ห้วงเสน่หา ปรารถนาแห่งหัวใจ
ความรักได้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าและความปรารถนาของหัวใจย่อมมาก่อน เสน่หา
และนั่นอาจจะเป้นการพลาดเมื่อเขา และเธอรู้จักรักที่แท้จริง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ขาดร่มไทร


ที่บ้านหลังใหญ่ในต่างจังหวัดของประณต
ปรนัยฟังมารดาเล่าเรื่องต่างๆให้ได้ยินและเขาเอ่ยวาจาท่าทางแก่แดด
“โอ้โห คุณพ่อได้หลายล้านหรือครับคุณแม่”
“ยังน้อยกว่านังป่านที่สูบเงินของคุณพ่อไปหลายล้านทีเดียว”สุขฤทัยยังพาลป่านแก้วไม่เลิก
“ได้มากกว่า หมายถึงป่านโกงเราหรือครับ”
“ใช่มันโกงเรา ย่ามันก็ลำเอียง ถ้าตายเราไม่ต้องไปเผาให้เสียเวลา “นางตอบลูกอย่างคนไม่มีความคิดว่สิ่งไหนควรแยกแยะ
“เงินที่คุณพ่อได้มาจะเป็นของย่าก็ต้องเป็นของป้อด้วยใช่มั้ย”
“เป็นของแม่ไม่ใช่ของป้อ”
“แล้วถ้าแม่ตายละก็ต้องเป็นของป้อใช่มั้ย” เด็กชายย้อนทันควัน
สุขฤทัยสะอึกราวกับถูกของหนักๆทับไปทั้งตัว ปรนัยยังพูดต่อ
“ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ให้ป้อแบบย่า ป้อก็จะไม่เผาเวลาคุณพ่อคุณแม่ตาย”
“ป้อ ทำไมพูดกับแม่อย่างนี้ไม่ดีนะ”
เด็กชายขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจว่าพูดอะไรไม่ดี เพราะที่เขาพูดเป็นสิ่งที่มารดาพูดกรอกหูอยู่หยกๆ เด็กชายจึงย้อนถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ทำไมไม่ดีล่ะครับคุณแม่ก็บอกผมอย่างนี้ บ้านนี้คุณย่าให้เงินมาปลูกคุณแม่ก็ว่าไม่ให้” เด็กน้อยแยกแยะไม่ได้ว่าสิ่งไหนถูกหรือผิด
“คุณย่าตายคุณพ่อไม่เผา แล้งทำไมถ้าคุณพ่อตายป้อไม่เผาจึงเป็นสิ่งไม่ดีละครับ ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อกำลังทำสิ่งไม่ดีสิครับคุณแม่”
สุขฤทัยนิ่งงันตอบลูกชายไม่ได้ ครู่หนึ่งเมื่อปรนัยจะเปิดปากถามอีก สุขฤทัยไล่ลูกชายไปเล่นทางอื่น ส่วนนางนั่งคิดถึงคำพูดของลูกชายวนเวียนไปมา นอกจากไม่ได้สำนึกแล้วนางยังสรุปว่า ปรนัยนอกคอกที่คิดเช่นนั้น ทั้งที่เป็นความคิดที่นางสอนลูกไปทุกวันโดยแท้เทียว

วันนี้ย่าปรางนั่งคอยอยู่บนเก้าอี้โยก หลังจากออกจากโรงพยาบาลก็อ่อนแอเดินเหินไม่ค่อยไหว ป่านแก้วอยู่เฝ้าย่าจนบ้างครั้งท่านต้องไล่ให้ไปเล่นกับเพื่อน แต่ป่านแก้วบอกเพื่อนๆว่า
“เราห่วงย่า พวกเธอไปเล่นกันเถอะ” เด็กหญิงบอกเพื่อน
ดังนั้นพรรคพวกจึงย้ายที่เล่นมาอยู่ที่ลานดินบ้านย่าแทน ป่านแก้วจึงได้เล่นกับเพื่อนๆ กระทั่งบุษยามาแล้วเด็กหญิงรีบไปล้างมือก่อนวิ่งไปหาอาสะใภ้ป่านแก้วจับมืออาสะใภ้ บุษยายิ้มให้ด้วยความเอ็นดู
“ได้น้องชายแน่ะป่าน”
เนื่องอุ้มทายาทของตนเองแนบอก เสวกช่วยถือของเด็กอ่อนพะรุงพะรัง ลำดวนลงจากเรือนมาช่วยรับเด็กไปจากเนื่อง
“เดินขึ้นไหวมั้ย พี่อุ้มดีกว่านะ” เขาบอกอ่อนโยน ภรรยาคลอดธรรมชาติจึงลำบากเวลาขึ้นบันได
“ไม่เป็นไรจ้ะพี่”

