ชายา ตอน เล่ห์รักดวงใจกรณ์
เพราะรูปถ่ายที่ได้เห็นเพียงครั้งเดียวในห้องทำงานของ ชินกฤต หรือเสือ แห่งตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ทำให้กรณ์ วิจิตรนาถ หลงรักเธอทันที เขาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับของหัวใจ แต่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมีคนรู้ความลับนี้เข้า และได้ทำตัวเป็นกามเทพ นำพาเธอมาหาเขา
ชิญาดา หรือน้องหนู ตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ได้รับโชคก้อนใหญ่ ได้มาเที่ยวกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมืองที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก ของสถานที่ท่องเที่ยว และสถาปัตยกรรมมากมาย เธอเดินทางมาคนเดียว ปลายทางคือเพื่อนรัก ที่ไม่ได้เจอกันมานาน จึงจะมาเซอร์ไพรส์ แต่ความคิดมันสวนทางกับความจริง เมื่อมาเจอเพื่อนถูกผู้ชายเลวทรามคนหนึ่งทำร้าย
ปลายกระบอกปืนที่เล็งมา จะเอาลมหายใจจากไปจากร่างกาย ทำให้เธอกลัวไปทั้งใจ แต่หลังจากนั้นคือการลุกขึ้นสู้ คนเลวทรามต้องติดคุก แต่คุกไม่ได้มีไว้ขังคนมีเงิน มีอำนาจ เธอถูกข่มขู่ คุกคาม กามเทพจึงอุ้มเธอมาใส่ในมือเขา ที่กางแขนโอบกอดเธอไว้ ไม่ให้คลาดไปจากสายตา ห่างไกลไปจากหัวใจอีกเลย
ทุกอย่างน่าจะจบลงที่ความสุข แต่หัวใจไม่ใช่เงินตรา ที่จะจับต้องหยิบไปใช้เมื่อไรก็ได้ เธอไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขา เขาจึงต้องทำให้เธอเห็น ด้วยภาษากาย พูดให้เธอฟัง ด้วยภาษาใจ และกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ในอ้อมแขน จนเธอรับรู้แต่กลับต้องวางหัวใจ เมื่อความลับของคนมีอำนาจ กำลังจะพรากเพื่อนรักไปจากเธอ
การแย่งชิง ไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม ถูกนำมาใช้ ท่ามกลางความรัก และผลประโยชน์ของตระกูลบลูโน โค ทุกคนกลายเป็นหมาก ที่ต้องเดิมเกมอย่างระวัง เพราะถ้าพลาดพลั้งทุกอย่างต้องพังทลาย ชิญาดากลายเป็นกุญแจสำคัญที่ใครๆก็ต้องการตัว แต่จะมีใครช่วงชิงเธอไปจากอ้อมแขนแห่งรักของกรณ์ ได้หรือไม่ ต้องติดตาม...
ชิญาดา หรือน้องหนู ตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ได้รับโชคก้อนใหญ่ ได้มาเที่ยวกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมืองที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก ของสถานที่ท่องเที่ยว และสถาปัตยกรรมมากมาย เธอเดินทางมาคนเดียว ปลายทางคือเพื่อนรัก ที่ไม่ได้เจอกันมานาน จึงจะมาเซอร์ไพรส์ แต่ความคิดมันสวนทางกับความจริง เมื่อมาเจอเพื่อนถูกผู้ชายเลวทรามคนหนึ่งทำร้าย
ปลายกระบอกปืนที่เล็งมา จะเอาลมหายใจจากไปจากร่างกาย ทำให้เธอกลัวไปทั้งใจ แต่หลังจากนั้นคือการลุกขึ้นสู้ คนเลวทรามต้องติดคุก แต่คุกไม่ได้มีไว้ขังคนมีเงิน มีอำนาจ เธอถูกข่มขู่ คุกคาม กามเทพจึงอุ้มเธอมาใส่ในมือเขา ที่กางแขนโอบกอดเธอไว้ ไม่ให้คลาดไปจากสายตา ห่างไกลไปจากหัวใจอีกเลย
ทุกอย่างน่าจะจบลงที่ความสุข แต่หัวใจไม่ใช่เงินตรา ที่จะจับต้องหยิบไปใช้เมื่อไรก็ได้ เธอไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขา เขาจึงต้องทำให้เธอเห็น ด้วยภาษากาย พูดให้เธอฟัง ด้วยภาษาใจ และกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ในอ้อมแขน จนเธอรับรู้แต่กลับต้องวางหัวใจ เมื่อความลับของคนมีอำนาจ กำลังจะพรากเพื่อนรักไปจากเธอ
