ปิ่นใจกะรัตพลอย (ชุด ลูกไม้ลายหงส์)
แม้จะต้องปะทะลมฝนรุนแรงขนาดไหน เธอก็ยังนับเป็นหงส์เหินที่งามสง่า แต่ใครจะคิดว่าสักวันนึง...ลมปากคนจะหักปีกหงส์ได้จริงๆ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: Chapter 14 : รุกฆาต (50%)

Life is too short to hide feelings. Express yourself about how you truly feel.

You never know if that person has the same feeling.



ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าจะซ่อนความรู้สึกไว้ภายใน จงแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของคุณออกมา

ไม่เช่นนั้น คุณจะไม่มีวันรับรู้ว่าใครคนนั้นรู้สึกเหมือนคุณหรือไม่

Cr. mystandards.tumblr





“เช่าบ้าน!!!” เพียงน้ำพลอยโพล่งขึ้นสุดเสียง



“เสียงดังอะไรขนาดนั้นลูก ไม่งามเอาซะเลย” คุณหญิงพุดกรองเอ่ยปรามหลานสาวน้ำเสียงคล้ายว่าจะเอ็ด ผู้เป็นหลานจึงได้แต่หลุบตาลงด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมขึ้น หากบนดวงหน้าขาวละเอียดหมดจดนั้นก็ยังไม่คลายความสับสน งุนงง และไม่พอใจอยู่หลายส่วน



“น้ำพลอยแค่ตกใจน่ะค่ะ ไม่เคยเห็นคุณย่าเคยเล่าให้ฟังว่าจะหาคนมาเช่าบ้าน” เพียงน้ำพลอยอธิบายเสียงอ่อน



“ก็แม่เปี๊ยกน่ะ เขาบอกว่าเจ้าชอบเกรงใจไม่เข้าเรื่อง ถ้าให้เจ้ารู้เข้าก็เป็นอันต้องปฏิเสธน้ำใจเขาอีก” สิ้นเสียงพาดพิง น้ำผึ้งพระจันทร์ที่กำลังพยายามหลบตาหลบตาอยู่หลังฟรานก็สะดุ้งโหยงจนสุดตัว



“ถ้าคุณย่าอยากหาคนมาเช่าบ้านก็บอกน้ำพลอยก็ได้นี่คะ” เพียงน้ำพลอยคร้านจะหาตัวคนผิด จึงกึ่งโต้เถียงกึ่งเสนอทางออกออกไป



“เอ้า...นี่ก็หามาแล้ว ใครจะหามามันก็เหมือนกันนั่นแหละ” คุณหญิงพุดกรองพูดพลางทำหน้างุนงงสงสัยอยู่ในที ด้วยไม่เคยเห็นหลานสาวร้อนรนจะขัดใจตนขนาดนี้



“เอาล่ะๆ พาพี่เขาไปดูเรือนหลังเล็กที ย่าให้คนทำความสะอาดไว้เรียบร้อยแล้ว เจ้าลงไปดูให้เรียบร้อยอีกครั้งแล้วกัน” คุณหญิงพุดกรองมอบหมายงานด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ หากก็แสดงถึงอำนาจสิทธิ์ขาดอย่างคนเป็นเจ้านายเหนือหัวของบ้าน



“น้ำพลอยขอคุยธุระกับเจ้าจันทร์ก่อนนะคะ เจ้าจันทร์...มาคุยกับฉันหน่อย” ยังไม่ทันได้ให้ผู้ใหญ่เอ่ยปากอนุญาต หญิงสาวก็เอ่ยเรียกผู้ต้องหาออกมาสอบปากคำทันที แต่คนถูกเรียกก็ยังทำบิดซ้ายบิดขวาราวกับเอียงอาย สุดท้ายพอหลบหลังฟรานไม่พ้น จึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วเอ่ยต่อรองเสียงอ่อน



“ไม่ไปไม่ได้เหรอ”



“ไม่ได้” คนเปราะบางราวเครื่องแก้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง



“ไปก็ไป” น้ำผึ้งพระจันทร์ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปหาเพื่อนสาวอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก หากสุดท้ายก็ยังยอมเดินตามไปจนสุดมุมเรือนตรงหัวบันได ทว่ายังไม่ทันจะได้ยินเสียงปี่เสียงขลุ่ย เพียงน้ำพลอยก็โยนระเบิดใส่หน้าเธอด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันทันที



“แกก็รู้ว่าฉันไม่อยากเจอเขา ยังจะพาเขามาเช่าบ้านฉันอีก คิดจะงัดกับฉันรึไง!” เพียงน้ำพลอยหน้าแดงก่ำด้วยไฟโทสะ น้ำเสียงที่เคยนุ่มนวลแข็งกร้าวอย่างสุดทน หากก็ยังต้องข่มมันไว้ให้เบาที่สุดอีก หากนี่ไม่คู่ควรกับการตีอกชกหัวตัวเอง อะไรจะเรียกว่าคู่ควรกัน



“ใครจะกล้ากับแก ฉันก็แค่อยากช่วยคุณย่าเท่านั้นเอง” น้ำผึ้งพระจันทร์ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จจนเคยตัวไปเสียแล้ว แม้จะเรียกว่าชั่วร้ายไปบ้างที่ทำอย่างนี้กับเพื่อนสนิทตัวเอง แต่จะให้เธอทำอย่างไรได้ ในเมื่อเพื่อนเธอคนนี้อ่อนนอกแข็งใน ไม่สิ...อันที่จริงแล้ว นอกจากกิริยาท่าทางกับภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูนุ่มนวลแล้ว ที่เหลือเพื่อนเธอไม่มีอะไรอ่อนนุ่มอ่อนโยนสักอย่าง หากนับว่าเธอเป็นคนเลือดเย็น เพื่อนสาวของเธอคนนี้ก็นับว่า ‘อำมหิต’ แล้ว



ใครจะรู้ว่าหากเธอบอกความจริงออกไป ว่าเธอเจ้ากี้เจ้าการเป็นแม่สื่อแม่ชักตามคำรบเร้าของฟราน เธอยังจะเหลือเลือดติดกระดูกอยู่กี่หยด!