ในเวลาพลบค่ำพ่อตาแม่ยายมาผูกขวัญหลานชาย ย่าปรางรับร่างเด็กร่างน้อยจากมือลำดวนไปวางไว้บนตัก ป่านแก้ววิ่งเข้าลาไปคุกเข่าใกล้ๆ ชะโงกดูน้อง
“รักน้องมั้ย”
“รักจ้ะย่า”
“ดีลูก เป็นพี่น้องต้องรักกันไว้ ไหนไปหยิบห่อผ้าแดงในห้องมาทีซิ” ห้องป่านแก้วกับห้องย่าปรางคือห้องเดียวกัน อะไรอยู่ตรงไหนป่านแก้วรู้ดี ห่อผ้าแดงของย่าใส่ไว้ในลิ้นชักข้างเตียงนอนข้างใน ป่านแก้วเคยซุกซนรื้อดูจึงเห็นว่าเป็นสร้อยกับกำไลทองคำใส่อยู่ วันนี้ถูกใช้ให้มานำมาไปให้ ป่านแก้วยิ้มในสีหน้า
“สงสัยจะเอามาให้น้อง”
เด็กหญิงสาวฝีเท้าเร็วนำไปยื่นส่งให้ย่าปราง ย่าปรางยิ้มรับ พลางสวมกำไลทองให้กับหลาน
“ขวัญเอ๊ย ขวัญมาเลี้ยงง่ายเหมือนพ่อเหมือนพี่ป่านนะลูกนะ”
ป่านแก้วแตะแก้มน้องเบาๆ แล้วส่งยิ้มให้กับทุกคน ท่าทางมีความสุขกันถ้วนหน้า ย่าปรางลูปศีรษะป่านแก้วอย่างแสนรัก และห่วงใยที่สุดในชีวิตของท่าน
กาลเวลาผ่านไปอีกช่วงหนึ่งของชีวิต
วันนั้นสายฝนกระหน่ำแรงจนน้ำบ่าคลอง ป่านแก้ววิ่งฝ่าสายฝนกลับจากโรงเรียน พร้อมเพื่อนๆ จนถึงทางแยกบ้านใครบ้านมัน
น่าแปลกที่บนเรือนของย่าปราง ดูวุ่นวาย ผู้คนเดินขวักไขว่เต็มไปหมด ลุงกำนัน ลุงผู้ใหญ่ ต่างกันพร้อมหน้า ลำดวนกางร่มมารับป่านแก้ว ด้วยดวงตาแดงช้ำอย่างคนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
“เป็นอะไรพี่ลำดวน”
“ไปเร็วป่าน ไปหาย่า”
“ย่าเป็นอะไร” ป่านแก้วทิ้งกระเป๋าหนังสือโครม ใจหายวับ ร่างเล็กๆวิ่งนำลำดวนขึ้นบ้าน เด็กหญิงเห็นอาเนื่องนั่งร้องไห้อยู่กับร่างนิ่งสงบของย่าปรางดวงตาของย่าปิดสนิท ไม่มีรอยยิ้มรับเช่นทุกครั้งที่พบหลาน
เด็กหญิงยืนนิ่งงัน เสื้อผ้าที่เปียกปอนมีหยาดน้ำไหลนองพื้น
“กราบย่าซะลูก ท่านไปแล้ว” กำนันเขมลูบผมเด็กหญิงบอกเสียงแผ่ว ป่านแก้วยืนตัวแข็งทื่อไม่ไหวติง เนื่องจับมือหลานกระตุกเบา
“ป่าน”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด” ป่านแก้วกกรีดร้องโหยหวนเหมือนถูกทำร้ายอย่างเจ็บปวดที่สุดในชีวิต ก่อนตาเบิกค้างแน่นิ่ง
บุษยาคว้าหลานไปกอดแน่นเขย่าเรียกด้วยความห่วงใย
“ป่านเป็นอะไรลูก ป่าน”
พักใหญ่เด็กหญิงกายสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บ มันเป็นความหนาวที่ความอบอุ่นใดๆช่วยไม่ได้นอกจาก ความรัก
เนื่องเข้ามาใกล้ร่างน้อยจับบ่าอีกฝ่ายบีบเบา
“ป่าน อย่าเป็นอะไรนะ อาอยู่นี่อารักป่าน อาบุษยาก็รักป่านยังมีอา ยังมีพี่ลำดวนพี่เหวกทุกคนรักป่าน”
“อาเนื่อง” เด็กหญิงโผกอดอาแนบแน่นร้องโห้โฮ “ปู่ก็ตาย ย่าก็ตาย ทำไมต้องตายคะอาเนื่อง”