การแย่งชิง ไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม ถูกนำมาใช้ ท่ามกลางความรัก และผลประโยชน์ของตระกูลบลูโน โค ทุกคนกลายเป็นหมาก ที่ต้องเดิมเกมอย่างระวัง เพราะถ้าพลาดพลั้งทุกอย่างต้องพังทลาย ชิญาดากลายเป็นกุญแจสำคัญที่ใครๆก็ต้องการตัว แต่จะมีใครช่วงชิงเธอไปจากอ้อมแขนแห่งรักของกรณ์ ได้หรือไม่ ต้องติดตาม...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 15
ตอน 15
อาคารราฟ เวดดิ้ง ยังคงสวยงามด้วยชุดแต่งงานหลากหลายแบบ ที่โชว์ให้คนที่แวะมาและผ่านไปได้เห็น พนักงานยังคงทำหน้าที่ให้การต้อนรับดีเยี่ยม ส่วนเจ้าของเวลานี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องทำงาน บนโต๊ะทำงานเขามีรูปของอดีตคนรักวางกระจายอยู่ ตั้งแต่ได้รูปมาเขาครุ่นคิดวนเวียนด้วยคำถามเดิมๆ ว่าที่เธอกลับมาหาเขา ต้องการอะไรกันแน่ เพื่อเย้ยไอ้เอริคนั่น..ใช่
แต่น่าจะเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เพราะถ้าใช่จริงๆ เธอต้องควงแขนเขาไปเย้ยมันแล้ว แต่นี่เธอยังหลบซ่อนตัวอยู่ แสดงว่าต้องมีเหตุผลอื่นซึ่งสำคัญมาก ทำให้เธอยังไม่ปรากฏตัวออกมา และเขาก็ติดต่อเธอไม่ได้ ต้องรอจนกว่าเธอจะติดต่อกลับมา นั่นแสดงว่า เธอกำลังเล่นเกมบางอย่างอยู่
เขาเคาะนิ้วกับโต๊ะทำงาน เมื่อยังคิดหาทางแล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียด คลายความอึดอัดที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สงสัยอยู่ได้ แล้วหยิบโทรศัพท์เพื่อจะโทรหานักสืบ แต่มีสัญญาณเข้ามาที่โทรศัพท์ของเขาเสียก่อน เขาทำหน้าเบื่อหน่ายเมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้ามา กดรับสาย แล้วยกขึ้นแนบหู
“ครับ ครับ” ปากเขาก็รับคำ แต่สีหน้ากับแววตามีความแปลกใจปนสงสัย “ครับ” คำสุดท้ายที่ตอบรับแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ คำสั่งให้ไปทานมื้อค่ำของพ่อ จากคนเป็นแม่ที่บอกที่มาที่ไป แม้จะมีความสงสัย แต่ไม่ได้คิดให้ลึกลงไปเมื่อเรื่องตรงหน้าสำคัญกว่า
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด โทรศัพท์เขาดังขึ้นมาอีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็รีบกดรับสาย เพราะเบอร์แปลกที่ขึ้นมานั้น เขารู้ได้ทันทีว่าเธอโทรมาหา ริมฝีปากเหยียดออกยิ้ม ขณะที่แววตาก็วาวไปด้วยความสาสมใจ ที่จะได้ตลบหลังเธอเสียที
“คิดถึงกันอยู่ไหมคะ” เสียงเธอหวานเจือความขำให้รู้ว่าเป็นการพูดเล่น ซึ่งเขายินดีที่จะเล่นตามอยู่แล้ว
“ถ้าบอกว่าใช่ จะทำให้ดีใจเก้อหรือเปล่า” เขาแสร้งพูดกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพื่อให้เธอรู้สึกว่าเขากำลังกลุ้มใจอยู่ ซึ่งเธอต้องการที่จะล้วงความลับเขาอยู่แล้ว ต้องกระโจนเข้าใส่ทันที แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิด เมื่อเสียงพูดกลับมาไม่มีแววขำอีกแล้ว
“ฟังเสียงแล้วไม่ค่อยดี มีอะไรหรือเปล่า ยินดีที่จะรับฟังนะ”
“คนที่เพิ่งหักอกคุณมา โดนยิง” เขาหยิบเหยื่อชิ้นใหญ่ ตกปลาทันที แล้วก็ได้ผล
