นาฏกรรมลวง: ขวัญของใจ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
แม้จะชินชากับกลิ่นโรงพยาบาลสักเพียงใด...ทว่ากลิ่นคละคลุ้งคาวเลือดในเศษเสี้ยวความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่อ ก็ได้ปลุกให้ ‘ขวัญ’ แพทย์หญิงชีวาภรณ์ ชิษณุพงศ์ ตื่นขึ้นมาพบกับวิญญาณของชายหนุ่มปริศนา ‘นิธิศ’
ขณะเดียวกันนาฏกรรมที่ใครสักคนอุปโลกน์ขึ้น กำลังนำไปสู่การไขปริศนาของความตายที่บังเอิญเกี่ยวพันกับความฝันแสนประหลาดของขวัญอย่างจงใจ และยิ่งขยับเข้าไปใกล้ทุกขมวดของปมมากเท่าไหร่ บ่วงที่ฆาตกรวางไว้ก็กำลังรอต้อนรับด้วยความตายมากเท่านั้น!
“ผมจะต้องกลับเข้าร่างให้ได้เร็วที่สุด” นิธิศพูดด้วยความมุ่งมั่น และนั่นก็ทำให้ฉันสลัดเอาความหวาดกลัวทั้งหลายออกไปจากใจ
“เราจะช่วยกันค่ะ ฉันจะช่วยเป็นมือทั้งสองข้างให้คุณเอง”
“ถ้าคุณอยากช่วยเป็นมือให้ผมจริงๆ ช่วยตอนนี้เลยได้ไหม ทำอะไรให้ผมสักอย่างสิ”
“คะ?” ฉันมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“ถ้ามือของคุณคือตัวแทนของมือผม คุณก็ช่วยกอดตัวเองหน่อยได้ไหม กอดตัวเองไว้ แล้วผมจะปลอบใจคุณเอง”
**************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ขวัญของใจ" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบแนว Romantic Suspense มิควรพลาดจ้า #รับประกันว่าแหกกฎนิยายรักทุกเรื่องที่เคยมีมา เพราะนอกจากมีปมสืบสวนฆาตกรรมให้ตามติดแล้ว พระเอกของเราสายทะเล้น ตื๊อนางเอก และ...เป็นวิญญาณ พระรองก็เป็นวิญญาณ ส่วนนางเอกเป็นหมอผ่าศพ!
**************
นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com และร้าน booksforfun
-สั่งซื้อกับสนพ.โดยตรงโดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
(หนังสือพร้อมส่ง)
ราคา 329฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 30฿ (รวมเป็น 359฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
**แบบ eBook มีวางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket**
ขณะเดียวกันนาฏกรรมที่ใครสักคนอุปโลกน์ขึ้น กำลังนำไปสู่การไขปริศนาของความตายที่บังเอิญเกี่ยวพันกับความฝันแสนประหลาดของขวัญอย่างจงใจ และยิ่งขยับเข้าไปใกล้ทุกขมวดของปมมากเท่าไหร่ บ่วงที่ฆาตกรวางไว้ก็กำลังรอต้อนรับด้วยความตายมากเท่านั้น!
“ผมจะต้องกลับเข้าร่างให้ได้เร็วที่สุด” นิธิศพูดด้วยความมุ่งมั่น และนั่นก็ทำให้ฉันสลัดเอาความหวาดกลัวทั้งหลายออกไปจากใจ
“เราจะช่วยกันค่ะ ฉันจะช่วยเป็นมือทั้งสองข้างให้คุณเอง”
“ถ้าคุณอยากช่วยเป็นมือให้ผมจริงๆ ช่วยตอนนี้เลยได้ไหม ทำอะไรให้ผมสักอย่างสิ”
“คะ?” ฉันมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“ถ้ามือของคุณคือตัวแทนของมือผม คุณก็ช่วยกอดตัวเองหน่อยได้ไหม กอดตัวเองไว้ แล้วผมจะปลอบใจคุณเอง”
**************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ขวัญของใจ" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบแนว Romantic Suspense มิควรพลาดจ้า #รับประกันว่าแหกกฎนิยายรักทุกเรื่องที่เคยมีมา เพราะนอกจากมีปมสืบสวนฆาตกรรมให้ตามติดแล้ว พระเอกของเราสายทะเล้น ตื๊อนางเอก และ...เป็นวิญญาณ พระรองก็เป็นวิญญาณ ส่วนนางเอกเป็นหมอผ่าศพ!
