มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 14 (2) จุดเริ่มต้นคำทำนาย

“พวกเขาจับเอเดรียนกึ่งบังคับขู่เข็ญ ใช้น้ำยาสีดำกรอกปาก เพื่อควบคุมจิตใจ ลบล้างจิตใต้สำนึก เหมือนล้างสมองให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งตัวตนของเขาเอง ใช้ชีวิตเหมือนหุ่นเชิดปฏิบัติตามคำสั่งอยู่อย่างนั้นหลายปี จนกระทั่งวันหนึ่งได้พบเจ้า”

เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาโหดร้ายป่าเถื่อนตอนเจอกันครั้งแรก เพราะอยู่ภายใต้ฤทธิ์ของยานั้นเอง

“นี่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ในอดีตเขาต้องเจออะไรมา...” ทำนบน้ำตาแตกปล่อยโฮออกมาสุดกลั้น

“ฉันทำตัวไม่ดี ทำตัวใจร้ายกับเขา ทั้ง ๆที่เขาน่าสงสารมาก ฉันทิ้งเขานอนเจ็บอยู่อย่างนั้น ขยับตัวไม่ได้เลย ใจไม้ไส้ระกำทอดทิ้งเขาไว้อย่างนั้นได้ยังไง...” สาวพรวดตีจากไธด์ ก้าวไปทางตรงกันข้าม

“จะไปไหน” ไธด์รั้งตัวกานติศาไว้ได้

“ต้องกลับไป ทิ้งเขาไว้อย่างนั้นไม่ได้ ปล่อยเถอะค่ะ” พร้อมสะบัด แกะนิ้วมือกำข้อมือเธอไว้อย่างเหนียวแน่น

“ปล่อย ฉันต้องไป”

สิ้นคำพูดทำเขาฉุนขาด ใช้พละกำลังดึงตัวนางกลับมาเผชิญหน้าจ้องตาเขา

“เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่...เสียสติกกลับไปหาเขาเนี่ยนะ ข้าไม่ได้เล่าเรื่องนี้เพื่อให้เจ้ากลับไป อย่าลืมสิว่าเจ้าคือเครื่องบูชายัญ เขามีหน้าที่ทำลาย ฆ่าเจ้า เจ้ามีหน้าที่ตายอย่างเดียว จำไม่ได้แล้วหรือเจ้าถูกเขาทรยศแล้ว”

“ฉันรู้ค่ะ รู้แค่ว่าต้องกลับไป”

เมื่อสบแววตาอันแน่วแน่ ต่อให้พูดชักแม่ทั้งห้าก็มิสามารถเปลี่ยนใจนางได้อีก

“ข้าปล่อยให้ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก มาเพื่อส่งเจ้ากลับบ้านเท่านั้น กานติศา ตั้งสติให้ดี ความปรารถนาสูงสุดคือการได้กลับบ้านของเจ้า ลืมเอเดรียนซะ อย่ากลับมาที่นี่อีก”

เดี๋ยวนะ ไธด์พูดราวกับเธอเดินทางข้ามไปข้ามมาอย่างใจสั่ง เธอไม่สามารถควบคุมความฝันอะไรได้เลย เหมือนเขาได้ยินความคิด สองมือกำลังจับหัวไหล่สาวทั้งสองข้างเลื่อนขึ้นไปหยุดที่ลำคอแทน

“ต่อให้เจ้าอยาก คงไม่ได้กลับมาง่ายๆ เพราะเวลาเขาใกล้หมดแล้ว”

“คุณจะทำอะ...” สาวลิ้นจุกปากเมื่อถูกรัดบีบคอจนหายใจไม่ออก จึงออกแรงต่อต้าน อยากเอาชีวิตรอดมากกว่ากลับบ้าน ทั้งทุบตีทั้งข่วนใบหน้าไธด์แรงแค่ไหนสีหน้าเรียบเฉยไม่สะเทือน ไม่สนใจทีท่าการตะเกียกตะกายหาทางหายใจจนเข่าอ่อน สิ้นน้ำเสียง หมดเรี่ยวแรง เขายังมุ่งมั่นบีบคอนางต่อไปจนกว่าหมดลมหายใจ