บุษยาสะอื้นสงสารจับใจ ไม่มีใครที่ไม่รู้สึกสมเพทเด็กน้อยคนนี้ ป่านแก้วเป็นดวงตาดวงใจของปู่ และย่า ซึ่งท่านทั้งสองคือร่มโพธิ์ร่มไทรของเด็กหญิง
เมื่อท่านจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เด็กหญิงจึงเหมือนถูกครอบด้วยความมืดมนของหนทางเดิน
งานศพคืนแรกป่าน เสียงพูดคุยกันบนเรือนป่านแก้วได้ยินไม่ชัดเจน แม้จะเห็นหน้าพ่อก็ไม่มีความยินดี ความห่างเหินที่ผ่านมาพรากเอาดวงใจที่เปี่ยมไปด้วย ความรักและคิดถึงให้เจือจางลง ป่านแก้วรักเนื่องมากกว่าพ่อตัวเองเสียด้วยซ้ำ
แววตาวาววะวับ และรอยยิ้มประหลาดของเรวดีทำให้เด็กหญิงเย็นยะเยือกจับใจ มันเป็นรอยยิ้มของความสาแก่ใจอะไรสักอย่างที่เด็กหญิงไม่รู้ แต่หนาวอย่างจับใจ
“เตรียมเก็บข้าวของแล้วย้ายไปอยู่กับฉัน” เรวดีกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงแปลกๆ เด็กหญิงไม่เข้าใจ มองตามหลังแม่เลี้ยงที่จูงน้องปิ๋มโดยมี่พี่เลี้ยงเด็ก อุ้มน้องคนเล็กตามไป
“คุณแม่เป็นอะไรหรือเนื่อง” ประนาทถามน้องชายเมื่อนองเดินเข้ามาหา
“ทานข้าวเช้าเสร็จท่านก็เข้านอนบอกว่าอยากพักผ่อน จนเพลก็ไม่ออกมาผมกลับจากธุระเข้าไปดูท่านสิ้นแล้ว
ประนาทตบไหล่อีกฝ่ายค่อนข้างแรงด้วยกิริยาปลอบโยนของผู้ชายด้วยกัน เนื่องกลั้นน้ำตาไม่ให้รินไหลลงมาอีก หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่แล้วเขาใจอ่อนนัก
“มันรู้มั้ย” ประนาทถามถึงน้องชายคนรอง
“ผมโทรเลขบอกไปแล้วครับ มาหรือไม่ก็แล้วแต่เขา”
“ถ้ามันไม่มา พี่น้องก็เหลือกันสองคนแค่นี้แหละเนื่อง” ประนาทบองกเสียงขาด “แม่มีคนเดียวในโลก มันทำเหมือนออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ได้ก็ปล่อยมัน”
เนื่องรับคำอย่างเงียบงัน จะบอกว่าไม่โกรธเกลียดในการกระทำของพี่คนรองเขาทำไม่ได้ เขารักพ่อ รักแม่ เมื่อพวกท่านโดนลูกอกตัญญู เขาจึงเจ็บร้อนหัวใจยิ่งนัก
เด็กชายสี่คนบวชหน้าไฟไปพร้อมกับเนื่อง
“ย่าปรางมีบุญคุณให้ข้าวให้ขนมทุกครั้งที่มาบ้านท่าน ผมอยากตอบแทนย่าบ้างครับ”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้ารับรู้อดจะพูดขึ้นมาอย่างเดือดดาลเสียไม่ได้เมื่อนึกไปถึงประณต
“เด็กตัวแค่นี้มันยังคิดถึงข้าวแดงแกงร้อน คนที่ออกมาจากท้องแม่มันเสียอีกลืมค่าน้ำนม”
“กงกรรมกงเกวียนผู้ใหญ่ คนเรานั้นหนีกรรมไม่พ้นหรอก ทำ ยังไงกับพ่อแม่ตัวเอง ลูกตัวหลานตัวมันต้องสนองคืนบ้าง” กำนันเขตเอ่ยดังพอพี่จะให้คนใกล้ๆ ได้ยินเป็นการเตือนคนอื่นให้แจ้งประจักษ์ถึงกฎแห่งกรรม