**************
นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com และร้าน booksforfun
-สั่งซื้อกับสนพ.โดยตรงโดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
(หนังสือพร้อมส่ง)
ราคา 329฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 30฿ (รวมเป็น 359฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
**แบบ eBook มีวางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket**
Tags: สืบสวน ฆาตกรรม วิญญาณ ทะเล้น หมอ พยาบาล น่ารัก สยอง
ตอน: บทที่ 6 เป็นของผมไปก่อน (100%)
สองวันถัดมาเป็นวันที่หมอขวัญ หมอกานต์ และหมอนิ่ม ต้องเดิน ทางไปสัมมนาในหัวข้อ ‘ทวงคืนความยุติธรรมให้คนตาย’ ผมเองก็อยากฟังหัวข้อสัมมนานี้อยู่เหมือนกัน และไม่พลาดที่จะติดตามหมอขวัญไปทุกหนทุกแห่งราวกับเป็นเงา ก็อย่างที่ได้บอกไปแล้วครับว่าตอนนี้เธอจะเป็นของผมไปก่อน ฉะนั้นผมอยู่ในสถานะเจ้าของเธอ
“เราจะไปภูพยัคฆ์กันใช่ไหมคะหมอกานต์” หมอนิ่มชวนคุย
ความจริงเธอพยายามชวนหมอกานต์คุยมาตั้งแต่รถออกแล้วล่ะครับ แถมหัวข้อการสนทนาก็ผูกขาดเฉพาะเธอกับหมอกานต์สองคน ขณะที่หมอขวัญนั่งศึกษาบทบรรยายเกี่ยวกับงานสัมมนาเงียบๆ ไม่ได้สนใจหมอนิ่มแต่อย่างใด ผิดกับอีกฝ่ายที่ทำเหมือนกลัวหมอขวัญจะแย่งหมอกานต์ไปอย่างออกนอกหน้า
“ใช่ครับ คุณขวัญคงยังไม่เคยไปใช่ไหมครับ” และแล้วไอ้คุณหมอกานต์ก็ดึงผู้หญิงของผมเข้าไปร่วมวงสนทนาจนได้
“คะ? อ๋อ ยังไม่เคยไปค่ะ” หมอขวัญเงยหน้าขึ้นมาตอบแล้วก้มลงไปสนใจเอกสารในมือต่อ
ยอดเยี่ยมมากที่รัก!
“ภูพยัคฆ์เป็นสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง โครงการพระราชดำริเลยนะครับ ที่นั่นสวยมาก ตอนแรกชื่อว่าภูผายักษ์ เพราะบนยอดภูเป็นหินก้อนใหญ่ สวยมากๆ แต่ก่อนเป็นป่าดงดิบ ชาวบ้านแถบนั้นว่ากันว่าเคยเป็นดงเสือด้วย ก็เลยชื่อเพี้ยนมาเป็นภูพยัคฆ์ ที่แปลว่าเสือน่ะครับ”
หมอกานต์อธิบายต่อ ไม่ยักรู้ว่านอกจากจะเป็นหมอแล้วหมอนี่ยังเป็นไกด์อีกด้วย
“อ๋อ ค่ะ”
หมอขวัญพยักหน้าอีก...ส่วนหมอนิ่ม หน้างอไปแล้วเรียบร้อย
“ก่อนถูกพัฒนาที่นี่เคยเป็นที่ปลูกฝิ่นมาก่อนครับ แต่ว่าสมัยก่อนโน้นเคยเป็นสมรภูมิรบ ระหว่างทหารไทยกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ด้วย”
“จริงเหรอคะหมอกานต์” หมอนิ่มแทรกเข้าวงสนทนาแบบเนียนๆ ผมซึ่งเป็นผู้ชมก็ได้แต่มองขำๆ เพราะไม่ต่างจากดูการแสดงสด
“ใช่แล้วครับ” หมอที่แปลงร่างเป็นไกด์หันไปบอกก่อนจะพล่ามต่อ
“แต่ว่าปัจจุบันนี้ภูพยัคฆ์ได้เปลี่ยนจากสมรภูมิรบและแหล่งวางกับดักระเบิด มาเป็นสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ ที่พัฒนาให้ราษฎรชาวไทยภูเขามีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการฟื้นฟู พัฒนาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เป็นแหล่งต้นน้ำที่มีคุณภาพ และเป็นป่าที่สมบูรณ์ แถมยังพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สร้างงานสร้างรายได้ให้ราษฎรในพื้นที่ เป็นสถานีตัวอย่างในการขยายผลผลิตทางการเกษตรโดยเฉพาะพืชเมืองหนาวครับ”
“คุณหมอนี่รู้เยอะจังเลยนะคะ” หมอขวัญปิดเอกสารลง ดูจะไม่มีสมาธิอ่านเท่าไหร่ เพราะหมอกานต์ยังพล่ามไม่ยอมหยุด
“อ่านมาจากกูเกิ้ลน่ะครับ ผมก็เพิ่งจะเคยไปครั้งแรกเหมือนกัน” หมอกานต์ตอบยิ้มๆ
“โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าเซียนจังหวัดน่านซะอีก” หมอนิ่มทำเนียนอีกครั้งและคราวนี้ก็ทำซะเหมือนว่าหมอกานต์หยอกล้อกับตัวเองอยู่เลย
“นั่นสิคะ ที่แท้ก็มาจากกูเกิ้ลนี่เอง” หมอขวัญส่ายหน้าน้อยๆ แววตามีร่องรอยขบขัน จากนั้นหมอนิ่มก็ถามนู่นนี่หมอกานต์ยาวเหยียดเป็นมหากาพย์ ผูกขาดการสนทนาเช่นเคย ส่วนหมอขวัญก็ได้แต่มองคนสองคนคุยกัน
น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถอ่านใจเธอออกแล้ว ทำให้ไม่รู้แน่ชัดว่าเธอรู้สึกอย่างไรกันแน่ ครั้นจะถามก็จะกลายเป็นว่าผมบังคับให้หมอขวัญต้องพูดคนเดียว ทำให้ตอนนี้เราไม่สามารถคุยกันในใจได้อีกต่อไป
“ไม่มีเรื่องจะคุยกับเขาก็หลับตาซะ พักผ่อนๆ” ผมหันไปกระซิบ ซึ่งก็ได้ผลเพราะหมอขวัญถลึงตาใส่ แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ...
