ห้วงเสน่หา ปรารถนาแห่งหัวใจ
ความรักได้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าและความปรารถนาของหัวใจย่อมมาก่อน เสน่หา
และนั่นอาจจะเป้นการพลาดเมื่อเขา และเธอรู้จักรักที่แท้จริง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: คิดอกตัญญู

หลังจากงานศพของปู่ผ่านไป ย่าปรางดูแก่ลงไป เนื่องดูแลใกล้ชิดมากกว่าเดิม พ่อเนียมคือบทเรียน ที่ทำให้เขานึกโทษตัวเองที่ทำงานจนไม่ได้ดูสุขภาพของบิดา เพราะเขาคิดว่าถ้าเขาเอาใจใส่ท่านพาไปดูแลรักษา ท่านคงไม่จากไปปัจจุบันทันด่วน แต่ย่าเนียมให้กำลังใจลูกชายว่า
“อย่าโทษตัวเองเลยลูก ท่านหมดกรรม ท่านก็ไปตามทางของท่าน” ย่าพูดคล้ายเดาความทุกข์ของลูกได้
เนื่องเจียนหมากพลูให้มารดาอย่างที่เคยปฏิบัติ ป่านแก้วและเพื่อนนั่งท่องหนังสือกันข้างล่าง ย่าปรางมองไปที่ร่างเล็กๆของหลาน พลางนึกไปถึงบุษยากำลังตั้งครรภ์ บ้านนี้ยกให้เนื่อง บุษยากับลูกก็มีสิทธิ์เต็มที่ เจ้าป่านของท่านเล่า
“เมตตาหลานสักครึ่งของแม่ก็ยังดี”
“ทำไมต้องครึ่งล่ะครับผมก็ดูมันมาตั้งแต่เกิด ยังนึกเสียดายที่โตไม่ทันแม่ เจ้าป่าน ไม่งั้นมันต้องเป็นลูกผม”
“ประนาทผิดพ่อผิดแม่ คงเป็นเพราะถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก ป่านคงไม่ได้ที่ไร่ที่นาสักเท่าไหร่”
“ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมจะยกให้ป่านเท่ากับลูกผม”
“ว่างมั้ยเนื่อง” ท่านตัดสินใจบางอย่างลงไปอย่างเด็ดขาด
“ว่างครับแม่”
“ไปบ้านกำนันกับแม่”
“ไปทำไมครับ”
“อยากทำอะไรให้มันเสร็จสิ้นตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่”
“แม่อย่าพูดอย่างนี้ครับผม ใจไม่ดี” เนื่องทำท่าทางราวกับเป็นเด็กเล็กๆ ต้องพลัดจากอกของมารดา เขารู้สึกอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก เมื่อคิดว่าหากร่างหญิงชรานี้จะไม่มีตัวตนให้เขาได้เห็นอีก
“ปู่สั่งเสียไว้ก่อนตายว่าให้แบ่งเงินในธนาคารให้ป่านกับลูกทุกคน แต่ให้ป่านครึ่งหนึ่ง เนื่องจะว่าอะไรมั้ย ถ้าขัดข้องแม่จะทำให้ใหม่”
“ไม่หรอกครับแม่ พ่อคงคิดดีแล้ว ตามใจพ่อเถอะครับ ส่วนเรื่องทำพินัยกรรม ผมทำตามทุกอย่างที่แม่ให้ทำครับ” เนื่องพูดอย่างจริงใจ เขารักและเมตตาป่านแก้วไม่น้อยไปจากมารดาหรอก ไม่เคยคิดผลักไสเด็กหญิงแม้สักแวบในห้วงแห่งความคิด
ในเวลาต่อมา
ย่าปรางโอนเงินครึ่งหนึ่งในบัญชีให้ป่านแก้ว และทำพินัยกรรม จนกว่าป่านแก้วจะบรรลุนิติภาวะ จึงจะสามารถนำเงินก้อนออกมาใช้ได้ ส่วนดอกเบี้ยนั้นสามารถนำมาใช้ได้ตามที่เด็กหญิงปรารถนา และหากเด็กหญิงมีอันเป็นไปก่อนบรรลุนิติภาวะ ให้เนื่องเป็นผู้จัดการตามเห็นสมควร ย่าปรางวางใจในความดีของลูกชายคนเล็กว่ามีน้ำใจอันประเสริฐไม่ผิดแผกจากพ่อและแม่สักนิดเดียว