“แล้วทำไมแกต้องไปแง่อะไรกับคุณฟรานเขานักหนาด้วยล่ะ ฉันก็เห็นพักหลังๆ นี้คุณฟรานเขาออกจะดีกับแก” น้ำผึ้งพระจันทร์ทำใจกล้าแก้ต่างให้เพื่อนสามี



“ก็... ก็... ก็แต่ก่อนไม่ดีนี่ คิดว่าดีแค่วันสองวันแล้วฉันจะลืมทุกอย่างรึไง!” ต้องโกหกคำโตเสียแล้ว...



กล่าวโดยสัตย์จริง เพียงน้ำพลอยเองก็คิดหาเหตุผลที่ตัวเองไม่อยากเจอเขาไม่ออกเหมือนกัน หากจะบอกว่าเขาไม่ดีกับตน เขาก็เคยช่วยชีวิตเธอมาแล้วสองครั้งสองครา ทั้งยังเคยปรนนิบัติพัดวีเธอถึงขนาดหวีผมล้างเท้าให้ หากจะบอกว่าเขาพูดจาไม่เข้าหู พักหลังๆ นี้คำพูดคำจาเขาก็คล้ายว่าจะน่าฟังอยู่ เธอยังไม่พอใจตรงไหนอีก...



ครั้นพอคิดว่าสาเหตุที่เธอไม่อยากเจอเขาอาจเป็นเพราะเขาเข้ามาใกล้เธอมากเกินไป จนบางทีเข้าใกล้คำว่า ‘รุ่มร่าม’ เธอกลับพูดเหตุผลนั้นไม่ออก เพราะรู้สึกว่าพูดไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเหมือนขายตัวเองมากขึ้นเท่านั้น



น้ำผึ้งพระจันทร์ไม่เพียงไม่ตอบคำ แต่ยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้เสียจนเพียงน้ำพลอยตกใจหดคอหนี ก่อนจะเอ่ยเพียงเบาๆ ทว่าชัดถ้อยชัดคำ



“ค น โ ก ห ก” พูดจบน้ำผึ้งพระจันทร์ก็หันหลังเดินกลับไปนั่งที่เดิมของตัวเอง ปล่อยให้คนหน้าบางที่ถูกจับได้หน้าแดงเรื่ออยู่คนเดียว



“ไปเถอะพ่อ ตามน้องไปดูที่เรือนนะ” คุณหญิงพุดกรองเห็นบทสนทนาของหลานสาวสิ้นสุดลงแล้ว จึงเอ่ยปากบอกผู้เช่ารายใหม่ พลางหันไปพยักหน้าให้หลานสาวทำตามคำสั่งที่มอบหมายไว้ก่อนหน้า แต่สติผู้เป็นหลานกลับเหมือนยังไม่เข้าที่นัก ได้ยินแต่เพียงคำว่า ‘น้อง’ ดวงหน้าสะสวยจึงยังง้อง้ำอยู่เช่นเดิม ไม่ยอมก้าวเท้าลงจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว



“แม่พลอย! ย่าสั่งไม่ได้ยินรึ! พาพี่เขาไปดูที่เรือนหลังเล็กหน่อย” คุณหญิงพุดกรองเอ่ยดังขึ้นจนเพียงน้ำพลอยสะดุ้งโหยง ได้แต่ข่มเสียงตะโกนในใจว่า ‘ใครเป็นพี่เป็นน้องกับคุณกัน!’ ลงท้องไป แล้วเอ่ยขานรับออกไปเสียงอ่อนว่า



“ค่ะ คุณย่า” ครั้นพอสิ้นเสียงตอบรับของตัวเอง หันมาด้านข้างเพียงน้ำพลอยกลับเห็นว่าร่างสูงโปร่งของใครบางคนได้มายืนอยู่ข้างๆ เธอเรียบร้อยแล้วราวกับเหาะมาเพียงเสี้ยววินาทียังไงยังงั้น



“ก็เดินสิ!” เพียงน้ำพลอยกระแทกเสียงระบายอารมณ์ โดยลืมไปเสียสนิทว่าเสียงเอ็ดของผู้เป็นย่าอาจจะตามมาในไม่ช้า



“แล้วผมจะรู้มั้ยว่าบ้านคุณไปทางไหน” ฟรานตอบอย่างจนใจ หากกระนั้นก็ยังไม่วายอมยิ้มประดับใบหน้า ทำเอาคนขุ่นเคืองพาลเข้าใจว่าเขาเยาะเย้ยเธอไปเสียอีก



“หลงซะได้ก็ดี จะได้ไม่ต้องเช่า!” ว่าจบ เท้าบางๆ ก็ออกเดินนำลงจากเรือนไป ฟรานได้แต่อมยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้า ครุ่นคิดอยู่ในหัวกับตัวเอง...



จิตใจผู้หญิงของผู้หญิงทั้งโลกรวมกันจะยากแท้หยั่งถึงได้สักครึ่งของคนตรงหน้านี้รึเปล่า... เมื่อวานยังคุยกันดีๆ อยู่แท้ๆ วันนี้กลับทำตัวเป็นเม่นน้อยแทงใจเขาจนคันยุบยิบอีกแล้ว หายไปจากสายตาทีไร เจอกันอีกทีได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทุกที



จะพูดจะจาไม่ถึงหัวจิตหัวใจคนบ้างเลย ทั้งโลกนี้คงมีแค่เธอคนเดียว...



