ระบำดอกรักเร่
Tags: ทิษณุ,พริบดาว,นรนนท์,พีชญา,สามพราน
ตอน: ตอนที่ 4.
ทิษณุนั่งหน้าเคร่งเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าสุดในฐานะเจ้าบ่าวของงาน เมื่อพระสงฆ์ขึ้นนั่งอาสนะเรียบร้อยแล้วเขาก็ได้ยินเสียงคุณนายลิ้นจี่สั่งใครก็ไม่ทราบให้ไปพาตัวเจ้าสาวออกมาจากห้อง ครู่ต่อมาเสียงฮือฮาของบรรดาเพื่อนๆของนรนนท์ที่นั่งออกันอยู่ด้านหลังก็ดังแว่วมาเข้าหู
“โอ้โห..เจ้าสาวสวยเช้งเลยว่ะ..อิจฉาพี่โฟล์คชะมัด”
ทิฐิในใจทำให้ทิษณุไม่แม้แต่จะหันไปมองดูเจ้าสาวของตนเอง ต่อให้เจ้าหล่อนสวยหยาดฟ้ามาดิน เขาก็ไม่มีวันที่จะหวั่นไหวเพราะหัวใจของเขาฝากเอาไว้ที่พีชญาเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาไม่เห็นคนรักสาวเมื่อก้าวเท้าออกมาจากห้องประชุมชั่วคราวนั่น บิดาเดินมากระซิบบอกเบาๆเพียงว่า
“พ่อให้หนูพีชกลับไปแล้วนะ ให้เพื่อนเขาที่มาด้วยกันพากลับไป”
“แล้ว...พีชเขาว่าไงบ้างครับคุณพ่อ พีชเข้าใจผมมั้ย”
น้ำเสียงของเขาร้อนรนจนผู้เป็นบิดาต้องตบไหล่เบาๆอย่างพยายามปลอบโยน
“แรกๆก็ไม่ฟังอะไรเลยเหมือนกันจนพ่อต้องออกปากขอร้องให้กลับไปก่อน อธิบายว่าเราจำเป็นจริงๆ ถึงได้ยอมกลับดีๆ ก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน ร้องห่มร้องไห้เสียจนหูตาบวม”
“โธ่...พีช...”
นายแพทย์หนุ่มครางเหมือนจะขาดใจ รู้สึกรวดร้าวไปทั้งทรวงอก
“น๊า...เรื่องหนูพีชไว้แก้กันทีหลัง แล้วพ่อจะหาทางช่วย”
แม้จะได้รับคำยืนยันจากบิดาว่าจะช่วยแต่ทิษณุกลับยังคิดไม่ออกว่าบิดาจะมาช่วยอะไรเขาได้ ราวกับจะขาดใจ..คนที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก..ความรู้สึกมันทรมานแบบนี้นี่เอง!
“เจ้าสาว...มานั่งข้างๆเจ้าบ่าวนี่”
เสียงเถ้าแก่ประจำงานบอกกล่าวอยู่ใกล้ๆ ไม่ถึงอึดใจทิษณุก็เห็นสีชมพูของสไบแพรแว้บว้าบจากทางหางตา กลิ่นหอมอ่อนๆรวยรินมาแตะจมูกเมื่อร่างของเจ้าสาวขยับเข้ามานั่งใกล้ ทิษณุยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ไม่แม้แต่จะชำเลืองมองมาทางฝั่งเจ้าสาวของตนเอง ฝ่ายเจ้าสาวก็ดูจะไม่แตกต่างกันเท่าไรพอขยับเข้าไปนั่งเคียงคู่เจ้าบ่าว หล่อนก็เอาแต่นั่งหน้าตรงมองตรงจึงไม่ได้รับรู้เลยว่าเกิดการผิดฝาผิดตัวกันขึ้นเสียแล้ว
พิธีการต่างๆเริ่มต้นจากการให้บ่าวสาวจุดธูปจุดเทียนบูชาพระ บ่าวสาวมือใหม่ทำทุกสิ่งอย่างไปตามที่เถ้าแก่บอกกล่าว พระสงฆ์เริ่มเจริญพระพุทธมนต์จากนั้นก็เป็นพิธีตักบาตรของคู่บ่าวสาว อาหารทั้งคาวหวานถูกจัดสำรับใส่ไว้ในขันโตก มีคนคอยช่วยทยอยรับส่งไปวางเรียงเอาไว้เบื้องหน้าพระสงฆ์จนครบทุกรูป โถข้าวสวยร้อนๆ ถูกเลื่อนมาตรงหน้าบ่าวสาวเพื่อให้ทั้งคู่ได้ใช้ทัพพีอันเดียวกันตักข้าวใส่จานถวายพระ
“บ่าวสาวจับมือกันนะ”
เสียงเถ้าแก่ยังคงสั่งความผ่านเครื่องขยายเสียงอยู่เป็นระยะ ทิษณุลอบถอนใจอย่างอึดอัด พยายามตั้งใจทำทุกสิ่งให้เสร็จสิ้นโดยไม่คิดจะให้ความสนใจในตัวเจ้าสาวของตนเอง แต่เมื่อมือใหญ่วางทับลงไปบนมือบางทิษณุก็พบว่ามือนุ่มนิ่มของเจ้าสาวเย็นเฉียบอย่างผิดปกติ..เจ้าหล่อนอาจจะกำลังตื่นเต้นมือไม้ถึงได้เย็นเยือกเเบบนี้
น่าขำ..มันมีอะไรให้ตื่นเต้นนักหนา..กะอีแค่จับมือกับผู้ชาย..อย่าบอกเชียวว่าหล่อนดำรงตนเป็นแม่ชีมาช้านาน..เนื้อตัวผู้ชาย..สักนิดหล่อนก็ไม่เคยได้แตะต้อง..ถ้าเป็นแบบนั้นหน้าตาของหล่อนตอนนี้คงตลกพิลึก..ชักอยากเห็น! แล้วทิษณุก็ห้ามความอยากรู้ของตนเองเอาไว้ไม่ได้ต้องปรายตาใหญ่ไปมองคนข้างๆ เป็นเวลาเดียวกับที่พริบดาวเองก็พยายามข่มความอายแหงนเงยใบหน้าขึ้นประสานสายตากับเจ้าบ่าวของตนเองเป็นครั้งแรก
เพล้ง..!!!