จู่ๆ รถตู้ของโรงพยาบาลที่มาส่งทุกคนก็ดับลงแบบไม่มีสาเหตุ
“รถเป็นอะไรครับ” หมอกานต์ที่นั่งเบาะถัดจากคนขับชะโงกหน้าไปถาม เมื่อเห็นว่าคนขับรถพยายามสตาร์ตรถเท่าไหร่ก็สตาร์ตไม่ติด
“ไม่รู้เหมือนกันครับคุณหมอ เดี๋ยวผมขอลงไปดูก่อนนะครับ” ว่าแล้วคนขับก็เดินลงไปดู หมอขวัญหันมาถามผมด้วยสายตาสงสัย ผมจึงตอบกลับไป
“เดี๋ยวลงไปดูให้ครับ”
ผมลงมาดูรถตามคนขับ ผมจึงเห็นเขาเปิดประโปรงรถเช็กนู่นนี่ แต่เท่าที่ดูทุกอย่างก็ปกติดี จนกระทั่งคนขับขึ้นมานั่งประจำที่และมองไปยังคอนโซลหน้ารถ เท่านั้นแหละผมก็เห็นความผิดปกติจนได้
“เอ่อ...คุณหมอกานต์ครับ ผมรู้แล้วครับว่ารถเป็นอะไร”
“เป็นอะไรคะลุง” หมอนิ่มรีบถาม
“น้ำมันหมดครับ ไม่รู้ว่าหมดได้ยังไง ผมว่าก่อนจะออกจากโรงพยาบาลก็เช็กดีแล้วนา”
“ถ้างั้นเราจะทำยังไงกันคะหมอกานต์ แถวนี้ไม่มีปั๊มเสียด้วย” หมอนิ่มหันรีหันขวาง เพราะข้างทางมีแต่ป่ากับป่า
“เดี๋ยวผมคงต้องโทร.ขอแรงเด็กๆ ให้มาช่วยหน่อย ขอโทษคุณหมอสามคนมากๆ เลยนะครับที่ทำให้เสียเวลา” ลุงคนขับกล่าวอีกที ใบหน้าแกซีดเสียจนผมโกรธไม่ลง
“ไม่เป็นไรครับลุง พวกเรารอได้ ถ้าจำไม่ผิดเดินไปทางข้างหน้าอีกนิดก็เป็นหลังวัดต้นทองหลางแล้ว เดี๋ยวระหว่างรอผมพาหมอนิ่มกับหมอขวัญไปทัวร์เสียหน่อย จะได้ไม่เบื่อ ดีไหมครับ” หมอกานต์หันมาถามความ เห็นสาวๆ บนรถ
“จริงสิคะ เราอ้อมมาทางหลังวัดต้นทองหลางนี่นา ดีเหมือนกันค่ะหมอกานต์ นิ่มไม่ได้มาไหว้พระที่นี่นานแล้ว” หมอนิ่มรีบตอบรับทันที
“วัดต้นทองหลาง...” หมอขวัญหันมามองผมโดยอัตโนมัติ จากนั้นเราสองคนก็กล่าวขึ้นมาพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย
“หลวงปู่เรือง!”