เด็กหญิงนั่งพิงต้นจามจุรีใบหนา ดอกเป็นพู่สีชมพูสวยงาม ดวงตากลมเหม่อลอยไกล ท่ากอดเข่าดูเจ้าทุกข์หนักหนา
เพื่อนชายสี่คนไปหาที่บ้านบุษยาก็ไม่เห็น หญิงสาวจึงพลอยตื่นเต้นนึกว่าป่านแก้วหายไปรีบตาสีตาเหลือกถามเอากับเด็กๆ
“ป่านไม่ได้อยู่กับพวกขิมหรือ”
“เปล่าครับอาบุษ”
“ตายจริง ไปไหนล่ะนี่”
“อาบุษใจเย็นๆ เดี๋ยวผมไปหาเอง อาเนื่องไปไหนครับ”
“ไปบ้านกำนันไม่สวนกับขิมหรือ”
“ผมไปบ้านจ้ะแต่เช้าครับอา”
“รู้มั้ยว่าพ่อเขาจะมารับป่านไปอยู่ด้วย”
“อะไรนะครับ” เด็กๆหน้าเสียเจ็บเหมือนถูกทุบที่ใจอย่างแรง ทางเชื่อมมีหอรับรองแขกอยู่ตรงกลางเรือหรือลูกบ้าน
บ้านทรงไทยประยุกต์เป็นเรือนแฝดโอ่โถง มีทางเชื่อมสองหลัง หอกลางเป็นที่รับรองแขกกหรือลูกบ้าน วันนี้เนื่องนั่งปรึกษากำนันเขตุถึงเรื่องของป่านแก้ว เมื่อวานพี่นาทมีหนังสือมาบอกว่าจบเทอมนี้จะขอรับป่านไปเลี้ยงเอง ผมจะทำยังไงดีครับพี่กำนัน ผมอยากเลี้ยงป่านเอง”
กำนันเขตเคาะขี้บุหรี่ ท่าทางครุ่นคิดหาทางออกให้หนุ่มรุ่นน้องไม่ได้
“มันยากเพราะเด็กเป็นลูกของผู้พัน” กำนันเรียกตามยศของประนาทที่ได้เลื่อนขึ้น
“แต่ผมก็เลี้ยงมาแต่เด็ก ผมรู้ว่าลำพังพี่นาทไม่เท่าไหร่หรอกแต่เมียเขามันคนคิดลึกเกรงว่าหลานจะไม่มีความสุข
“อาปรางทำพินัยกรรมไว้รัดกุม เงินในธนาคารก็ไม่มีใครเบิกได้ผู้พันเขาก็ไม่ใช้คนสูบเลือดสูบเนื้อลูกได้หรอก”
“พี่นาทไม่ค่อยได้อยู่บ้าน คนที่ป่านไปอยู่ด้วยคือเมียเขา”
“หน้าหนักใจเหมือนกันหูตาเขาเป็นคนเอาเรื่อง” เคยเห็นหลายครั้งไม่ถูกซะตา
“ผมจะทำยังไงดีครับพี่”
“ยากมากถ้าเขาเอ่ยปากว่าจะเอาไปให้ได้”
เนื่องถอนใจยาว เขาคอยดูแลป่านแก้วมาพร้อมกับปู่และย่า ดังนั้นการที่เด็กน้อยโดยพรากจากไปทำให้เนื่องใจหายวับทีเดียว!
ใบหน้าเด็กหญิงเศร้าหมอง ประนาทย่อกายลงจับไหล่สองข้างของลูก
“ไงเจ้าป่านทำหน้าเหมือนแบกโลก พ่อมารับ”
“ป่านไม่อยากไป ป่านอยากอยู่กับอาเนื่อง”
“ตายจริง เขาเป็นพ่อแม่เราหรือไร” เรวดีว่า
ป่านแก้วเบือนหน้าหนีอีกฝ่าย เด็กหญิงผู้เป็นน้องสองคนลงจากรถน้องน้อยเดินได้เตาะแตะก็น่าเอ็นดูอยู่หรอก ผู้เป็นพ่อเห็นท่าทีของลูกสาวก็เอ่ยเสียงอ่อน
“ไปอยู่กับน้องปิ๋มน้องปลาย”
ป่านแก้วหมดทางเลือกให้กับตัวเอง เธอยังเด็กนัก ผู้ใหญ่มีสิทธิ์ปกครองชีวิตของเธอ เด็กหญิงเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋านึกถึงวันที่ต้องไปลาออกกลางเทอม เพื่อนหญิงไม่เท่าไหร่เพราะไม่ค่อยได้เล่นหัวด้วยกัน แต่เพื่อนชายล้วนตาแดงกล่ำอย่างอดกลั้นน้ำตาไม่ให้หลั่งรินป่านแก้วอยู่ในวงล้อมเพื่อนทั้งสี่
“อย่าลืมเรานะ”
“ลิเกเราคงยุบวิกแล้วว่ะ” ประพันธ์ว่า
“ขาดป่านสักคนเราหมดกำลังใจเล่นแล้ว”
อมร กระบุงไม้ไผ่สานใบจิ๋วให้เพื่อน นับแต่วันที่รู้ว่าเพื่อนจะจากไปก็อุตส่าห์ทำให้
“ป่านเราให้ปู่เนียมเคยสอนไว้”
“ขอบใจนะมอญ”
