นาฏกรรมลวง: ขวัญของใจ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
แม้จะชินชากับกลิ่นโรงพยาบาลสักเพียงใด...ทว่ากลิ่นคละคลุ้งคาวเลือดในเศษเสี้ยวความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่อ ก็ได้ปลุกให้ ‘ขวัญ’ แพทย์หญิงชีวาภรณ์ ชิษณุพงศ์ ตื่นขึ้นมาพบกับวิญญาณของชายหนุ่มปริศนา ‘นิธิศ’
ขณะเดียวกันนาฏกรรมที่ใครสักคนอุปโลกน์ขึ้น กำลังนำไปสู่การไขปริศนาของความตายที่บังเอิญเกี่ยวพันกับความฝันแสนประหลาดของขวัญอย่างจงใจ และยิ่งขยับเข้าไปใกล้ทุกขมวดของปมมากเท่าไหร่ บ่วงที่ฆาตกรวางไว้ก็กำลังรอต้อนรับด้วยความตายมากเท่านั้น!
“ผมจะต้องกลับเข้าร่างให้ได้เร็วที่สุด” นิธิศพูดด้วยความมุ่งมั่น และนั่นก็ทำให้ฉันสลัดเอาความหวาดกลัวทั้งหลายออกไปจากใจ
“เราจะช่วยกันค่ะ ฉันจะช่วยเป็นมือทั้งสองข้างให้คุณเอง”
“ถ้าคุณอยากช่วยเป็นมือให้ผมจริงๆ ช่วยตอนนี้เลยได้ไหม ทำอะไรให้ผมสักอย่างสิ”
“คะ?” ฉันมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“ถ้ามือของคุณคือตัวแทนของมือผม คุณก็ช่วยกอดตัวเองหน่อยได้ไหม กอดตัวเองไว้ แล้วผมจะปลอบใจคุณเอง”
**************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ขวัญของใจ" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบแนว Romantic Suspense มิควรพลาดจ้า #รับประกันว่าแหกกฎนิยายรักทุกเรื่องที่เคยมีมา เพราะนอกจากมีปมสืบสวนฆาตกรรมให้ตามติดแล้ว พระเอกของเราสายทะเล้น ตื๊อนางเอก และ...เป็นวิญญาณ พระรองก็เป็นวิญญาณ ส่วนนางเอกเป็นหมอผ่าศพ!
**************
นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com และร้าน booksforfun
-สั่งซื้อกับสนพ.โดยตรงโดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
(หนังสือพร้อมส่ง)
ราคา 329฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 30฿ (รวมเป็น 359฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
**แบบ eBook มีวางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket**
ขณะเดียวกันนาฏกรรมที่ใครสักคนอุปโลกน์ขึ้น กำลังนำไปสู่การไขปริศนาของความตายที่บังเอิญเกี่ยวพันกับความฝันแสนประหลาดของขวัญอย่างจงใจ และยิ่งขยับเข้าไปใกล้ทุกขมวดของปมมากเท่าไหร่ บ่วงที่ฆาตกรวางไว้ก็กำลังรอต้อนรับด้วยความตายมากเท่านั้น!
“ผมจะต้องกลับเข้าร่างให้ได้เร็วที่สุด” นิธิศพูดด้วยความมุ่งมั่น และนั่นก็ทำให้ฉันสลัดเอาความหวาดกลัวทั้งหลายออกไปจากใจ
“เราจะช่วยกันค่ะ ฉันจะช่วยเป็นมือทั้งสองข้างให้คุณเอง”
“ถ้าคุณอยากช่วยเป็นมือให้ผมจริงๆ ช่วยตอนนี้เลยได้ไหม ทำอะไรให้ผมสักอย่างสิ”
“คะ?” ฉันมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“ถ้ามือของคุณคือตัวแทนของมือผม คุณก็ช่วยกอดตัวเองหน่อยได้ไหม กอดตัวเองไว้ แล้วผมจะปลอบใจคุณเอง”
**************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ขวัญของใจ" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบแนว Romantic Suspense มิควรพลาดจ้า #รับประกันว่าแหกกฎนิยายรักทุกเรื่องที่เคยมีมา เพราะนอกจากมีปมสืบสวนฆาตกรรมให้ตามติดแล้ว พระเอกของเราสายทะเล้น ตื๊อนางเอก และ...เป็นวิญญาณ พระรองก็เป็นวิญญาณ ส่วนนางเอกเป็นหมอผ่าศพ!
