทว่าพอได้เข้าไปใกล้เขาอีกก้าวหนึ่ง กลับรู้สึกเหมือนเขาอยู่ถอยห่างไปอีกแสนไกลจนมองแทบไม่เห็น



ฟรานโน้มใบหน้าลงไปจนหน้าผากตัวเองแทบจรดติดกันกับหน้าผากมนของเธอ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มทรงเสน่ห์ ดวงเนตรจดจ้องไปยังนัยน์ตากลมโตของเธอ พูดคำหนึ่งก็โน้มลงไปใกล้อีกนิดหนึ่ง ทว่าเธอก็ยังเอาแต่หดคอถอยหนีเขาอยู่เรื่อยไป...



“ข้อหนึ่ง ผมชอบคุณ” น้ำเสียงจริงจังชัดถ้อยชัดคำทำเอาเพียงน้ำพลอยถึงกับมองตาค้างแข็ง ใจเต้นระส่ำราวกลองรัว สองแก้มร้อนฉ่า ผิวกายที่สัมผัสกับเรือนร่างส่วนที่เปลือยเปล่าของเขาพลันร้อนระอุขึ้นราวกับถูกลวก ลมหายใจก็ติดขัดเสียจนไม่รู้ว่าหากพูดอะไรออกไปจะยังฟังได้ศัพท์หรือไม่



เรื่องพวกนี้นับเป็นเหตุผลด้วยหรือไง! อีกอย่างไม่ใช่ว่าเธอบอกเขาชัดเจนแล้วหรอกเหรอว่าเธอไม่ปรารถนาจะฟังเรื่องพวกนี้จากปากเขา ทำไมเขาถึงยังดึงดันจะพูดมันออกมาอยู่อีกเล่า!



“ฉันคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ ว่าฉัน...” ครั้นพอรวบรวมสติเอ่ยออกไปจนได้ คนบางคนกลับไม่ยอมให้เธอพูดมันจนจบ



“ข้อสอง ผมอยากอยู่ใกล้ๆ คุณ” ปลายจมูกโด่งเป็นสันนั้นใกล้เข้ามาอีกนิดแล้ว...



“นี่คุณถอย...” เพียงน้ำพลอยออกแรงผลักแผ่นอกกว้างของเขาสุดแรง พร้อมกันนั้นก็พยายามเบือนหน้าหนีริมฝีปากร้อนระอุที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงเซนอย่างสุดความสามารถ ทว่ายิ่งเธอถอยหนีเท่าไหร่ มือหนาที่เปลี่ยนจากค้ำยันรั้วมาพันธนาการเอวเธอไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ก็ยิ่งกอดรัดเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม



“ข้อสาม ต่อให้คุณหนีผมไปไกลเท่าไหร่มันก็เปล่าประโยชน์ เพราะผมจะตามคุณไปทุกที่ เมื่อไหร่ที่คุณเหนื่อยจะหนีแล้ว คุณจะเห็นว่าผมอยู่ข้างๆ คุณพอดี” ฟรานไม่รอฟังก็เอ่ยขึ้นต่อด้วยน้ำเสียงแหบพร่าขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับโน้มใบหน้าลงอีกนิด



“บ้าไปแล้วรึไง!!” เพียงน้ำพลอยตวาดลั่น



ใช่! เขาต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ คนดีๆ ไม่มีทางทำเรื่องพรรค์นี้ได้หรอก!



“ข้อสี่ ผมจะทำให้คุณยอมรับให้ได้ ว่าคุณเองก็ชอบผมเหมือนกัน” จบคำริมฝีปากได้รูปนั้นก็หยักยิ้มขึ้นเจ้าเล่ห์ ไม่ทันคิดว่ามันจะยิ่งยั่วโทสะคนไม่มีทางสู้จนสติขาดผึ่ง



“ไม่มีอะไรต้องยอมรับทั้งนั้น!! เพราะฉันไม่ได้หลอกคุณ คุณนั่นแหละที่หลอกตัวเอง!!!” เพียงน้ำพลอยเชิดหน้าตะโกนลั่นจนสุดเสียง ทำเอาคนถูกตวาดเบิกตากว้างมองเธออย่างตื่นตะลึง รู้สึกคล้ายกับตัวเองถูกน้ำเย็นจัดสาดเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง และยังไม่ทันทีที่ความเจ็บจุกจะแล่นไปถึงหัวใจได้นานนัก คนอารมณ์เดือดพล่านก็ตะโกนขึ้นต่อ



“ฉันไม่ได้ชอบคุณ! ไม่ได้ชอบคุณ!! ไม่ได้ชอบคุณได้ยินมั้ย!!!”