เสียงทัพพีตกกระทบพื้นดังแข่งกับเสียงพระสวด ทิษณุเห็นเจ้าสาวของเขาผงะ ดวงตาคู่สวยของหล่อนเบิกกว้าง มือบางที่อยู่ในอุ้งมือใหญ่ของเขาเมื่อครู่ถูกเจ้าตัวกระชากกลับโดยแรง ทิษณุคิดว่าเจ้าหล่อนคงจะทำเสียเรื่องด้วยการร้องเอะอะโวยวายหรือไม่ก็ลุกหนีเขาไปเสียดื้อๆถ้าหากคุณนายลิ้นจี่จะไม่เดินแหวกผู้คนเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าเสียก่อน
"นี่มันอะไรกันคะคุณย่า?"
พริบดาวกระซิบถามหน้าตาตื่นทันทีที่คุณนายลิ้นจี่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
"คนวันนั้น..ไม่ใช่..คนนี้นี่คะ.."
"หนูนิด.."
คุณนายลิ้นจี่ทำหน้าเคร่ง ปรามหลานสาวด้วยสายตาดุๆ
"ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น..ทำหน้าที่ของเราไป"
"แต่ว่า.."
"ไม่มีแต่..ทำตามที่ย่าสั่ง..ย่าให้แต่งกับคนนี้..ก็คนนี้..อย่าถามมาก.."
คุณนายลิ้นจี่สั่งเสียงเข้ม ทำให้ท่าทีแข็งขืนเมื่อครู่ของหญิงสาวค่อยๆคลายลง ทิษณุเห็นหลานสาวคุณนายลิ้นจี่ตวัดหางตามามองค้อนเขานิดๆก่อนจะก้มหน้างุดเก็บซ่อนอารมณ์ขุ่นเคืองเอาไว้ได้อย่างมิดเม้มภายใต้ท่าทีสงบเสงี่ยมนั้น
"หมอ..พาน้องไปตักบาตร..คนมองใหญ่แล้ว"
คุณนายลิ้นจี่สั่งทิษณุก่อนจะร้องโหวกเหวกสั่งเด็กให้เอาทัพพีอันใหม่มาเปลี่ยน หลังจากนั้นคู่บ่าวสาวก็กลับไปทำหน้าที่ของตนเองอย่างแกนๆ ไม่มีอาการยิ้มแย้มแจ่มใสต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแม้แต่จะมองหน้ามองตากัน เมื่อพิธีตักบาตรของคู่บ่าวสาวเสร็จสิ้นลงแล้วคุณนายลิ้นจี่ก็ร้องเรียกแขกเหรื่อคนอื่นๆให้เข้ามาช่วยกันประเคนอาหารพระ ทิษณุขยับหลีกทางมานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของระเบียงพร้อมด้วยบิดา ส่วนเจ้าสาวของเขาถูกบรรดาญาติๆโอบประคองพาแยกไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งจนมองไม่เห็นกัน พอคนเริ่มบางตาลงทิษณุก็เริ่มสอดส่ายสายตามองหาเจ้าสาวของตัวเองแต่เขาไม่พบหล่อนอยู่ในบริเวณพิธีอีกแล้ว
“ยังไงกัน..เจ้าสาวหนีเข้าห้องไปเสียแล้ว”
บิดาเปรยเบาๆกับทิษณุ นายแพทย์หนุ่มไหวไหล่ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“เป็นผม.. ผมก็หนี..จะนั่งอยู่ให้เป็นขี้ปากชาวบ้านเขาทำไม”
ทิษณุพูดออกไปอย่างที่ใจคิด ยังเหลืออารมณ์คับแค้นฉุนโกรธกับเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ไม่น้อย
“นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว..โฟล์คก็รู้”
“หึ! ทางออกที่ดีที่สุด สำหรับใครกันละครับ”
นายแพทย์หนุ่มเค้นเสียงถามประกายตาฉายแววเยาะหยันระคนปวดร้าว
“โกรธพ่อหรือเปล่าลูก..ที่พ่อขอร้องให้โฟล์คแต่งงานแทนน้อง”
น้ำเสียงเครือๆของบิดาทำให้ทิษณุเริ่มรู้สึกตัว เขาไม่ควรจะเอาความโกรธมาลงที่บิดา เข้าใจดีว่าทำไมบิดาถึงเลือกวิธีนี้ มันโยงใยเกี่ยวพันหลายเรื่องล้วนเป็นเรื่องของผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งนั้น