อีกสามเดือนต่อมาลูกทุกคนจึงมารับเงินมรดก ย่าปรางเอ่ยนำออกมาว่า
“ในตัวฉันไม่มีอะไรจะให้พวกแกอีแล้ว ที่ทำอย่างนี้เพราะไม่อยากให้มีปัญหาเวลาฉันตายไป” ย่าปรางมอบเช็ดเงินสดให้ลูกทั้งสามคน
ประณตขยับแว่นตาดูตัวเลขในบัญชีที่ได้รับ แม้จะมากจนใช้ไม่หมด แต่ก็น่าจะน้อยกว่าที่รู้มา เขามองประนาทและเนื่องอย่างหวาดระแวง เพราะในบรรดาลูกของย่าแล้ว เขาคิดว่าตนเองเป็นคนอาภัพ ที่ไม่ได้อยู่เฝ้าสมบัติอย่างใกล้ชิดเท่าน้องชายคนเล็ก
ท่าทีระแวงของพี่ชายคนรอง ทำให้น้องคนสุดท้องกางเช็ดให้ดูตัวเลขอย่างไม่ค่อยพอใจ พลางคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่า อย่างประณตไม่น่าจะได้สมบัติเท่าเขาเสียด้วยซ้ำ เพราะประณตไม่เคยดูแล พ่อ แม่ แต่งงานไปแล้ว นับวันมาเยี่ยมบ้านได้ไม่เกินสามครั้งในเวลาสิบปี และทุกครั้งที่มา คือเรื่องการเงิน
ย่าปรางเห็นท่าทีของลูกแต่ละคนแล้วทำให้เปิดปากออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า
“มีปัญหาอะไรก็พูดต่อหน้าแม่ อย่าทะเลาะกันลับหลัง”
“ผม พอทราบว่าคุณพ่อมีบัญชีอยู่บ้างเอ่อ เงินส่วนนั้นคุณแม่รับโอนไปหรือว่าใครได้รับละครับ” ประณตพูดไม่เต็มเสียง เพราะยังกริ่งเกรงอยู่บ้าง
“เป็นบัญชีเดียวกับแม่มาหลายปีแล้ว พ่อเจ้าสั่งให้ยกให้กับป่านครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งให้แบ่งให้พวกแกสามคน”
แต่ประณตขบกรามแน่นก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นระงับอารมณ์ไม่ค่อยได้
“ป่านมีศักดิ์เป็นหลานเท่ากับลูกผมอีกสามคน” เขาอ้างเหตุผล “ทำไมลูกผมซึ่งเป็นหลานถึงไม่ได้ล่ะครับ”
“คุณพ่อคงเห็นสมควร” ประนาทว่า
“ป่านเป็นลูกที่นาทนี่ครับ เพราะพี่มีแต่ได้กับได้”
“ไอ้ณต” ประนาทโมโหจนเลือนขึ้นหน้า ตะคอกน้องคนรองเสียงดัง “แกจะเอาไง”
ย่าปรางตบโต๊ะปังผุดลุกจากเก้าอี้ ชี้ผมบนหัวของตัวเอง ด้วยความโทสะ
“หัวหงอกนั่งอยู่ตรงนี้ ยังไม่ตาย แกจะฆ่ากันก่อนที่แม่จะตายหรือไง”
ทั้งสองเงียบเสียงฉับพลัน ก่อนเบือนหน้าไปคนละทาง เนื่องอดสูใจยิ่ง และคิดว่า ด้วยเหตุผลนี้เองที่มารดาของเขาจึงได้ พินัยกรรมไว้ให้ป่าน และให้เขาซึ่งเป็นอาเป็นผู้ดูแลแลทรัพย์สิน แทนประนาทผู้ให้กำเนิดของป่านแก้วเอง
“ปู่ได้ตัดสินใจมาดีแล้วที่ให้เจ้าป่าน เพราะเขาคงรู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้ามันจะพึ่งพ่อมันไม่ได้”