“ได้ยินแล้ว!!! เสียงดังทำไมเนี่ย!” สุรเสียงดังดุจสายฟ้าคำรามตะโกนขึ้นหยุดเธออย่างสุดทน



เก่งเหลือเกินนะ...เรื่องทำลายความหวังคนอื่น...



ฟรานได้แต่มองเธอด้วยเพลิงโทสะระคนตัดพ้ออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แล้วเดินไปเก็บตลับยาที่หล่นกลิ้งไปเสียไกลขึ้นจากพื้นขึ้นมา



จริงอยู่ที่เขาอยากอยู่ใกล้ชิดกับเธอ แต่ที่ทำไปเมื่อครู่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะอยากแหย่เธอเล่นเท่านั้น ไม่คิดว่าสุดท้ายคนเจ็บจนแทบกระอักเลือดจะกลายเป็นเขาเสียเอง



แค่พูดเบาๆ เขาก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว แต่นี่เธอเล่นพูดเสียชัดถ้อยชัดคำ เสียงดังลั่นประหนึ่งระเบิดทำลายล้าง ทั้งยังพูดมันซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น



กลัวจะฆ่าคนไม่ตายหรือไง...



ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งพิงหมอนหนังอันใหญ่ดังเดิม ทายาให้ตัวเองไปเงียบๆ ราวกับว่าไม่มีใครอีกคนอยู่ตรงนี้ และไม่เคยเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้นทั้งนั้น



ขณะที่เพียงน้ำพลอยนั้นปรับตัวกับสถานการณ์ที่ผกผันไปมาภายในชั่ววินาทีไม่ทัน จึงไม่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไงต่อไปดี พอคิดได้ว่ากลับขึ้นเรือนไปเสียดีกว่าจึงหมุนตัวเดินจากไป ทว่าเดินไปได้สามสี่ก้าวก็ต้องหันหลังเดินกลับมาที่เดิมอย่างไม่มีเหตุผล



จากลำคอหนา ลาดลงมาถึงบ่ากว้าง แผ่นอกแข็งแกร่ง ลงมาจนถึงเอวสอบ แดงเถือกเป็นปื้นอย่างสงสาร ทั่วทั้งตัวมีแต่ตุ่มขึ้นเต็มไปหมด บางตุ่มเริ่มเป็นตุ่มน้ำใสๆ เห็นแล้วก็ชวนให้รู้สึกแสบร้อนแทนเจ้าตัว ไหนจะใบหน้าหล่อเหลาที่งอง้ำบูดบึ้งนั่นอีก คิดจะทำให้เธอรู้สึกผิดหรือไงกัน



ทว่าเธอทำอะไรผิดกันถึงต้องรู้สึกผิดด้วย เธอบอกเขาไปแล้วว่าไม่อยากฟัง เขาก็ยังยืนยันจะพูด ทั้งยังบีบคั้นเธอจนจนมุม เธอก็แค่พูดความรู้สึกในใจตัวเอง มันผิดบาปตรงไหนกัน



หากสุดท้ายแล้วก็...



“เอามานี่” มือบางเอื้อมไปฉวยตลับยามาไว้ในมือ แล้วตั้งท่าจะทายาให้เขา ทว่าถือได้เพียงไม่นานเขาก็ยื่นมือมาคว้ามันคืนไปเหมือนเดิม



“คุณไปเถอะ ดึกแล้ว” ฟรานเอ่ยโดยไม่สบตาเธอ น้ำเสียงห่างเหิน และตัดพ้ออย่างรุนแรงนั้นทำให้เพียงน้ำพลอยถึงกับจนคำพูด ใจหนึ่งคิดจะเท้าสะเอวถามเขาให้รู้เรื่องว่าเขามีสิทธิ์อะไรมาตัดพ้อต่อว่าเธอกัน ก่อนหน้านี้ก็เป็นเขาที่ร้องขอให้เธอทายาให้ คำพูดรุนแรงพวกนั้นก็เป็นเขาบีบให้เธอพูด เธอเห็นว่าเขาเจ็บ จึงไม่ถือสาหาความ ทั้งยังหวนกลับมาทายาให้เขาแล้ว เขายังจะมาทำท่าแง่งอนอะไรอีก



“ถ้าคุณยังไม่ส่งยาให้ฉันดีๆ ฉันจะไปจริงๆ แล้วนะ” เพียงน้ำพลอยเท้าสะเอวพูดอย่างเหลืออด



คนร่างสูงไม่ตอบคำเพียงแต่ก้มหน้าก้มตาทายาให้ตัวเองไปเงียบๆ แต่เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างปากพูดจริงๆ ใจแข็งๆ ก็พลันอ่อนยวบลง รีบส่งตลับยาให้เธอทันที