“ไม่โกรธหรอกครับ...ผมรู้พ่อเองก็ไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้...ผมขอตัวสักครู่นะครับ..จะไปโทรหาพีช”
พูดจบร่างสูงๆของทิษณุก็ผละหนีบิดาออกไปจากตรงนั้นทันที
+++++++++++++++++++++++++++++
“ต้องจดทะเบียนด้วยหรือครับพ่อ”
ทิษณุกระซิบถามบิดาเบาๆหลังจากพิธีการตามประเพณีนิยมต่างๆเสร็จสิ้นลงเมื่อตอนใกล้เที่ยง คุณนายลิ้นจี่ก็สั่งให้คนไปรับเจ้าหน้าที่จากทางอำเภอมาเพื่อดำเนินการเรื่องจดทะเบียนสมรส
“ก็จดๆไปเถอะลูก จดไปก่อน”
บิดาตบไหล่เบาๆพลางรุนหลังให้บุตรชายเข้าไปนั่งเคียงคู่เจ้าสาวที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนพื้นไม้ที่ถูกขัดถูเป็นมันวับ เบื้องหน้าของหญิงสาวคือโต๊ะไม้มะค่ารูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีเอกสารเกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรสเปิดกางเอาไว้รอคอยเจ้าบ่าวไปลงชื่อ ส่วนฝ่ายเจ้าสาวนั้นได้ลงชื่อในเอกสารสำคัญดังกล่าวเสร็จสิ้นไปก่อนหน้านั้นแล้ว
ทิษณุลอบถอนใจเบาๆเมื่อเซ็นชื่อของตัวเองลงไปในเอกสารสำคัญตรงหน้า รับรู้ในทันทีว่าอิสรภาพที่เคยมีมาช้านานได้จบสิ้นลงแล้ว แต่นี้ต่อไปเขาคือคนที่มีภาระผูกพันตามกฎหมาย เป็นผู้ชายที่แต่งงานแล้ว ภรรยาของเขาชื่อ แม่พริบดาว อะไรนั่น!
“พองานเลี้ยงเสร็จก็ส่งตัวกันที่นี่อย่างที่เคยตกลงกันเอาไว้ ใครจะคิดเห็นยังไงก็ว่ามา”
คุณนายลิ้นจี่เอ่ยถามเสียงดังฟังชัดท่ามกลางสีหน้าโล่งใจของทุกฝ่ายเมื่อการจดทะเบียนสมรสเสร็จสิ้นลง
“เอาตามที่คุณนายว่าแหละครับ พวกเราไม่มีอะไรขัดข้อง”
นายนัททีตอบอย่างนอบน้อมทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของบุตรชาย คุณนายลิ้นจี่ยังหน้าตึง ตวัดสายตาดุๆมามองผู้เป็นหลานเขยคนใหม่อย่างจับสังเกต
"มีงานเร่งด่วนต้องรีบไปทำรึเปล่าล่ะหมอ ถ้าฉันจะให้หมอค้างที่นี่คืนนี้ มีปัญหาอะไรรึเปล่า"
"จะมีปัญหาอะไรเล่าลิ้นจี่ ไหนๆเด็กสองคนเขาก็แต่งงานกันแล้ว" คนตอบเป็นคุณหญิงแสงแข นางพูดกับเพื่อนวัยชราด้วยสีหน้ายิ้มแย้มราวกับก่อนหน้านั้นไม่ได้มีเรื่องกินแหนงแคลงใจอะไรกันมาก่อน
"แกลางานเอาไว้ตั้งสองวันไม่ใช่หรือเจ้าโฟล์ค ก็อยู่ที่นี่ไปก่อน มะรืนแกค่อยพาเมียกลับไปบ้านโน้น เดี๋ยวฉันจะให้เด็กไปจัดเตรียมที่ทางที่ตึกเล็กเอาไว้ให้..ที่จริง..ก็คงไม่ต้องเตรียมอะไรมากมาย..แกก็ทำของแกเอาไว้เสียสวยงามดิบดีแล้วนี่..ก็แค่..เปลี่ยนคนที่จะไปอยู่ด้วยเท่านั้น"
ตลอดเวลานายแพทย์หนุ่มได้แต่นั่งเงียบก้มหน้ามองมือตนเอง หัวใจกลัดหนอง..ทุกข์ระทม..ตึกเล็กที่ว่านั่น..เป็นมันเป็นตึกสองชั้นขนาดกระทัดรัดบนที่ดินกว่าสองงานห่างไกลจากตึกใหญ่ของบ้านรัตนเสวีโดยมีเรือนกล้วยไม้ของบิดาเป็นตัวกั้นเขตแดน เดิมที่แห่งนั้นเป็นชื่อของบิดาแต่ท่านจัดแจงแยกโฉนดออกมาให้เป็นชื่อของเขาเพื่อเป็นของขวัญที่เขาเรียนจบแพทย์มาได้ ส่วนตัวตึกเขาพยายามเก็บหอบรอมริดสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง ทิษณุหวังจะใช้ตึกหลังนี้เป็นเรือนหอของตนเองกับแฟนสาว ตกลงกันเอาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะแต่งงานแต่งการกันให้เรียบร้อยสิ้นปีนี้ แต่ไม่นึกเลยว่าจะต้องเปลี่ยนคนไปอยู่
