มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร
Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก
ตอน: บทที่ 15 (1) หัวใจเพรียกหา
15 หัวใจเพรียกหา
เล่าเรื่องพี่ต้นสารภาพรักพร้อมชวนย้ายไปอยู่อเมริกาด้วยกันให้รติรสฟัง ระหว่างทั้งสองนั่งทำงานกับโน้ตบุ๊คในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เพื่อหาข้อมูลเตรียมตัวทำโปรเจคปีสุดท้าย รติรสตื่นเต้นในตอนแรกไปจนถึงชักสีหน้าผิดหวังตอนท้ายเรื่อง เมื่อพี่ต้นถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“ไงออกแบบนี้ล่ะ เหมือนหนังหักมุม แย่กว่าพระเอกนางเอกตายตอนจบเสียอีก ชอบพอกันขนาดนี้ บรรยากาศเป็นใจยังไปปฏิเสธคำขอแต่งงานพี่ต้นได้ไง ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ ไหนว่าแอบชอบเขามาตั้งแต่เด็ก”
“ไม่มีแหวนกับดอกไม้เรียกขอแต่งงานตรงไหน” กานติศารีบทักท้วง
“บ้าสิ แกไปยึดติดฉากคุกเข่าขอแต่งงานในหนังและซีรีส์มากไป ชวนไปอยู่ด้วยกันแบบผัวเมียก็เหมือนออกเรือนแล้ว รีบตอบเขาไปสิว่าแกจะย้ายไป” ถูกคะยั้นคะยอให้โทรศัพท์ไปหาเขา ทั้งสองแย่งโทรศัพท์มือถือกันไปมา กระทั่งกานติศาคว้าไว้ได้
“ไม่เอานะ กานยังไม่พร้อม”
“ไม่พร้อมในเรื่องอะไร สองคนใจตรงกันแล้วยังต้องรออะไรอีก ไม่พร้อมแต่งงานหรือเลิกรักเขาแล้ว นอกเหนือจากสองเหตุผลนี้ มีอะไรอีก” นับว่ารติรสแปลกใจกับการตัดสินใจของเพื่อนสนิท ณ จุดนี้มากที่สุด
เลิกรักเขา ความคิดนี้ไม่เคยอยู่ในหัวเธอด้วยซ้ำ
“กานต้องการเวลาคิดมากกว่านี้” เข้าใจพี่ต้นที่ให้เวลาแก่เธอเพื่อคิดทบทวนจิตใจ การตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต
“ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับคนรักในต่างประเทศ เป็นโอกาสที่ไม่เกิดขึ้นกับใครง่ายๆ พี่ต้นเขารักแกมากนะ ใครก็รู้ทั้งนั้น เขาชวนแกแปลว่าเขาคิดทบทวนดีแล้ว”
ทำไมเธอจะไม่รู้ แต่สิ่งเดียวที่ขวางทางเธอคือความกลัวและความรู้สึกผิดนี่ต่างหากต้องถูกกำจัด
“รส หากตอบตกลงไปแล้ว แล้วมันเกิดไม่ใช่ทีหลังล่ะ พี่ต้นเขาเป็นคนดี กานกลัวเกินกว่าจะไปทำร้ายเขา กลัวทำลายความสัมพันธ์ที่ดีที่มีกันมาตลอด เพราะกานลังเล” เผยคำสารภาพ สาวก้มหน้ารู้สึกไม่แตกต่างจากคนทำอาชญากรรม
“ลังเลเรื่องอะไร เธอมีคนอื่นหรือไง”
กานติศาพยักหน้ายอมรับเป็นคำตอบทำเอาเพื่อนรู้กช็อคระคนประหลาดใจ จะมีคนไหนที่ตั้งใจเรียน ไม่เที่ยวกลางคืน กลับบ้านตรงต่อเวลา บุคคลมือที่สามมายุ่งเกี่ยว บ่านทำลายความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องแน่นแฟ้นถึงกับสั่นคลอน รติรสซึ่งเป็นเพื่อนไม่อยู่ฐานะตัดสินใจอะไรแทนเพื่อนได้ดึงกานติศาเข้ามากอด ปลอบใจ พร่ำบอกว่าไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นจะอยู่เคียงข้างไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อรับรู้ความอบอุ่นนี้กานติศาก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ กระชับอ้อมกอดปล่อยให้เป็นหน้าที่ของน้ำตาเข้ามาช่วยระบายความรู้สึกผิดที่กวนใจอยู่ตลอดนับตั้งแต่ตื่นจากความฝันครั้งนี้
“โถ ไม่น่าเลย...”