**************
นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com และร้าน booksforfun
-สั่งซื้อกับสนพ.โดยตรงโดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
(หนังสือพร้อมส่ง)
ราคา 329฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 30฿ (รวมเป็น 359฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
**แบบ eBook มีวางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket**
Tags: สืบสวน ฆาตกรรม วิญญาณ ทะเล้น หมอ พยาบาล น่ารัก สยอง
ตอน: บทที่ 3 ใกล้ชิดสนิทสนม (100%)
“ปลดปล่อยฉัน! ปลดปล่อยฉัน!”
ผู้หญิงคนหนึ่งแผดเสียงเป็นคำสั่งดังลั่นจนฉันต้องยกมือปิดหู หล่อนเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ใกล้เรื่อยๆ ฉันไม่แน่ใจว่ารู้จักกับหล่อนไหม แต่ที่เห็นคือหล่อนใส่เครื่องแบบของนางพยาบาล แต่...แต่เสื้อกับกระโปรงสีขาวของหล่อนเปื้อนฝุ่นขะมุกขะมอมจนไม่น่ามอง
“เธอเป็นใคร”
“ปลดปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ปลดปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!” หล่อนเดินเร็วๆ จน กระทั่งประชิดตัวฉันและนั่นทำให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดจนได้กลิ่นคาวคลุ้ง ดวงตาแดงก่ำมีแต่ความเกรี้ยวโกรธที่ฉายชัดออกมา ฉันพยายามถอยหลังและเบือนหน้าหนีแต่ก็ดูจะไม่เป็นผลเพราะหล่อนเอื้อมคว้าคางของฉันให้หันกลับมา
“แกกักขังฉัน!”
“ฉันไม่รู้เรื่อง ฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่รู้เรื่อง” ฉันส่ายหน้ารัวเร็ว น้ำตาแห่งความหวาดกลัวเริ่มเอ่อรินไหลนองสองแก้ม
“ปล่อยฉันออกไป! ได้ยินไหมว่าแกต้องปลดปล่อยฉัน!” หล่อนกรีดเสียงลั่น และเปลี่ยนจากการเชยคางของฉันมาเป็นบีบคอเอาไว้แทน
ฉันตกใจมากจึงพยายามดึงมือหล่อนออกแต่ดูเหมือนว่าแรงที่มีจะไม่ได้เศษเสี้ยวของหล่อนเลย หล่อนจ้องฉันด้วยดวงตาแห่งความอาฆาต แรงที่บีบตรงลำคอก็เหมือนจะเพิ่มอานุภาพขึ้นทุกที จนฉันเจ็บระบมไปทั่วลำคอ ฉันเริ่มหายใจไม่ออกจนรู้สึกได้เลยว่าดวงตาตัวเองกำลังเหลือกลานแทบจะถลนกระเด็น
ฉันกลัว...ฉันกลัว ฉันกำลังจะตาย!!!
“กรี๊ด!!!!!!!!!!!”
**************
“คุณขวัญ!”
“นิธิศ!” ฉันดีดตัวขึ้นนั่งพร้อมกับเรียกคนที่เห็นเป็นคนแรกเมื่อลืมตา เช่นเดียวกับนิธิศที่เรียกฉันก่อนอย่างตกใจเหมือนกัน เขานั่งอยู่ปลายเตียง สีหน้าไม่สู้ดี อาจเป็นเพราะอาการกรีดร้องราวคนเสียสติของฉัน
“คุณฝันร้าย?”