ประณตเหยียดยิ้มดูแคลนพี่ชาย ประนาทคันเท้าอยากเตะอีกฝ่ายให้ร่วงจากเก้าอี้เสียเดี๋ยวนั้น
“พวกแกคงลืมไปว่าเจ้าป่านเป็นหลานคนเดียวที่ไหว้ปู่ ดูแลให้ปู่ได้ยิ้มอยู่ทุกวัน”
ครานี้พี่คนโตวางท่าใส่น้องคนรองให้ต้องก้มหน้าลงมองพื้น เพราะเขาเองไม่เคยพาลูกสามคนมากราบไหว้ผู้เป็นบิดา
ย่าปรางเอ่ยสืบต่อ
“ ความจริงแล้วฉันมีสิทธิ์ที่จะไม่แบ่งเงินให้แกสองคนก็ได้นะประนาท ประณต เพราะพวกแกไม่เคยได้ตอบแทนบุญคุณอะไรพ่อแม่สักนิดเดียว”ใบหน้าชรามีแววเยาะหยันและเจ็บปวดระคนกัน
“สองพี่น้องไม่เดือดร้อนก็ไม่มาหาพ่อแม่ เงินในธนาคารห้าหกปีหลังมานี้ เนื่องเป็นคนนำเข้าไปกว่าครึ่ง และแม่ไม่เห็นมันไม่เห็นพูดสักคำว่ายุติธรรมสำหรับมันหรือเปล่า ทั้งที่ทำงานหลังขดหลังแข็ง”
“เครื่องทองของคุณแม่คงจะเป็นของป่านอีก อย่างนั้นใช่มั้ยครับ”ประณต ประชด
ย่าปรางสะเทือนใจจนรู้สึกเจ็บจุกในช่องอก ท่านได้รู้ได้เห็นมาแต่ต้นว่าประณตเป็น ลูกช่างอิจฉามาแต่เด็ก แต่ไม่คิดว่าจะเป็นมากขนาดนี้
เนื่องอดปากไม่อยู่จึงปรามพี่ชายเสียงแข็ง
“พอได้มั้ยครับพี่ณต ผมไม่คิดเลยว่าพี่จะอยากได้อยากมีถึงขนาดนี้”
“แกมันพูดเพราะเฝ้าสมบัติอยู่นี่” ประณตต่อว่าน้องชาย แสดงความเห็นแก่ตัวออกมาอย่างร้ายกาจ
ย่าปรางรู้สึกชาไปทั้งตัว ทรุดตัวอย่างทรงตัวไม่อยู่ เนื่องจับมือเย็นเยียบของมารดากุมแน่น เขย่าเรียกอย่างห่วงใย
“คุณแม่เป็นอะไรครับ” เขาสั่งพี่สองคน “แม่เป็นลมไปแล้วเร็วพี่เอายาดมมา”
ประนาทกระโจนหาเชี่ยนหมากรื้อหายาดมโดยเร็ว ประณตทำอะไรไม่ถูก แต่สุดท้ายยกมือไหว้มารดาแล้วลากลับทันที เมื่อพี่คนรองไม่ดูดำดูดีมารดาเนื่องด่าลั่น
“ณต คนเห็นแก่ตัว”
“มึงไปตายซะไป๊ ได้เดรัจฉาน”ประนาทถีบใส่น้องชายซึ่งกระโจนหนีลงบันไดไม่นับขั้น ไม่สำนึกถึงความกตัญญูต่อบุพการี สมกับคำที่พี่ชายด่าว่าเขาเป็นเดรัจฉานไม่มีผิด
ประณตเข้ารถเก๋งปิดประตูดังปัง สุขฤทัยรีบกระโจนขึ้นรถของสามี เธอไม่ได้ขึ้นไปข้างบนจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง จึงเอ่ยปากถามสามีเพราะสีหน้าเคร่งเครียด และเสียงกล่นด่าของประนาทตามมาไม่หยุด
“มีอะไรคะณต”
“คุณแม่ยกเงินให้นังป่านครึ่งหนึ่ง อีกครั้งให้มาแบ่งกันสามคน”
“ท่านลำเอียงท่านไม่รักคุณเลย เห็นมั้ยฤทัยว่าแล้ว”
“คุณพูดถูกมาตลอด ผมพึ่งรู้ในวันนี้ คอยดูใจผมบ้างผมจะไม่มาอีกใครจะเป็นจะตายก็ช่าง”