แต่จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก เพราะดูแล้วเธอก็ออกจะอ่อนโยนอ่อนหวานกับคนอื่น ฟังหางเสียงแต่ละประโยคก็แทบจะทำให้คนคลั่งตายไม่ก็เคลิ้มฝันจนลืมตื่น แต่พูดกับเขาทีอย่างกับเขาเป็นกบฏขายชาติ ทำให้บ้านเมืองเธอต้องถูกตีเมืองหลวงแตกอย่างนั้นแหละ ทั้งที่ฐานะของเขาสำหรับเธอแล้ว เป็นทั้งคนที่นับได้ว่าเป็นเพื่อน เป็นผู้มีพระคุณ และกำลังจะเป็นอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย เธอกลับทำอย่างนี้กับเขาได้ลงคอ...



หากจะโทษเธอเสียทีเดียวก็ไม่ถูกอีก เพราะเธอไม่เคยรู้เลยสักนิดว่าเขาเทหน้าตักทุ่มเดิมพันทุกอย่างในชีวิต แม้แต่ชีวิตบนเส้นด้ายของตัวเองก็ยังประคองมาไว้ตรงหน้าเธอ เพื่อให้ได้มาเช่าเรือนเล็กหลังนี้...



เธอไม่รู้เลยสักนิด...และเขาก็ไม่ปรารถนาให้เธอได้รู้ด้วย...





ลมแม่น้ำพัดผ่านเรือนเล็กริมน้ำจนแมกไม้พริ้วไหวกระทบกัน ปอยผมเส้นเล็กๆ ของเพียงน้ำพลอยปลิวตามแรงลมเอื่อยๆ คลอเคลียอยู่สองข้างแก้ม ผมยาวสลวยเกือบถึงสะโพกถูกมัดรวบขึ้นเป็นหางม้า เผยให้เห็นลำคอระหงขาวผ่อง ทั้งยังผิวขาวละเอียดราวเกล็ดหิมะในเสื้อไหวพรมตัวโคร่งคอปกสีชมพูอ่อน กับกระโปรงสั้นจีบรอบสีขาวตัวนั้น ช่วยขับเน้นให้ทัศนียภาพงามดั่งภาพวาดทั้งดูมีชีิวิตชีวาและคล้ายไม่ใช่ความจริงไปในเวลาเดียวกัน



เรือนเล็กหลังนี้มีลักษณะคล้ายเรือนแพที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังของเรือนใหญ่ เป็นเรือนไม้ทรงไทยยื่นออกมาริมน้ำ ทำให้ได้รับลมแม่น้ำเย็นๆ อยู่ตลอด ทิวทัศน์เบื้องหน้าดูคล้ายคลองเล็กๆ ที่ตัดผ่าน ฝั่งตรงข้ามเห็นวิถีชีวิตชาวบ้านริมน้ำหลายรูปแบบ บ้างปิดประตูทึบไม่เปิดรับสุนทรีย์จากทิวทัศน์ตรงนี้ บ้างนั่งเล่นหยอกล้อกันตรงท่าน้ำอย่างเพลิดเพลิน บ้างใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสายน้ำได้อย่างกลมกลืน แต่โดยรวมถือว่าสงบดีพอใช้



ตัวบ้านเป็นไม้สัก เห็นได้ชัดว่าผู้เป็นเจ้าของเป็นผู้มีอันจะกินไม่หยอก ถึงได้ครอบครองเรือนไม้สักเนื้อดีทุกหลังในอาณาบริเวณบ้าน ภายในได้รับการทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่อง แม้แต่ฝุ่นสักเม็ดก็ยังไม่กล้าปลิดปลิวเข้ามา ภายนอกมีพรรณไม้นานาพันธ์ุโน้มกิ่งมาให้ร่มเงาอย่างอารี ทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนต้น ล้วนส่งกลิ่นหอมกรุ่นอบอวลชวนหลงใหล ทั้งยังสวยงามร่มรื่นจนผู้พบเห็นเย็นกายสบายใจ



“บ้านย่าคุณน่าอยู่ดีนะ” ฟรานมองจนทั่วครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยออกไปกับผู้เป็นเจ้าบ้าน



“ไม่น่าอยู่อย่างที่คิดหรอก กลางวันร้อนอย่างกับมีถ่านติดไฟสุมอยู่ใต้ถุนเรือน กลางคืนหนาวอย่างกับหิมะจะตก อยู่ๆ ไปจะเจ็บไข้ได้ป่วยเปล่าๆ” เพียงน้ำพลอยใส่ร้ายป้ายสีบ้านตัวเองเสียอย่างกับเป็นทะเลทราย หากก็ยังปั้นหน้านิ่ง เมินผู้เช่ารายใหม่ราวกับเขาไม่มีตัวตน



ฟรานอมยิ้มส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง



“บ้านก็สวยดีนะ”



“ไม่สวยอย่างที่คิดหรอก ไม้เก่าขนาดนี้ร้อยวันพันปีไม่เคยซ่อมบำรุง วันดีคืนดีคุณนอนอยู่หลังคาอาจจะร่วงลงมาทับตายก็ได้” เป็นไปดังคาด...ผู้หญิงคนนี้โกหกหน้าตายอย่างไม่สะทกสะท้าน และไม่แยแสด้วยว่ามันจะไม่น่าเชื่อถือถึงขั้นหลอกเด็กสามขวบยังไม่ได้ เอาแต่พ่นมันออกมาเพื่อระบายอารมณ์ ถ้าเขาเชื่อก็ดีไป แต่ถึงไม่เชื่อก็ยังดีว่าเก็บแค้นไว้คับอก



“บรรยากาศก็ดี” ฟรานแสร้งเอ่ยขึ้นอีก



“งูเงี้ยวเขี้ยวคอเต็มไปหมด ไหนจะตะขาบ แมงป่อง แมงมุม ไม่รู้วันไหนจะมานอนเป็นเพื่อนคุณบนที่นอนหรอก”



“ย่าคุณก็ใจดีนะ”



“คุณย่าไม่...” เพียงน้ำพลอยกลืนสิ่งที่ตัวเองกำลังจะพ่นออกไปลงคอแทบไม่ทัน เพราะไม่ทันคิดว่าเขาจะหลอกให้เธอด่าย่าตัวเองออกมากับปาก ซ้ำเขายังทำหน้าระรื่นราวกับต้องการเยาะเย้ยเธอว่า ‘พูดต่อสิ รอฟังอยู่เชียว’