ร่างบางกระตุกสองสามครั้ง ความมืดดำเข้าปกคลุมสติอันเลือนราง สัญญาณชีวิตและลมหายใจขาดหายจนสิ้นใจแล้ว




หญิงสาวลืมตื่นจากห้วงนิทรา เมามึนหัวภายใต้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ยังคงเหลืออยู่ รติรสคิดตระหนักมองเพดานหอพัก ตนมานอนบนเก้าอี้รับแขกตัวนี้ได้อย่างไร จึงก้าวลงจากเก้าอี้เข่าก็อ่อนพับลงไปนั่งกับพื้น ครั้งสุดท้ายตอนมีสติกำลังเต้นคลอเสียงเพลงดังกระหึ่ม ด้วยลีลายั่วยวนสายตาผู้ร่วมฟลอร์ จากนั้นจำอะไรไม่ได้อีก มีใครพาเธอมาที่หอพัก ไม่น่าใช่กานติศา

นอกจากปวดหัวและคลื่นเหียนจนอยากอาเจียนจึงลุกไปห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด เปิดประตูผัวะเสียงดัง สายตาสองคู่จ๊ะเอ๋กันพอดี ภาพกันต์ทำธุระส่วนตัวนั่งบนโถสุขภัณฑ์ทำให้สาวขมคอเผลอกลืนก้อนอาเจียน เขาดึงผ้าเช็ดมือมาปกปิดส่วนหนึ่งของร่างกายป้องกันภาพอุจาดตา รติรสตาสว่างหายมึนงงในแทบทันที

“กรี๊ด คนบ้า คนลามก” ปาข้าวของใส่คนครองห้องน้ำมาตั้งแต่เช้า

“เฮ้ย อะไร คนเปิดประตูเข้ามาไม่ใช่ผม มาว่าผม...” อ้ารับขวดสบู่ ตามด้วยขวดสเปรย์ลอยเฉียดผ่านหน้าเขาพลาดไปนิดเดียว นิสัยไม่เคยล็อกกลอนประตูห้องน้ำเมื่อใช้ห้องน้ำส่วนตัวที่บ้านอย่างเคยชิน บังเอิญเจอหล่อนพรวดพราดเปิดมาเห็นเข้า

“ทำไมไม่รู้จักหัดใส่กลอนมั้ง คนผีทะเล” หล่อนยกมือปิดตาในแบบไม่สนิท มีช่องว่างระหว่างนิ้วสามารถมองผ่านได้อยู่ดี แล้วจะปิดตาเพื่อ?

“ออกไป ไอ้กันต์”

ทำลายเวลาแห่งการปลดปล่อยสิ่งตกค้างให้สบายท้องตั้งแต่เช้าตรู่ เล่นงานเขาจนหมดความมั่นใจ ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายพอมีเหลืออยู่ให้ปกป้อง “ผมยังทำธุระไม่เสร็จ จะหยุดกลางคันได้ไง พี่นั้นแหละออกไป”

รติรสถูกไล่ตะเพิดออกไปจนได้ เปลี่ยนเป็นอาเจียนใส่ถุงแทน เพิ่งตระหนักว่ากันต์มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หมอนั้นเพิ่งได้กลับบ้านไปเมื่อวันก่อนไม่ใช่หรือ ทั้งสองใช้เวลาปลดปล่อยให้เสร็จอยู่นานสองนาน จึงออกมาด้วยสภาพที่ค่อนข้างต่างกัน ไม่ใครพูดทักทายหรือสบตาอะไรอีก คนน้องชายหายเข้าไปในห้องนอนพี่สาว