ประณตอาฆาต ‘ใครที่เขากำลังโกรธ คือมารดาผู้ให้กำเนิด’ ผู้เลี้ยงดูส่งเสียในเรียนสูง ปลูกเรือนหอราคานับล้านให้อยู่ เงินในเช็คที่พึ่งจ่ายหลายล้านบาทเป็นผู้ที่เขากล่าวหาว่าไม่ได้ให้อะไรกับเขาเลย!! อนิจจา มนุษย์ผู้มีแต่ความอกตัญญูจะคิดเช่นนี้เสมอ
เรวดีอุ้มลูกรออยู่ที่แคร่ปีกไม้ เห็นประนาทอุ้มมารดาลงจากบันได นางยังมีน้ำใจถามบ้างว่า
“คุณแม่เป็นอะไรคะ”
“ท่านช็อก คุณคอยอยู่ที่นี่หรือจะไปโรงพยาบาลด้วย”
“ไปค่ะไปด้วย”
เรวดีเคยนึกแช่งให้แม่สามีตายเร็วเพื่อจะได้แบ่งมรดก แต่พอเห็นใบหน้าซีดไร้สีเลือดของท่านในยามนี้ เรวดีกลับรู้สึกผิดไม่น้อยที่แช่งชักหักกระดูกท่าน
เนื่องกอดมารดาอยู่หลังรถบีบนวดไปตลอดทาง ประนาทเหยียบคันเร่งเกือบมิดบีบแตรไล่รถทุกคันที่ขวางหน้า
“ห่าพ่อมึงเป็นเจ้าของถนนหรือไง” เขาบีบแตรรถยนต์คัดหน้าที่ขับส่ายไปมา
“เดี๋ยวยิงแม่งเลย” เขาควานหาปืนโดยใช้มืออีกข้างว่างจับพวงมาลัย
“อยากตายมั้ย” เขาหักพวงมาลัยเทียบชูปืนหรา เจ้าตัวขวางถนนรีบหลบทางให้แต่โดยดี เรวดีกระซิบถามสามีถึงเรื่องที่เกิดขั้นก่อนหน้าย่าปรางจะช็อค
“ท่าทางคุณประณตโกรธจัด”
“ถ้าคุณแม่ตายก็เป็นเพราะมัน เงินทองก็ได้เท่ากันทุกคนยังจะเอาเครื่องทองหยองของคุณแม่อีก”
“เมียเขาคงอยากได้” เรวดียุส่งไปอีกแรง “แล้วได้เท่าไหร่ล่ะคะเขาถึงไม่พอใจ”
ความจริงอยากรู้เหมือนกันว่าได้เท่าไร สามีบอกจำนวนไม่ปิดบัง
“คุณพ่อมีมากกว่านี้นี่คะ” เรวดีเข้าใจว่าเนื่องซึ่งเป็นคนใกล้ชิดจะยักยอกไปกว่าครึ่ง
“คุณพ่อให้ป่านครึ่งหนึ่ง” ประนาทตอบภรรยาด้วยท่าทีสีหน้าและน้ำเสียงยินดีอย่างเห็นได้ชัด
เรวดีเข้าใจในทันทีว่าประณตโมโหโกรธเพราะอะไร ตัวเธอเองก็แอบไม่พอใจเช่นกัน
ปู่เนียมและย่าปรางทำราวกับว่าหลานมีเพียงคนเดียว อะไรก็ป่านแล้ว ป่านแก้ว เกลียดจริงๆนั่งป่านคนนี้
บุษยาจูงมือบุตรถือกระเป๋าใส่ผ้าคล้ายจะมาเฝ้าไข้ ไหว้พี่สามีและพี่สะใภ้สามีอย่างคนพึ่งเห็นกันในวันนี้ ป่านแก้วมิได้ใกล้ชิดบิดาดังแต่ก่อน ประนาทก็ไม่ได้เห็นว่าผิดปกติ เรวดีถามอีกฝ่ายถึงเรื่องอายุครรภ์ บุษยาตอบ เรวดีเอ่ยเปรยๆว่า
“หลานคุณแม่เหมือนกันท่าทางจะเป็นคนเล็กนะ”
บุษยายิ้มเรื่อยไม่ทันถามความหมายลึกในคำพูดพี่สะใภ้ เรวดีนึกหยันในความโง่เง่าของอีกฝ่าย โดยไม่ได้คิดในแง่ที่ว่าบางคนเกิดมาไม่ได้เพื่อจ้องแอบโกยแต่ประการเดียว เมื่อเรวดีพูดกับสะใภ้ด้วยกันเห็นจะไม่รู้เรื่อง จึงหันไปทางลูกเลี้ยงเอ่ยว่า
“ไงป่าน เป็นเศรษฐีและนะเราได้เงินเยอะกว่าคุณพ่ออีกนะแหม น้องคนอื่นๆ ไม่โชคดีเหมือนป่านสักคน”
ป่านแก้วปิดปากสนิท กระตุกมืออาสะใภ้เชิงให้ไปหาย่าปราง ประนาทเอ่ยเบาแต่ห้วนกับภรรยา