“ใช่แล้วครับ คุณขวัญรู้จักท่านด้วยเหรอ”
“พาขวัญไปที่นั่นทีค่ะ ขวัญอยากไป”
“ถ้าอย่างงั้นก็เชิญคุณหมอทั้งสองเลยครับ เดี๋ยววันนี้ผมจะอาสาเป็นไกด์ให้หนึ่งวัน” พูดจบหมอกานต์ก็เดินไปสั่งคนขับรถ
“ผมกับคุณนิ่ม คุณขวัญ จะรออยู่ที่วัดต้นทองหลางนะครับลุง ถ้าโอเคแล้วโทร.เข้าเบอร์ผมก็ได้ครับ”
“ครับๆ คุณหมอ ขอโทษอีกทีนะครับที่ทำให้เสียเวลา”
“อย่าคิดมากเลยค่ะคุณลุง บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาก็ได้” หมอขวัญพูดขึ้นพร้อมยิ้มให้ลุงคนขับรถบางๆ ท่ามกลางความไม่เข้าใจของหมอกานต์และหมอนิ่ม แต่ผมรู้ว่าเธอกำลังหมายถึงสิ่งใด
“ไปกันเถอะครับ” หมอกานต์เอ่ยชวน จากนั้นทั้งสามคน พ่วงด้วยวิญญาณอีกหนึ่งอย่างผม ก็เดินมุ่งหน้าไปยังวัดต้นทองหลางทันที
หลวงปู่เรืองครับ ผมกับหมอขวัญ กำลังจะไปกราบนมัสการแล้วนะครับ ถ้าหากหลวงปู่รู้วิธีที่จะช่วยเหลือเราสองคน ก็ช่วยปรากฏตัวด้วยเถอะครับ ผมยอมรับว่าจนปัญญา ไม่รู้หนทางที่จะกลับไปเป็นคนได้เหมือนเดิมแล้วจริงๆ
****************
พวกเราพากันเดินมาจนถึงด้านหลังวัดต้นทองหลาง เป็นรั้วไม้เก่าๆ ที่คุณหมอทั้งสามต้องลอดเข้าไป ทางเดินเข้าก็เต็มไปด้วยหญ้ารกชัฏจนผมนึกห่วงหมอขวัญว่าจะเจอสัตว์ร้ายเข้า แต่แล้วเราทั้งหมดก็สามารถเดินฝ่าหญ้าคันๆ พวกนั้นมาจนสำเร็จ
สิ่งก่อสร้างที่ดูจะโดดเด่นที่สุดของที่นี่คงหนีไม่พ้น วิหารทรงตะคุ่มหลังคาลาดต่ำซ้อนกันสามชั้น ลักษณะเดียวกับบ้านเรือนแบบเดิมของชาวไทลื้อแถบสิบสองปันนาที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือ
หมอกานต์พาเราทั้งหมดเดินเข้ามาในวิหาร ที่ตรงผนังเจาะทำเป็นช่องหน้าต่างเล็กๆ เพื่อป้องกันอากาศหนาวเย็น ประตูทางเข้าที่พวกเราเพิ่งเดินผ่านเข้ามานั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก อาจเป็นกุศโลบายของคนสร้างเพื่อให้แสงแรกของวันสาดส่องมาต้ององค์พระประธานซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ภายในวิหารแห่งนี้
หมอกานต์ หมอนิ่ม และหมอขวัญ จุดธูปกราบองค์พระประทาน บรรยากาศภายในนี้เงียบสงบ ไม่มีชาวบ้านคนอื่นๆ นอกจากพวกเรา ความสลัวและความสงบนิ่งทำให้ที่นี่เหมาะมากกับการน้อมจิตเข้าสู่สมาธิ
“หมอกานต์รู้ไหมคะว่าห้องน้ำไปทางไหน” จู่ๆ หมอนิ่มก็เอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ทุกคนกราบพระเสร็จแล้ว
“ไกลพอสมควรเลยนะครับ เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมพาไปดีกว่า”
หมอกานต์บอกแล้วจึงหันมาชวนหมอขวัญ
“ไปด้วยกันนะครับคุณขวัญ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เชิญหมอกานต์กับหมอนิ่มดีกว่า เดี๋ยวขวัญรออยู่ที่นี่”
“อยู่คนเดียวได้หรือครับ ผมว่าไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ที่นี่สงบมาก ขวัญอยากนั่งสมาธิ”
“นั่งสมาธิ?” หมอกานต์ทำหน้างุนงง
