นาฏกรรมลวง: ขวัญของใจ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
แม้จะชินชากับกลิ่นโรงพยาบาลสักเพียงใด...ทว่ากลิ่นคละคลุ้งคาวเลือดในเศษเสี้ยวความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่อ ก็ได้ปลุกให้ ‘ขวัญ’ แพทย์หญิงชีวาภรณ์ ชิษณุพงศ์ ตื่นขึ้นมาพบกับวิญญาณของชายหนุ่มปริศนา ‘นิธิศ’

ขณะเดียวกันนาฏกรรมที่ใครสักคนอุปโลกน์ขึ้น กำลังนำไปสู่การไขปริศนาของความตายที่บังเอิญเกี่ยวพันกับความฝันแสนประหลาดของขวัญอย่างจงใจ และยิ่งขยับเข้าไปใกล้ทุกขมวดของปมมากเท่าไหร่ บ่วงที่ฆาตกรวางไว้ก็กำลังรอต้อนรับด้วยความตายมากเท่านั้น!

“ผมจะต้องกลับเข้าร่างให้ได้เร็วที่สุด” นิธิศพูดด้วยความมุ่งมั่น และนั่นก็ทำให้ฉันสลัดเอาความหวาดกลัวทั้งหลายออกไปจากใจ
“เราจะช่วยกันค่ะ ฉันจะช่วยเป็นมือทั้งสองข้างให้คุณเอง”
“ถ้าคุณอยากช่วยเป็นมือให้ผมจริงๆ ช่วยตอนนี้เลยได้ไหม ทำอะไรให้ผมสักอย่างสิ”
“คะ?” ฉันมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“ถ้ามือของคุณคือตัวแทนของมือผม คุณก็ช่วยกอดตัวเองหน่อยได้ไหม กอดตัวเองไว้ แล้วผมจะปลอบใจคุณเอง”


**************

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ขวัญของใจ" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบแนว Romantic Suspense มิควรพลาดจ้า #รับประกันว่าแหกกฎนิยายรักทุกเรื่องที่เคยมีมา เพราะนอกจากมีปมสืบสวนฆาตกรรมให้ตามติดแล้ว พระเอกของเราสายทะเล้น ตื๊อนางเอก และ...เป็นวิญญาณ พระรองก็เป็นวิญญาณ ส่วนนางเอกเป็นหมอผ่าศพ!


**************

นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ

**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com และร้าน booksforfun
-สั่งซื้อกับสนพ.โดยตรงโดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks


(หนังสือพร้อมส่ง)


ราคา 329฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 30฿ (รวมเป็น 359฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 389฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

**แบบ eBook มีวางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket**

Tags: สืบสวน ฆาตกรรม วิญญาณ ทะเล้น หมอ พยาบาล น่ารัก สยอง

ตอน: บทที่ 1 ชายแปลกหน้าที่มากับความมืด (100%)

ฉันจ้องหน้าหมอกานต์ตรงๆ อย่างลืมตัวเพราะอยากรู้ปฏิกิริยาของเขาว่าจะได้ยินเสียงของนิธิศเหมือนกันหรือไม่ หากแต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดทั้งสิ้น นั่นก็แปลง่ายๆ ว่ามีฉันคนเดียวที่สามารถมองเห็นและได้ยินคนที่กำลังยืนขวางประตูอยู่...ตรงนั้น...!

“คุณขวัญมีอะไรจะถามผมหรือเปล่าครับ” หมอกานต์เอ่ยทำลายความเงียบ สงสัยว่าฉันจะมองหน้าเขานานเกินไป

“อ๋อ คือว่าขวัญอยากรู้ว่าวันนี้มีอะไรที่ขวัญต้องทำบ้างคะ”

ฉันสลัดความกังวลใจทั้งหลายทั้งปวงออกไป คงไว้เพียงแต่ความกระตือรือร้นเท่านั้น

“ถ้าอย่างงั้นผมจะไปขอเคสสำหรับวันนี้มาให้นะครับ ที่นี่มีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่คนนึง”

“รบกวนด้วยนะคะคุณหมอ”

ฉันยิ้มส่งหมอกานต์ที่เปิดประตูออกไป เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้วจึงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และจ้องไปยังนิธิศที่เดินเข้ามานั่งแทนที่หมอกานต์

“หมอกานต์เขาชมคุณใหญ่เลยนะ แถมยังสงสัยคุณด้วย” นิธิศเริ่มเปิดประเด็น

“คุณหมายถึงอะไร”

“ก็หมายถึงความคิดของหมอกานต์ไง เขาบอกว่าคุณสวย น่ารัก ดูเป็นเวิร์กกิ้งวูแมน แต่ติดตรงที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เขาสงสัยคุณหน่อยๆ น่ะ เพราะคุณถามแปลกๆ แล้วก็ทำท่าทางแปลกๆ ใช่ไหม”

