ทรายล้อมเพชร: สะมะเรีย (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เมื่อรจนาอย่างนางรำ ‘เพชรไพลิน’ เสี่ยงพวงมาลัยดอกรักออกไป คนรับหาใช่เจ้าเงาะป่าไม่ แต่กลับเป็นถึง ‘ชีคมุซตาฮ์ซาน บินรามาน อัลซาบาฮัท’ ผู้ปกครองรัฐรามาน

ทั้งสองตกอยู่ในบ่วงเสน่หาซึ่งกันและกันเพียงแค่พบสบตา ความรักได้ก่อตัวขึ้นหวานล้ำราวน้ำผึ้ง ทว่า...ที่ใดมีรัก ก็ย่อมมีทุกข์ เพชรไพลินจึงต้องพบกับอุปสรรคที่เต็มไปด้วยขวากหนามแหลมคม ทั้งจากมารดาเลี้ยงและบรรดาสาวๆ ที่อยู่ในฮาเร็มของชีคหนุ่ม

ซ้ำร้ายที่สุด...ชายคนรักยังลงมือกรีดหัวใจของเธอด้วยตัวเขาเอง

เช่นนี้แล้วเพชรที่ว่ากล้าแกร่งจะทนทานต่อการแผดเผาหัวใจจนปวดร้าวทรมานได้หรือไม่ หรือเธอ...จะลาลับจากเขาไปตลอดกาล

*************

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "สะมะเรีย" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบนิยายแนวทะเลทราย โรมานซ์ ดราม่า มิควรพลาดด้วยประการทั้งปวง นอกจากความฟินชวนให้ยิ้มแก้มแตกในความเป็นสุภาพบุรุษของท่านชีคแล้ว สะมะเรียถ่ายทอดความดราม่าในความรักของหนุ่มสาวได้ชนิดที่น้ำตาไหลพรากทีเดียว ที่สำคัญ ยังผสมผสานศิลปวัฒนธรรมไทยเข้าไปในแนวทะเลทรายได้อย่างน่าประทับใจ #พร้อมตอนพิเศษ #ฟินทวีคูณ! #ติดหนึบ #รับประกันความสนุก!

***********

นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ

**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com ร้าน booksforfun ร้าน booktogothailand และร้าน booksyourlikeshop
-inbox สั่งซื้อโดยตรงกับแอดมินเพจ 'ปลายปากกา สำนักพิมพ์' หรือผ่าน Line: plaipakkabooks

(หนังสือเหลือแต่เล่มมีตำหนิ)


ราคา 280฿ (จากปก 372฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 320฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 340฿)


หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
Tags: โรมานซ์ ชีค นางรำ พาฝัน ดราม่า ริษยา

ตอน: บทที่ 9 -100%

กมลานั่งหน้าบูดอยู่บริเวณห้องนั่งเล่น แม้จะเปิดโทรทัศน์เอาไว้ ทว่าสายตากลับมิได้จดจ่ออยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์อย่างที่ควร แต่กลับมองไปที่ประตู เงี่ยหูฟังเสียงรถของบุตรสาว หญิงสูงวัยถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเหลือบไปมองนาฬิกาแขวนผนัง เป็นเวลาสองยามแล้วแต่ลูกสาวตัวดียังไม่กลับบ้าน ไม่รู้ว่าไปเถลไถลที่ไหน

“ความจริงเอาไว้คุยกับลูกตอนเช้าก็ได้ ไม่เห็นต้องให้ผมมานั่งถ่างตารอยายหนูจนดึกดื่นขนาดนี้เลย”

ผู้เป็นสามีอ้าปากหาวด้วยความง่วงงุน ขณะที่ภรรยามองค้อนอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิกแขนของเขาอย่างหมั่นไส้

“โอ๊ย! ผมเจ็บนะคุณมาหยิกผมทำไมเนี่ย” ดิเรกตาสว่างทันที

“ยังจะมาพูดดีอีก ก็เพราะใครล่ะมัวแต่บริหารงานแบบใจเย็นเอ้อระเหยไม่รู้ร้อนรู้หนาว มันถึงได้เจ๊งไม่เป็นท่าแบบนี้ หรือจะรอให้เป็นบุคคลล้มละลายก่อน คุณถึงจะรู้สึกรู้สา” กมลาตวาดแว้ดใส่สามีอย่างเหลืออด สมบัติในบ้านขายไปแทบหมดเพื่อพยุงโรงงานพลาสติกที่สามีไปลงทุนไว้