“พี่กานเป็นอะไรไป” รติรสได้ยินเสียงกันต์จึงตามเข้าไปดู

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

รติรสไม่สนใจสภาพห้องเต็มไปด้วยกระดาษกะเรี่ยกะราดแม้จัดเก็บอย่างเป็นระเบียบบางส่วนไปมากกว่าอาการเพื่อนสนิท กานติศาอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนมือกุมลำคอตัวเอง ใบหน้าตื่นตระหนกตกใจราวเพิ่งถูกทำร้ายมา แม้น้องชายให้ความมั่นใจว่าลำคอพี่สาวไม่เป็นอะไร ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี

“ถูกบีบคอ เกือบตายไปแล้ว...” บ่นพึมพำด้วยเสียงสั่นเครือและเบา มือสั่นเทานวดเคล้นคลึงรอบลำคอตัวเอง ปล่อยลมหายใจออกมายาวเหยียดเมื่อคำนึงถึงชั่ววินาทีที่เกือบตาย

ไธด์บีบคอเธอจนขาดอากาศตายไปแล้ว กลายเป็นส่งเธอได้กลับบ้านแทน

ทุกครั้งที่หวนกลับบ้านล้วนต้องผ่านความตายมาทั้งนั้น ไม่ใช่กลับมาด้วยวิธีการจบชีวิตตนเอง

กานติศาดื่มน้ำจากแก้วที่เพื่อนสนิทส่งให้ ทั้งคู่นั่งขอบเตียงจับตาดูอาการอันน่าเป็นห่วงของเธอ มีหรือที่เธอจะไม่ดีใจที่ได้กลับบ้านแล้ว และคว้าพวกเขามากอดทีละคนอย่างดีใจราวกับไม่ได้เจอมานาน ดูวันเวลาเพิ่งเธอเพิ่งจะหลับไปเพียงแปดชั่วโมงเท่านั้น กับเกือบยี่สิบวันที่อาศัยอยู่ในความฝัน

“ไม่รู้สึกบ้างเหรอว่าพี่สาวนายเปลี่ยนไป”

“ยังไง” เขาถูกเพื่อนพี่สาวดัก หลังออกมาจากห้อง

“ไม่รู้สิ พี่ก็อธิบายไม่ถูก คนละคนกับเมื่อวานนี้ ไม่เหมือนคนสติแตก ดูยอมรับอะไรได้ง่ายขึ้น...”

รติรสพูดให้กันต์คิดตามและเห็นด้วย พี่สาวคนเมื่อวานมีอาการหวาดกลัว ขี้กังวลถึงขั้นคุมสติไม่อยู่ ไม่ยอมหลับนอนพักผ่อนตามเวลา แถมติดสารคาเฟอีนอย่างหนัก วันนี้กลับสงบมากขึ้น

“คงเพราะได้พักผ่อนเสียทีนะ บังคับพี่กว่าจะนอนทำเอาแทบตาย นอนหลับนอกจากช่วยให้สดชื่นแล้วยังช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นอีกด้วยนะ” ออกความคิดเห็นตามเนื้อหาหนังสือที่เคยอ่าน

“เดี๋ยวก่อนนะ นายมาเมื่อคืน แล้วใครพาพี่กลับบ้านล่ะ ใช่นายป่ะ” เป็นชนักติดหลังไม่พอยังกลับรื้อฟื้นคดีวันวานมาพูดอีก กันต์ไม่รู้จะซ่อนหน้าไปไว้ที่ไหน ร้อนผะผ่าวทั่วใบหน้าตามลำตัว โดยเฉพาะที่ริมฝีปากเคยถูกบดขยี้อย่างหนัก เหลือบตามองไปที่ตัวการจะหาว่าโกรธก็ไม่เชิง ราวถูกเหยียบย้ำศักดิ์ศรีความเป็นผู้ชาย หล่อนทำให้เขารู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กไร้ประสบการณ์