“อย่าขัดเธอเลยค่ะ นิ่มปวดฉี่จะแย่แล้ว เรารีบไปกันดีกว่า ปล่อยให้คุณขวัญอยู่ในสมาธิของเธอเถอะค่ะ อย่าไปรบกวนเลย” หมอนิ่มรีบตัดบทก่อนพยายามลากหมอกานต์ที่ยังดูอาลัยอาวรณ์ผู้หญิงของผมออกไปจากวิหารจนได้ และเมื่ออยู่กันตามลำพัง คุณขวัญจึงหันมาคุยกับผม
“เราจะเจอท่านไหมนิธิศ”
“ผมยังไม่เห็นใครเลยนะ ถ้าตอนเดินเข้ามาไม่เห็นพระสงฆ์ ผมคงคิดว่าที่นี่เป็นวัดร้างไปแล้ว”
“ต้องเป็นที่นี่แน่ๆ เพราะพี่ณาบอกว่าหลวงปู่เรืองเคยอยู่ที่วัดต้นทองหลาง ฉันไม่คิดว่าน่านจะมีวัดต้นทองหลางหลายที่หรอก”
“คุณพอจะจำได้ไหมว่าวันนั้นท่านบอกให้คุณทำอะไร”
ผมถาม หลังจากนั้นหมอขวัญก็นั่งนิ่ง...นึก
“เจริญวิปัสสนาสมาธิ และฝึกสติให้ครบถ้วนบริบูรณ์”
“ถ้างั้นเราลองนั่งสมาธิกันเถอะ”
“แล้วถ้าไม่เห็นท่านล่ะ”
“ไม่ลองก็ไม่รู้” ผมว่าการนั่งสมาธิ ถึงจะไม่ได้อะไร แต่อย่างน้อยเราก็ยังได้สมาธิ ได้ความสงบ ไม่เห็นหลวงปู่เรืองก็ไม่เป็นไรหรอก แค่มีโอกาสได้ทำตามคำแนะนำของท่านมันก็ดีแล้ว
หมอขวัญนั่งขัดสมาธิ โชคดีที่วันนี้เธอใส่กางเกงขายาวกับเสื้อเชิ้ตแบบเรียบๆ จึงไม่เป็นปัญหาต่อการนั่ง สองมือยกขึ้นประนมไว้ระหว่างอก จากนั้นหญิงสาวก็หลับตา
“ในภาวะที่ถูกเจ้ากรรมนายเวรของทั้งสองคนคอยตามติดอยู่เช่นนี้ ในภาวะที่ต้องชดใช้ผลแห่งกรรม หากเราทั้งสองยังพอมีความดีที่เคยได้กระทำหลงเหลืออยู่บ้าง ขอความดีส่วนนั้นจงดลบันดาลให้ได้พบกับหลวงปู่อีกครั้ง ขอให้เราเห็นหนทางที่จะทำให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม แม้จะไม่ทั้งหมด แต่ก็ขอให้เป็นวิธีที่จะทำให้กรรมที่มีทุเลาเบาบางลงบ้าง...ก็ยังดี” กล่าวจบหมอขวัญจึงปิดเปลือกตาลงพร้อมกับประสานสองมือไว้ที่หน้าตัก ปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ เช่นเดียวกันกับผมที่เริ่มดำดิ่งสู่ห้วงแห่งสมาธิ
รอบกายนิ่งสงัด ทุกสรรพสิ่งสงบนิ่ง ไม่ยลยินแม้เสียงลมแผ่วที่ผ่านพัด ลมหายใจยังคงครองอยู่ในสติที่ระลึกถึงการเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ...ระลึกรู้ทุกการเคลื่อนไหวของช่วงท้อง เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดก็ไม่รู้ จนกระทั่งเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นในโสตประสาท
“เจริญพรนะโยม ได้พบกันอีกครั้งแล้วสินะ”
**********
นาฏกรรมลวงวางจำหน่ายในรูปแบบ eBook แล้วนะคะ ที่เว็บ Mebmarket
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
“เราจะไปภูพยัคฆ์กันใช่ไหมคะหมอกานต์” หมอนิ่มชวนคุย
ความจริงเธอพยายามชวนหมอกานต์คุยมาตั้งแต่รถออกแล้วล่ะครับ แถมหัวข้อการสนทนาก็ผูกขาดเฉพาะเธอกับหมอกานต์สองคน ขณะที่หมอขวัญนั่งศึกษาบทบรรยายเกี่ยวกับงานสัมมนาเงียบๆ ไม่ได้สนใจหมอนิ่มแต่อย่างใด ผิดกับอีกฝ่ายที่ทำเหมือนกลัวหมอขวัญจะแย่งหมอกานต์ไปอย่างออกนอกหน้า
“ใช่ครับ คุณขวัญคงยังไม่เคยไปใช่ไหมครับ” และแล้วไอ้คุณหมอกานต์ก็ดึงผู้หญิงของผมเข้าไปร่วมวงสนทนาจนได้
“คะ? อ๋อ ยังไม่เคยไปค่ะ” หมอขวัญเงยหน้าขึ้นมาตอบแล้วก้มลงไปสนใจเอกสารในมือต่อ
ยอดเยี่ยมมากที่รัก!