“ก็ไอ้ที่มันเจ๊งก็ต้องปล่อยไป จะไปทำอะไรได้ล่ะคุณ ตอนนี้เรายังมีหุ้นอยู่ในโรงแรมของท่านชีคมุซตาฮ์ซาน เราก็แค่ต้องรัดเข็มขัดให้แน่นขึ้นสักหน่อย แล้วใช้เงินปันผลอย่างประหยัดก็เท่านั้นเอง มันจะไปยากอะไรเล่า” ดิเรกเองก็หัวเสียไม่แพ้กัน เพราะภรรยาชอบยกเอาข้อผิด พลาดของเขาขึ้นมากล่าวย้ำให้ต้องรู้สึกอับอาย

“ไม่ยากที่ไหนกัน แล้วหน้าตาของฉันล่ะ คุณจะให้ฉันบอกกับใครๆ ว่ายังไง ไม่รู้ล่ะ คุณต้องหาทางพยุงโรงงานพลาสติกให้รอด ทำยังไงก็ได้ให้มันไม่เจ๊ง”

“ก็แล้วคุณจะให้ผมทำยังไงในเมื่อมันเจ๊งไปแล้ว”

“ก็มันเป็นหน้าที่ของคุณ คุณเป็นคนทำมันพัง ที่ดินกี่ผืนๆ ของฉันคุณก็เอาไปจำนองจนหมด แล้วอยู่ๆ คุณจะมาให้ฉันกับลูกรับกรรมที่คุณก่อ มันจะไม่มากไปหน่อยหรือคะคุณดิเรก”

“แล้วคุณจะเอายังไง ในเมื่อผมไม่มีปัญญา ตอนนี้ไม่มีธนาคารไหนปล่อยกู้ให้ผมแล้ว” ชายสูงวัยหัวเสียยกมือขึ้นกุมขมับแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดอาลัยตายอยาก

กมลาเห็นดังนั้นก็เงียบเสียงด้วยสงสารสามี แต่หากเธอไม่โวยวาย เขาก็จะไม่ยอมลุกขึ้นทำอะไรสักอย่าง

“คุณกับฉันต้องพูดกับลูกเรื่องท่านชีค คนที่จะช่วยพยุงฐานะของเราได้มีแต่ชีคมุซตาฮ์ซานเท่านั้น” ยามเอื้อนเอ่ยถึงชีคหนุ่มจากรัฐรามาน ประกายตาสิ้นหวังของกมลาก็กลับมาทอแสงขึ้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์กลหรือมารยาอันใดเธอก็จะต้องทำให้ชีคมุซตาฮ์ซานมาเป็นลูกเขยของเธอให้ได้

“จะไหวเหรอ ในเมื่อท่านชีคมีหนูเพชรไพลินอยู่แล้ว”

“คุณจะไปรู้อะไร ตอนนี้ท่านชีคเขี่ยแม่นางรำนั่นทิ้งแล้ว ถือเป็นโชคของยายทิพย์” เธอจีบปากบอกสามี เพราะบุตรสาวโทร.มาเล่าให้เธอฟังเมื่อช่วงหัวค่ำนี่เอง นับเป็นข่าวดีเลยทีเดียว

“นั่นไง ลูกมาแล้ว”

กมลาชะเง้อมองออกไปเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ของบุตรสาว

“อ้าว คุณพ่อ คุณแม่ ยังไม่นอนเหรอคะ” กมลทิพย์ตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นบิดามารดานั่งรออยู่ที่ห้องนั่งเล่น เธอรีบรวบผมให้เข้าทรง จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย

“ไปมั่วกับใครมาถึงได้กลับมาสภาพนี้”

จากที่ตั้งใจว่าจะเกลี้ยกล่อมบุตรสาวด้วยน้ำคำอ่อนหวาน ทว่าเมื่อเห็นสภาพเสื้อผ้ายับยู่ยี่ อีกทั้งยังมีรอยแดงเป็นจ้ำที่คอของบุตรสาว กมลาก็เกิดโมโหจนเลือดขึ้นหน้า อยากจะตบบุตรสาวสักฉาด ทำไมถึงได้ทำตัวไม่มีค่าแบบนี้