“งั้นเหรอ” เสียงเธอไม่มีความตกใจ ฟังออกจะหยันด้วยซ้ำไป และถ้าเขาได้เห็นแววตาจะได้รู้ว่ามีความเกลียดชังเพียงใด คาริสานั่งอยู่บนเตียงนอนในห้องที่เธอซ่อนตัวอยู่ และจะอยู่ที่นี่เป็นวันสุดท้าย “สาหัสไหมคะ ฉันจะได้ใส่ชุดถูก”
“เก็บสีดำไว้ก่อนเถอะ”
“แสดงว่าไม่เป็นอะไรมาก เสียดายที่ไม่ตาย” เสียงเธอไม่ปิดบังความชิงชัง
“คิดร้ายขนาดนี้ แสดงว่าที่เจอมาหนักมากซินะ มันทำอะไร” เขาหลอกถาม เพื่อจะให้เธอบอก แต่เธอกลับไม่ตกหลุม
“อย่าไปรื้อฝืนเลย” เธอตัดบท ตัดความหวังของเขา แววตาจึงชิงชังขึ้นมาทันที โชคดีที่ต่างก็ไม่เห็นหน้ากันสีหน้าแววตาจึงแสดงออกได้เต็มที่ แล้วต้องรีบปรับสีหน้า เพื่อให้เสียงเป็นปรกติ เมื่อเธอถามมาว่า “แต่เกิดอะไรขึ้นคะ ถึงได้ไปโดนมา”
เขาเล่าให้ฟัง เหมือนไม่ได้รู้เรื่องอะไรมาก่อน ว่าไปมีเรื่องกับคนชื่อกรณ์เพราะไปยุ่งกับผู้หญิงของเขา ขณะที่คาริสาก็ประติดประต่อเรื่องทุกอย่างได้ทันที และห่วงใยเพื่อนขึ้นอีกมากมาย แต่ไม่เป็นไร อีกไม่นานเธอจะทบต้นทบดอกให้คนเลวนั้นชดใช้ทุกอย่างให้เธอ
“อยากให้ช่วยอะไรหรือเปล่า หรืออยากไปดูเลือดของมัน ก็ยินดีนะ” เขาแสดงน้ำใจ เพื่อแผนการที่วางไว้ในใจ ถ้าเธอยอมเขาก็จะได้รู้ที่อยู่เธอ และจะจับตัวเธอมาเค้นความจริง แต่เธอกลับตอบมาว่า
“ฉันไม่อยากเห็นเลือดเขาหรอก เพราะคนอื่นทำมันไม่สะใจเหมือนได้ทำเอง”
“ใช่ เธอพูดถูก ไม่มีใครทำแทนใครได้จริงๆ ยิ่งคนที่ทำให้เราเจ็บเราต้องตอบแทนอย่างสาสม” เขาบอกให้เธอรู้ แต่เธอที่ไม่รู้ว่าเขารู้แล้วว่าเธอเป็นใคร คำพูดที่บอกไป จึงคิดว่าเป็นแค่การเออออไปกับเธอเท่านั้น “แล้วเราเจอกันได้ไหม” เขาหาทางเพื่อจะรู้ให้ได้ว่าเธออยู่ที่ไหน แต่ต้องคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง เมื่อเธอบอกว่า
“ไว้วันหลังดีกว่า วันนี้ฉันอยู่ต่างเมือง ไม่สะดวก”
“ที่ไหน ฉันไปหาได้นะ” เขาถามแล้วเริ่มจะรู้ตัวว่าแสดงออกมากเกินไป เธออาจจะสงสัยขึ้นมา ก็แก้ตัวมาว่า “ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร อยากเจออยากคุยเมื่อไร ก็โทรแล้วกัน”
“ขอบคุณ” คาริสาวางสาย แล้วรู้สึกว่าอดีตคนรักแปลกไป ก่อนหน้าที่เจอเขาไม่มีความสนใจที่จะรู้เรื่องของเธอด้วยซ้ำ แต่มาวันนี้กลับถาม และรู้สึกถึงการอยากเจอเธอ ... เขาจะรู้อะไรมาหรือเปล่า
เธอคิดทบทวนคำพูดเขาอีกครั้ง และต้องขอบคุณความเจ็บปวดที่ได้รับมา ทำให้เธอมองโลกในแง่ร้ายขึ้น ไม่ว่าเขาจะรู้อะไรมา หรือพูดดีหรือทำดีมากน้อยแค่ไหน สุดท้ายแล้วถ้าเขารู้ว่าเธอมีความลับเขาอยู่ในมือ เขาก็ไม่มีทางที่จะปล่อยเธอไป ต้องจัดการเธอให้ความลับนี้เป็นความลับตลอดไป
*********
ขณะที่ราฟก็คิดหนักยิ่งกว่าเดิม เพิ่มเติมก็คือพยายามคิดว่าเธอจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนได้ ทำไมใครๆถึงหาเธอไม่เจอเสียที เธอเล็ดรอดสายตาคนของผู้หญิงแถวหน้า และนักสืบที่เขาจ้างไปได้ยังไง ที่สำคัญเธอมาหาเขาถึงสองครั้ง ในเวลาที่ไม่ต่างกันแสดงว่าเธอต้องวนเวียนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขา
เขาโทรศัพท์ไปหานักสืบทันที สอบถามความคืบหน้าโดยไม่รอให้ติดต่อกลับมา และทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย เขาก็ถามออกไป “ได้เรื่องหรือยัง”