"เอาเป็นว่าไม่มีใครมีปัญหาอะไรแล้วนะ"
คุณนายลิ้นจี่สรุปความก่อนจะหันไปหาหลานสาวที่นั่งก้มหน้านิ่งไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตากับใครๆในห้อง บอกสั้นๆเพียงว่า
“หนูนิดไปพักเถอะลูก ค่ำๆค่อยลงมารับแขกกับหมอ เดี๋ยวย่าจะให้คนไปตาม”
“ค่ะ คุณย่า”
หลานสาวคุณนายลิ้นจี่รับคำอ้อมแอ้มก่อนจะขยับตัวลุกหนีไปด้วยท่าทีแข็งๆ หล่อนไม่พูดอะไรกับเขาสักคำ ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้า ท่าทีหล่อนเมินหมาง ดูก็รู้ว่าหล่อนไม่พอใจเขา ที่จริงหล่อนก็มีเหตุผลที่จะไม่พอใจ..ใครจะรู้..หล่อนอาจฝันใฝ่อยากจะเป็นเจ้าสาวของนายนรนนท์ รัตนเสวี มากกว่าที่จะเป็นเจ้าสาวของนายแพทย์ทิษณุ รัตนเสวี เจ้าบ่าวตัวสำรองคนนี้ก็ได้
++++++++++++++++++++++++
“พบหมอศิริราช..เป็นไงมั้ง”
อารตีทำหน้าทะเล้นใส่พี่สาวทันทีเมื่อร่างอ้อนแอ้นในชุดไทยสีหวานนั่นก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามา ที่จริงพริบดาวอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนักแต่หล่อนก็ยิ้มออกมาได้เพราะคำถามประโยคนั้นของน้องสาว...พบหมอศิริราช...นั่นเป็นชื่อรายการโทรทัศน์ที่เคยดังมากๆ ในอดีต มันไม่น่าจะกลายมาเป็นคำถามเอาได้ พริบดาวถอนหายใจเฮือกสารภาพความรู้สึกของตนเองออกไปตรงๆ
"หยิ่ง..ขี้เต๊ะ...ไม่ชอบหน้าเลย.."
"แต่หมอเขาก็หล่อนา..หนึ่งว่าเขาหล่อกว่าอีตาน้องชายจอมแสบนั่นอีก"
"อย่าไปพูดถึงคนๆนั้นเลย ซวย!"
พี่สาวเปรยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น หน้าสวยๆงอง้ำ ยังรู้สึกคับแค้นแน่นในหัวใจไม่หาย ผู้ชายคนนั้นสร้างความอับอายให้หล่อนอย่างเหลือแสน ถ้าเขาไม่อยากแต่งงานกับหล่อนเขาก็ไม่ควรจะปล่อยให้เรื่องราวมันเลยเถิดมาจนถึงป่านนี้
พริบดาวไม่ได้อาลัยอาวรณ์ในตัวผู้ชายคนนั้นนักหนา แต่หล่อนแค้นเขาถึงขนาด ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่มีวันให้อภัยเขาเด็ดขาด จะโกรธเขาแบบนี้ โกรธจนไม่ยอมมองหน้า ต่อให้เขาเป็นน้องชายของสามีก็เถอะ!
สามี !!!
เฮ้อ...
ผู้ชายขั้วโลกเหนือคนนั้น!
พริบดาวเห็นสายตาของเขาสุดแสนจะเย็นชา แต่จะโทษอะไรเขาได้ เขาก็ตกอยู่ในสภาพจำยอมเหมือนหล่อนถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งงานเพื่อกู้หน้า ที่มันแย่จนไม่รู้จะแย่อย่างไรก็คือผู้ชายคนนั้นเขามีคนรักอยู่แล้ว..มันไม่ยุติธรรมเลย..ไม่ว่าจะสำหรับใคร..เขา..แฟนของเขา..หรือแม้แต่ตัวพริบดาวเอง..ในสภาพนี้..พริบดาวนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าวันคืนข้างหน้าของหล่อนกับนายแพทย์หนุ่มคนนั้นมันจะดำเนินต่อไปอย่างไร
"หนึ่ง คืนนี้หนึ่งอย่าล็อคประตูห้องนะ"
"ทำไมหรือพี่หนูนิด สั่งห้ามล็อคประตูทำไม"
"ก็..เดี๋ยวคืนนี้ พี่จะไปนอนกะหนึ่ง"
"อ้าว..ก็คืนนี้ส่งตัวเข้าหอไม่ใช่หรือ อะไรกัน.. แล้วหมอเขาจะยอมหรือ.."