“คุณย่าท่านใจดี” เธอแก้ประโยคให้ถูกต้อง ทว่าใบหน้ากลับดูคล้ายเสือจะกินคนยังไงยังงั้น



“แต่คุณก็ไม่ควรอาศัยความใจดีของท่านมาทำเรื่องพรรค์นี้” เพียงน้ำพลอยสบตาเขาตรงๆ ดวงตากลมโตวาวโรจน์ด้วยไฟโทสะที่ไร้เหตุผล



“เรื่องพรรค์ไหน” ฟรานสาวเท้าคืบเข้าไปหาหญิงสาวหัวแข็งตรงหน้า ท่าทางราวหมาป่าจ้องขย้ำเหยื่อ



“ก็...ก็เรื่องไร้สาระอย่างคิดจะมากวนประสาทฉันที่นี่ไง!” เพียงน้ำพลอยถอยหลังตามสัญชาตญาณเมื่อเห็นว่าเขาก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทว่าศักดิ์ศรีที่วางไม่ลงก็ยังสั่งให้เธอเชิดคางต่อปากต่อคำกับเขาต่อไป



“คุณคิดว่าจุดประสงค์แค่นั้นจะพาผมมาถึงตรงนี้จริงๆ เหรอ” เมื่อเห็นว่าเธอหยุดเท้าเพราะถอยกรูดจนติดรั้วกั้นแล้ว หากถอยอีกก้าวเดียวคงต้องร่วงลงไปในน้ำ ฟรานจึงใช้แขนทั้งสองข้างค้ำยันรั้วเหล็กนั้นไว้ กักขังเธอไว้ในวงแขนอย่างแน่นหนา แล้วโน้มหน้าลงไปกระซิบที่ข้างหูเธอด้วยเสียงแหบพร่า



“คุณคิดว่าที่ผมตามคุณไปทุกที่ กระทั่งคุณอยากก้าวเท้าลงนรกผมก็ยังไปกับคุณ คุณไล่เท่าไหร่ผมก็ยังตามคุณอย่างกับหมาบ้า ไม่ว่าจะถูกใครฉุดกระชากลากดึงไปไกลแค่ไหนก็ยังวิ่งกลับมาหาคุณ คุณคิดว่าที่ผมทำทั้งหมด เป็นเพราะผมอยากกวนประสาทคุณแค่นั้นเหรอ...” ฟรานถามเพราะอยากรู้จากใจจริง เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่าผู้หญิงที่ใครต่อใครสรรเสริญเยินยอว่าฉลาดนักหนา จะเข้าใจเรื่องพวกนี้บ้างหรือไม่



ดวงตากลมโตดุจไข่มุกดำจ้องเขานิ่งงัน คล้ายกับต้องการหลบเลี่ยงสายตาร้อนแรง อาวรณ์ ตัดพ้อของเขาคู่นั้น หากในขณะเดียวกันก็คล้ายกับถูกเขาตราตรึงไว้เช่นเดียวกับร่างกาย



ไม่อาจเผชิญหน้าและไม่อาจหลบหนี...



“ฉันไม่อยากรู้” เมื่อหมดทางเลี่ยง เพียงน้ำพลอยจึงตอบออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าเชือดเฉือนใจคนเป็นที่สุด ก่อนจะอาศัยช่วงที่เขาตกตะลึงผลักเขาออกไปเบาๆ แล้วหันหลังเดินหนี ทว่าคิดไม่ถึงว่าเขาจะดึงดันเดินตามเธอขึ้นมาอีก



“ผมต้องอธิบายยังไง คุณถึงจะ...”



“ฉันบอกว่า’ไม่อยากรู้’...ไม่ได้บอกว่า’ไม่รู้’ ” เมื่อเห็นว่าเขาเร่งร้อนอธิบายเพราะไม่เข้าใจความหมายของเธอ เธอจึงไม่รอให้เขาพูดจบก็ชิงอธิบายขยายความขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าหนักแน่น จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปอีกครั้ง



หากคราวนี้เขาไม่ได้เดินตามมาอย่างเดิม เธอจึงอดหันกลับไปมองเขาแวบหนึ่งไม่ได้ ก่อนจะเห็นว่าเขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าหล่อเหล่าดุจรูปปั้นสลักนั้นว่างเปล่าจนชวนใจหาย แต่เธอก็ไม่อยากจะให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนนั้นกลับมาอีกครั้ง จึงไม่ได้เอ่ยเรียกเขา ได้แต่ยืนรออยู่ตรงนั้นจนเขาก้าวเท้าตามมา แล้วจึงค่อยเดินขึ้นเรือนไปพบคุณย่าเธอพร้อมกัน



เงาร่างสมส่วนหนึ่งชายหนึ่งหญิงเดินขึ้นเรือนมาด้วยกัน ชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตัวเองนักที่ช่างขี้ริ้วขี้เหร่เหลือเกิน ทั้งยังไม่มีโอกาสได้เดินเคียงข้างคนที่สมบูรณ์พร้อมปานนั้น แม้แต่คุณหญิงพุดกรองเองก็ยังอดยิ้มน้อยๆ ให้กับภาพที่เห็นด้วยไม่ได้ ทว่าพอได้มองคนทั้งสองเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ แล้วกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไปเล็กน้อย คนหนึ่งก้าวขึ้นมานั่งพับเพียบข้างเธอบนพื้นยกสูง อีกคนนั่งบนพื้นที่ต่างระดับลงไป ต่างคนต่างหลบหน้าหลบตา คล้ายมีเรื่องในใจมากมายแต่ไม่มีเรื่องจะพูดแม้แต่เรื่องเดียว เธอจึงตัดสินเอ่ยถามผู้มาเช่าบ้านถึงความพอใจต่อบ้านช่องห้องหับไปตามเรื่องตามราว



“เป็นยังไงบ้างพ่อฟราน ชอบมั้ย” คุณหญิงพุดกรองถามพลางระบายยิ้มอย่างใจดี



“...” ฟรานไม่ได้ตอบคำในทันที เอาแต่ทอดสายตาไปมองคนใจร้ายบางคนอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง



ยามนี้จิตใจเขายังไม่ค่อยจะกลับสู่ปกตินัก จึงยังประมวลผลไม่ทันว่าที่ผู้สูงวัยตรงหน้าถามนั้น หมายถึงชอบบ้านเรือน หรือชอบหลานสาวท่านกันแน่



“ชอบ...ครับ...” เกรงว่าจะเป็นคำตอบของอย่างหลังเสียแล้ว...