“ยัง แต่ไม่ใช่จะไม่ได้อะไรเลย” เสียงนักสืบที่ตอนนี้อยู่ในห้องของหญิงสาว มันลักลอบเข้ามาขณะที่คนเฝ้าเผลอหลับ แต่ก่อนจะเข้ามาก็ได้สืบหาข้อมูล จากการถามคนที่พักอาศัยอยู่ที่นี่มาบ้างแล้ว มันเดินตรวจตราไปรอบห้อง และเริ่มจะเห็นบางอย่างที่ผิดปรกติไป ของที่หายและร่องรอยการเคลื่อนที่
“ว่ามา”
มันบอกให้ราฟรู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน แล้วอธิบายสิ่งที่พูดไปว่า “ห้องพักของเธอ มีร่องรอยของคนเข้ามาตรวจสอบ จากที่ดูพวกของมีค่าหายไป สันนิฐานได้ว่ามีคนเข้ามา อาจจะเป็นเธอหรือใครที่ต้องตัวเธอ”
คำพูดนี้ทำให้เขาคิดถึงความคิดก่อนหน้านี้ของตัวเองทันที การมาหาเขาของเธอกับอาจเป็นเธอ จะเป็นไปได้ไหมว่า ที่ใครหาตัวเธอไม่เจอ เพราะที่ๆอันตรายที่สุด คือที่ๆปลอดภัยที่สุด เธออาจจะอยู่ที่นั้น แต่ไม่ใช่ห้องของเธอแต่อาจจะเป็น...
“เดี๋ยวนะ” เสียงนักสืบหยุดคำพูดเขาไว้ เมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง ราฟก็ถามออกมาทันที
“มีอะไร”
“เสียง นอกประตู ฝั่งตรงกันข้าม”
“หมายความว่าไง”
“ห้องนั้นไม่มีคนอยู่ แล้วใครเปิดปิดประตู”
นักสืบทิ้งคำถามพลางรีบเดินไปที่ประตู ส่วนราฟก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความตื่นเต้น และภาวนาขอให้เป็นอย่างสิ่งที่คิด เป็นเธอที่หลบซ่อนตัวอยู่ที่นั้น จะได้จับตัวมาถามสิ่งที่คาใจให้รู้เรื่องกันไปเสียที
นักสืบเปิดประตูออกไป มองห้องตรงข้าม ประตูนั้นปิดสนิทไปแล้ว จึงมองทางด้านซ้ายและขวา เห็นหลังหญิงสาวคนหนึ่งเดินตรงไปที่ลิฟต์ มันรีบเดินตามไปทันที แต่ไม่ทันเธอเข้าไปในลิฟต์แล้ว มันรีบวิ่งก่อนประตูลิฟต์จะปิด แต่ไม่ทัน แต่ทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเป็นหน้าเดียวกับรูปที่มันให้คนจ้างไป
-************
คฤหาสน์บลูโน โค กรองแก้วกลับจากที่ทำงานมาก่อนสามี เพราะต้องมาดูแลความเรียบร้อยของอาหารสำหรับแขกที่จะมาทานมื้อค่ำวันนี้ เธอยืนอยู่ในห้องอาหาร มองทุกอย่างที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างพอใจ บนโต๊ะอาหารมีดอกไม้สดสวยๆ จานช้อนแก้วเครื่องดื่มวางเป็นชุดคู่กัน อาหารเธอก็สั่งมาจากห้องอาหารที่มีชื่อเสียง ของชอบของแต่ละคนนั้น เธอสอบถามจากสาวใช้เก่าแก่ ซึ่งรู้ว่าอดีตภรรยากับลูกๆของสามีเธอนั้นชอบอะไร เธอก็สั่งมาให้ครบ รอแค่ทุกคนมาของทุกอย่างก็จะวางบนโต๊ะทันที
ส่วนห้องพักที่จะใช้รับรองแขก เธอก็ขึ้นไปดูมาแล้ว สาวใช้ได้จัดไว้ให้ตามที่สั่ง เรียบร้อยแล้วเช่นกัน แต่จนถึงตอนนี้เธอก็ยังสงสัยว่าคนที่จะมาพักนั้นเป็นใคร แล้วทำไมต้องเชิญทุกคนมาที่นี่ยกเว้นญาติหนุ่มของเธอ กับลูกนกที่เขาปกป้อง
“นายหญิงคะ”
กรองแก้วหันไปมองหน้าสาวใช้ที่เข้ามายืนนอบน้อมอยู่ไม่ห่าง เธอยิ้มให้ก่อนจะถามว่ามีอะไร แล้วคำตอบที่ได้ก็ทำให้อึ้งไปเล็กน้อย ก็เดินออกจากห้องอาหารมายังห้องโถงใหญ่ คิดไม่ถึงว่าจะได้ต้อนรับแขกเร็วขนาดนี้
คนเป็นแขกยืนอยู่กลางห้องโถงใหญ่ มองความงดงามของของที่ประดับตกแต่งไว้ ความวิจิตรตระการตาของ ภาพวาดอันเก่าแก่บนผนัง โคมไฟคริสตัลเป็นประกายระยิบระยับ ส่องกระทบแจกันลายครามปักดอกไม้สดให้กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วห้อง และโดดเด่นด้วยโซฟาหลุยส์โบราณ มองแล้วทำให้คิดถึงอดีตที่ครั้งหนึ่งเธอได้เป็นเจ้าของครอบครอง ได้นั่ง...