เวลาเป็นเรื่องมหัศจรรย์ การเดินทางของเวลาเป็นไปสม่ำเสมออย่างเท่าเทียม ไม่มีปัจจัยใดมาเร่งรัดการเดินทางของเวลาได้ แต่บางครั้งความเร็วหรือช้าเป็นเรื่องของจิตใจที่มุ่งเน้นความสำคัญ กว่าจะผ่านไปแต่ละวันแล้ววันเล่า รอคอยตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกกินเวลานานในความคิดของกานติศา เธออยากให้ถึงเวลาหัวถึงหมอนไวไว เพื่อให้ได้นอนหลับลึกและสงบในห้องนอนตัวเองอย่างสงบ เพื่อกลับไป แต่ข้อความไธด์ก้องในหัวตลอด กลายเป็นส่วนจริง
‘ต่อให้เจ้าอยากกลับมา คงไม่กลับมาง่ายๆ’
‘เพราะเวลาเขาใกล้หมดแล้ว’
ยิ่งมีความคิดอยากกลับไปแค่ไหนยิ่งเป็นเรื่องยากขึ้น เพราะโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์คนเราไม่สามารถควบคุมการนอนหลับแล้วสั่งการสมองเข้าความฝันได้ตามใจสั่งได้ แต่กานติศาไม่เข้าใจข้อความด์พูดทั้งหมด เวลาใกล้หมดแล้วหมายความว่าอย่างไร สงสัยเกี่ยวกับตัวตนของไธด์ ผู้เดียวที่รู้ว่าเธอเดินทางข้ามความฝันมา แล้วยังรู้วิธีส่งตัวเธอกลับไปอีกด้วย เขาเป็นใครกันแน่ ถ้าไม่ใช่พระเจ้า
บางครั้งคำตอบว่างเปล่าปล่อยทิ้งไว้นานทำให้เหงาหงอย ชีวิตเริ่มน่าเบื่อ หายใจไปวัน ๆ จนเพื่อนสนิทนึกเป็นห่วงขึ้นมา
“อยากให้รสนอนเป็นเพื่อนมั้ย” กลัวว่าอาการคล้ายเศร้าซึมจะทำจิตใจแย่ลง กลัวว่ากานติศาผู้เสียสติจะกลับมา
“เอาสิ” พร้อมเขยิบที่เหลือพื้นที่ไว้ให้ รติรสขึ้นเตียงร่วมนอนด้วย ทั้งสองคุยกันหัวเราะกระซิกได้ไม่นานฝ่ายหนึ่งก็เงียบนิ่งไป สาวอีกคนที่ยังตาสว่านอนไม่หลับจับจ้องดูดรีมแคทเชอร์ เครื่องรางดักความฝันสีม่วงแขวนไว้ที่ขอบหน้าต่าง หมุนไปมาตามกระแสลม ผ่อนคลายขนาดสามารถนอนดูมันทั้งวันทั้งคืน
“ทำยังไงฉันจึงลืมคุณได้ ถ้าทำไม่ได้ อย่างน้อยบอกวิธีพาไปหาคุณที”