“เป็นอะไร หน้าแดงแปลกๆ เป็นไข้เหรอ” รติรสเข้าหาเขาเมื่อเห็นอาการล่อกแล่กผิดปกติ เขาพยายามใช้แขนบังหน้าตัวเองเพื่อหลบตา

“คอนายเป็นอะไร เป็นภูมิแพ้หรือเปล่า” แล้วยังสังเกตรอยจ้ำๆสีแดง บริเวณคอและตามแนวไหปลาร้า บวกสีหน้าเหมือนคนถูกรังแกมันชวนให้น่าสงสัยมากขึ้น

“อย่ามายุ่งกับผมน่า เพราะพี่คนเดียวนั้นแหละ...ชิ” กันต์วิ่งสะบัดตูดหนีเข้าห้องไป ปล่อยให้อีกคนงุนงง

สาวถูกผลักออกไปฉับพลันภาพเมื่อคืนไหลทะลักเข้ามา เป็นเหตุการณ์เล่าภาพช็อตต่อช็อต เธอได้อาเจียนในห้องน้ำที่ผับมีชายคนหนึ่งช่วยลูบหลังให้ เขาเสนอให้เธอขี่หลังหนีทางหน้าต่างทันทีได้ยินเสียงหวอตำรวจ สาวก่อความวุ่นวายเมาอาละวาดภายในรถแท็กซี่และอ้วกโถมใส่เขา ยังมีน้ำใจช่วยพยุงร่างไม่ให้คลานไปตามพื้นถนนตลอดไปจนถึงหอพัก บนเก้าอี้โซฟาตัวนั้นพลันดันเกิดอารมณ์ขึ้นชั่ววูบจับเขามากอดจูบปล้ำ แต่เขาไม่ได้คิดเล่นด้วยเกือบจะร้องไห้เรียกหาแม่ด้วยซ้ำ และแล้วนายคนนั้นคือ...กันต์

“อุ้ย แม่ร่วง”




หน้ากระจกขนาดเต็มตัวสาวเตรียมแต่งชุดนักศึกษา แม้ว่าร่างกายสะอาดหลังอาบน้ำ ปราศจากรอยขีดข่วนใด ๆ แต่ยังรู้สึกถึงรอยแผลจารึกอยู่มากมาย ทุกวันในโลกความฝันเธอมักได้แผล รอยฟกช้ำ สลักเป็นที่ระลึกในความทรงจำว่าเคยดำเนินชีวิตเป็นไปด้วยอย่างลำบากมาก กานติศาทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ว่าแล้วเธอกับเขาไม่มีวันเดินบนเส้นเดียวกันที่โคจรมาบรรจบกัน ต่อให้มีโอกาสนั้นเธอต้องตายสถานเดียว

เมื่อตระหนักถึงสถานะของตัวเองและเขา มันยากที่จะยอมรับว่าอยู่ในฐานะเครื่องบูชายัญ เขามีหน้าที่ทำลายเธอ แม้ว่าเขามีอดีตที่น่าสงสารมาก แต่เธอย่อมมีสิทธิ์ปกป้องตัวเอง

นี่อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ที่เธอแยกตัวออกมาจากความฝัน

กานติศาท่องขึ้นใจ หากกลับไปโลกนั้นอีกเธอจะได้ไม่หวั่นไหวอีก ด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ส่งผลสาวตั้งใจเรียนฟังเก็บรายละเอียดทุกเม็ดไม่มีตกหล่น ตรงข้ามกับรติรสจมอยู่กับความรู้สึกผิดข้อหาเกือบกระทำชำเราผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ควรส่งข้อความไปหากันต์เพื่อขอโทษสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่

สิ้นชั่วโมงเรียนรติรสตัดสินใจส่งข้อความไปขอโทษกันต์ จนกระทั่งอีกฝ่ายเปิดอ่านแล้วเงียบไป ไม่ตอบอะไรกลับมา นั้นทำให้สาวยิ่งมีน้ำโหมากขึ้น พิมพ์ข้อความตำหนิติเตียนสวนทางกับความสำนึกผิดในตอนแรก