“ภูพยัคฆ์เป็นสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง โครงการพระราชดำริเลยนะครับ ที่นั่นสวยมาก ตอนแรกชื่อว่าภูผายักษ์ เพราะบนยอดภูเป็นหินก้อนใหญ่ สวยมากๆ แต่ก่อนเป็นป่าดงดิบ ชาวบ้านแถบนั้นว่ากันว่าเคยเป็นดงเสือด้วย ก็เลยชื่อเพี้ยนมาเป็นภูพยัคฆ์ ที่แปลว่าเสือน่ะครับ”
หมอกานต์อธิบายต่อ ไม่ยักรู้ว่านอกจากจะเป็นหมอแล้วหมอนี่ยังเป็นไกด์อีกด้วย
“อ๋อ ค่ะ”
หมอขวัญพยักหน้าอีก...ส่วนหมอนิ่ม หน้างอไปแล้วเรียบร้อย
“ก่อนถูกพัฒนาที่นี่เคยเป็นที่ปลูกฝิ่นมาก่อนครับ แต่ว่าสมัยก่อนโน้นเคยเป็นสมรภูมิรบ ระหว่างทหารไทยกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ด้วย”
“จริงเหรอคะหมอกานต์” หมอนิ่มแทรกเข้าวงสนทนาแบบเนียนๆ ผมซึ่งเป็นผู้ชมก็ได้แต่มองขำๆ เพราะไม่ต่างจากดูการแสดงสด
“ใช่แล้วครับ” หมอที่แปลงร่างเป็นไกด์หันไปบอกก่อนจะพล่ามต่อ
“แต่ว่าปัจจุบันนี้ภูพยัคฆ์ได้เปลี่ยนจากสมรภูมิรบและแหล่งวางกับดักระเบิด มาเป็นสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ ที่พัฒนาให้ราษฎรชาวไทยภูเขามีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการฟื้นฟู พัฒนาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เป็นแหล่งต้นน้ำที่มีคุณภาพ และเป็นป่าที่สมบูรณ์ แถมยังพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สร้างงานสร้างรายได้ให้ราษฎรในพื้นที่ เป็นสถานีตัวอย่างในการขยายผลผลิตทางการเกษตรโดยเฉพาะพืชเมืองหนาวครับ”
“คุณหมอนี่รู้เยอะจังเลยนะคะ” หมอขวัญปิดเอกสารลง ดูจะไม่มีสมาธิอ่านเท่าไหร่ เพราะหมอกานต์ยังพล่ามไม่ยอมหยุด
“อ่านมาจากกูเกิ้ลน่ะครับ ผมก็เพิ่งจะเคยไปครั้งแรกเหมือนกัน” หมอกานต์ตอบยิ้มๆ
“โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าเซียนจังหวัดน่านซะอีก” หมอนิ่มทำเนียนอีกครั้งและคราวนี้ก็ทำซะเหมือนว่าหมอกานต์หยอกล้อกับตัวเองอยู่เลย
“นั่นสิคะ ที่แท้ก็มาจากกูเกิ้ลนี่เอง” หมอขวัญส่ายหน้าน้อยๆ แววตามีร่องรอยขบขัน จากนั้นหมอนิ่มก็ถามนู่นนี่หมอกานต์ยาวเหยียดเป็นมหากาพย์ ผูกขาดการสนทนาเช่นเคย ส่วนหมอขวัญก็ได้แต่มองคนสองคนคุยกัน
น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถอ่านใจเธอออกแล้ว ทำให้ไม่รู้แน่ชัดว่าเธอรู้สึกอย่างไรกันแน่ ครั้นจะถามก็จะกลายเป็นว่าผมบังคับให้หมอขวัญต้องพูดคนเดียว ทำให้ตอนนี้เราไม่สามารถคุยกันในใจได้อีกต่อไป
“ไม่มีเรื่องจะคุยกับเขาก็หลับตาซะ พักผ่อนๆ” ผมหันไปกระซิบ ซึ่งก็ได้ผลเพราะหมอขวัญถลึงตาใส่ แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ...
จู่ๆ รถตู้ของโรงพยาบาลที่มาส่งทุกคนก็ดับลงแบบไม่มีสาเหตุ
“รถเป็นอะไรครับ” หมอกานต์ที่นั่งเบาะถัดจากคนขับชะโงกหน้าไปถาม เมื่อเห็นว่าคนขับรถพยายามสตาร์ตรถเท่าไหร่ก็สตาร์ตไม่ติด
“ไม่รู้เหมือนกันครับคุณหมอ เดี๋ยวผมขอลงไปดูก่อนนะครับ” ว่าแล้วคนขับก็เดินลงไปดู หมอขวัญหันมาถามผมด้วยสายตาสงสัย ผมจึงตอบกลับไป
“เดี๋ยวลงไปดูให้ครับ”
ผมลงมาดูรถตามคนขับ ผมจึงเห็นเขาเปิดประโปรงรถเช็กนู่นนี่ แต่เท่าที่ดูทุกอย่างก็ปกติดี จนกระทั่งคนขับขึ้นมานั่งประจำที่และมองไปยังคอนโซลหน้ารถ เท่านั้นแหละผมก็เห็นความผิดปกติจนได้
“เอ่อ...คุณหมอกานต์ครับ ผมรู้แล้วครับว่ารถเป็นอะไร”
“เป็นอะไรคะลุง” หมอนิ่มรีบถาม
“น้ำมันหมดครับ ไม่รู้ว่าหมดได้ยังไง ผมว่าก่อนจะออกจากโรงพยาบาลก็เช็กดีแล้วนา”
“ถ้างั้นเราจะทำยังไงกันคะหมอกานต์ แถวนี้ไม่มีปั๊มเสียด้วย” หมอนิ่มหันรีหันขวาง เพราะข้างทางมีแต่ป่ากับป่า
“เดี๋ยวผมคงต้องโทร.ขอแรงเด็กๆ ให้มาช่วยหน่อย ขอโทษคุณหมอสามคนมากๆ เลยนะครับที่ทำให้เสียเวลา” ลุงคนขับกล่าวอีกที ใบหน้าแกซีดเสียจนผมโกรธไม่ลง
“ไม่เป็นไรครับลุง พวกเรารอได้ ถ้าจำไม่ผิดเดินไปทางข้างหน้าอีกนิดก็เป็นหลังวัดต้นทองหลางแล้ว เดี๋ยวระหว่างรอผมพาหมอนิ่มกับหมอขวัญไปทัวร์เสียหน่อย จะได้ไม่เบื่อ ดีไหมครับ” หมอกานต์หันมาถามความ เห็นสาวๆ บนรถ
“จริงสิคะ เราอ้อมมาทางหลังวัดต้นทองหลางนี่นา ดีเหมือนกันค่ะหมอกานต์ นิ่มไม่ได้มาไหว้พระที่นี่นานแล้ว” หมอนิ่มรีบตอบรับทันที
“วัดต้นทองหลาง...” หมอขวัญหันมามองผมโดยอัตโนมัติ จากนั้นเราสองคนก็กล่าวขึ้นมาพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย
“หลวงปู่เรือง!”