“นี่คุณอ่านใจทุกคนออกหมดเลยเหรอ” นี่ฉันไม่ได้หลุดเข้ามาอยู่ในภาพยนตร์เรื่องไหนหรอกใช่ไหม

“ใช่ครับ ตอนแรกผมก็คิดว่ามันเหมือนในหนังอยู่เหมือนกัน แต่ผมสามารถจ้องหน้าใครสักคนและรับรู้สิ่งที่คนๆ นั้นคิดอยู่ในใจได้ทั้งหมด”

“ให้ตายเถอะ ต่อไปก่อนฉันคิดอะไรต้องไม่คิดต่อหน้าคุณ อีกหน่อยความส่วนตัวของฉันมันคงจะกลายเป็นศูนย์ไปเลยละมั้ง”

“ไม่จำเป็นหรอกครับ” นิธิศส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะลุกยืนใช้สองมือเท้ากับโต๊ะทำงานและโน้มใบหน้าลงมาใกล้ฉัน

“เพราะผมมองดูคุณอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ”

“คุณ!” ฉันตั้งท่าจะวีนทว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาได้ยินเข้าพอดีจึงทำหน้าเหลอหลา

“ครับ”

“เปล่าค่ะหมอกานต์ ไหนคะ ขวัญขอดูงานวันนี้หน่อย” ฉันรีบส่ายหน้าให้หมอกานต์แต่ก็ลอบทำตาขวางใส่นิธิศ เดินเข้าไปหาหมอกานต์ที่ถือแฟ้มอะไรบางอย่างเข้ามาก่อนที่คุณหมอหนุ่มจะเริ่มอธิบายงานให้ฉันฟัง

“วันนี้โรงพยาบาลมีแค่เคสเดียวครับ คือเด็กที่สลับตัว”

“ยังไงคะ”

“เมื่อวานนี้มีคนไข้คลอดลูกสองคนครับ เวลาเดียวกัน และเกิดจากความผิดพลาดของโรงพยาบาลที่ไม่แน่ใจว่าจะสลับตัวทารกหรือเปล่า” หมอกานต์อธิบายพลางเดินเคียงคู่กับฉันตรงไปยังป้ายบอกแผนกกุมารเวช

“อ๋อ แบบนี้เราก็ต้องไปตรวจดีเอ็นเอของเด็กใช่ไหมคะ”

“ถูกต้องแล้วครับคุณขวัญ” หมอยิ้มก่อนจะเปิดประตูให้ฉันแทรกตัวเข้าไปในห้องที่มีทารกตัวน้อยนอนอยู่ในตู้อบสองตู้คู่กัน

ฉันเดินเข้าไปสำรวจเด็กแรกเกิดทั้งสองด้วยแรงดึงดูดบางอย่าง ทารกน้อยนอนหลับตาพริ้ม ตัวยังแดงๆ ทั้งคู่ ดูน่าทะนุถนอมเหมือนกันทั้งสองคน ไม่นานนักพยาบาลและกุมารแพทย์ก็เดินเข้ามาพูดคุยทักทายหมอกานต์แล้วจึงส่งยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร

“ผมจะรู้ไหมเนี่ย เด็กทั้งสองคนบริสุทธิ์มาก แทบจะไม่มีอะไรอยู่ในใจของเขาเลย” นิธิศพึมพำระหว่างเดินสำรวจไปรอบๆ ตู้อบของเด็กๆ

“คุณรู้หรือเปล่าว่าแม่เด็กอยู่ที่ไหน” เขาเงยหน้าขึ้นถามฉัน

‘จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ’ ฉันตอบกลับในใจ ไม่กล้าส่งเสียงเพราะกลัวคนอื่นจะหาว่าพูดบ้าอะไรอยู่คนเดียว

“สงสัยงานนี้ผมคงช่วยอะไรไม่ได้แล้วมั้ง งั้นก็แสดงฝีมือให้เต็มที่เลยนะคุณหมอ ผมเป็นกำลังใจให้”

‘ฉันไม่เคยหวังพึ่งคุณอยู่แล้วค่ะ’ ฉันส่งค้อนให้ท่าทีทะเล้นของเขาก่อนที่เสียงของหมอกานต์จะดึงให้ฉันหันไปให้ความสนใจ

“เด็กสองคนนี่แหละครับที่เป็นงานของเรา”

“เราได้เยื่อบุกระพุ้งแก้มของแม่เด็กและของเด็กทั้งสองมาแล้วนะคะ” กุมารแพทย์บอกก่อนส่งซองที่บรรจุหลอดแก้วเยื่อบุกระพุ้งแก้มให้หมอกานต์