สัจจะส่งมวนกระดาษวาดเขียนให้เพื่อน ป่านแก้วคลี่ออกดูเป็นภาพสีเทียนรูปเด็กชายหญิงสี่คน นั่งเล่นว่าวงู กลางทุ่งสีน้ำตาลอ่อน แสดงถึงยามหน้าแล้งท้องฟ้าสดใส แต้มสีด้วยว่าวงูต่างๆ คนแก่ชายหญิงสองคนที่อยู่มุมภาพไกลนั่นเล่า คือปู่กับย่า
เด็กหญิงปล่อยน้ำตาร่วงเผาะ ภาพสะท้อนความอบอุ่นของตนกับคนที่ให้ความรัก
ขิมจับมือเพื่อนหญิงร่างเล็ก
“อย่าเล่นกับเด็กผู้ชายอื่นนะป่าน”
“ฮื่อ ไม่เล่นหลอกขิม”
“ อ่ะเราให้”เด็กชายตัวโตส่งกำไลข้อมือเงินให้อีกฝ่าย
“ซื้อมาจากตลาดเมื่อวานนี้”
“มันแพงนะขิม”
“ไม่เป็นไร หยอดกระปุกใหม่ได้ อย่าทำหายนะ”
“ไม่หรอกเราจะเก็บไว้เป็นอย่างดีเลย”
ประพันธ์ไม่มีของขวัญให้เพื่อนสักอย่าง เขาผละจากกลุ่มวิ่งไปถอนหญ้าขนไก่มาถักมาร้อยเป็นห่วง 5 ห่วง
“แทนพวกเรา”
“ขอบใจพัน”
น้ำใจเพื่อนไม่มีวันลืม แม้เวลาจะผ่านไป
เนื่องส่งบัญชีเงินฝากของป่านแก้วให้พี่ชาย เรวดีเหลือบมองสมุดบัญชีแล้วสงสัย
“เอ่อ เครื่องประดับของคุณแม่ท่านยกให้ป่านด้วยมั้ย”
เรวดีถามอย่างเกรงใจอยู่บ้าง กลัวอีกฝ่ายรู้ทัน
“อ๋อ” เนื่องอุทานดังคล้ายจะให้รู้ว่าเขาไม่ชอบนักที่เรวดีแสดงออกว่าสนใจสมบัติ ของป่านแก้วและประนาทก็ทำเหมือนมารู้นิสัยเมีย
“ผมฝากเข้าธนาคารให้ป่านหมดครับ หากครบยี่สิบเขาเบิกออกได้”
“คุณเนื่องทำเหมือนไม่ไว้ใจพ่อแม่” ปากเคยคันเลยทำให้เรวดีอดพูดไม่ได้
“ผมแค่อยากทำอะไรให้มันถูกต้อง หรือคุณเรจะเปลี่ยนใจเอาป่านไว้กับผมก็ได้ครับ ผมบอกตรงๆ ว่าผมไม่อยากให้หลานไปอยู่ทางนั้น”
“เนื่อง” ประนาทตบไหล่น้องชาย
“พี่รู้ว่าเนื่องรักป่านเพราะเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อย แต่ว่าบ้านป่านอยู่ ที่โน้นพี่อยากให้เขาอยู่กับพ่อแม่”
นั้นแหละที่เนื่องต้องยอม เพราะตนเป็นแค่อาของเด็กเท่านั้น เนื่องก้มมองร่างเล็กของหลานสาว ลูบผมเปียยาว ลำคอรู้สึกตีบตันขึ้นมาเสียดื้อๆ
“อาเนื่องขา ป่านไปแล้วนะคะ” เด็กหญิงกระพุ่มมือไหว้ทั้งน้ำตา เขาย่อกายลงกอดเด็กหญิงไว้
“มาหาอาบ้างนะลูก บ้านนี้เป็นบ้านของป่านเช่นกัน”
เด็กหญิงอยากบอก แต่เต็มตื้นในอก ลำคอจุกแน่น ได้แต่ร้องไห้ออกมาอย่างเงียบงัน
ในที่สุดเวลาแห่งการจากลาก็มาถึง รถเก๋งของประนาทแล่นผ่านทุ่งนา เด็กชายสี่คนวิ่งตามรถของเขา
“เพื่อนป่านทั้งนั้นเลยนะ”
“ค่ะ”
“ทโมนข้างถนน” เรวดีสบถเบาลอดริมฝีปาก
เด็กหญิงโบกมือให้เพื่อนๆ จนรถแล่นเลยผ่าน ชีวิตใหม่ของป่านแก้วกำลังเริ่มขึ้น กับการเลี้ยงดูของพ่อที่ไม่มีเวลา และแม่เลี้ยงที่มีเวลาตามสามีไปทุกที่ที่เขาย้ายไปราชการ สักเดือนก็ยังอุตส่าห์ย้ายตาม
ป่านแก้วผ่านช่วงเวลาแห่งความเยาว์วัยมาอย่างอดทนที่สุด ต่อการเลี้ยงดูอย่างไร้เมตตาของเรวดี อย่าว่าแต่เธอเป็นลุกเลี้ยงแล้วโดนตี แม้แต่ลูกในไส้ของเรวดีเองนางยังไม่เว้นถ้าไม่พอใจ ปิ๋ม และปลายโดนตีถ้วนหน้า