กานติศาลืมตาพบตัวเองถูกขังในม่านหมอกหนาทึบ โลกทั้งใบกลายเป็นสีขาวพบละอองเย็นลอยไปมารอบตัว เธอจำไม่ได้ว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร พอลองจิกแก้มตัวเองยังไม่เจ็บอย่างที่ควรเป็น นี่คือโลกความฝัน แต่ไม่ใช่เส้นทางความฝันที่สาวอยากไป
นี่มันเกิดอะไรขึ้น เธออยู่ที่ไหนกันแน่
สาวพยายามแหวกม่านหมอกฝืนตัวเข้าไปข้างในให้ได้ แต่หมอกมันหนาเสียเหลือเกิน วิสัยทัศน์การมองเห็นไปทางไหนเป็นสีขาวสนิท แม้ยกมือตัวเองมาดูยังแทบมองไม่เห็นมือ หญิงสาวกลัวจนสติแตกออกตัวก้าวเท้าเปล่าเปลือยวิ่ง จึงชนระจกใสล่องหนเหมือนมีใครจงใจแกล้ง ร่างสาวหมุนตลบจนหยุดอยู่กับที่กับอาการมึนหัวหนักกว่าเดิม สภาพสาวหัวโนเป็นลูกมะนาวพยายามเล็งสายตาไปที่แผ่นกระจกใสกั้น ออกแรงมือทุบกระจกก็ยังไร้ผล มีอะไรบางอย่างกำลังเข้ามาทางเธอ เพ็งสายตามองเข้าไปในกลุ่มหมอกควันสีขาวอยู่ในกระจกอีกฝั่งหนึ่ง แล้วมองเห็นเงาสีดำเลือนรางเคลื่อนที่เข้ามาหา ใบหน้าหล่อแนบชิดกับกระจกเริ่มขึ้นฝามัวเพราะลมหายใจอุ่น นั้นทำให้กานติศาอยากร้องไห้ด้วยความดีใจที่เห็นหน้าอีกครั้ง
กานติศาเขย่งตัวสูงขึ้นพยายามใกล้ชิดใบหน้าเอเดรียนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แม้จะมีกระจกบางกีดกั้นอยู่ ทำได้เพียงส่งรอยยิ้มให้กำลังใจ เขาตีหน้าเศร้าแต่ก็เหมือนยิ้มตอบกลับมา
“ให้ฉันเข้าไปหาคุณ ได้ไหมคะ”
เขาส่ายหน้า พร้อมก้าวถอยหลังห่างจากกระจก ราวไม่ต้องการให้เธอเข้าใกล้
“ทำไม คุณกำลังโกรธ ขอโทษที่ทิ้งคุณไว้อย่างนั้น ให้ฉันไปหาคุณนะคะ” นิ้วเคาะกระจกเป็นจังหวะอยากให้เขาฟังความต้องการ
เขาไม่ตอบแต่เธอกลับได้ยินเสียงพูดเข้ามาในหัวแทน
‘ที่ข้าอยู่ไม่ใช่ที่ของเจ้า ไม่ควรเข้ามา’ แล้วเขาก้าวถอยห่างจากไปอีกพร้อมคำลา
‘ลาก่อน กานติศา’
“ไม่นะ!!!”