“ใช่แล้วครับ คุณขวัญรู้จักท่านด้วยเหรอ”
“พาขวัญไปที่นั่นทีค่ะ ขวัญอยากไป”
“ถ้าอย่างงั้นก็เชิญคุณหมอทั้งสองเลยครับ เดี๋ยววันนี้ผมจะอาสาเป็นไกด์ให้หนึ่งวัน” พูดจบหมอกานต์ก็เดินไปสั่งคนขับรถ
“ผมกับคุณนิ่ม คุณขวัญ จะรออยู่ที่วัดต้นทองหลางนะครับลุง ถ้าโอเคแล้วโทร.เข้าเบอร์ผมก็ได้ครับ”
“ครับๆ คุณหมอ ขอโทษอีกทีนะครับที่ทำให้เสียเวลา”
“อย่าคิดมากเลยค่ะคุณลุง บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาก็ได้” หมอขวัญพูดขึ้นพร้อมยิ้มให้ลุงคนขับรถบางๆ ท่ามกลางความไม่เข้าใจของหมอกานต์และหมอนิ่ม แต่ผมรู้ว่าเธอกำลังหมายถึงสิ่งใด
“ไปกันเถอะครับ” หมอกานต์เอ่ยชวน จากนั้นทั้งสามคน พ่วงด้วยวิญญาณอีกหนึ่งอย่างผม ก็เดินมุ่งหน้าไปยังวัดต้นทองหลางทันที
หลวงปู่เรืองครับ ผมกับหมอขวัญ กำลังจะไปกราบนมัสการแล้วนะครับ ถ้าหากหลวงปู่รู้วิธีที่จะช่วยเหลือเราสองคน ก็ช่วยปรากฏตัวด้วยเถอะครับ ผมยอมรับว่าจนปัญญา ไม่รู้หนทางที่จะกลับไปเป็นคนได้เหมือนเดิมแล้วจริงๆ
****************
พวกเราพากันเดินมาจนถึงด้านหลังวัดต้นทองหลาง เป็นรั้วไม้เก่าๆ ที่คุณหมอทั้งสามต้องลอดเข้าไป ทางเดินเข้าก็เต็มไปด้วยหญ้ารกชัฏจนผมนึกห่วงหมอขวัญว่าจะเจอสัตว์ร้ายเข้า แต่แล้วเราทั้งหมดก็สามารถเดินฝ่าหญ้าคันๆ พวกนั้นมาจนสำเร็จ
สิ่งก่อสร้างที่ดูจะโดดเด่นที่สุดของที่นี่คงหนีไม่พ้น วิหารทรงตะคุ่มหลังคาลาดต่ำซ้อนกันสามชั้น ลักษณะเดียวกับบ้านเรือนแบบเดิมของชาวไทลื้อแถบสิบสองปันนาที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือ
หมอกานต์พาเราทั้งหมดเดินเข้ามาในวิหาร ที่ตรงผนังเจาะทำเป็นช่องหน้าต่างเล็กๆ เพื่อป้องกันอากาศหนาวเย็น ประตูทางเข้าที่พวกเราเพิ่งเดินผ่านเข้ามานั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก อาจเป็นกุศโลบายของคนสร้างเพื่อให้แสงแรกของวันสาดส่องมาต้ององค์พระประธานซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ภายในวิหารแห่งนี้
หมอกานต์ หมอนิ่ม และหมอขวัญ จุดธูปกราบองค์พระประทาน บรรยากาศภายในนี้เงียบสงบ ไม่มีชาวบ้านคนอื่นๆ นอกจากพวกเรา ความสลัวและความสงบนิ่งทำให้ที่นี่เหมาะมากกับการน้อมจิตเข้าสู่สมาธิ
“หมอกานต์รู้ไหมคะว่าห้องน้ำไปทางไหน” จู่ๆ หมอนิ่มก็เอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ทุกคนกราบพระเสร็จแล้ว
“ไกลพอสมควรเลยนะครับ เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมพาไปดีกว่า”
หมอกานต์บอกแล้วจึงหันมาชวนหมอขวัญ
“ไปด้วยกันนะครับคุณขวัญ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เชิญหมอกานต์กับหมอนิ่มดีกว่า เดี๋ยวขวัญรออยู่ที่นี่”
“อยู่คนเดียวได้หรือครับ ผมว่าไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ที่นี่สงบมาก ขวัญอยากนั่งสมาธิ”