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ส.ค. 2554, 08:28:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ส.ค. 2554, 08:28:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 2111





<< คิดอกตัญญู   แม่จอมงก >>
saralun 18 ส.ค. 2554, 08:45:27 น.
สารสารหนูป่าน ^^^


หมูแพนด้า 18 ส.ค. 2554, 09:26:16 น.
ติดตามค่ะว่าชีวิตจะเป็นยังไงต่อไป..


Zephyr 18 ส.ค. 2554, 14:18:08 น.
ป่านเจอเลี้ยงแบบนี้โตมาคงเข้มแข็งน่าดู ว่าแต่พระเอกเราอยู่ในหมู่เพื่อนๆรึป่าวน้า ให้ป่านกับอาเนื่องยังผูกพันกันจนโตเถอะนะคะ ให้เหลือไรไว้ยึดเหนื่ยวบ้าง อย่าหักมุมนะ กลัวใจคนแต่งจัง หุหุ


แพม 18 ส.ค. 2554, 14:28:08 น.
คงไม่บัดซบจนเกินไปมั้ง ชีวิต


nutcha 18 ส.ค. 2554, 20:18:28 น.
สงสารหนูป่านจัง แต่เพื่อนหนูป่านชื่อพงศ์พันธ์ไม่ใช่เหรอหรือคนเขียนเปลี่ยนเป็นชื่อประพันธ์แล้ว


นางแก้ว 19 ส.ค. 2554, 14:33:00 น.
ใช่ค่ะ เปลี่ยนชื่อใหม่


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account