‘อ่านแล้วไม่ตอบ เสียมารยาทมาก’

‘เมินคำขอโทษได้ไง’

‘วันหลังเจอกันห้ามพูด ห้ามทักพี่อีก’

กริ๊ง

ราวกับได้ขึ้นสวรรค์ คว้าโทรศัพท์มือถือมารับสายประหนึ่งเด็กโลดเต้นดีใจได้ของเล่นใหม่สดๆร้อนๆ กลับต้องผิดหวังสุดขีดเมื่อเสียงเรียกสายเข้าไม่ได้มาจากของเธอ กานติศากดรับสายมือถือ

หนอยไอ้กันต์ ถูกเมินไม่พอยังถูกเขาหักหน้า หน้าแตกแบบหมอคร้านจะเย็บ

ทำไมผิดหวังขนาดนี้จังเรา

ระหว่างทางกลับกานติศาปลีกตัวจากเพื่อนสนิทเพื่อมุ่งทางไปร้านคาเฟ่มักใช้บริการเป็นประจำซึ่งนัดกับพี่ต้นไว้ เดินผ่านตลาดนัดเช่าพื้นที่ส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัย สนใจเครื่องประดับเครื่องรางวงกลม ข้างในวงกลมมีถักทอเป็นตาข่ายลวดลายสวยงาม ประดับด้วยลูกปัดและขนนกหลากสี เจ้าของร้านพยายามขายของดึงดูดลูกค้า

“ดรีมแคทเชอร์ เราเรียกกันว่า ตาข่ายดักฝัน หรือ เครื่องดักความฝัน เป็นเครื่องรางหัตถกรรมตามความเชื่อของชาวอินเดียแดงตั้งแต่โบราณซึ่งช่วยกรองความฝัน ให้ฝันดีอยู่กับตัว ขับไล่ฝันร้ายให้สลายไป...”

กานติศาไม่ลังเลซื้อโดยไม่ต่อราคากลับบ้านรวมสามชิ้น คิดเพลิดเพลินวางแผนแขวนหน้าต่างห้องนอน ห้องน้ำ แม้แต่ที่บ้าน จนกระทั่งผู้ชายร่วมโต๊ะต้องสะกิดเรียก สังเกตความสนใจของรุ่นน้องไม่ได้อยู่กับเขาเลย จิตใจล่องลอยไปไกลที่อื่นจนเขาอยากวิ่งไล่ตามกลับมาสนใจเขา

“แปลกจัง เราไม่เจอกันไม่กี่วันเอง แต่เหมือนไม่ได้เจอกันมานานมาก” ธรณินทร์เลื่อนจานขนมเค้กช็อคโกแล็ตขึ้นมากินด้วยกัน

“ขอบคุณค่ะ”

หลังๆมานี้สาวพูดน้อยนับคำ เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนเธอพูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย ๆ ทำไมวันนี้เจ้าตัวกลายเป็นคนพูดน้อยแล้วยังไม่คอยให้ความสนใจเขาตามที่ควรเป็น “หนนี้พี่คิดว่ากานเปลี่ยนไปมากนะ”

ส้อมตัดแบ่งชิ้นเค้กชะงักหยุด เลื่อนสายตาขึ้นสบตา โดนเขาพูดจากะทันหันเป็นใครก็ตกใจ สาวม้วนเส้นผมที่เริ่มยาวขึ้น ไม่ถูกตัดสั้นเหมือนตอนปลอมตัวเป็นนายทาส “เปลี่ยนยังไงคะ กานไม่เข้าใจ”