“ก็แค่ไปนั่งกินเหล้ากับเพื่อน” เธอยักไหล่บอก

“กินเหล้า นั่งกินหรือนอนกินล่ะ สภาพถึงได้กลับมาอย่างกับโดนรุมโทรมแบบนี้ เมื่อไหร่แกจะเลิกทำตัวเหลวแหลกแบบนี้เสียที แกทำให้ฉันปวดหัวจนจะเป็นประสาทอยู่แล้วนะ”

“แม่อยากได้อะไร หนูก็ทำให้ทุกอย่างแล้วนี่คะ อยากให้เรียนเก่ง อยากให้เรียบร้อย หนูก็ทำให้ แต่หนูก็ควรมีเวลาส่วนตัวที่ได้ปลดปล่อยบ้าง” กมลทิพย์เถียงอย่างไม่ลดละ

ทั้งชีวิตของเธอมีมารดาคอยชักนำเรื่อยมา จนกระทั่งเธอได้พบตัวตนของเธอตอนไปเรียนที่อังกฤษ ที่นั่นเปิดกว้าง เธอสามารถทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องมานั่งทำท่าทางเรียบร้อยให้พวกคุณหญิงคุณนายเอ่ยชมว่ามารดาอบรมเลี้ยงดูมาดีจนเธอเป็นกุลสตรีเพียบพร้อม

“หน็อย แกจะว่ามีฉันเป็นแม่นี่มันลำบากมากนักหรือไง หา!”

“พอได้แล้วคุณ ไหนบอกว่ามีธุระจะคุยกับลูกไง แล้วนี่ยังไงมาชวนลูกทะเลาะเสียได้” ดิเรกปรามภรรยาก่อนที่การต่อปากต่อคำจะเลยเถิดไปมากกว่านี้

“คุณก็ดูลูกสาวคุณแล้วกัน นิสัยแย่เหมือนใครก็ไม่รู้” กมลาหันไปแหวใส่สามี ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างแรง แล้วเดินไปนั่งที่โซฟา ยกแก้วน้ำขึ้นจิบ หวังว่าความเย็นของน้ำที่ไหลลงชุ่มคอจะทำให้เธอใจเย็นลงบ้าง

“ก็จะเหมือนใครล่ะ เห็นๆ กันอยู่ขนาดนี้แล้ว” ดิเรกอดไม่ได้ส่ายหน้าอย่างระอา

“มีอะไรจะคุยกับทิพย์หรือคะคุณพ่อ” กมลทิพย์เอ่ยถาม เธอง่วงจนอยากนอนเต็มทีแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าอีก ถ้าหน้าโทรมแล้วใครจะรับผิดชอบ

“เอ่อ...” ดิเรกไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี เพราะเขากับลูกสาวไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่นัก ที่ผ่านมาเขาทำแต่งาน ทุ่มเทให้กับงานจนแทบไม่ได้สนใจบุตรสาว ปล่อยให้กมลาเป็นคนอบรมเลี้ยงดูเพียงลำพัง

“มัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นั่นล่ะ คืออย่างนี้นะหนูทิพย์” กมลาเปลี่ยนสรรพนามเรียกขานบุตรสาวทันที “โรงงานผลิตพลาสติกของพ่อเราที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปีน่ะ มันขาดทุน เลยอยากได้เงินทุนสักสิบยี่สิบล้านมาลงทุนเพิ่ม”

“แล้วทำไมไม่กู้ธนาคารล่ะคะ ที่ดินเราก็มีตั้งมากมาย”

เมื่อไม่มีคำตอบจากบิดามารดา กมลทิพย์ก็ถึงกับหน้ามืดแทบล้มทั้งยืน

“เดี๋ยวนะคะ นี่คุณพ่อกับคุณแม่อย่าบอกทิพย์นะคะว่าที่ดินพวกนั้นจำนองไปหมดแล้ว”

เมื่อมารดาพยักหน้ากมลทิพย์ก็ถึงกับสร่างเมา ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง สมองพยายามเรียบเรียงความคิดว่าเธอไม่ได้กำลังฝันไปใช่หรือไม่

“แล้วบ้านหลังนี้ล่ะคะ” ถามออกไปแล้วก็รู้สึกได้ว่าลำคอตีบตัน ชั่วเวลาไม่ถึงนาทีสำหรับการรอคอยคำตอบจากผู้ให้กำเนิดมันช่างเนิ่นนานเหลือเกิน