กานติศาลุกพรวดจากที่นอน สะเทือนคนข้างๆลุกตื่นมาด้วย รติรสแปลกใจสภาพเนื้อตัวเพื่อนที่ชุ่มเหงื่อราวกับตกบ่อน้ำอย่างนั้น ร่างบางสั่นระริก แผ่นหน้าอกหายใจหอบถี่ระรัว ก่อนจะมีคำถามเจ้าตัวก็ลุกขึ้นวิ่งหนีเข้าห้องน้ำเสียก่อน พยายามโก่งคออาเจียนจนหน้าดำหน้าแดง ออกมามีแต่น้ำย่อย หาน้ำล้างปากล้างคออยู่พัลวัน แข่งกับความปั่นป่วนราวกับมีพายุตีกันเกิดขึ้นในช่องท้อง
เธอกลับไปเส้นทางนั้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
อีกนิดเดียว เธอจะได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว
อีกนิดเดียวแท้
เล่าเรื่องพี่ต้นสารภาพรักพร้อมชวนย้ายไปอยู่อเมริกาด้วยกันให้รติรสฟัง ระหว่างทั้งสองนั่งทำงานกับโน้ตบุ๊คในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เพื่อหาข้อมูลเตรียมตัวทำโปรเจคปีสุดท้าย รติรสตื่นเต้นในตอนแรกไปจนถึงชักสีหน้าผิดหวังตอนท้ายเรื่อง เมื่อพี่ต้นถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“ไงออกแบบนี้ล่ะ เหมือนหนังหักมุม แย่กว่าพระเอกนางเอกตายตอนจบเสียอีก ชอบพอกันขนาดนี้ บรรยากาศเป็นใจยังไปปฏิเสธคำขอแต่งงานพี่ต้นได้ไง ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ ไหนว่าแอบชอบเขามาตั้งแต่เด็ก”
“ไม่มีแหวนกับดอกไม้เรียกขอแต่งงานตรงไหน” กานติศารีบทักท้วง
“บ้าสิ แกไปยึดติดฉากคุกเข่าขอแต่งงานในหนังและซีรีส์มากไป ชวนไปอยู่ด้วยกันแบบผัวเมียก็เหมือนออกเรือนแล้ว รีบตอบเขาไปสิว่าแกจะย้ายไป” ถูกคะยั้นคะยอให้โทรศัพท์ไปหาเขา ทั้งสองแย่งโทรศัพท์มือถือกันไปมา กระทั่งกานติศาคว้าไว้ได้
“ไม่เอานะ กานยังไม่พร้อม”
“ไม่พร้อมในเรื่องอะไร สองคนใจตรงกันแล้วยังต้องรออะไรอีก ไม่พร้อมแต่งงานหรือเลิกรักเขาแล้ว นอกเหนือจากสองเหตุผลนี้ มีอะไรอีก” นับว่ารติรสแปลกใจกับการตัดสินใจของเพื่อนสนิท ณ จุดนี้มากที่สุด
เลิกรักเขา ความคิดนี้ไม่เคยอยู่ในหัวเธอด้วยซ้ำ
“กานต้องการเวลาคิดมากกว่านี้” เข้าใจพี่ต้นที่ให้เวลาแก่เธอเพื่อคิดทบทวนจิตใจ การตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต
“ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับคนรักในต่างประเทศ เป็นโอกาสที่ไม่เกิดขึ้นกับใครง่ายๆ พี่ต้นเขารักแกมากนะ ใครก็รู้ทั้งนั้น เขาชวนแกแปลว่าเขาคิดทบทวนดีแล้ว”
ทำไมเธอจะไม่รู้ แต่สิ่งเดียวที่ขวางทางเธอคือความกลัวและความรู้สึกผิดนี่ต่างหากต้องถูกกำจัด
“รส หากตอบตกลงไปแล้ว แล้วมันเกิดไม่ใช่ทีหลังล่ะ พี่ต้นเขาเป็นคนดี กานกลัวเกินกว่าจะไปทำร้ายเขา กลัวทำลายความสัมพันธ์ที่ดีที่มีกันมาตลอด เพราะกานลังเล” เผยคำสารภาพ สาวก้มหน้ารู้สึกไม่แตกต่างจากคนทำอาชญากรรม
“ลังเลเรื่องอะไร เธอมีคนอื่นหรือไง”
กานติศาพยักหน้ายอมรับเป็นคำตอบทำเอาเพื่อนรู้กช็อคระคนประหลาดใจ จะมีคนไหนที่ตั้งใจเรียน ไม่เที่ยวกลางคืน กลับบ้านตรงต่อเวลา บุคคลมือที่สามมายุ่งเกี่ยว บ่านทำลายความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องแน่นแฟ้นถึงกับสั่นคลอน รติรสซึ่งเป็นเพื่อนไม่อยู่ฐานะตัดสินใจอะไรแทนเพื่อนได้ดึงกานติศาเข้ามากอด ปลอบใจ พร่ำบอกว่าไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นจะอยู่เคียงข้างไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อรับรู้ความอบอุ่นนี้กานติศาก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ กระชับอ้อมกอดปล่อยให้เป็นหน้าที่ของน้ำตาเข้ามาช่วยระบายความรู้สึกผิดที่กวนใจอยู่ตลอดนับตั้งแต่ตื่นจากความฝันครั้งนี้
“โถ ไม่น่าเลย...”