"ยอมไม่ยอมก็เรื่องของเขา ว่าแต่หนึ่งเถอะ ห้ามบอกคุณย่าเรื่องนี้นะ"
"หนึ่งน่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอก พี่หนูนิดไปเคลียร์กับหมอโน้นเถอะ ถ้าหากคืนนี้หมอไม่ยอม พี่หนูก็ออกจากห้องไม่ได้อยู่ดี" อารตีชี้แจงไปตามที่เห็นทำเอาผู้เป็นพี่สาวหน้างอขึ้นมาทันควัน
เขามีสิทธิ์อะไรที่จะไม่ยอม..ก็ในเมื่อเขาไม่ได้อยากแต่งงานกับหล่อน เขาไม่ได้รักหล่อนสักนิด แฟนก็มีแล้วอย่างนั้น ถ้าเขากล้านอกใจคนที่เขารักมาวุ่นวายกับหล่อน..พริบดาวจะขอตราหน้าว่าเขาเป็นผู้ชายที่ไร้จิตสำนึก..เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด! พริบดาวจะไม่มีวันปล่อยผ่านให้เขามาทำมักง่ายกับหล่อนเพียงเพราะทะเบียนสมรสใบเดียวนั่นแน่
++++++++++++++++++++++++++
“โอ้โห..เจ้าสาวสวยเช้งเลยว่ะ..อิจฉาพี่โฟล์คชะมัด”
ทิฐิในใจทำให้ทิษณุไม่แม้แต่จะหันไปมองดูเจ้าสาวของตนเอง ต่อให้เจ้าหล่อนสวยหยาดฟ้ามาดิน เขาก็ไม่มีวันที่จะหวั่นไหวเพราะหัวใจของเขาฝากเอาไว้ที่พีชญาเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาไม่เห็นคนรักสาวเมื่อก้าวเท้าออกมาจากห้องประชุมชั่วคราวนั่น บิดาเดินมากระซิบบอกเบาๆเพียงว่า
“พ่อให้หนูพีชกลับไปแล้วนะ ให้เพื่อนเขาที่มาด้วยกันพากลับไป”
“แล้ว...พีชเขาว่าไงบ้างครับคุณพ่อ พีชเข้าใจผมมั้ย”
น้ำเสียงของเขาร้อนรนจนผู้เป็นบิดาต้องตบไหล่เบาๆอย่างพยายามปลอบโยน
“แรกๆก็ไม่ฟังอะไรเลยเหมือนกันจนพ่อต้องออกปากขอร้องให้กลับไปก่อน อธิบายว่าเราจำเป็นจริงๆ ถึงได้ยอมกลับดีๆ ก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน ร้องห่มร้องไห้เสียจนหูตาบวม”
“โธ่...พีช...”
นายแพทย์หนุ่มครางเหมือนจะขาดใจ รู้สึกรวดร้าวไปทั้งทรวงอก
“น๊า...เรื่องหนูพีชไว้แก้กันทีหลัง แล้วพ่อจะหาทางช่วย”
แม้จะได้รับคำยืนยันจากบิดาว่าจะช่วยแต่ทิษณุกลับยังคิดไม่ออกว่าบิดาจะมาช่วยอะไรเขาได้ ราวกับจะขาดใจ..คนที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก..ความรู้สึกมันทรมานแบบนี้นี่เอง!
“เจ้าสาว...มานั่งข้างๆเจ้าบ่าวนี่”
เสียงเถ้าแก่ประจำงานบอกกล่าวอยู่ใกล้ๆ ไม่ถึงอึดใจทิษณุก็เห็นสีชมพูของสไบแพรแว้บว้าบจากทางหางตา กลิ่นหอมอ่อนๆรวยรินมาแตะจมูกเมื่อร่างของเจ้าสาวขยับเข้ามานั่งใกล้ ทิษณุยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ไม่แม้แต่จะชำเลืองมองมาทางฝั่งเจ้าสาวของตนเอง ฝ่ายเจ้าสาวก็ดูจะไม่แตกต่างกันเท่าไรพอขยับเข้าไปนั่งเคียงคู่เจ้าบ่าว หล่อนก็เอาแต่นั่งหน้าตรงมองตรงจึงไม่ได้รับรู้เลยว่าเกิดการผิดฝาผิดตัวกันขึ้นเสียแล้ว
พิธีการต่างๆเริ่มต้นจากการให้บ่าวสาวจุดธูปจุดเทียนบูชาพระ บ่าวสาวมือใหม่ทำทุกสิ่งอย่างไปตามที่เถ้าแก่บอกกล่าว พระสงฆ์เริ่มเจริญพระพุทธมนต์จากนั้นก็เป็นพิธีตักบาตรของคู่บ่าวสาว อาหารทั้งคาวหวานถูกจัดสำรับใส่ไว้ในขันโตก มีคนคอยช่วยทยอยรับส่งไปวางเรียงเอาไว้เบื้องหน้าพระสงฆ์จนครบทุกรูป โถข้าวสวยร้อนๆ ถูกเลื่อนมาตรงหน้าบ่าวสาวเพื่อให้ทั้งคู่ได้ใช้ทัพพีอันเดียวกันตักข้าวใส่จานถวายพระ
“บ่าวสาวจับมือกันนะ”
เสียงเถ้าแก่ยังคงสั่งความผ่านเครื่องขยายเสียงอยู่เป็นระยะ ทิษณุลอบถอนใจอย่างอึดอัด พยายามตั้งใจทำทุกสิ่งให้เสร็จสิ้นโดยไม่คิดจะให้ความสนใจในตัวเจ้าสาวของตนเอง แต่เมื่อมือใหญ่วางทับลงไปบนมือบางทิษณุก็พบว่ามือนุ่มนิ่มของเจ้าสาวเย็นเฉียบอย่างผิดปกติ..เจ้าหล่อนอาจจะกำลังตื่นเต้นมือไม้ถึงได้เย็นเยือกเเบบนี้
น่าขำ..มันมีอะไรให้ตื่นเต้นนักหนา..กะอีแค่จับมือกับผู้ชาย..อย่าบอกเชียวว่าหล่อนดำรงตนเป็นแม่ชีมาช้านาน..เนื้อตัวผู้ชาย..สักนิดหล่อนก็ไม่เคยได้แตะต้อง..ถ้าเป็นแบบนั้นหน้าตาของหล่อนตอนนี้คงตลกพิลึก..ชักอยากเห็น! แล้วทิษณุก็ห้ามความอยากรู้ของตนเองเอาไว้ไม่ได้ต้องปรายตาใหญ่ไปมองคนข้างๆ เป็นเวลาเดียวกับที่พริบดาวเองก็พยายามข่มความอายแหงนเงยใบหน้าขึ้นประสานสายตากับเจ้าบ่าวของตนเองเป็นครั้งแรก
เพล้ง..!!!