“ทำไมต้องพูดอย่างนี้คุณเร”
“พูดอะไรคะอ๋อ พูดความจริงน่ะหรือ แหมก็ดีใจไปกับลูกเราไงคะ” นางกลบเกลื่อนไปอีกทางหนึ่ง ประนาทคร้านจะต่อความยาว
“เออคุณนาท” คล้ายฉุกคิดอะไรบางอย่างรีบพูดโดยเร็ว “ยายป่านเป็นลูกเรานะคะให้อยู่กับน้องคุณได้ยังไงอย่างนี้ ก็หมดกันน่ะสิ”
“คุณนี่น่าจะผ่าสมองแล้วลากงูกับไก่ตัวออกมาซะแล้วนะ” ท่าทางประนาทเริ่มโกรธขึ้นมาบ้างหลังใจเย็นอยู่นาน
“งูอะไรไก่อะไร” เรวดีแว้ดใส่เมื่อประนาทพูดรุนแรงกับนางจนรับไม่ได้
“งูกับไก่ มาเจอกัน ผสมคำได้คำว่า งกไง จำไว้นะเร ถ้าคุณยังขืนไม่เปลี่ยนนิสัยอย่างนี้ ระวังเถอะจะหาคนมาช่วยผลาญอีกคน ไปยายปิ๋มอยู่ใกล้แม่แกมาก จะบ้าอยากได้ไปอีกคน”
เขาคว้าลูกสาวอุ้มเดินหนีไป เรวดีหุบปากได้ทันทีเช่นกันเมื่อถูกขู่เรื่องเมียน้อย
บุษยาเดินไปหาสามีที่นั่งอยู่ มุมหนึ่งไม่ได้มาร่วมวงสนทนากับพี่ชาย พี่สะใภ้เขาไม่ชอบตาชี้ๆของเรวดี มีแต่แววอิจฉาริษยา
“อาเนื่อง”ป่านแก้ว เรียกชื่ออาแล้วโผกอดร้องไห้โดยไม่มีเสียง
เนื่องรับร่างนั้นมาโอบกอดปลอบโยน
“ย่าต้องไม่ตาย ป่านไม่ให้ย่าตาย”
“ไม่ตายหรอกลูกย่ายังอยู่กับเรา”
เนื่องก็เฉกเช่นเดียวกับป่านแก้ว ย่าปรางคือแสงสว่างในชีวิตเป็นยอดรักของเขายิ่งกว่าหญิงใดๆ ในใต้หล้านี้
คุณหมอผู้ชายร่างท้วมท่าทางใจดี เดินออกมาจากห้อง เนื่องปรี่เข้าไปถามชิดจนเกือบจะติดกับหมอ คนเป็นหมอต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“แม่ผมเป็นอย่างไรบ้างครับปลอดภัยดี กลับบ้านได้แล้วใช่มั้ยครับหมอ”
“ยังกลับไม่ได้หัวใจท่านยังเต้นไม่เป็นปรกติ แต่คุณไม่ต้องห่วงคุณแม่ปลอดภัยหมอรับรองครับ”
“ไชโยย่าหายแล้ว” เด็กหญิงกระโดดตัวลอยส่งเสียงลั่นลืมตัว คุณหมอก้มลงไมมอง ป่านแก้วรู้สึกตัวกลัวถูกดุก็เลยยิ้มสู้ ความจิ้มลิ้มของอีกฝ่ายทำให้ผู้สูงวัยกว่านึกเอ็นดู ค้อมตัวลงไปพูดคุยด้วย
“รักคุณย่ามากหรือคะ”หมอลงท้ายเสียงคะขาตามเพศของเด็กหญิงผู้รับฟัง
“รักที่สุดในโลกค่ะคุณหมอ ป่านก็รักคุณหมอที่รักษาคุณย่า” หมอจับผมเปียเล่น
“ถ้าคุณย่ากลับบ้านได้ต้องดูแลท่านมากๆ นะคะหนูชื่อป่านใช่มั้ย”
“ค่ะคุณหมอทราบได้ยังไงค่ะ” เด็กหญิงพูดเพราะยิ่งเพิ่มความน่ารักมากขึ้น
“ก็คุณย่าเรียกชื่อหนูน่ะสิเป็นเด็กดีนะลูก”
“ค่ะป่านจะเป็นคนดี” คุณหมอชายวัยกลางคนลูบศีรษะอีกฝ่ายก่อนจะคุย กับเนื่องต่อ ป่านแก้ววิ่งไปหน้าประเราชะเง้อชะแง้คอช่องมองเข้าไปพยาบาลยิ้มใจดี บอกเด็กหญิง
“เดี๋ยวจะย้ายคุณย่าออกไปให้แล้วค่ะใจเย็นๆไปนั่งรอนะคะ”
“ขอโทษค่ะป่านดีใจมากไปหน่อย”