“แบบนี้คงต้องใช้วิธีตรวจสกัดสารดีเอ็นเอจากนิวเคลียสของเซลล์เพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างบุคคล จะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นแม่เด็ก” ฉันพูดออกมาเบาๆ โดยอัตโนมัติ

“ใช่แล้วครับคุณขวัญ ไหนตอนแรกดูคุณไม่ค่อยมั่นใจแต่ตอนนี้ทำไมพูดทฤษฎีเป๊ะเลยล่ะครับเนี่ย” หมอกานต์ว่าพลางทำงานที่ได้รับมอบ หมายไปด้วยโดยมีฉันเป็นผู้ช่วยหยิบจับนู่นนี่อย่างคล่องแคล่ว

“มันติดอยู่ในหัวมั้งคะ อีกอย่างฉันก็เรียนภาควิชาพยาธิวิทยามานี่นา” ฉันยิ้มและรู้สึกดีมากที่สามารถช่วยเหลือหมอกานต์ได้อย่างถูกต้อง

ความเคยชินบางอย่างสั่งให้ฉันหยิบจับอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้อย่างรวดเร็วและมั่นใจ ทำให้การทำงานในวันนี้ไม่มีอะไรผิดพลาด

เราทั้งคู่ทำงานกันจนกระทั่งได้ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ เพราะ หลังจากนี้ต้องรออีกสามถึงเจ็ดวันกว่าที่บทสรุปของหนูน้อยทั้งสองจะออกมาว่าจะต้องเรียกผู้หญิงคนไหนว่าแม่กันแน่

“นี่ผมเพิ่งเคยเห็นการทำงานของหมอนิติเวชแบบจะๆ เลยนะเนี่ย” นิธิศปรบมือให้เมื่องานของฉันในวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่ฉันตอบอะไรเขาไม่ได้เพราะหมอกานต์เรียกไว้เสียก่อน

“วันนี้คุณขวัญเก่งมากครับ เรียนรู้ หยิบจับทุกอย่างได้รวดเร็วและถูกต้อง”

“ขอบคุณมากเลยค่ะหมอกานต์ แต่ถ้าไม่ได้หมอกานต์ ขวัญก็คงแย่อยู่เหมือนกัน”

“คุณขวัญน่ะเก่งอยู่แล้ว แต่ว่าพรุ่งนี้เหนื่อยกว่าวันนี้หน่อยนะครับ เพราะเป็นงานนอกสถานที่ ทางโรงพยาบาลปัวต้องประสานงานกับโรงพยาบาลตำรวจโดยตรง” สีหน้าหมอกานต์ดูเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาทันที

“มีอะไรหรือคะ” ฉันเลิกคิ้วในเชิงที่ขอให้เขาขยายความ นิธิศเองก็ขยับเข้ามาใกล้ฉันราวกับอยากรู้เรื่องนี้ด้วย

“เมื่อกี้ตอนที่กำลังทำงาน ผมเพิ่งได้รับโทรศํพท์ว่ามีคดีฆ่าข่มขืนเข้ามาครับ เหยื่อเสียชีวิต แต่น่าหดหู่ตรงที่เหยื่อเป็นผู้ชาย”

“เหยื่อเป็นผู้ชาย!? หมายความว่าผู้ชายถูกข่มขืนงั้นเหรอคะ” ฉันลอบกลืนน้ำลาย สังคมสมัยนี้อะไรๆ ก็วิปริตกันไปหมดแล้ว

“ใช่ครับ เหยื่อเป็นผู้ชายอายุสิบเจ็ด ถูกคนร้ายลวงไปข่มขืนกระทำชำเรา ตอนนี้ศพอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ หน้าที่ของเราคือการตรวจพิสูจน์ความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันระหว่างวัตถุพยานต่างๆ”

“แบบนี้ขวัญคงต้องขอไปดูที่เกิดเหตุ เพราะต้องตรวจสอบคราบเลือด คราบอสุจิ เส้นผม เส้นขน หรือไม่ก็พวกชิ้นส่วนเนื้อเยื่อที่อาจหลงเหลืออยู่”

“ทางตำรวจรวบรวมไว้ให้เราแล้วครับ ตอนแรกศพถูกส่งมารักษาที่นี่เพราะใกล้จุดเกิดเหตุที่สุดแล้ว แต่เครื่องมือมีไม่เพียงพอเลยต้องส่งไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลตำรวจ...สุดท้ายก็เสียชีวิตครับ ตอนนี้ทางนั้นรอให้เราไปพิสูจน์หาคนร้ายจากจำนวนผู้ต้องสงสัยทั้งสี่คนที่ตอนนี้ถูกกักตัวอยู่ที่สอนอ”

“ตกลงค่ะ เดี๋ยวขวัญจะถามทางจากพี่ณาและไปช่วยคุณหมอแต่เช้า” ฉันพยักหน้ารับอย่างเครียดๆ เพราะไม่คิดว่าจะเจองานใหญ่ตั้งแต่เริ่มต้นแบบนี้