“ใช่ ฉันฝันร้าย” ฉันรีบพยักหน้ารัว เม็ดเหงื่อเกาะพราวเต็มใบหน้าและลำตัวคล้ายมีคนเอาน้ำมาสาด ภาพความฝันเมื่อครู่ยังติดตา สัมผัสที่สร้างความเจ็บปวดตรงลำคอคล้ายกับยังไม่จางไป
“ไม่เอาน่า มันก็แค่ฝัน”
“นอกจากอีกตัวตนของคุณแล้วยังมีผู้หญิงอีกคนที่อยากให้ฉันปลดปล่อยเธอ”
“เดี๋ยวนะ อีกตัวตนของผมมันหมายความว่ายังไง” นิธิศขยับเข้ามาใกล้ฉันอีกนิด ท่าทางเขาไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ฉันกำลังพูดสักเท่าไหร่เลย
“ก็คนนั้นไง ที่เสียงเหมือนคุณ แต่ไม่ใช่คุณ คนที่เขาชอบมาตะคอกให้ฉันกลับบ้าน ให้ฉันปลดปล่อย แล้วก็เคยทำร้ายฉันบนโซฟา แต่แล้วจู่ๆ ก็หายไป กลายเป็นคุณที่เป็นคุณคนนี้แทน”
“โอเค เรื่องนั้นปล่อยผ่านไปก่อน มาคุยเรื่องผู้หญิงอีกคนที่คุณว่าดีกว่า”
“ก็มาในลักษณะเดียวกัน แต่ดูโหดร้ายน้อยกว่า เคียดแค้นน้อยกว่าผู้ชายคนนั้นเฉยๆ”
“เธอบอกให้คุณกลับบ้านเหมือนกันเหรอ”
คิ้วหนาของนิธิศเริ่มขมวดเป็นปม
“เปล่า เธอแค่อยากให้ฉันปลดปล่อยเธอ แต่ฉันไม่รู้จะทำได้ยังไง ฉันไม่เคยขังใครไว้จริงๆ” ฉันยกมือปิดหน้าอย่างจนปัญญาพลางชันเข่าขึ้นมาตั้งชิดอก
“คุณเคยเห็นเธอมาก่อนไหม”
“ไม่ ฉันคิดว่าไม่เคย” ฉันหลับตา พยายามนึกหน้าผู้หญิงคนนั้น แต่ก็เลือนรางมาก อะไรกัน...นี่ฉันเพิ่งฝันถึงเธอไปเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้เอง ทำไมตอนนี้ถึงได้นึกหน้าผู้หญิงคนนั้นไม่ออกแล้ว
“นึกไม่ออกก็ไม่ต้องนึก อย่าไปคิดมากครับ บางทีมันอาจจะไม่มีอะไร คุณคงทำงานหนักมากไป พักผ่อนน้อย เลยจินตนาการไปเอง” นิธิศส่งยิ้มก่อนพูดต่อ
“ไม่มีอะไรมาทำร้ายคุณได้หรอก ตอนคุณหลับผมก็นั่งเฝ้าทุกคืนขนาดยุงจะกัด ผมยังส่งกระแสจิตไล่มันไปไกลๆ คุณเลยจะบอกให้ เห็นไหมครับคุณขวัญว่าผมน่ะแสนดีแค่ไหน”
“นิธิศ...ฉัน...ฉันอยากรู้ว่าฉันเป็นอะไรกันแน่ ทำไมมีแต่เรื่องบ้าๆ เกิดขึ้นกับฉัน”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นคุณขวัญ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องคิดมาก”
“ฉันสับสน มันเหมือนชีวิตฉันยุ่งเหยิงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป แถมฉันยังมองเห็นคุณได้ แล้วยังถูกอีกภาคหนึ่งของคุณทำร้าย ไหนจะยังมาฝันบ้าบออะไรนี่อีก นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
ฉันเริ่มโวยวาย น้ำตาคลอ เหตุใดมันถึงได้มืดมนและสับสนขนาดนี้
“ใจเย็นๆ ก่อนคุณขวัญ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาหาคำตอบกับเรื่องอะไรทั้งนั้น คุณควรนอนพักผ่อนได้แล้ว” นิธิศว่าพลางยื่นมือมาจะสัมผัสไหล่ข้างหนึ่งของฉัน แต่แล้วมันก็...วืด เพราะร่างกายเขาเป็นคล้ายอากาศที่จับต้องสิ่งใดไม่ได้ทั้งสิ้น ฉันเห็นแววตาเจ็บปวดของเขาฉายออกมาแม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนแปรเปลี่ยนมาเป็นแววตาขี้เล่นแบบปกติก็ตาม
“นิธิศ...”