เธอเชิดหน้าขึ้นเดินย่างกรายดุจนางพญาไปที่โซฟาตัวใหญ่ ปลายนิ้วลากลูบสัมผัสถึงอำนาจความยิ่งใหญ่ เพราะคนที่จะได้นั่งคือเจ้านายผู้ชายหรือเจ้านายผู้หญิงเท่านั้น ริมฝีปากเหยียดออกยิ้ม ขณะที่สายตาก็เปล่งประกาย แล้วจะนั่งลง แต่...
“สวัสดีค่ะ คุณราเซล”
เสียงทักที่ดังขึ้นข้างหลัง อดีตนายหญิงคนที่สองของคฤหาสน์นี้จำได้ดีว่าเป็นเสียงใคร คอแข็งขึ้นมา หน้าตาก็เหยียดหยัน แล้วหันหน้ามามองนายหญิงคนปัจจุบัน ที่เข้ามาครอบครองที่นี่แทนเธอ แต่อย่าคิดว่าเธอยอมถอยแค่คำพูดที่เหมือนจะเตือนให้รู้ถึงการควรไม่ควร เหยียดยิ้มออกมาประกายตาเธอท้าทาย แล้วนั่งลงบนโซฟาให้เห็นกันซึ่งหน้า
กรองแก้วยิ้มเย็นไม่ถือสา เดินเข้าไปยืนใกล้ๆเหมือนค้ำอีกฝ่ายไว้ แล้วถาม “มาเร็วแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ราเซลเชิดหน้าขึ้นราวกับเธอเป็นเจ้าของที่นี่ และมีอำนาจเหนือคนที่ยืนอยู่ทุกอย่าง “ฉันควรจะถามเธอมากกว่า ว่าที่ทำทั้งหมด มีอะไรแบบซ่อนไว้”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ ก็อย่างที่บอก ทุกอย่างที่ทำก็คือคำสั่งของโจนส์”
“คำสั่งโจนส์แต่เธออาจจะทำนอกเหนือคำสั่ง ปิดบังซ่อนเร้นไม่ให้ฉันได้รู้ ฉันจึงต้องมาดูก่อนที่จะเสียรู้เธอไง”
“แล้วเห็นอะไรนอกจากความอยากมีอยากได้ของตัวเองไหมคะ” เธอว่าเพราะเห็นการกระทำของอีกฝ่ายเมื่อกี้นี้
“ความจองหองของเธอไง”
“งั้นก็ดีเลยค่ะ เพราะเดี๋ยวฉันจะสั่งให้คนเอาโซฟาตัวนี้ไปเผา แล้วก็ซื้อใหม่ ไม่อยากให้มีเสนียดของคนที่พูดจาไม่ดีกับฉันติดอยู่ ไม่อยากจะคันนะคะ”
ราเซลลุกพรวดขึ้นมา แววตาจ้าราวกับจะฉีกอีกฝ่ายให้ แล้วเปลี่ยนเป็นเหยียดหยัน กวาดตามองไปรอบๆห้องโถง ก่อนจะมองออกไปข้างนอก “เธอได้คันแน่ ถ้าฉันจับได้ว่าเธอคิดร้าย”
“ตามสบายค่ะ แล้วลูกสองคนของคุณละคะ ไม่มาพร้อมกันเหรอ”
“เดี๋ยวก็ตามมา แต่อาหารค่ำนี้ นางหงส์เอวามารวมโต๊ะด้วยหรือเปล่า” เธอถามทั้งๆที่คิดไว้อยู่แล้วว่ามันต้องมา เพราะเหตุที่ถูกอดีตสามีเรียกมา ก็เดาไว้ว่าเพราะลูกของมันที่ทำเรื่องขึ้นมานั่นเอง
“มาค่ะ ทั้งสามคนเหมือนกัน ฉันขอตัวนะคะ ไม่ได้นั่งอยู่ต้อนรับคงไม่ว่ากัน เพราะคุณคุ้นเคยอยู่แล้ว และถ้าคุณอยากจะเดินดูหรือสำรวจอะไรก็ตามสบายเช่นกัน แต่อย่าหยิบจับไปของที่ไม่ใช่ของเราแต่เป็นของคนอื่นไปแล้วนะคะ มันไม่ดี” พูดจบกรองแก้วก็เดินออกจากห้องไป
ราเซลขึงตามองตามไปด้วยความหมั่นไส้ ในความหยิ่งยโส แล้วมองไปรอบๆห้อง ความเสียดายปรากฏขึ้นเต็มสีหน้า ที่เธอมาก่อนเวลาเพราะอยากจะมารำลึกความหลังที่เคยได้เป็นเจ้าของที่นี่ การจับผิดที่พูดออกไปเป็นข้ออ้างเท่านั้นเอง
************
รถยนต์คันหรูวิ่งไปบนถนนมุ่งสู่คฤหาสน์บลูโน โค เอวาภายในรถอดีตนายหญิงคนที่หนึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลังกับลูกชาย ที่ไปรับมาจากห้องพัก ท่าทางภายนอกเธอนิ่งดุจนางหงส์เช่นเดิม แต่จิตใจร้อนรุ่มไปกับปัญหาที่ยังคิดไม่ตก ว่าอดีตสามีนั้นนัดให้ไปทานมื้อค่ำเพราะอะไร