“ก็ดูเงียบ โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น หรือเป็นเพราะพี่ทำงานหนักไม่มีเวลามาเจอกาน น้อยใจนะ ที่ไม่ติดต่อหาพี่บ้างเลย” แกล้งทำหน้างอนใส่ ตักขนมเค้กชิ้นโตใส่เข้าปาก

“อย่าโกรธกานเลย รู้ว่าพี่ทำงานหนักเลยไม่อยากโทรไปรบกวนพี่ ยินดีด้วยนะคะเรื่องโปรเจค แล้วก็ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยพากานไปโรงพยาบาล กันต์ยังเล่าว่าพี่ต้องไปเคลียร์กับตำรวจเพื่อจ่ายใบสั่ง กานควรมีความรับผิดชอบในส่วนนี้ด้วย”

“บ้าน่า เรื่องเล็กน้อย ต่อให้ผิดกฎมากกว่านี้พี่ก็ยินดีทำ เพราะสุขภาพกานสำคัญกว่า” แสดงห่วงใยจริงจังและจับมือเธออย่างปลอบโยน สาวนึกอยากจะดึงมือออกแต่คงเป็นการเสียมารยาท

“กานไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ” ถูกหาว่าเปลี่ยนไป เป็นผู้ใหญ่ขึ้น แน่นอนเธอต้องต่อสู้ในความฝันและผ่านเรื่องทั้งดีและไม่ดี ประสบการณ์เหล่านั้นแม้จะเป็นเพียงชั่ววินาทีเดียวก็เปลี่ยนชีวิตกานติศาไปตลอดกาล จะให้กลับมาเป็นกานติศาคนเดิมก็กระไรอยู่ ตีเนียนดึงมือข้างหนึ่งเป็นอิสระยกถ้วยกาแฟมาดื่มทำกลบเกลื่อน ธรณินทร์หน้าเสียเล็กน้อยราวถูกปฏิเสธกลาย ๆ

“ถึงไม่เจอกันหลายวัน สำหรับกาน พี่ต้นก็เหมือนเดิมนะ เป็นพี่ชายแสนดีค่อยปกป้องกานกับกันต์ตลอด จำตอนเด็กได้ คิดทีไรก็ขำทุกที มีหมาตัวหนึ่งหน้าบ้านมันไล่กวดพวกเราไม่หยุด จนวันหนึ่งกันต์ได้เลือดที่บ้านต้องบึ่งรถไปโรงพยาบาลฉีดวัคซีนห้าเข็ม ทุกคนต่างกังวลใจเรื่องความปลอดภัย พี่ต้องล่อหลอกมันไปหาหมาตัวเมียในซอยบ้านถัดไป มันน่าทึ่งจริง ๆค่ะ มันไม่กลับมาอีกเลย ถึงไม่ใช้ความรุนแรงแต่ก็ไม่มีใครคิดวิธีนี้ ยกพี่เป็นพี่ชายแสนดีเป็นฮีโร่ท้ายซอยเลย” สาวหัวเราะร่วน หารู้ไม่ว่าคนฟังกลับไม่ตลกด้วย

“เป็นได้แค่พี่ชายเท่านั้นเหรอกาน”

“อะไรนะคะ” สาววางถ้วยกาแฟลง

“กาน ไปอเมริกากับพี่กันเถอะนะครับ...” เขาเบื่อที่จะทนฟัง ถูกย้ำสถานะเป็นได้แค่พี่ชาย พี่ชายแสนดี แม้จะไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดก็เถอะ เขาอยากยกระดับสถานะเป็นไปมากกว่าพี่ชาย ฐานะผู้ชายคนหนึ่งมีความรับผิดชอบเพื่อดูแลคนรักไปตลอดชีวิต ความห่างเหินจนสัมผัสได้ในตอนนี้ทำให้เขากักเก็บต่อไปไม่ไหว

“พี่ต้น ล้อเล่นใช่มั้ย”

“ไม่ได้ล้อเล่น พี่ตัดสินเข้าทำงานเป็นทีมงานให้กับสตูดิโอในแอลเอ จะย้ายไปอยู่อเมริกาหลังโปรเจคจบ ดังนั้นกานอยากไปกับพี่มั้ย คงรู้กันนะว่าเราสองคนมีใจตรงกัน พี่ไม่อยากแกล้งทำเป็นไม่รู้อีกต่อไป เหนื่อยที่จะทำตัวเป็นพี่ชายแสนดี ความจริงพี่ไม่ใช่คนดีขนาดนั้น...”