“นั่งสมาธิ?” หมอกานต์ทำหน้างุนงง
“อย่าขัดเธอเลยค่ะ นิ่มปวดฉี่จะแย่แล้ว เรารีบไปกันดีกว่า ปล่อยให้คุณขวัญอยู่ในสมาธิของเธอเถอะค่ะ อย่าไปรบกวนเลย” หมอนิ่มรีบตัดบทก่อนพยายามลากหมอกานต์ที่ยังดูอาลัยอาวรณ์ผู้หญิงของผมออกไปจากวิหารจนได้ และเมื่ออยู่กันตามลำพัง คุณขวัญจึงหันมาคุยกับผม
“เราจะเจอท่านไหมนิธิศ”
“ผมยังไม่เห็นใครเลยนะ ถ้าตอนเดินเข้ามาไม่เห็นพระสงฆ์ ผมคงคิดว่าที่นี่เป็นวัดร้างไปแล้ว”
“ต้องเป็นที่นี่แน่ๆ เพราะพี่ณาบอกว่าหลวงปู่เรืองเคยอยู่ที่วัดต้นทองหลาง ฉันไม่คิดว่าน่านจะมีวัดต้นทองหลางหลายที่หรอก”
“คุณพอจะจำได้ไหมว่าวันนั้นท่านบอกให้คุณทำอะไร”
ผมถาม หลังจากนั้นหมอขวัญก็นั่งนิ่ง...นึก
“เจริญวิปัสสนาสมาธิ และฝึกสติให้ครบถ้วนบริบูรณ์”
“ถ้างั้นเราลองนั่งสมาธิกันเถอะ”
“แล้วถ้าไม่เห็นท่านล่ะ”
“ไม่ลองก็ไม่รู้” ผมว่าการนั่งสมาธิ ถึงจะไม่ได้อะไร แต่อย่างน้อยเราก็ยังได้สมาธิ ได้ความสงบ ไม่เห็นหลวงปู่เรืองก็ไม่เป็นไรหรอก แค่มีโอกาสได้ทำตามคำแนะนำของท่านมันก็ดีแล้ว
หมอขวัญนั่งขัดสมาธิ โชคดีที่วันนี้เธอใส่กางเกงขายาวกับเสื้อเชิ้ตแบบเรียบๆ จึงไม่เป็นปัญหาต่อการนั่ง สองมือยกขึ้นประนมไว้ระหว่างอก จากนั้นหญิงสาวก็หลับตา
“ในภาวะที่ถูกเจ้ากรรมนายเวรของทั้งสองคนคอยตามติดอยู่เช่นนี้ ในภาวะที่ต้องชดใช้ผลแห่งกรรม หากเราทั้งสองยังพอมีความดีที่เคยได้กระทำหลงเหลืออยู่บ้าง ขอความดีส่วนนั้นจงดลบันดาลให้ได้พบกับหลวงปู่อีกครั้ง ขอให้เราเห็นหนทางที่จะทำให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม แม้จะไม่ทั้งหมด แต่ก็ขอให้เป็นวิธีที่จะทำให้กรรมที่มีทุเลาเบาบางลงบ้าง...ก็ยังดี” กล่าวจบหมอขวัญจึงปิดเปลือกตาลงพร้อมกับประสานสองมือไว้ที่หน้าตัก ปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ เช่นเดียวกันกับผมที่เริ่มดำดิ่งสู่ห้วงแห่งสมาธิ
รอบกายนิ่งสงัด ทุกสรรพสิ่งสงบนิ่ง ไม่ยลยินแม้เสียงลมแผ่วที่ผ่านพัด ลมหายใจยังคงครองอยู่ในสติที่ระลึกถึงการเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ...ระลึกรู้ทุกการเคลื่อนไหวของช่วงท้อง เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดก็ไม่รู้ จนกระทั่งเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นในโสตประสาท
“เจริญพรนะโยม ได้พบกันอีกครั้งแล้วสินะ”
**********
นาฏกรรมลวงวางจำหน่ายในรูปแบบ eBook แล้วนะคะ ที่เว็บ Mebmarket
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 พ.ค. 2561, 10:23:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 พ.ค. 2561, 10:23:49 น.
จำนวนการเข้าชม : 641
<< บทที่ 6 เป็นของผมไปก่อน (50%) | บทที่ 7 ภาพความฝัน (60%) >> |