เสียงทัพพีตกกระทบพื้นดังแข่งกับเสียงพระสวด ทิษณุเห็นเจ้าสาวของเขาผงะ ดวงตาคู่สวยของหล่อนเบิกกว้าง มือบางที่อยู่ในอุ้งมือใหญ่ของเขาเมื่อครู่ถูกเจ้าตัวกระชากกลับโดยแรง ทิษณุคิดว่าเจ้าหล่อนคงจะทำเสียเรื่องด้วยการร้องเอะอะโวยวายหรือไม่ก็ลุกหนีเขาไปเสียดื้อๆถ้าหากคุณนายลิ้นจี่จะไม่เดินแหวกผู้คนเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าเสียก่อน
"นี่มันอะไรกันคะคุณย่า?"
พริบดาวกระซิบถามหน้าตาตื่นทันทีที่คุณนายลิ้นจี่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
"คนวันนั้น..ไม่ใช่..คนนี้นี่คะ.."
"หนูนิด.."
คุณนายลิ้นจี่ทำหน้าเคร่ง ปรามหลานสาวด้วยสายตาดุๆ
"ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น..ทำหน้าที่ของเราไป"
"แต่ว่า.."
"ไม่มีแต่..ทำตามที่ย่าสั่ง..ย่าให้แต่งกับคนนี้..ก็คนนี้..อย่าถามมาก.."
คุณนายลิ้นจี่สั่งเสียงเข้ม ทำให้ท่าทีแข็งขืนเมื่อครู่ของหญิงสาวค่อยๆคลายลง ทิษณุเห็นหลานสาวคุณนายลิ้นจี่ตวัดหางตามามองค้อนเขานิดๆก่อนจะก้มหน้างุดเก็บซ่อนอารมณ์ขุ่นเคืองเอาไว้ได้อย่างมิดเม้มภายใต้ท่าทีสงบเสงี่ยมนั้น
"หมอ..พาน้องไปตักบาตร..คนมองใหญ่แล้ว"
คุณนายลิ้นจี่สั่งทิษณุก่อนจะร้องโหวกเหวกสั่งเด็กให้เอาทัพพีอันใหม่มาเปลี่ยน หลังจากนั้นคู่บ่าวสาวก็กลับไปทำหน้าที่ของตนเองอย่างแกนๆ ไม่มีอาการยิ้มแย้มแจ่มใสต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแม้แต่จะมองหน้ามองตากัน เมื่อพิธีตักบาตรของคู่บ่าวสาวเสร็จสิ้นลงแล้วคุณนายลิ้นจี่ก็ร้องเรียกแขกเหรื่อคนอื่นๆให้เข้ามาช่วยกันประเคนอาหารพระ ทิษณุขยับหลีกทางมานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของระเบียงพร้อมด้วยบิดา ส่วนเจ้าสาวของเขาถูกบรรดาญาติๆโอบประคองพาแยกไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งจนมองไม่เห็นกัน พอคนเริ่มบางตาลงทิษณุก็เริ่มสอดส่ายสายตามองหาเจ้าสาวของตัวเองแต่เขาไม่พบหล่อนอยู่ในบริเวณพิธีอีกแล้ว
“ยังไงกัน..เจ้าสาวหนีเข้าห้องไปเสียแล้ว”
บิดาเปรยเบาๆกับทิษณุ นายแพทย์หนุ่มไหวไหล่ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“เป็นผม.. ผมก็หนี..จะนั่งอยู่ให้เป็นขี้ปากชาวบ้านเขาทำไม”
ทิษณุพูดออกไปอย่างที่ใจคิด ยังเหลืออารมณ์คับแค้นฉุนโกรธกับเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ไม่น้อย
“นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว..โฟล์คก็รู้”
“หึ! ทางออกที่ดีที่สุด สำหรับใครกันละครับ”
นายแพทย์หนุ่มเค้นเสียงถามประกายตาฉายแววเยาะหยันระคนปวดร้าว
“โกรธพ่อหรือเปล่าลูก..ที่พ่อขอร้องให้โฟล์คแต่งงานแทนน้อง”
น้ำเสียงเครือๆของบิดาทำให้ทิษณุเริ่มรู้สึกตัว เขาไม่ควรจะเอาความโกรธมาลงที่บิดา เข้าใจดีว่าทำไมบิดาถึงเลือกวิธีนี้ มันโยงใยเกี่ยวพันหลายเรื่องล้วนเป็นเรื่องของผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งนั้น
“ไม่โกรธหรอกครับ...ผมรู้พ่อเองก็ไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้...ผมขอตัวสักครู่นะครับ..จะไปโทรหาพีช”
พูดจบร่างสูงๆของทิษณุก็ผละหนีบิดาออกไปจากตรงนั้นทันที
+++++++++++++++++++++++++++++
“ต้องจดทะเบียนด้วยหรือครับพ่อ”
ทิษณุกระซิบถามบิดาเบาๆหลังจากพิธีการตามประเพณีนิยมต่างๆเสร็จสิ้นลงเมื่อตอนใกล้เที่ยง คุณนายลิ้นจี่ก็สั่งให้คนไปรับเจ้าหน้าที่จากทางอำเภอมาเพื่อดำเนินการเรื่องจดทะเบียนสมรส
“ก็จดๆไปเถอะลูก จดไปก่อน”
บิดาตบไหล่เบาๆพลางรุนหลังให้บุตรชายเข้าไปนั่งเคียงคู่เจ้าสาวที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนพื้นไม้ที่ถูกขัดถูเป็นมันวับ เบื้องหน้าของหญิงสาวคือโต๊ะไม้มะค่ารูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีเอกสารเกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรสเปิดกางเอาไว้รอคอยเจ้าบ่าวไปลงชื่อ ส่วนฝ่ายเจ้าสาวนั้นได้ลงชื่อในเอกสารสำคัญดังกล่าวเสร็จสิ้นไปก่อนหน้านั้นแล้ว
ทิษณุลอบถอนใจเบาๆเมื่อเซ็นชื่อของตัวเองลงไปในเอกสารสำคัญตรงหน้า รับรู้ในทันทีว่าอิสรภาพที่เคยมีมาช้านานได้จบสิ้นลงแล้ว แต่นี้ต่อไปเขาคือคนที่มีภาระผูกพันตามกฎหมาย เป็นผู้ชายที่แต่งงานแล้ว ภรรยาของเขาชื่อ แม่พริบดาว อะไรนั่น!