นัยน์ตาคมกริบดุจจ่าฝูงหมาป่ายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างบางซึ่งนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ข้างคุณย่าของเธอ ดูเผินๆ จึงคล้ายกับว่าฟรานพูดจาไปพร้อมกับสบตาผู้ใหญ่ด้วยสายตาอ่อนโยน เป็นมารยาทที่น่ามองยิ่ง



“งั้นรึ ชอบก็ดีแล้ว” คุณหญิงพุดกรองดีใจไม่น้อยที่เจรจาเป็นผลสำเร็จ จึงไม่ทันได้สังเกตสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วนนัก ไม่อย่างนั้นแววตาเสียใจ น้อยใจ ตัดพ้อ ทว่าร้อนระอุดุจเหล็กกล้าพร้อมหลอมละลายใจคนไปในเวลาเดียวกันนั้น คงไม่มีทางหลุดรอดสายตาเธอไปได้



ใช่...ฟรานยังคงชอบ...และยังคงชอบมากอีกด้วย...



มากเสียจนเขานึกโมโหตัวเอง อยากตีอกชกหัวตัวเองนัก!



เพียงเพราะผู้หญิงใจแข็งเป็นหินคนนี้คนเดียว เขาถึงกับวิ่งโร่มาทำตัวเป็นเนื้อรอเข้าปากเสือถึงที่นี่



และที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นก็คือ จนถึงวินาทีนี้เขาก็ยังไม่มีความคิดจะหนีไปไหน...



ที่ผ่านเขาเฝ้าคิดว่าเธอจะรู้ความรู้สึกในใจของเขาบ้างรึเปล่า ตอนนี้คำตอบก็ชัดเจนตรงหน้าแล้ว...ว่าเธอไม่ได้โง่เง่าเต่าตุ่น เขาดีกับเธอ เขารู้สึกอย่างไรกับเธอ ต้องการอะไรจากเธอ เธอล้วนรู้ดีทุกอย่าง เพียงแต่ปฏิเสธจะแสดงออกว่ารับรู้เท่านั้น และหากพิจารณามาถึงชั้นนี้เขาก็สมควรจะต้องคิดได้แล้วว่าเธอไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน ควรจะตัดใจให้ขาด แล้วไปจากที่นี่อย่างที่ควรจะเป็นเสีย



เขายังจะมีปัญหาที่ตรงไหนอีกกัน...เธอฉุดรั้งหรือให้ความหวังเขางั้นเหรอ...

นั่นคือสิ่งที่น่าเจ็บใจที่สุด! เธอไม่เคยให้ความหวังเขาเลยสักครั้ง แต่เขากลับยังหน้าด้านหน้าทนตามติดเธอเป็นหมากฝรั่งติดรองเท้าอยู่อีก!

ให้ความหวังเขาบ้างสักนิดไม่ได้หรือไง...เขาคนนี้จวนจะสิ้นหวังอยู่แล้ว...



หลังจากเซ็นสัญญาเช่าเรียบร้อย ฟรานก็ตกลงจะย้ายเข้าไปอยู่ที่เรือนเล็กในวันถัดมา โดยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของคนบางคนไปเสีย เมื่อจ่ายค่ามัดจำและฟังข้อตกลงที่เจ้าบ้านต้องการเรียบร้อยแล้วจึงกลับมายังบ้านตระกูลเฉียนพร้อมน้ำผึ้งพระจันทร์ และก็เป็นไปดังคาดว่าเหวินหยางหลงเพื่อนรักของเขากลับมาจากฮ่องกงแล้ว



“ไปไหนกันมาแต่เช้า ไม่เห็นบอกผมเลยว่าคุณจะออกไปข้างนอก” เหวินหยางหลงว่าพลางเดินเข้าไปโอบเอวภรรยา



“พาคุณฟรานไปหาบ้านเช่ามาค่ะ” น้ำผึ้งพระจันทร์ตอบเสียงใส



“บ้านเช่า! บ้านเช่าอะไร!” เหวินหยางหลงขึ้นเสียงเพราะเริ่มได้กลิ่นไม่ค่อยดีโดยสัญชาตญาณ ความจริงเขาก็พอจะเดาออกเลาๆ ตั้งแต่เห็นฟรานอยู่ที่นี่ทั้งที่เมื่อวันก่อนนี้ยังบอกเขาว่าตัวเองอยู่มองโกเลียแล้ว แต่ก็ภาวนาให้ตัวเองคิดมากไปเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินภรรยาพูดคำว่า ‘บ้านเช่า’ ออกมา



คนบ้างคนบ้าดีเดือดได้ถึงขนาดนี้ ถึงกับกล้าใช้ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของภรรยาเขาเป็นเครื่องมือ



มีอะไรที่มันยังไม่กล้าอีกกัน!