เจ้าตัวน้อยเดินกลับมาหาอาสะใภ้บุษยาหัวเราะขันๆ จูงมือกันไปนั่งรอคุณย่าปราง เนื่องแยกกับคุณหมอไปติดต่อเรื่องห้องพัก ประนาทอุ้มลูกสาวคนรองเข้าไปนั่งเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับลูกสาวคนโต
“น้องปิ๋ม” ป่านแก้วจับมือเล็กๆนับนิ้วเล่น
คนเป็นน้องมีเค้าหน้าเหมือนพี่สาวราวกับถอดหัวเราะชอบใจยอมเล่นกับพี่สาว เรวดีเดินตามประนาทเข้ามารู้สึกบาดตาเต็มทน แต่เพราะประนาททำท่ามีความสุขไปกับลูกๆด้วย นางจึงระวังท่าทีไม่พอใจ ปรับเปลี่ยนให้ป่านแก้วมาเป็นลูกของเรา
“ไปอยู่กับแม่มั้ยป่านจะได้เล่นกับน้อง” เด็กหญิงส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“ป่านจะอยู่กับย่าค่ะ”
เออฉันก็แกล้งชวนแกเอาหน้าไปอย่างนั้นละนังป่านแก้ว!
ย่าปรางกระพริบตาถี่รู้สึกอ่อนล้าจนแทบเบิกตาไม่ขึ้น ดวงหน้าเข้มตาแดงซ้ำลอยอยู่ไม่ไกล ท่านเพ่งสายตามองจนเห็นชัด เนื่องเปิดยิ้มกว้าง
“แม่” เขาเรียกเสียงอ่อนจับมือเหี่ยวย่นมากำไว้ด้วยสองมือหนาของเขา เนื่องดีใจจนปากสั่นพูดอะไรไม่ถูก ย่าปรางยิ้มเนือยตื้นตันใจ ในความห่วงใยของลูกชายคนนี้
เนื่องไม่เคยทิ้งแม่ไปไหน ทุกข์สุขอยู่ด้วยกันเสมอมา
“ป่านอยู่บ้านหรือลูก”
“หลับครับไม่ยอมกลับบ้านนอนอยู่ที่นั่น”
ย่าปรางปลายตามองตามที่เนื่องพยักหน้าบอก ร่างเล็กนอนหลับสนิทบนโซฟาสำหรับเฝ้าไข้ห่มผ้าปิดถึงคอขดตัวเหมือนดักแด้
“นาทล่ะ”
“ค้างที่บ้านครับพรุ่งนี้เช้าคงมา”
ย่าปรางพยักหน้ารับรู้ แล้วคิดไปถึงลูกอีกคนหนึ่ง ท่านหนักปาก เจ็บใจจนหายใจติดขัด ก่อนที่จะพยายามผ่อนคลายลงด้วยตัวเอง
ประณตคงไม่มาเผาผีแน่ถ้าท่านจากโลกนี้ไปแล้ว
กรรมเหลือเกินที่คิดเช่นนั้นต่อบุพการี!




นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ส.ค. 2554, 08:09:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ส.ค. 2554, 08:09:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1931





<< สิ้นร่มโพธิ์   ขาดร่มไทร >>
แพม 17 ส.ค. 2554, 11:19:40 น.
เพราะเงิน บาปหนา


Zephyr 17 ส.ค. 2554, 15:41:03 น.
บาปจริงๆเลย ณตนี่ไม่ตายดีแน่ พี่นาทยังมีสำนึกโผล่มาแบบแว้บๆ อาเนื่องนี่แหละสุดๆ อยากให้ป่านเกิดเป็นลูกอาเนื่องจังค่ะ


หมูแพนด้า 17 ส.ค. 2554, 16:46:31 น.
คิดแล้วได้แต่สงสาร


ปลาวาฬสีน้ำเงิน 17 ส.ค. 2554, 23:19:57 น.
ตามอ่านมาตั้งแต่ตอนแรก ชื่นชอบมากค่ะ เดินเรื่องได้ดี และเป็นคติสอนใจให้คนอ่านรู้จักกตัญญู ลด ละ ความโลภ จะติดตามต่อไปค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account