“ยังรอดอยู่จ้ะ แต่ถ้าไม่ได้เงินมาช่วยพยุง บ้านหลังนี้ก็คงไม่รอดเหมือนกัน” กมลาตอบออกไปด้วยความรู้สึกโหวงเหวงไม่ต่างกัน การที่จะปิดกิจการได้นั้นใช่ว่าจะทำได้โดยง่าย พนักงานกว่าพันคนที่ต้องจ่ายเงินค่าชดเชย แล้วหนี้สินธนาคารที่ยังรัดตัวอยู่ในขณะนี้อีกล่ะ

“จะให้หนูช่วยยังไงคะเนี่ย หนูเวียนหัวไปหมดแล้ว ตอนแรกแค่บอกว่าโรงงานไม่ได้กำไร แต่ฟังมาเนี่ยมันขาดทุนแบบย่อยยับเลยนะคะ”

“แต่งงานกับท่านชีคสิลูก หาทางยังไงก็ได้ จับท่านชีคให้อยู่ แบบนั้นบ้านเราต้องรอดแน่ๆ” กมลารีบเสนอแผนการของตนเองทันที

“แม่คะ ท่านชีคไม่ได้โง่เหมือนในละครที่แม่ชอบดูหรอกนะคะ มีที่ไหนกันเอาตัวเข้าแลกแล้วท่านชีคจะยอมแต่งงานด้วย คนที่ท่านชีคจะเลือกเป็นชีคคาต้องเพียบพร้อมค่ะ ถ้าไปทำให้ท่านเห็นว่าใจง่ายรักสนุก ท่านก็จะจัดทิพย์เอาไว้แค่คู่ขาไม่ใช่คู่รัก”

ผู้เป็นลูกกลับส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย ช่วงที่ทำงานเป็นเลขาให้กับชีคมุซตาฮ์ซาน เธอไม่ได้ทำแค่งานด้านเลขาเท่านั้น แต่ยังจดจำและวิเคราะห์เสร็จสรรพว่าท่านชีคชอบหรือไม่ชอบอะไร

“แล้วจะทำยังไง พวกเราต้องรีบใช้เงินนะ จะมารอให้ท่านชีครักหลงจนขอลูกแต่งงาน บ้านเราไม่แย่ไปก่อนเหรอ ที่นี้แม้แต่ที่ซุกหัวนอนก็คงไม่มี”

กมลายกมือขึ้นปิดหน้าแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น เธอทนไม่ได้แน่ถ้าต้องปลีกตัวออกจากสังคม เหตุเพราะหมดตัว ญาติพี่น้องของเธอที่ได้ดีเป็นเศรษฐีคงหัวเราะเยาะเธอเป็นแน่

“ใจเย็นๆ สิคะคุณแม่ ทิพย์ว่าเรามีทางออก ถ้าเงินจำนวนนี้ทิพย์มั่นใจว่าธัญมีให้ยืมแน่นอนค่ะ” หญิงสาวหมุนแหวนที่นิ้วนางข้างขวาอย่างมีความหวัง ถ้าเป็นธัญธรณ์เขาต้องยอมให้เธออย่างแน่นอน

“แน่ใจเหรอว่ามันจะให้ แม่ล่ะไม่อยากให้ไปยุ่งกับมันเลย นักเลงหัวไม้พรรค์นั้น” กมลาไม่ชอบใจ เพราะธัญธรณ์ประกอบอาชีพไม่สุจริต ไม่สามารถชูคออวดอ้างกับใครๆ ในสังคมชั้นสูงได้ ทว่าบุตรสาวเธอกลับคิดตรงกันข้าม กมลทิพย์มองว่าเงินเท่านั้นที่เป็นตัวตัดสินทุกอย่าง

“ก็แค่ยืมมา ถ้าพลาดจากท่านชีคก็ยังมีธัญนี่คะแม่ ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน ไอ้พวกลูกแหง่ที่คุณแม่แนะนำให้ทิพย์น่ะ ข้ามไปได้เลย สู้ธัญไม่ได้สักคน”

“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่หนูแล้วกัน แม่ไปนอนก่อนล่ะ ง่วงเต็มทีแล้ว” แม้จะไม่เห็นด้วย คันปากอยากจะค้านเต็มแก่ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะนาทีนี้ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็เห็นจะมีแต่ธัญธรณ์ที่เป็นที่พึ่งสุดท้าย