“พองานเลี้ยงเสร็จก็ส่งตัวกันที่นี่อย่างที่เคยตกลงกันเอาไว้ ใครจะคิดเห็นยังไงก็ว่ามา”
คุณนายลิ้นจี่เอ่ยถามเสียงดังฟังชัดท่ามกลางสีหน้าโล่งใจของทุกฝ่ายเมื่อการจดทะเบียนสมรสเสร็จสิ้นลง
“เอาตามที่คุณนายว่าแหละครับ พวกเราไม่มีอะไรขัดข้อง”
นายนัททีตอบอย่างนอบน้อมทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของบุตรชาย คุณนายลิ้นจี่ยังหน้าตึง ตวัดสายตาดุๆมามองผู้เป็นหลานเขยคนใหม่อย่างจับสังเกต
"มีงานเร่งด่วนต้องรีบไปทำรึเปล่าล่ะหมอ ถ้าฉันจะให้หมอค้างที่นี่คืนนี้ มีปัญหาอะไรรึเปล่า"
"จะมีปัญหาอะไรเล่าลิ้นจี่ ไหนๆเด็กสองคนเขาก็แต่งงานกันแล้ว" คนตอบเป็นคุณหญิงแสงแข นางพูดกับเพื่อนวัยชราด้วยสีหน้ายิ้มแย้มราวกับก่อนหน้านั้นไม่ได้มีเรื่องกินแหนงแคลงใจอะไรกันมาก่อน
"แกลางานเอาไว้ตั้งสองวันไม่ใช่หรือเจ้าโฟล์ค ก็อยู่ที่นี่ไปก่อน มะรืนแกค่อยพาเมียกลับไปบ้านโน้น เดี๋ยวฉันจะให้เด็กไปจัดเตรียมที่ทางที่ตึกเล็กเอาไว้ให้..ที่จริง..ก็คงไม่ต้องเตรียมอะไรมากมาย..แกก็ทำของแกเอาไว้เสียสวยงามดิบดีแล้วนี่..ก็แค่..เปลี่ยนคนที่จะไปอยู่ด้วยเท่านั้น"
ตลอดเวลานายแพทย์หนุ่มได้แต่นั่งเงียบก้มหน้ามองมือตนเอง หัวใจกลัดหนอง..ทุกข์ระทม..ตึกเล็กที่ว่านั่น..เป็นมันเป็นตึกสองชั้นขนาดกระทัดรัดบนที่ดินกว่าสองงานห่างไกลจากตึกใหญ่ของบ้านรัตนเสวีโดยมีเรือนกล้วยไม้ของบิดาเป็นตัวกั้นเขตแดน เดิมที่แห่งนั้นเป็นชื่อของบิดาแต่ท่านจัดแจงแยกโฉนดออกมาให้เป็นชื่อของเขาเพื่อเป็นของขวัญที่เขาเรียนจบแพทย์มาได้ ส่วนตัวตึกเขาพยายามเก็บหอบรอมริดสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง ทิษณุหวังจะใช้ตึกหลังนี้เป็นเรือนหอของตนเองกับแฟนสาว ตกลงกันเอาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะแต่งงานแต่งการกันให้เรียบร้อยสิ้นปีนี้ แต่ไม่นึกเลยว่าจะต้องเปลี่ยนคนไปอยู่
"เอาเป็นว่าไม่มีใครมีปัญหาอะไรแล้วนะ"
คุณนายลิ้นจี่สรุปความก่อนจะหันไปหาหลานสาวที่นั่งก้มหน้านิ่งไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตากับใครๆในห้อง บอกสั้นๆเพียงว่า
“หนูนิดไปพักเถอะลูก ค่ำๆค่อยลงมารับแขกกับหมอ เดี๋ยวย่าจะให้คนไปตาม”
“ค่ะ คุณย่า”
หลานสาวคุณนายลิ้นจี่รับคำอ้อมแอ้มก่อนจะขยับตัวลุกหนีไปด้วยท่าทีแข็งๆ หล่อนไม่พูดอะไรกับเขาสักคำ ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้า ท่าทีหล่อนเมินหมาง ดูก็รู้ว่าหล่อนไม่พอใจเขา ที่จริงหล่อนก็มีเหตุผลที่จะไม่พอใจ..ใครจะรู้..หล่อนอาจฝันใฝ่อยากจะเป็นเจ้าสาวของนายนรนนท์ รัตนเสวี มากกว่าที่จะเป็นเจ้าสาวของนายแพทย์ทิษณุ รัตนเสวี เจ้าบ่าวตัวสำรองคนนี้ก็ได้
++++++++++++++++++++++++
“พบหมอศิริราช..เป็นไงมั้ง”
อารตีทำหน้าทะเล้นใส่พี่สาวทันทีเมื่อร่างอ้อนแอ้นในชุดไทยสีหวานนั่นก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามา ที่จริงพริบดาวอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนักแต่หล่อนก็ยิ้มออกมาได้เพราะคำถามประโยคนั้นของน้องสาว...พบหมอศิริราช...นั่นเป็นชื่อรายการโทรทัศน์ที่เคยดังมากๆ ในอดีต มันไม่น่าจะกลายมาเป็นคำถามเอาได้ พริบดาวถอนหายใจเฮือกสารภาพความรู้สึกของตนเองออกไปตรงๆ
"หยิ่ง..ขี้เต๊ะ...ไม่ชอบหน้าเลย.."