“ซี้ดดดด! คุณ! เบา!! มันแสบ!!!” ฟรานร้องลั่นขึ้นอย่างลืมตัวว่าตัวเองกำลังโกรธ เมื่อสัมผัสนุ่มๆ แต่แสนหนักมือนั้นกดลงไปบนตุ่มใสๆ ตามตัวเขา



“น่าเสียดาย เปลี่ยนเป็นงูกัดคงดีกว่านี้” ฟรานได้ยินคำพูดเธอแล้วก็อดหันไปมองเธอตาเศร้าไม่ได้ เธออยากจะให้เขาเสียให้ได้เลยหรือไง



กล่าวโดยสัตย์จริงแล้ว ตอนเด็กๆ เขาก็เคยถูกงูกัดอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่าตอนนี้มันยังไม่ทรมานเท่ากับตอนที่เธอบอกว่าเขาหลอกตัวเองเมื่อครู่นี้เลย



แต่ก็ยังนับว่าดีที่สิ้นเสียงสาปแช่งแล้ว นิ้วเรียวสวยนั้นเมตตาลดน้ำหนักลงหน่อย เขาจึงเริ่มรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย แม้ยังแสบคันอยู่แต่ก็คือทุเลาลงบ้าง ถึงเขาจะโดนเธอฟาดไปหลายทีเพราะเผลอยกมือขึ้นเกาก็เถอะ ทว่าสุดท้ายก็ถือว่าทายาได้จนเสร็จเรียบร้อย



“ทั้งนายทั้งบ่าวรวมหัวกันจนได้ดี มันก็เป็นแบบนี้แหละ” เพียงน้ำพลอยบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะกดตุ่มใสตุ่มสุดท้ายบนไหล่เขาแรงๆ ถือว่าเรียกเสียงร้องโหยหวนได้ดีไม่เลว



ฟรานรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสามีที่ทำตัวเหลวไหลแล้วโดนภรรยาเอ็ดยังไงยังงั้น คิดแล้วฤทธิ์ความเจ็บปวดแสนขมปร่าที่รับมาก่อนหน้า ก็คล้ายกับถูกน้ำทิพย์ชโลมจนรู้สึกหวานล้ำขึ้นมาอย่างประหลาด



ทว่าทันใดนั้นเอง...



“ปังงง!!! ตู้มมมม!!!”



เสียงดังลั่นสองเสียงไร้ที่มาทำเอาคนปฏิกิริยาว่องไวอย่างฟราน รีบโผเข้าไปกอดร่างบางข้างกายให้นั่งลงหลบอยู่ในอ้อมอกเขาเป็นอันดับแรก ก่อนจะชะโงกหน้าขึ้นสอดส่องสายตาหาความผิดปกติเบื้องหน้าอย่างระแวดระวัง หากก็พบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น



“สะ...เสียงอะไร” เพียงน้ำพลอยตาเบิกโพลง ถามเสียงสั่นด้วยความตกใจ ไม่ทันคิดว่าตัวเองกับคนร่างสูงในตอนนี้แนบชิดติดกันไปกว่าครึ่งร่างแล้ว ถ้าเขาหันมาในตอนนี้คง...



ปลายจมูกโด่งเป็นสันชนกับปลายจมูกโด่งเชิดรั้นเข้าอย่างพอดิบดี และที่ห่างกันเพียงน้อยนิดนั้นเหลือเพียงแค่ริมฝีปากร้อนระอุเท่านั้น



“เหมือนจะเป็นเสียงปืน” ฟรานกดความปรารถนาที่เก็บกักมาได้สักพักใหญ่ แต่เริ่มจะคุมไม่อยู่ในวินาทีเมื่อครู่ลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตอบออกไปราวเสียงกระซิบ




#####################

อีกครึ่งนึงมาแย้ววววว
(ทำตามสัญญาก็เป็นเหรอ...รู้ว่าทุกคนกำลังคิดอย่างนี้
บอกแล้วว่าช่วงนี้ไรท์กำลังคึก 5555)

อย่าลืมเม้น+จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้กันด้วยน้าาา

ดูเหมือนหมาป่าจะเข้าใกล้กระต่ายน้อยขึ้นอีกก้าวแล้ว
แต่ก็เหมือนทุกอย่างจะไม่ง่ายดายขนาดนี้
จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปอย่าลืมมาติดตามในตอนต่อไปน้าา^^


ช่วงนี้ฟีดแบคเงียบเหงาเหลือเกิน ไรท์เองก็กลัวไฟคึกจะมอด ฮืออออ ยังไงอย่าลืมให้กำลังอัดฉีดกันด้วยน้าาา







พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ม.ค. 2561, 23:15:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ม.ค. 2561, 23:15:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 767





<< Chapter 14 : รุกฆาต (50%)   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account