เวลาเป็นเรื่องมหัศจรรย์ การเดินทางของเวลาเป็นไปสม่ำเสมออย่างเท่าเทียม ไม่มีปัจจัยใดมาเร่งรัดการเดินทางของเวลาได้ แต่บางครั้งความเร็วหรือช้าเป็นเรื่องของจิตใจที่มุ่งเน้นความสำคัญ กว่าจะผ่านไปแต่ละวันแล้ววันเล่า รอคอยตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกกินเวลานานในความคิดของกานติศา เธออยากให้ถึงเวลาหัวถึงหมอนไวไว เพื่อให้ได้นอนหลับลึกและสงบในห้องนอนตัวเองอย่างสงบ เพื่อกลับไป แต่ข้อความไธด์ก้องในหัวตลอด กลายเป็นส่วนจริง
‘ต่อให้เจ้าอยากกลับมา คงไม่กลับมาง่ายๆ’
‘เพราะเวลาเขาใกล้หมดแล้ว’
ยิ่งมีความคิดอยากกลับไปแค่ไหนยิ่งเป็นเรื่องยากขึ้น เพราะโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์คนเราไม่สามารถควบคุมการนอนหลับแล้วสั่งการสมองเข้าความฝันได้ตามใจสั่งได้ แต่กานติศาไม่เข้าใจข้อความด์พูดทั้งหมด เวลาใกล้หมดแล้วหมายความว่าอย่างไร สงสัยเกี่ยวกับตัวตนของไธด์ ผู้เดียวที่รู้ว่าเธอเดินทางข้ามความฝันมา แล้วยังรู้วิธีส่งตัวเธอกลับไปอีกด้วย เขาเป็นใครกันแน่ ถ้าไม่ใช่พระเจ้า
บางครั้งคำตอบว่างเปล่าปล่อยทิ้งไว้นานทำให้เหงาหงอย ชีวิตเริ่มน่าเบื่อ หายใจไปวัน ๆ จนเพื่อนสนิทนึกเป็นห่วงขึ้นมา
“อยากให้รสนอนเป็นเพื่อนมั้ย” กลัวว่าอาการคล้ายเศร้าซึมจะทำจิตใจแย่ลง กลัวว่ากานติศาผู้เสียสติจะกลับมา
“เอาสิ” พร้อมเขยิบที่เหลือพื้นที่ไว้ให้ รติรสขึ้นเตียงร่วมนอนด้วย ทั้งสองคุยกันหัวเราะกระซิกได้ไม่นานฝ่ายหนึ่งก็เงียบนิ่งไป สาวอีกคนที่ยังตาสว่านอนไม่หลับจับจ้องดูดรีมแคทเชอร์ เครื่องรางดักความฝันสีม่วงแขวนไว้ที่ขอบหน้าต่าง หมุนไปมาตามกระแสลม ผ่อนคลายขนาดสามารถนอนดูมันทั้งวันทั้งคืน
“ทำยังไงฉันจึงลืมคุณได้ ถ้าทำไม่ได้ อย่างน้อยบอกวิธีพาไปหาคุณที”
กานติศาลืมตาพบตัวเองถูกขังในม่านหมอกหนาทึบ โลกทั้งใบกลายเป็นสีขาวพบละอองเย็นลอยไปมารอบตัว เธอจำไม่ได้ว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร พอลองจิกแก้มตัวเองยังไม่เจ็บอย่างที่ควรเป็น นี่คือโลกความฝัน แต่ไม่ใช่เส้นทางความฝันที่สาวอยากไป
นี่มันเกิดอะไรขึ้น เธออยู่ที่ไหนกันแน่