“ขอบใจมากนะทิพย์ พ่อไม่รู้จะพูดยังไงจริงๆ แต่พ่อสัญญาว่าจะบริหารโรงงานให้กลับมาดีอีกครั้งหนึ่ง”

ดิเรกลู่ไหล่ด้วยความเหน็ดเหนื่อย รู้สึกสิ้นหวัง เมื่อต้องขอความช่วยเหลือจากบุตรสาว เขาเองก็อายุมากแล้ว ไฟในการทำงานดับมอดลงไปกว่าครึ่ง อยากจะกินอยู่ใช้จ่ายในชีวิตบั้นปลายอย่างสมถะ ทว่าวิถีชีวิตของภรรยากับบุตรสาวกลับไม่เป็นเช่นนั้น หากเขาจะทิ้งทั้งสองไปก็จะกลายเป็นสามีและบิดาที่เห็นแก่ตัว

“อย่าคิดมากเลยค่ะคุณพ่อ ธัญรักทิพย์มาก เงินแค่นี้ไม่น่ามีปัญหา” หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างทะนงตนแล้วผละไปเข้านอน ทิ้งให้บิดานั่งครุ่นคิดอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรีกาลเพียงลำพัง



*************



กมลทิพย์ยังคงแต่งหน้าอ่อนๆ สวมเสื้อผ้าสีพาสเทลหวานอย่างที่มั่นใจว่าชีคหนุ่มต้องถูกใจ ทว่าเมื่อเห็นนางแบบปราดเปรียวเดินบิดสะโพกโยกย้ายตรงเข้ามา อารมณ์ดีๆ ในเช้าที่อากาศสดใสก็พังครืนไม่เหลือชิ้นดี เธอเบะริมฝีปาก แล้วมองนางแบบสาวด้วยหางตาอย่างเหยียดๆ

“ฉันมาพบท่านชีค”

เมธาวีบอกความจำนง ไม่ชอบหน้าเลขาของชีคมุซตาฮ์ซานตั้งแต่คราวก่อนแล้ว คนอะไรใช้สายตามองคนอื่นตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำอย่างกับว่าตัวเองวิเศษเลิศเลอกว่าคนอื่นเขาเสียอย่างนั้นแหละ นึกว่าเธอไม่รู้รึไง ไอ้ที่นั่งทำเป็นหน้าซื่อตาใสอยู่เนี่ย ก็เพราะจ้องจะงาบท่านชีคเหมือนกัน เสียใจ! คราวนี้เธอไม่ยอมปล่อยให้ท่านชีคหลุดมือแน่

“นัดไว้หรือเปล่า” กมลทิพย์กระชากเสียงถามอย่างไม่พอใจ เมื่อเมธาวีใช้แขนข้างหนึ่งเท้าโต๊ะทำงานของเธอด้วยท่าทางคุกคาม

“ไม่จำเป็นต้องนัด เพราะท่านชีคเป็นคนเรียกฉันมา” ริมฝีปากสีแดงชาดหยักยิ้มอย่างเหนือกว่า

กมลทิพย์ได้แต่กัดฟันกรอด แล้วก่นด่าในใจ เธอกดโทรศัพท์เข้าไปหาเจ้านายหนุ่มเมื่อเขาอนุญาตให้เมธาวีเข้าพบ เธอก็ถึงกับชักสีหน้ามองเมธาวี ประกาศความเป็นศัตรูอย่างชัดเจน

“เชิญ...ท่านชีครออยู่”

“ขอบใจมาก อ้อ...แล้วก็ขอน้ำส้มคั้นหนึ่งแก้วด้วย ขอแบบคั้นสดๆ นะ อย่าช้าล่ะ เพราะฉันกำลังคอแห้ง” เมธาวีปรายตามองกมลทิพย์ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างที่เลขาสาวเคยทำกับเธอ แล้วหัวเราะขบขันอย่างมีความสุข

“น้ำส้มใช่ไหม ได้เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง”

ผ่านไปร่วมสิบนาที กมลทิพย์ก็ถือถาดเครื่องดื่มเข้าไปในห้องทำงานของชีคมุซตาฮ์ซาน เธอวางกาแฟให้ชีคหนุ่มแล้วจึงหันมาหยิบน้ำส้มส่งให้เมธาวี