“ทำไมคุณไม่เล่าให้ผมฟัง” น้ำเสียงทรงอำนาจกับสีหน้าเหี้ยมเกรียมที่ในยามปกติแทบจะไม่เคยใช้กับภรรยาร่างเล็ก ทำเอาน้ำผึ้งพระจันทร์ขมวดคิ้วมุ่น กึ่งไม่พอใจกึ่งสงสัยในตัวสามีร่างสูงตรงหน้า



ปกติแล้วเขามักจะเชื่อใจเธอเสมอว่าเธอจะจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้ดี หากไม่ใช่เรื่องมีผู้ชายขวัญกล้าคนไหนเข้ามาก้อร่อก้อติก หรือเรื่องที่เสี่ยงภัยอันตรายแล้วล่ะก็ หากไม่พึงใจหรือหน่ายคร้านจะรายงานเรื่องไหนก็ไม่จำเป็นต้องรายงานเรื่องนั้น อีกทั้งเขาก็รู้ดีแก่ใจว่าน้ำผึ้งพระจันทร์เกลียดคนประเภทแสดงอำนาจข่มขู่ บีบคั้นจนเธอไม่มีทางเลือกที่สุด แต่คราวนี้กลับทำท่าทางแบบนี้ออกมา หากไม่ใช่เพราะสามีละเลยความสำคัญของเธอ จะยังเป็นเพราะอะไรไปได้อีก



“ทำไมต้องทำหน้าขึงขังขนาดนั้นด้วย ฉันแค่พาคุณฟรานไปหาบ้านเช่า ไม่ได้หากรงเสือมาให้คุณฟรานอยู่สักหน่อย” น้ำผึ้งพระจันทร์ตอบกลับเสียงฉุน ทำเอาเหวินหยางหลงได้แต่หลับตาลงอย่างอดทนอดกลั้น โดยหารู้ไม่ว่าท่าทางแบบนั้นรังแต่จำทำให้ภรรยาผู้เลือดร้อนของเขาพาลคิดไปว่า เขาเหนื่อยหน่ายเธอจนสุดจะกล่าว



“ฉันทำอะไรผิดนักหนา คุณถึงต้องโกรธต้องทำท่าเบื่อหน่ายกันขนาดนี้!” น้ำผึ้งพระจันทร์ขึ้นเสียงเดือดดาล ดวงตากลมโตสีม่วงเข้มสั่นไหวอย่างรุนแรง และเริ่มจะเห็นสีแดงเรื่อลามขึ้นมาจากขอบตาร่ำไรแล้ว



นั่นปะไร...เป็นเรื่องขึ้นมาอีกจนได้...



ลืมไปได้อย่างไร...ภรรยาเขาใจแข็งทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของเขา...



เหวินหยางหลงอยากจะยกมือกุมขมับแต่ก็กลัวจะว่าเป็นการแสดงท่าทางเบื่อหน่ายออกมาอีก จึงได้แต่เค้นความอดทนที่ซุกซ่อนอยู่ทุกส่วนออกมาใช้จนหมด แล้วเข้าไปโอบร่างเล็กๆ ของภรรยาเข้ามากอดแนบอก ปากก็อธิบายเสียงหวานนุ่มหู มือก็ลูบศีรษะปลอบขวัญอย่างอ่อนโยน ทว่าสายตาที่อยู่ลับหลังภรรยากลับจ้องเพื่อนรักอย่างอาฆาต ราวกับต้องการบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่า หากมีแขนข้างหนึ่งว่างจากการโอบกอดภรรยาอยู่ล่ะก็ เขาจะต้องชักปืนออกมาเป่ากระหม่อมคนสมควรตายแน่!



ฟรานไม่ยี่หระกับสายตาอาฆาตของเพื่อนนัก หากจะกล่าวว่าเห็นจนชินก็คงเห็นจนชิน หากจะกล่าวยอมรับโทษทัณฑ์ ก็คงเป็นตามนั้น...



เพื่อผู้หญิงไม่มีหัวใจคนนั้น...เขาขายสมองตัวเองทิ้งไปนานแล้ว...



คิดแล้วก็นึกถึงประโยคแสนเย็นเยียบแทบตัดขั้วหัวใจที่เธอพูดกับเขาท่ามกลางแสงแดดทออุ่นนั้น...



‘ฉันบอกว่า’ไม่อยากรู้’ ไม่ได้บอกว่า’ไม่รู้’ ‘



จุดยืนชัดเจนดีจริงๆ...



หลังจากทำความเข้าใจกับภรรยาดีแล้ว มาเฟียหนุ่มก็ปล่อยให้ภรรยาขึ้นไปทำธุระส่วนตัวข้างบน พอเธอเดินไปจนลับตาแล้วจึงรีบพุ่งเข้าไปคว้าคอเพื่อนสนิทเข้ามาคุยในห้องหนังสือตามลำพัง พอปิดประตูลงกลอนแน่นหนาแล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง โยนร่างเพื่อนสมควรตายใส่เก้าอี้นวมตรงมุมห้องอย่างสุดแรง ยกมือขึ้นชี้หน้าคาดโทษ สีหน้าเย็นเยียบ



“ทำบ้าอะไรของแกวะ!!!” เหวินหยางหลงตะคอกสุดเสียงอย่างเดือดดาล



“...” ฟรานไม่รู้ว่าตัวเองควรตอบเพื่อนว่าอะไร เพราะดูเหมือนตอนนี้เขาจะบ้าไปแล้วจริงๆ นั่นแหละ



เมื่อสองอาทิตย์ก่อน เขาหักใจตัวเองได้ในวินาทีสุดท้าย ลากตัวเองไปขึ้นเครื่องบินส่วนตัวของมังกรมุกส่งตัวเองไปถึงมองโกเลีย คิดไม่ถึงว่าไปไกลได้ถึงขนาดนั้น เขากลับอยู่มีอาการเหมือนคนเสียสติรอรับการบำบัด กลางวันไม่กิน กลางคืนไม่นอน เห็นอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมด ร้อนรนเหมือนจะเป็นบ้าเสียให้ได้ จนสุดท้ายต้องวิ่งโร่กลับมาที่นี่อย่างกับหมาบ้า



หากเหวินหยางหลงจะหาว่าเขาบ้า...เขาเองก็ไม่มีข้อแก้ตัวอื่น...