สาวพยายามแหวกม่านหมอกฝืนตัวเข้าไปข้างในให้ได้ แต่หมอกมันหนาเสียเหลือเกิน วิสัยทัศน์การมองเห็นไปทางไหนเป็นสีขาวสนิท แม้ยกมือตัวเองมาดูยังแทบมองไม่เห็นมือ หญิงสาวกลัวจนสติแตกออกตัวก้าวเท้าเปล่าเปลือยวิ่ง จึงชนระจกใสล่องหนเหมือนมีใครจงใจแกล้ง ร่างสาวหมุนตลบจนหยุดอยู่กับที่กับอาการมึนหัวหนักกว่าเดิม สภาพสาวหัวโนเป็นลูกมะนาวพยายามเล็งสายตาไปที่แผ่นกระจกใสกั้น ออกแรงมือทุบกระจกก็ยังไร้ผล มีอะไรบางอย่างกำลังเข้ามาทางเธอ เพ็งสายตามองเข้าไปในกลุ่มหมอกควันสีขาวอยู่ในกระจกอีกฝั่งหนึ่ง แล้วมองเห็นเงาสีดำเลือนรางเคลื่อนที่เข้ามาหา ใบหน้าหล่อแนบชิดกับกระจกเริ่มขึ้นฝามัวเพราะลมหายใจอุ่น นั้นทำให้กานติศาอยากร้องไห้ด้วยความดีใจที่เห็นหน้าอีกครั้ง
กานติศาเขย่งตัวสูงขึ้นพยายามใกล้ชิดใบหน้าเอเดรียนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แม้จะมีกระจกบางกีดกั้นอยู่ ทำได้เพียงส่งรอยยิ้มให้กำลังใจ เขาตีหน้าเศร้าแต่ก็เหมือนยิ้มตอบกลับมา
“ให้ฉันเข้าไปหาคุณ ได้ไหมคะ”
เขาส่ายหน้า พร้อมก้าวถอยหลังห่างจากกระจก ราวไม่ต้องการให้เธอเข้าใกล้
“ทำไม คุณกำลังโกรธ ขอโทษที่ทิ้งคุณไว้อย่างนั้น ให้ฉันไปหาคุณนะคะ” นิ้วเคาะกระจกเป็นจังหวะอยากให้เขาฟังความต้องการ
เขาไม่ตอบแต่เธอกลับได้ยินเสียงพูดเข้ามาในหัวแทน
‘ที่ข้าอยู่ไม่ใช่ที่ของเจ้า ไม่ควรเข้ามา’ แล้วเขาก้าวถอยห่างจากไปอีกพร้อมคำลา
‘ลาก่อน กานติศา’
“ไม่นะ!!!”
กานติศาลุกพรวดจากที่นอน สะเทือนคนข้างๆลุกตื่นมาด้วย รติรสแปลกใจสภาพเนื้อตัวเพื่อนที่ชุ่มเหงื่อราวกับตกบ่อน้ำอย่างนั้น ร่างบางสั่นระริก แผ่นหน้าอกหายใจหอบถี่ระรัว ก่อนจะมีคำถามเจ้าตัวก็ลุกขึ้นวิ่งหนีเข้าห้องน้ำเสียก่อน พยายามโก่งคออาเจียนจนหน้าดำหน้าแดง ออกมามีแต่น้ำย่อย หาน้ำล้างปากล้างคออยู่พัลวัน แข่งกับความปั่นป่วนราวกับมีพายุตีกันเกิดขึ้นในช่องท้อง
เธอกลับไปเส้นทางนั้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
อีกนิดเดียว เธอจะได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว
อีกนิดเดียวแท้

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.ค. 2561, 23:44:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ค. 2561, 23:44:08 น.
จำนวนการเข้าชม : 651
<< บทที่ 14 (2) จุดเริ่มต้นคำทำนาย |