ฉันเรียกชื่อเขาออกมาเพราะสงสารเขาจับใจ เขาจะทรมานแค่ไหนนะกับการจับต้องอะไรไม่ได้แบบนี้
“ผมไม่ทรมานหรอก เริ่มจะชินกับมันซะด้วยซ้ำ” เขาตอบในสิ่งที่ฉันนึกคิด
“ถ้าคุณเล่าเรื่องทั้งหมดที่คุณรู้ให้ฉันฟัง บางทีฉันอาจจะได้เบาะแสในการช่วยคุณ และสามารถทำให้คุณกลับเข้าร่างได้เร็วขึ้น”
“นี่รับปากจะช่วยผมแล้วหรือคุณหมอ”
“ใช่ค่ะ” ฉันพยักหน้าพร้อมกับมองไปที่เขาอย่างจริงใจ
“ทำไมล่ะ”
“เพราะคุณเป็นเพื่อนฉัน ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว”
นอกจากนิธิศแล้ว ฉันก็ไม่เคยคุยกับใครและรู้สึกถึงความสบายใจเท่าเขามาก่อน เขาเป็นคนเดียวที่ฉันสามารถบอกได้ทุกเรื่อง ลองคิดดูสิว่าถ้าหากฉันเดินไปปรึกษาพี่ณาหรือหมอกานต์เรื่องฝันร้ายและเคยถูกผีอำ คนเรียนหมอมาแบบนั้นจะเชื่อฉันไหม จะปลอบใจและไม่หาว่าฉันบ้าเหมือนนิธิศหรือเปล่า บางทีการมีเพื่อนเป็นวิญญาณมันก็ไม่เลวร้ายอะไรนักหรอก
“หมอขวัญ ผมรู้สึกได้นะว่าคุณน่ะเป็นเพื่อนผมมาก่อนที่เราจะรู้จักกันในฐานะที่ผมเป็นวิญญาณเสียอีก”
“ทำไมถึงรู้สึกแบบนั้นล่ะ”
“นอนก่อนสิ แล้วจะบอก” นิธิศตั้งข้อต่อรอง ฉันเบะปากให้เขานิดหน่อยก่อนจะเอนหลังลงนอนเหมือนเดิม แต่ยังมองเขาผ่านแสงสลัวของแสงจันทร์ที่ส่องลอดมาทางหน้าต่างที่ไม่ได้ปิดจึงทำให้เราเห็นหน้าของกันและกันแบบเลือนราง
“จะบอกได้หรือยัง”
“คุณว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถคุยกันได้อย่างไม่ต้องเกร็งหรือเกรงใจ ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงอาทิตย์” เขาเริ่มต้นอธิบาย นั่นจึงทำให้ฉันคิดตาม
“ตั้งแต่ที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง ผมก็ไม่เคยรู้สึกคุ้นเคยกับใครมาก่อนเลยเท่าคุณ คิดดูสิว่าทำไมคุณถึงเป็นคนเดียวที่เห็นผม”
“บางทีช่วงเวลาก่อนคุณจะกลายเป็นวิญญาณ เราอาจจะเคยเจอกัน หรือไม่ก็มีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ผูกเราเอาไว้ทำให้ฉันต้องเห็นคุณ”
“ก็อาจเป็นไปได้ แต่ตอนนี้คุณควรนอนซะคุณหมอ” นิธิศจ้องฉันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลุกไปนั่งบนเก้าอี้โต๊ะทำงานที่ตั้งติดริมหน้าต่าง แสงจันทร์ทำให้ฉันยิ่งมองเห็นเขาชัดเจน
“ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้จนกว่าคุณจะตื่น”
"ฉัน...” ฉันยังกังวลไม่กล้าหลับตาเพราะกลัวจะฝันร้ายอีก รวมไปถึงอีกหนึ่งใจก็กลัวว่าการอยู่กับนิธิศตามลำพัง อาจทำให้อีกตัวตนของเขาออกมาอาละวาดทำร้ายฉันก็เป็นได้