เอริคที่ทราบเรื่องทุกอย่างจากคนเป็นแม่แล้ว ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน และที่หนักใจมากไปกว่านั้นคือ คำพูดของแม่ที่บอกเขาเมื่อกี้ว่า ไอ้ราฟติดต่อนักเลงนักสืบ มันจะให้สืบอะไร ถ้าไม่ใช่หาตัวคาริสาผู้หญิงที่เขาเขี่ยทิ้งมาเล่นงานเขา และยังจะเรื่องเพื่อนของเธอ ที่จะถูกอุ้มอีก จะเป็นฝีมือมันด้วยหรือเปล่า ถ้าใช่แสดงว่ามันต้องรู้อะไรมาแน่ๆ
“แม่คิดว่าจะใช่ฝีมันมันด้วยหรือเปล่า ที่จะอุ้มเพื่อนของคาริสา”
“ถ้าไม่ใช่มันก็ต้องเป็นแม่มัน คงอยากเค้นหาที่อยู่ของนังนั้น เพื่อจะเอาตัวมาสอบถามว่าซ่อนเร้นอะไรไว้ จะได้เอามาเล่นงานเรา”
“หรือบางที คาริสาก็อาจจะบอกมันไปแล้ว จึงได้จ้างนักสืบหาตัว เพื่อจะได้ตัดไฟแต่ต้นลม”
“ไม่หรอก นังนั้นคงไม่โง่ขนาดนั้น มันอันตรายเกินไป เพราะถ้าไอ้ราฟมันรู้ว่า ความลับนั่นคือความเลวของมัน มันไม่เก็บเธอไว้แน่”
“ก็ไม่แน่นะครับ เพราะเธออาจจะต่อรองกับมันเหมือนที่เคยต่อรองกับผม”
“แล้วนังนั้นจะต้องการอะไรจากมัน”
“ยื่มมือมันมาทำลายผม”
เอวานิ่งไปกับคำตอบที่คิดแล้วอาจจะเป็นไปได้ เพราะความแค้นของผู้หญิงนั่นน่ากลัว ตอนนี้ชื่อเสียงลูกชายเธอก็โดนทำลายไปแล้วส่วนหนึ่ง ถ้ามันสองคนร่วมมือกัน คงขยี้เรื่องการทำร้ายร่างกายให้เป็นการทารุณกรรม แล้วอนาคตของเอริคดับวูบ เพราะไม่มีอะไรมาคัดค้านหรือแก้ตัวได้เลย
“ถ้าเป็นอย่างที่คิด เราจะแก้เกมมันยังไงดีครับ”
“ค่ำนี้ก็จะได้รู้ว่า มันทำอะไรอยู่”
“แล้วถ้าใช่ เราจะทำยังไงครับ”
เอวาไม่ตอบ แต่ประกายตาของเธอนั้นช่างน่ากลัว แล้วนั่งเงียบไม่พูดอะไรอีก เอริคก็เช่นกัน เขาไม่มีความกระด้างกับแม่อีกแล้ว เมื่อเรื่องมันใหญ่เกินรับมือ
**********
คนที่สองแม่ลูกคิดถึง นั่งอยู่ในรถยนต์ของตัวเอง ขับเคลื่อนไปยังจุดหมายเดียวกัน และจิตใจก็เป็นเช่นเดียวกันอีก คือหาความสงบสุขไม่ได้ มันร้อนรุ่มกระวนกระวาย เพราะการรอคอยความหวังผลสำเร็จ ราฟกำพวงมาลัยรถที่จับไว้แน่น เมื่อคิดไปถึงก่อนหน้านี้ ที่เกือบจะได้ตัวหญิงสาวที่กำลังหาตัวอยู่ ซึ่งก็คืออดีตคนรักของเขานั่นเอง มันแคล้วคลาดกันไปแค่เส้นยาแดง นักสืบไม่สามารถตามเธอทัน ตอนนี้ก็กำลังควานหาตัวเธอยู่ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีรายงานข่าวมาให้เขารู้
คิดแล้วเขาก็อยากจะขับรถกลับไปสมทบกับนักสืบ ช่วยหาตัวเธอนัก เพราะร่องรอยที่ได้มานั้นมันเหมือนใกล้แค่เอื้อมอีกไม่เท่าไรก็จะได้ตัวเธอมาแล้ว ราฟต้องข่มใจไว้หนักเพราะการไปคฤหาสน์บลูโน โค ก็สำคัญมากเช่นเดียวกัน ไม่มีข่าวคราวใดๆออกมา ว่าคนเป็นพ่อเชิญทุกคนไปทานข้าวทำไม คงมีเรื่องสำคัญที่จะต้องพูดแน่ๆ ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่าคือเรื่องของไอ้เอริค ท่านจะจัดการมันยังไง