“แกหลอกใช้เมียฉัน ให้เขาพาแกเข้าไปในบ้านหลังนั้น แกคิดบ้างมั้ยวะ ถ้าเพื่อนเขาเป็นอะไรขึ้นมา เขาจะเสียใจแค่ไหนที่ตัวเองหาเหยื่อมาล่อมือปืนเข้าไปยิงเพื่อนเขาถึงในบ้าน!!” เหวินหยางหลงเดือดจนปรอทแตก คราวนี้เพื้อนเขาทำเกินเหตุไปจริงๆ ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นเพื่อนรักคนเดียวของเขาล่ะก็ ปืนกระบอกที่อยู่ใกล้ที่สุดคงถูกหยิบมาลั่นไกไปนานแล้ว



“...” ฟรานไม่มีข้อแก้ตัว เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เพื่อนพูดนั้นเป็นความจริงทุกประการ



เขาเป็นโชคร้ายขั้นสูงสุดของเธอ...ซ้ำเขายังไม่คิดจะไปจากเธออีก...



เขาเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ดึงดันจะยัดเยียดความโชคร้ายนี้ใส่มือเธอ



เขารู้มันดีทั้งหมด...



“ถ้าเป็นอย่างนี้ฉันว่าแกกลับไปอยู่ ‘เฟลิเซีย’ ซะยังจะดีกว่า” เหวินหยางหลงหลับตาลงแล้วเอ่ยออกมาเรียบๆ



‘เฟลิเซีย’ คำหนึ่งคำสามพยางค์นั้น...ทำให้ฟรานรู้สึกสะท้านเฮือกขึ้นมาในอกอย่างอดไม่ได้



เขาหนีมาทั้งชีิวิตก็เพราะไม่อยากอยู่ที่นั่น... คนที่ไล่ล่าเขามาทั้งชีวิตก็คือคนของที่นั่น... และครอบครัวที่มีแต่ไม่ต่างกับไม่มี ก็อยู่ที่นั่น...



ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของเขา แต่เมื่อไหร่ที่เขาโผล่หัวกลับไป...มันย่อมเป็นที่ตาย!



ทว่าตอนนี้ที่นี่เองก็เป็นที่ตายไม่ต่างกัน!



ความหมายนั้นของเพื่อนเขารับรู้มันได้ดี...



“ที่ฉันพูดนี่ก็เพราะหวังดีกับแกนะเว้ย ถ้าเลือกได้ทำไมฉันจะไม่อยากให้แกอยู่” เมื่อโทสะเริ่มคลายลง เหวินหยางหลงถึงได้รู้สึกตัวว่าเมื่อครู่ตัวเองออกจะพูดแรงเกินไปอยู่บ้าง จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนลง



“ทำไมฉันจะไม่เข้าใจ” ฟรานตอบด้วยท่าทางสุขุมเช่นเดิม



เขาทั้งไร้เหตุผล เห็นแก่ตัว บ้าบิ่น เขารู้ดี...นั่นคือสาเหตุที่ไม่มีอะไรจะพูด



แต่เขาก็ไม่อยากไปจากที่นี่ ไม่อยากให้เธออยู่ห่างจากสายตาอีกแม้แต่นาทีเดียว...นั่นคือสาเหตุที่เขาไม่ยอมไป



เมื่อมองนัยน์ตาดุจจ่าฝูงหมาป่าคู่นั้นสงบนิ่ง ไร้คลื่นอารมณ์ใดๆ อีกครั้ง เหวินหยางหลงถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นี้มันป่วยการ เขากำลังคว้าปลายเชือกที่หลุดจากหลักไปไกลแล้ว ช่างเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์จริงๆ...



ความจริงแล้ว เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เขาเองก็ใช่ว่าไม่เคยไม่ประสบพบเจอ เมื่อครั้งที่ตัวเองทำทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าน้ำผึ้งพระจันทร์มาไว้ข้างกายนั้น เขาแทบจะชักปืนออกมายิงฟรานให้มันหลบไปให้พ้นทาง มาคราวนี้เจอมันหัวแข็งไม่ฟังใครหน้าไหน ยอมตายแต่ไม่ยอมถอย เขาก็ควรจะยอมรับการตัดสินใจของมัน โดยถือว่าดาบนั้นได้กลับมาคืนสนองแล้ว จึงได้แต่เอ่ยเตือนด้วยความหวังดี



“มีเรื่องนึงที่แกต้องรู้...”



“เรื่องอะไร” เมื่อเห็นเหวินหยางหลงเงียบลงไม่เอ่ยต่อไป ฟรานจึงเงยหน้าขึ้นถาม ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีลำบากใจอยู่ไม่น้อย ดูท่าเรื่องที่กำลังจะเอ่ยต่อไปนี้คงเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำให้คนที่เป็นถึงราชามังกรมุกถึงกับถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ยังไม่อาจเอ่ยออกมาได้เต็มปากหรอก



“เจ้าจันทร์ไม่ใช่คนโง่ ครั้งนี้ถูกแกหลอกผ่านได้ก็เพราะเขาเห็นว่าแกจริงใจกับเพื่อนเขา เลยไม่อยากซักไซ้อะไรให้มากความ แต่ถ้าวันไหนเขาได้กลิ่นไม่ดีขึ้นมาล่ะก็ คนแรกที่แกต้องระวังก็คือเมียฉัน...” สิ้นเสียงกล่าวเตือนของเหวินหยางหลง ฟรานก็เริ่มรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามที่ยังมาไม่ถึงแต่ร้ายแรงถึงชีวิตขึ้นมา