“นอนเถอะคุณหมอ ผมรับรองเลยว่าจะไม่มีอะไรมาทำร้ายคุณ”รอยยิ้มบางๆ ที่นิธิศส่งมาให้ เริ่มทำให้ฉันมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
“อย่าไปไหนนะ” ฉันเอ่ยขอออกไป การที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ ย่อมดีกว่าการที่ฉันต้องอยู่คนเดียว
“สัญญาครับ”
นิธิศแสร้งทำท่าตะเบ๊ะพลางส่งยิ้มมาให้ แลกกันกับรอยยิ้มของฉัน หลังจากนั้นไม่นานนักฉันก็หลับต่ออีกครั้งโดยไม่มีอาการฝันร้ายอีกเลย
การที่มีเขาอยู่ทำให้กลายเป็นการที่มีฉันอยู่ในสายตาของเขา...มันดีแบบนี้นี่เอง
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ผู้หญิงคนหนึ่งแผดเสียงเป็นคำสั่งดังลั่นจนฉันต้องยกมือปิดหู หล่อนเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ใกล้เรื่อยๆ ฉันไม่แน่ใจว่ารู้จักกับหล่อนไหม แต่ที่เห็นคือหล่อนใส่เครื่องแบบของนางพยาบาล แต่...แต่เสื้อกับกระโปรงสีขาวของหล่อนเปื้อนฝุ่นขะมุกขะมอมจนไม่น่ามอง
“เธอเป็นใคร”
“ปลดปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ปลดปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!” หล่อนเดินเร็วๆ จน กระทั่งประชิดตัวฉันและนั่นทำให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดจนได้กลิ่นคาวคลุ้ง ดวงตาแดงก่ำมีแต่ความเกรี้ยวโกรธที่ฉายชัดออกมา ฉันพยายามถอยหลังและเบือนหน้าหนีแต่ก็ดูจะไม่เป็นผลเพราะหล่อนเอื้อมคว้าคางของฉันให้หันกลับมา
“แกกักขังฉัน!”
“ฉันไม่รู้เรื่อง ฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่รู้เรื่อง” ฉันส่ายหน้ารัวเร็ว น้ำตาแห่งความหวาดกลัวเริ่มเอ่อรินไหลนองสองแก้ม
“ปล่อยฉันออกไป! ได้ยินไหมว่าแกต้องปลดปล่อยฉัน!” หล่อนกรีดเสียงลั่น และเปลี่ยนจากการเชยคางของฉันมาเป็นบีบคอเอาไว้แทน
ฉันตกใจมากจึงพยายามดึงมือหล่อนออกแต่ดูเหมือนว่าแรงที่มีจะไม่ได้เศษเสี้ยวของหล่อนเลย หล่อนจ้องฉันด้วยดวงตาแห่งความอาฆาต แรงที่บีบตรงลำคอก็เหมือนจะเพิ่มอานุภาพขึ้นทุกที จนฉันเจ็บระบมไปทั่วลำคอ ฉันเริ่มหายใจไม่ออกจนรู้สึกได้เลยว่าดวงตาตัวเองกำลังเหลือกลานแทบจะถลนกระเด็น
ฉันกลัว...ฉันกลัว ฉันกำลังจะตาย!!!
“กรี๊ด!!!!!!!!!!!”
**************
“คุณขวัญ!”
“นิธิศ!” ฉันดีดตัวขึ้นนั่งพร้อมกับเรียกคนที่เห็นเป็นคนแรกเมื่อลืมตา เช่นเดียวกับนิธิศที่เรียกฉันก่อนอย่างตกใจเหมือนกัน เขานั่งอยู่ปลายเตียง สีหน้าไม่สู้ดี อาจเป็นเพราะอาการกรีดร้องราวคนเสียสติของฉัน
“คุณฝันร้าย?”