"แต่หมอเขาก็หล่อนา..หนึ่งว่าเขาหล่อกว่าอีตาน้องชายจอมแสบนั่นอีก"
"อย่าไปพูดถึงคนๆนั้นเลย ซวย!"
พี่สาวเปรยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น หน้าสวยๆงอง้ำ ยังรู้สึกคับแค้นแน่นในหัวใจไม่หาย ผู้ชายคนนั้นสร้างความอับอายให้หล่อนอย่างเหลือแสน ถ้าเขาไม่อยากแต่งงานกับหล่อนเขาก็ไม่ควรจะปล่อยให้เรื่องราวมันเลยเถิดมาจนถึงป่านนี้
พริบดาวไม่ได้อาลัยอาวรณ์ในตัวผู้ชายคนนั้นนักหนา แต่หล่อนแค้นเขาถึงขนาด ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่มีวันให้อภัยเขาเด็ดขาด จะโกรธเขาแบบนี้ โกรธจนไม่ยอมมองหน้า ต่อให้เขาเป็นน้องชายของสามีก็เถอะ!
สามี !!!
เฮ้อ...
ผู้ชายขั้วโลกเหนือคนนั้น!
พริบดาวเห็นสายตาของเขาสุดแสนจะเย็นชา แต่จะโทษอะไรเขาได้ เขาก็ตกอยู่ในสภาพจำยอมเหมือนหล่อนถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งงานเพื่อกู้หน้า ที่มันแย่จนไม่รู้จะแย่อย่างไรก็คือผู้ชายคนนั้นเขามีคนรักอยู่แล้ว..มันไม่ยุติธรรมเลย..ไม่ว่าจะสำหรับใคร..เขา..แฟนของเขา..หรือแม้แต่ตัวพริบดาวเอง..ในสภาพนี้..พริบดาวนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าวันคืนข้างหน้าของหล่อนกับนายแพทย์หนุ่มคนนั้นมันจะดำเนินต่อไปอย่างไร
"หนึ่ง คืนนี้หนึ่งอย่าล็อคประตูห้องนะ"
"ทำไมหรือพี่หนูนิด สั่งห้ามล็อคประตูทำไม"
"ก็..เดี๋ยวคืนนี้ พี่จะไปนอนกะหนึ่ง"
"อ้าว..ก็คืนนี้ส่งตัวเข้าหอไม่ใช่หรือ อะไรกัน.. แล้วหมอเขาจะยอมหรือ.."
"ยอมไม่ยอมก็เรื่องของเขา ว่าแต่หนึ่งเถอะ ห้ามบอกคุณย่าเรื่องนี้นะ"
"หนึ่งน่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอก พี่หนูนิดไปเคลียร์กับหมอโน้นเถอะ ถ้าหากคืนนี้หมอไม่ยอม พี่หนูก็ออกจากห้องไม่ได้อยู่ดี" อารตีชี้แจงไปตามที่เห็นทำเอาผู้เป็นพี่สาวหน้างอขึ้นมาทันควัน
เขามีสิทธิ์อะไรที่จะไม่ยอม..ก็ในเมื่อเขาไม่ได้อยากแต่งงานกับหล่อน เขาไม่ได้รักหล่อนสักนิด แฟนก็มีแล้วอย่างนั้น ถ้าเขากล้านอกใจคนที่เขารักมาวุ่นวายกับหล่อน..พริบดาวจะขอตราหน้าว่าเขาเป็นผู้ชายที่ไร้จิตสำนึก..เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด! พริบดาวจะไม่มีวันปล่อยผ่านให้เขามาทำมักง่ายกับหล่อนเพียงเพราะทะเบียนสมรสใบเดียวนั่นแน่
++++++++++++++++++++++++++
โอชิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ม.ค. 2561, 15:09:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ต.ค. 2561, 15:40:58 น.
จำนวนการเข้าชม : 834
<< ตอนที่ 3. |