ยัยแม่มดเป็นคนที่ไม่ควรประมาท เธอทั้งรอบคอบ ระมัดระวัง ร้ายกาจและเลือดเย็น ซ้ำยังหูตาเป็นสับปะรด กระทั่งเหวินหยางหลงผู้เป็นสามียังเคยให้คำนิยามว่า ‘จมูกหมาตาผี!’ น่ากลัวว่าจะไม่ใช่เรื่องตลก ที่ทุกวันนี้เธอยังไม่รู้ไม่เห็นอะไรก็เพราะเจ้าตัวคร้านจะมาสืบเสาะตัวตนของเขา และเห็นว่าเขาไม่ได้เกี่ยวพันอะไรกับเธอมากมายนัก นอกเสียจากเป็นเพื่อนสามีเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากำลังจะพรากเพื่อนรักไปจากอกเธอ มีหรือยัยแม่มดจะทำไม่รับไม่รู้อยู่ได้



อันที่จริง ตอนที่เขาโทรไปขอให้เธอช่วยหาบ้านเช่าให้ ก็ไม่ได้สร้างเรื่องโกหกอะไร ทุกเรื่องที่บอกไปล้วนเป็นความจริง เพียงแต่มันเป็นความจริงเพียงแค่ส่วนหนึ่งของเรื่องทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งเธอก็ไม่ได้ดูจะอยากรู้เรื่องอะไรของเขา สิ่งที่เธอสนใจใคร่รู้มีเพียงเหตุผลที่เขาต้องการหาบ้านเช่าเท่านั้น เขาเองก็ตอบไปอย่างไม่ปิดบัง ในตอนนั้นเขายังคิดไปว่าเธออาจไม่เห็นดีเห็นงามให้เขาเข้าใกล้เพื่อนเธอก็ได้ ทว่าหลังจากวางสายไปไม่ถึงชั่วโมงยัยแม่มดก็โทรกลับมาบอกเขาว่าได้บ้านเช่าแล้ว ใครจะรู้ว่าเธอจะลงมือได้อย่างสะอาดสะอ้าน ไร้ที่ติ และฉับไว ซ้ำยังหาจุดยุทธศาสตร์ได้อย่างแม่นยำราวแม่ทัพชำนาญการศึกขนาดนี้



หากว่าเพียงน้ำพลอยใจอ่อน ทุกอย่างราบรื่นก็ถือว่าดีไป...แต่ถ้าไม่ล่ะก็...



คิดๆ ไปแล้ว เขาสมควรจะหาโอกาสบอกความจริงให้เธอฟังทั้งหมดดีกว่า...



บนโลกนี้มีคนที่คิดจะฆ่าเขามากมายอยู่แล้ว...ไม่จำเป็นต้องเพิ่มน้ำผึ้งพระจันทร์มาอีกคนหรอก...



ครั้นเห็นสีหน้าอึดอัดลำบากใจของเพื่อนเปลี่ยนกลับมาเป็นสงบนิ่งอีกครั้ง เหวินหยางหลงก็รู้ได้ในทันทีว่าฟรานคงหาทางออกได้แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถามอีกสิ่งหนึ่งที่ยังคั่งค้างอยู่ในใจออกไป



“แล้วถ้าไอ้ ‘รานด์’ ส่งพวกหมาป่าสีน้ำเงินมาทำอะไรคุณน้ำพลอย แกจะทำยังไง” ดวงเนตรพยัคฆ์เย็นเยียบขึ้นหลายส่วนเมื่อพาดพิงถึงใครอีกคน ทว่าน้ำเสียงลอดไรฟันและแววตาของคนตอบกลับเย็นเยียบเสียยิ่งกว่า ราวว่าตัวเองกำลังจะถลกหนังฝูงหมาป่าล่าเนื้อพวกนั้นเสียเดี๋ยวนี้



“ฉั น จ ะ ฆ่ า มั น”



เหวินหยางหลงรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนจิตอ่อน ซ้ำยังหนักไปทางบ้าเลือดเสียด้วยซ้ำ ทว่าพอเห็นคนไม่แยแสโลกอย่างฟรานบ้าเลือดขึ้นมาบ้าง เขากลับอดจะรู้สึกขนลุกขึ้นมาบ้างไม่ได้ เพราะรู้ได้ในทันทีที่ว่าคนอย่างฟรานพูดเล่นได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้...



มาเฟียหนุ่มร่างสูงไม่เหลือเหตุผลจะรั้งเพื่อนไว้อีก จึงตั้งท่าจะหันหลังเดินจากไป หากพอเดินมาจนถึงประตู กลับหันหลังไปหาเพื่อนอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ทั้งชีวิตการเป็นเพื่อนแทบไม่เคยได้เอ่ย



“ฝ่าบาท กระหม่อมขอร้องพระองค์สักครั้ง ขอให้ทรงทบทวนเรื่องนี้ให้ดีอีกสักคืน ถ้าพรุ่งนี้พระองค์ยังทรงยืนยันคำตอบเดิม กระหม่อมจะทำทุกอย่าง...เพื่อช่วยพระองค์”



...TO BE CONTINUE...





คนนึงยอมตายแต่ไม่ยอมไป แต่คนนึงเอาแต่ทำไม่รับไม่รู้
เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป อีเฮียฟรานของเราเป็นใครมาจากไหนกันแน่
อย่าลืมมาติดตามกันต่อน้าาา



ตอนแรกกะจะรออัพร้อยเปอร์ทีเดียว
แต่ช่วงก่อนหน้านี้หายไปนาน กลัวคนอ่านจะลืมไรท์ไปซะก่อน
เลยขอเอาห้าสิบเปอร์มารับหน้าก่อน แล้วอีกครึ่งนึงจะตามมาเร็วๆ นี้นะคะ
(เชื่อได้มั้ยย...ได้สิ!! ช่วงนี้ไรท์กำลังคึก 5555)



อย่าลืมเม้นท์+โหวตเป็นกำลังใจให้กันด้วยน้าาาา


ขอบคุณล่วงหน้าจ้าา







พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ม.ค. 2561, 21:57:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ม.ค. 2561, 21:57:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 644





<< Chapter 13 : กระต่ายน้อยสีขาวกับเจ้าหมาป่า   Chapter 14 : รุกฆาต(51-100%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account