“ใช่ ฉันฝันร้าย” ฉันรีบพยักหน้ารัว เม็ดเหงื่อเกาะพราวเต็มใบหน้าและลำตัวคล้ายมีคนเอาน้ำมาสาด ภาพความฝันเมื่อครู่ยังติดตา สัมผัสที่สร้างความเจ็บปวดตรงลำคอคล้ายกับยังไม่จางไป
“ไม่เอาน่า มันก็แค่ฝัน”
“นอกจากอีกตัวตนของคุณแล้วยังมีผู้หญิงอีกคนที่อยากให้ฉันปลดปล่อยเธอ”
“เดี๋ยวนะ อีกตัวตนของผมมันหมายความว่ายังไง” นิธิศขยับเข้ามาใกล้ฉันอีกนิด ท่าทางเขาไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ฉันกำลังพูดสักเท่าไหร่เลย
“ก็คนนั้นไง ที่เสียงเหมือนคุณ แต่ไม่ใช่คุณ คนที่เขาชอบมาตะคอกให้ฉันกลับบ้าน ให้ฉันปลดปล่อย แล้วก็เคยทำร้ายฉันบนโซฟา แต่แล้วจู่ๆ ก็หายไป กลายเป็นคุณที่เป็นคุณคนนี้แทน”
“โอเค เรื่องนั้นปล่อยผ่านไปก่อน มาคุยเรื่องผู้หญิงอีกคนที่คุณว่าดีกว่า”
“ก็มาในลักษณะเดียวกัน แต่ดูโหดร้ายน้อยกว่า เคียดแค้นน้อยกว่าผู้ชายคนนั้นเฉยๆ”
“เธอบอกให้คุณกลับบ้านเหมือนกันเหรอ”
คิ้วหนาของนิธิศเริ่มขมวดเป็นปม
“เปล่า เธอแค่อยากให้ฉันปลดปล่อยเธอ แต่ฉันไม่รู้จะทำได้ยังไง ฉันไม่เคยขังใครไว้จริงๆ” ฉันยกมือปิดหน้าอย่างจนปัญญาพลางชันเข่าขึ้นมาตั้งชิดอก
“คุณเคยเห็นเธอมาก่อนไหม”
“ไม่ ฉันคิดว่าไม่เคย” ฉันหลับตา พยายามนึกหน้าผู้หญิงคนนั้น แต่ก็เลือนรางมาก อะไรกัน...นี่ฉันเพิ่งฝันถึงเธอไปเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้เอง ทำไมตอนนี้ถึงได้นึกหน้าผู้หญิงคนนั้นไม่ออกแล้ว
“นึกไม่ออกก็ไม่ต้องนึก อย่าไปคิดมากครับ บางทีมันอาจจะไม่มีอะไร คุณคงทำงานหนักมากไป พักผ่อนน้อย เลยจินตนาการไปเอง” นิธิศส่งยิ้มก่อนพูดต่อ
“ไม่มีอะไรมาทำร้ายคุณได้หรอก ตอนคุณหลับผมก็นั่งเฝ้าทุกคืนขนาดยุงจะกัด ผมยังส่งกระแสจิตไล่มันไปไกลๆ คุณเลยจะบอกให้ เห็นไหมครับคุณขวัญว่าผมน่ะแสนดีแค่ไหน”
“นิธิศ...ฉัน...ฉันอยากรู้ว่าฉันเป็นอะไรกันแน่ ทำไมมีแต่เรื่องบ้าๆ เกิดขึ้นกับฉัน”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นคุณขวัญ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องคิดมาก”
“ฉันสับสน มันเหมือนชีวิตฉันยุ่งเหยิงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป แถมฉันยังมองเห็นคุณได้ แล้วยังถูกอีกภาคหนึ่งของคุณทำร้าย ไหนจะยังมาฝันบ้าบออะไรนี่อีก นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
ฉันเริ่มโวยวาย น้ำตาคลอ เหตุใดมันถึงได้มืดมนและสับสนขนาดนี้
“ใจเย็นๆ ก่อนคุณขวัญ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาหาคำตอบกับเรื่องอะไรทั้งนั้น คุณควรนอนพักผ่อนได้แล้ว” นิธิศว่าพลางยื่นมือมาจะสัมผัสไหล่ข้างหนึ่งของฉัน แต่แล้วมันก็...วืด เพราะร่างกายเขาเป็นคล้ายอากาศที่จับต้องสิ่งใดไม่ได้ทั้งสิ้น ฉันเห็นแววตาเจ็บปวดของเขาฉายออกมาแม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนแปรเปลี่ยนมาเป็นแววตาขี้เล่นแบบปกติก็ตาม
“นิธิศ...”