“ช้าจัง หิวน้ำจะแย่” นางแบบสาวบ่นอุบ กระนั้นก็ยังยกขึ้นจิบด้วยท่าทางชื่นอกชื่นใจ

กมลทิพย์ก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเอาไว้จนมิดชิด

“ไปทำงานเถอะทิพย์ ไม่มีอะไรแล้ว ขอบใจมาก”

“ค่ะท่านชีค”

กมลทิพย์เดินออกจากห้องแล้วดูนาฬิกาที่ข้อมือ เหยียดริมฝีปากแล้วฮัมเพลงอย่างมีความสุข เธอให้เวลาเมธาวีมากสุดห้านาทีเท่านั้น ทว่าดูเหมือนเวลาที่เธอตั้งไว้จะมากเกินไปเพราะไม่กี่อึดใจต่อมาเมธาวีก็วิงหน้าซีดออกมาจากห้องทำงานของชีคหนุ่ม

“ห้องน้ำไปทางไหน”

เมธาวีตะคอกถามด้วยท่าทางร้อนรน เหงื่อไหลซึมไรผมบริเวณหน้าผาก ทั้งที่อากาศภายในอาคารนั้นเย็นเฉียบ

“อะไรนะ ลิฟต์เหรอทางนู้นแน่ะ” กมลทิพย์แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ซ้ำยังชี้นิ้วไปทางลิฟต์แทนที่จะเป็นทางไปห้องน้ำอย่างที่เมธาวีต้องการ

“อีบ้า! ฉันถามว่าห้องน้ำไปทางไหน ไม่รู้เรื่องหรือไง” เมื่อเห็นว่ากมลทิพย์ทำเป็นไม่ได้ยิน ทั้งยังนั่งพิมพ์เอกสารอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว เธอก็ถึงกับเต้นผาง

“แกใช่ไหมที่แกล้งฉัน ฝากไว้ก่อนเถอะอีบ้า” เมธาวีรีบแจ้นไปถามพนักงานคนหนึ่งซึ่งเดินผ่านมาพอดี

กมลทิพย์มองตามแล้วหัวเราะคิกด้วยความสะใจไม่น้อย

“สมน้ำหน้ารู้จักฉันน้อยไปเสียแล้ว”

เลขาสาวหันหน้ามาทางโทรศัพท์ที่ส่งเสียงร้องดัง ก่อนจะยื่นมือไปรับสาย

“สวัสดีค่ะคุณทิพย์ เพชรขอสายท่านชีคหน่อยค่ะ”

กมลทิพย์เบ้ปากแล้วกดวางสายไปเสียเฉยๆ “นี่ก็อีกคน โดนเขี่ยทิ้งแล้วยังไม่รู้ตัวอีก”

ทว่าเสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นอีกครั้ง เธอยกหูโทรศัพท์ขึ้นอย่างอารมณ์ดีไม่มีท่าทางหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย

“สวัสดีค่ะ กมลทิพย์พูดสายค่ะ”

“คุณทิพย์ เพชรขอสายท่านชีคหน่อยค่ะ  เพชรโทร.เข้ามือถือท่านชีค แต่ท่านชีคไม่ยอมรับสายเลย เกิดอะไรขึ้นกับท่านชีคหรือเปล่าคะ” น้ำเสียงจากปลายสายฉายชัดว่าทั้งร้อนใจและเป็นกังวล

“ท่านชีคกลับรามานไปแล้ว” เลขาสาวตอบห้วนอย่างมะนาวไม่มีน้ำ

เพชรไพลินไม่ได้เอะใจยังคงซักถามต่อไป

“แล้วท่านชีคจะกลับเมื่อไหร่คะคุณทิพย์พอจะทราบไหม”

“ไม่มีกำหนดค่ะ แค่นี้นะคะ”

กมลทิพย์ตัดสายเพราะชักรำคาญ หยิบกระจกขึ้นมาแล้วตบแป้งพับสักนิด จากนั้นจึงหอบเอกสารกองโตเข้าไปหาชีคมุซตาฮ์ซาน



หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ก.ค. 2561, 09:54:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ก.ค. 2561, 09:54:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 649





<< บทที่ 9 -50%   บทที่ 10 -50% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account