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมมารับคุณขวัญเอง” หมอกานต์อาสาพร้อมกับปรับสีหน้าให้คลายความตึงเครียดลง

“ไม่ต้องลำบากย้อนไปย้อนมาหรอกค่ะ ขวัญเกรงใจ”

“คุณขวัญเพิ่งมาอยู่ใหม่ ยังไม่คุ้นชินกับถนนหนทางของที่นี่หรอกครับ ให้ผมไปรับดีที่สุดแล้ว ถ้ายังไงเจอกันพรุ่งนี้แปดโมงเช้าที่หน้าบ้านพี่ณานะครับคุณขวัญ” หมอกานต์ยิ้มตัดบทแล้วเดินหันหลังจากไปหลังจากที่ได้สรุปตารางชีวิตให้ฉันเสร็จสรรพโดยไม่เว้นที่เอาไว้ให้ปฏิเสธเลย

“แหม่! เร่งทำคะแนนน่าดู” นิธิศเบ้ปากขณะที่ยังมองตามหลังหมอกานต์ไปจนกระทั่งเขาลับสายตา

“ทำคะแนนอะไรล่ะ เขาแค่หวังดี”

“คิดแบบนั้นจริงๆ เหรอคุณหมอ ระวังจะปลื้มเขาโดยไม่รู้ตัว”

“แล้วมันเรื่องอะไรของคุณกันคะ คุณนิธิศ” ฉันส่งค้อนให้ก่อนจะเดินหนีพ่อวิญญาณจอมกวนกลับบ้านพัก แต่เขาก็ยังตามมากวนประสาทฉันตลอดทางที่เดินมา จนกระทั่งถึงบ้านนั่นแหละถึงยอมหายวับไป



*************



ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในบ้าน เสียงหน้าต่างชั้นล่างกระแทกปิดเองทีละบาน ทีละบานจนฉันสะดุ้ง

เพราะเป็นเวลาเย็นโพล้เพล้แล้วกอปรกับหน้าต่างถูกปิดหมดทั้งบ้านจึงมืดสลัวไปทั้งหลัง ฉันเหลียวซ้าย แลขวา มองหานิธิศด้วยคิดว่าเป็นฝีมือของเขาแต่ก็ไม่พบแม้เงา

“กลับบ้าน! กลับบ้าน!” เสียงตะคอกสั่งแบบเดียวกับเมื่อคืนดังก้องลั่นบ้าน ฉับพลันเหมือนมีแรงลมมหาศาลปะทะเข้ากับร่างของฉันจนหงายหลังล้มลงไปบนโซฟา

ฉันพยายามเด้งตัวลุกขึ้นแต่ก็เหมือนถูกนั่งทับเอาไว้ แขนขาขยับไม่ได้ แม้แต่จะส่งเสียงกรีดร้องก็ยังทำไม่ได้เลย คล้ายกับว่าเสียงมันถูกกักเอาไว้ตรงลำคอ

‘นิธิศ! คุณหรือเปล่า! อย่าแกล้งฉันแบบนี้นะ! ฉันไม่ชอบ มันไม่ตลกเลย’

ฉันหลับตาปี๋ตะโกนก้องอยู่ในใจ

“กลับบ้าน! ฉันบอกให้เธอกลับบ้าน!”

เสียงผู้ชายคนเดิมยังออกคำสั่งซ้ำๆ แต่ฉันไม่กล้าลืมตามองเขาเพราะหวาดกลัวต่อภาพที่จินตนาการเอาไว้ว่ามันต้องน่าสยดสยองเป็นแน่

“กลับบ้านเดี๋ยวนี้! กลับบ้านของเธอไปซะ!” น้ำเสียงนั้นดูแหบห้าวทรมาน และเต็มไปด้วยความต้องการอันแรงกล้า

แต่ฉันไม่รู้ ฉันจำไม่ได้ว่าที่ๆ ตัวเองจากมา หรือที่ๆ เขาเรียกว่าบ้าน มันคือที่ไหน ฉันมาจากที่ไหน ฉันไม่รู้!!

ฉันดิ้น ดิ้น แล้วก็ดิ้น พยายามอย่างยิ่งที่จะให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการราวเหล็กกล้านี้ แต่จนแล้วจนรอดฉันก็ทำไม่สำเร็จ จนกระทั่งรู้สึกเจ็บปวดปลาบที่บริเวณลำคอ ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป...



หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 มี.ค. 2561, 10:34:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 มี.ค. 2561, 10:34:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 721





<< บทที่ 1 ชายแปลกหน้าที่มากับความมืด (70%)   บทที่ 2 ผมที่ไม่ใช่ผม (50%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account