เขาเหยียดริมฝีปากออกยิ้ม มีความสะใจขึ้นมาช่วยคลายความกระวนกระวาย แล้วเหยียบคันเร่งๆความเร็วของรถให้ไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด โดยไม่รู้ว่าอีกไม่นานเขาจะได้เจอกับคนที่แคล้วคลาดกันไปแค่เอื้อม
หญิงสาวที่ทุกคนต้องการตัว กำลังเดินเข้าไปในอาคารบลูโน โค ใบหน้าสวยมีรอยยิ้มติดอยู่ที่ริมฝีปาก ราวกับมีเรื่องให้สุขใจ แล้วเปิดยิ้มกว้างให้กับสาวสวยที่ยืนต้อนรับอยู่ตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ซึ่งทักทายด้วยไมตรีจิตที่มอบให้กับทุกคนที่เข้ามาติดต่อ จากนั้นก็ถามถึงวัตถุประสงค์ที่มา
“ต้องการพบใครคะ”
“ประธานบลูโน โค”
“แล้วคุณคือ...”
“คาริสา อชิระ เรียนท่านว่าคาริสา”
ประชาสัมพันธ์สาวยิ้มหวานให้ แต่ไม่ยกโทรศัพท์กดรายงานท่านประทาน กลับเชิญให้เธอเดินตามไป แต่คาริสาไม่ขยับเพราะกลัวจะมีใครมาเล่นเล่ห์หลอกเอาตัวเธอไป ประชาสัมพันธ์สาวจึงหันมาบอกว่า “ท่านรออยู่ค่ะ”
“เรียนให้ท่านมาพบฉันก็แล้วกัน”
ประชาสัมพันธ์สาวมีสีหน้าแปลกใจ แต่ก็ทำตามเพราะท่านประธานเพิ่งโทรมาสั่งกำชับไว้นั่นเอง ไม่เกินสิบนาทีนายใหญ่แห่งบลูโน โค ก็ปรากฏตัวขึ้น ท่านแนะตัวกับเธอ คาริสายกมือไหว้พลางลอบมองชายสูงวัย ลักษณะท่าทางมีความเป็นผู้นำมาก บุคลิกน่านับถือและยังเต็มไปด้วยอำนาจ จากนั้นท่านก็พาเธอไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ข้างตึก เมื่อทั้งคู่เข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว คนขับก็ขับรถออกไป
ประธานโจนส์มองหญิงสาวคราวลูก เธอสวยสมกับที่เป็นผู้หญิงของเอริค ดูอ่อนหวานจนไม่น่าจะซ่อนพิษร้ายไว้ขนาดนี้ แต่ความรักสำหรับบางคนผู้หญิงแล้วเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อไม่สมหวังแล้วถูกทำร้ายอย่างหนัก ก็จะร้ายกว่าผู้ชายมากนัก ถึงตอนนี้ท่านก็ยังไม่รู้ว่าความลับที่เธอมีนั่นคืออะไร แต่ที่เธอบอกว่ามีลูกท่านอีกคนเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ท่านคิดไว้แล้วว่าน่าจะไปเป็นใคร
“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจหนู และยอมทำในสิ่งที่หนูขอร้อง”
“ฉันหวังว่าจะทดแทนชดเชยกับสิ่งที่ลูกฉันทำกับหนูไว้บ้าง”
“โทษของลูกไม่เกี่ยวกับพ่อแม่ ไม่มีใครมาชดใช้ความผิดแทนกันได้หรอกค่ะ”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว เพราะฉันอบรมลูกไม่ดี มันทำเรื่องเลวร้ายขนาดนี้”
“แต่บางทีถึงท่านจะอบรมลูกดี แต่ถ้าลูกไม่รัก ท่านก็ทำอะไรได้หรอกค่ะ พ่อแม่ทุกคนเลี้ยงร่างกายลูกให้เติบโตเหมือนกัน แต่ไม่อาจเลี้ยงจิตใจให้ดีเหมือนกันได้ เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ภายในร่างกายไม่สามารถที่จะมองเห็น ว่าส่วนไหนชำรุดควรซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาให้ดี ฉะนั้นท่านอย่าโทษตัวเองเลยค่ะ”