ฉันเรียกชื่อเขาออกมาเพราะสงสารเขาจับใจ เขาจะทรมานแค่ไหนนะกับการจับต้องอะไรไม่ได้แบบนี้
“ผมไม่ทรมานหรอก เริ่มจะชินกับมันซะด้วยซ้ำ” เขาตอบในสิ่งที่ฉันนึกคิด
“ถ้าคุณเล่าเรื่องทั้งหมดที่คุณรู้ให้ฉันฟัง บางทีฉันอาจจะได้เบาะแสในการช่วยคุณ และสามารถทำให้คุณกลับเข้าร่างได้เร็วขึ้น”
“นี่รับปากจะช่วยผมแล้วหรือคุณหมอ”
“ใช่ค่ะ” ฉันพยักหน้าพร้อมกับมองไปที่เขาอย่างจริงใจ
“ทำไมล่ะ”
“เพราะคุณเป็นเพื่อนฉัน ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว”
นอกจากนิธิศแล้ว ฉันก็ไม่เคยคุยกับใครและรู้สึกถึงความสบายใจเท่าเขามาก่อน เขาเป็นคนเดียวที่ฉันสามารถบอกได้ทุกเรื่อง ลองคิดดูสิว่าถ้าหากฉันเดินไปปรึกษาพี่ณาหรือหมอกานต์เรื่องฝันร้ายและเคยถูกผีอำ คนเรียนหมอมาแบบนั้นจะเชื่อฉันไหม จะปลอบใจและไม่หาว่าฉันบ้าเหมือนนิธิศหรือเปล่า บางทีการมีเพื่อนเป็นวิญญาณมันก็ไม่เลวร้ายอะไรนักหรอก
“หมอขวัญ ผมรู้สึกได้นะว่าคุณน่ะเป็นเพื่อนผมมาก่อนที่เราจะรู้จักกันในฐานะที่ผมเป็นวิญญาณเสียอีก”
“ทำไมถึงรู้สึกแบบนั้นล่ะ”
“นอนก่อนสิ แล้วจะบอก” นิธิศตั้งข้อต่อรอง ฉันเบะปากให้เขานิดหน่อยก่อนจะเอนหลังลงนอนเหมือนเดิม แต่ยังมองเขาผ่านแสงสลัวของแสงจันทร์ที่ส่องลอดมาทางหน้าต่างที่ไม่ได้ปิดจึงทำให้เราเห็นหน้าของกันและกันแบบเลือนราง
“จะบอกได้หรือยัง”
“คุณว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถคุยกันได้อย่างไม่ต้องเกร็งหรือเกรงใจ ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงอาทิตย์” เขาเริ่มต้นอธิบาย นั่นจึงทำให้ฉันคิดตาม
“ตั้งแต่ที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง ผมก็ไม่เคยรู้สึกคุ้นเคยกับใครมาก่อนเลยเท่าคุณ คิดดูสิว่าทำไมคุณถึงเป็นคนเดียวที่เห็นผม”
“บางทีช่วงเวลาก่อนคุณจะกลายเป็นวิญญาณ เราอาจจะเคยเจอกัน หรือไม่ก็มีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ผูกเราเอาไว้ทำให้ฉันต้องเห็นคุณ”
“ก็อาจเป็นไปได้ แต่ตอนนี้คุณควรนอนซะคุณหมอ” นิธิศจ้องฉันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลุกไปนั่งบนเก้าอี้โต๊ะทำงานที่ตั้งติดริมหน้าต่าง แสงจันทร์ทำให้ฉันยิ่งมองเห็นเขาชัดเจน
“ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้จนกว่าคุณจะตื่น”
"ฉัน...” ฉันยังกังวลไม่กล้าหลับตาเพราะกลัวจะฝันร้ายอีก รวมไปถึงอีกหนึ่งใจก็กลัวว่าการอยู่กับนิธิศตามลำพัง อาจทำให้อีกตัวตนของเขาออกมาอาละวาดทำร้ายฉันก็เป็นได้
“นอนเถอะคุณหมอ ผมรับรองเลยว่าจะไม่มีอะไรมาทำร้ายคุณ”รอยยิ้มบางๆ ที่นิธิศส่งมาให้ เริ่มทำให้ฉันมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
“อย่าไปไหนนะ” ฉันเอ่ยขอออกไป การที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ ย่อมดีกว่าการที่ฉันต้องอยู่คนเดียว
“สัญญาครับ”
นิธิศแสร้งทำท่าตะเบ๊ะพลางส่งยิ้มมาให้ แลกกันกับรอยยิ้มของฉัน หลังจากนั้นไม่นานนักฉันก็หลับต่ออีกครั้งโดยไม่มีอาการฝันร้ายอีกเลย
การที่มีเขาอยู่ทำให้กลายเป็นการที่มีฉันอยู่ในสายตาของเขา...มันดีแบบนี้นี่เอง
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 เม.ย. 2561, 08:09:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 เม.ย. 2561, 08:09:49 น.
จำนวนการเข้าชม : 630
<< บทที่ 3 ใกล้ชิดสนิทสนม (50%) | บทสัมภาษณ์นักเขียน 'ขวัญของใจ' >> |