“พี่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่อยากจะแสดงความรัก กับผู้หญิงที่ชอบ...” เขาอับอายที่ประกาศโต้งๆว่าเขากำลังเป็นผู้ชายกลัดมันแต่ก็เป็นความจริง หลังฟังยื่นคำขาดเขามองเห็นสีหน้าเคร่งเครียด เนื่องจากถูกกดดันอย่างเด่นชัด มือไม้กานติศาสับสนวางเนื้อวางตัวไม่ถูกจึงยกแก้วน้ำมาดื่มรวดเดียว อยากบอกว่าเขาลุ้นคำตอบและเครียดหนักยิ่งกว่าเก่า

“กะ กานไปไม่ได้หรอกค่ะ บ้านกานและครอบครัวอยู่ที่นี่ แล้วก็เรื่องเรียนอีก ยังไม่ได้เริ่มต้นชีวิตทำอะไรเลย...พี่กำลังบังคับกานทอดทิ้งเรื่องพวกนี้ออกไปจากชีวิต”

ธรณินทร์เสียใจจนบอกไม่ถูก

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนกานไม่ปฏิเสธพี่ทันที จะบอกพี่ว่า กานขอเวลากลับไปคิดดูก่อน แต่ตอนนี้ไม่แม้จะขอเวลาไปคิด พี่เริ่มไม่แน่ใจว่าพี่ยังเป็นคนเดิมที่อยู่ในใจกานหรือเปล่า...”

“พี่ไม่กล้าขอให้กานทิ้งทุกอย่างในชีวิตเพื่อไปกับพี่หรอก นั้นเป็นเรื่องที่กานต้องตัดสินใจ ต้องวางแผนเอง ที่พี่ตัดสินใจพูดในวันนี้เพราะกานโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” ธรณินทร์วางเงินไว้ข้างโต๊ะ สบตารุ่นน้องด้วยแววตาผิดหวังสุดซึ้ง

“พี่ต้น จะไปไหนคะ” สาวทำท่าจะลุกตาม เขากลับยกมือห้ามไว้ ณ เวลานี้ขออยู่คนเดียวจะสบายใจกว่า

“คำตอบเมื่อกี้ พี่จะทำเป็นไม่ได้ยินละกัน กานเอาเรื่องอเมริกาไปคิดอย่างทบทวน ถามหัวใจก่อน ค่อยตอบพี่อีกครั้ง”

สาวถูกทิ้งในร้านคาเฟ่คนเดียวกำจัดเค้กที่เหลือจนหมด บางทีพี่ต้นให้เวลาสงบเธอเพื่อไปคิดก็ดีบ้างเหมือนกัน เพราะเวลานี้มีหลายอย่างคาค้างในใจอยู่ ตัวเธอเหมือนได้กลับมาก็จริง แต่มีบางส่วนยังไม่กลับมา
พี่ต้นพูดถูก ที่หาว่าเธอเปลี่ยนไป

กานติศาปิดตาคล้ายยอมรับด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่แค่ความคิดเธอที่เปลี่ยนไป ทั้งมุมมองและความคิด รวมถึงเสียงเรียกร้องจากหัวใจได้เปลี่ยนไปแล้ว



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ก.ค. 2561, 20:32:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ก.ค. 2561, 20:32:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 534





<< บทที่ 14 (1) จุดเริ่มต้นคำทำนาย   บทที่ 15 (1) หัวใจเพรียกหา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account