“ถึงจะเป็นอย่างนั้น ฉันในฐานะพ่อก็ควรต้องรับผิดชอบ”
“ท่านก็ทำอยู่แล้วนี่ค่ะ แค่นี้หนูก็ขอบคุณมากแล้วค่ะ”
โจนส์ถอนหายใจออกมายาวๆ คิดถึงการเผชิญหน้ากัน เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่หวังว่าจะเห็นทางแก้ปัญหาให้ดีขึ้นมา
**********
หลังทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ชิญาดาก็แยกตัวมาจากคนปกป้อง ออกมานั่งบนเก้าอี้ไม้ที่วางอยู่ตรงน้ำพุจำลอง มองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับฟ้า แล้วคิดถึงเรื่องเพื่อนกับคลิปที่ส่งมาให้ดู และมีข้อความกำชับให้เธอเก็บไว้ให้ดี ซึ่งเธอเข้าใจว่า คงไม่ให้เธอบอกใคร แม้แต่คนที่ปกป้องเธออยู่ เพราะเขานั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลบลูโน โค เนื่องจากญาติสาวที่เกี่ยวดองกันอยู่
เธอจึงต้องมาคิดทบทวนว่าถ้าบอกให้เขารู้ เขาจะทำยังไง ทำลายหรือปกป้อง เพราะถ้าเทียบกันแล้วเพื่อนเธอก็เป็นเพียงแค่คนที่เขารู้จัก ส่วนตัวเธอถึงจะเป็นคนรักแต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับญาติสาวของเขา ที่มีสายเลือดผูกพันกันอยู่ ความสัมพันธ์ย่อมแน่นแฟ้นมากกว่าคนรักแน่นอน เว้นเสียแต่เขาจะรักเธอมากพอที่จะฟังคำขอร้องจากเธอ แต่ความชอบที่เกิดขึ้นมานาน เพิ่งจะเปลี่ยนเป็นความรัก ที่เกิดขึ้นมาในระยะสั้นๆ จะเพียงพอที่จะมีค่ามากกว่าสายเลือดหรือเปล่า
ฉะนั้นเขาอาจจะทำลายก็ได้ แล้วเพื่อนเธอจะทำยังไง เมื่อไม่มีอำนาจบารมีใดๆที่จะต่อสู้หรือต่อรองได้อีก อีกอย่างคาริสากำลังจะปรากฏตัวออกมา แม้เธอจะไม่รู้ว่าเพื่อนรักจะใช้วิธีไหน แต่ที่บอกว่าจะได้เจอกัน ทำให้เธอไม่อาจจะบอกเขาได้จริงๆ คงต้องเก็บไว้กับตัว จนกว่าจะแน่ใจว่าควรจะทำยังไง
เมื่อสรุปความคิดได้ ชิญาดาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วสะดุ้งเพราะมีอ้อมแขนมาสวมกอดจากด้านหลัง เธอรู้ว่าเป็นใครจึงไม่มีการดิ้นรน แต่พอหันไปมองก็โดนคนกอดหอมแก้มฟอดใหญ่ เธอมองค้อนขณะเขายิ้มอย่างอารมณ์ดี แล้วพาตัวมานั่งข้างๆเธอวาดแขนข้างหนึ่งโอบไหล่เธอไว้ ส่วนมืออีกข้างก็จับมือเธอไว้
ชิญาดามองการแสดงออกตั้งแต่แรกเจอจนมาถึงปัจจุบัน ความสุขเกิดขึ้นมากลบความกังวลใจ ไม่เคยคิดว่าความรักจะเกิดขึ้นกับเธอได้เร็วขนาดนี้ จะเป็นด้วยเรื่องใดก็สุดจะรู้ หรือจะเป็นเพราะความประทับใจที่เขาชอบเธอมานาน และแสดงออกอย่างชัดเจน หัวใจเธอจึงยอมรับเขาอย่างง่ายได้ บวกกับที่เขามาปกป้อง ดูแล อย่างที่ไม่เคยมีใครทำให้ ก็ยิ่งเปิดใจ จนรักเขา
เธอเม้มริมฝีปากข่มความเขินที่ยอมรับความรู้สึกว่ารักเขาเป็นครั้งแรก และเช่นเคยที่ไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาของกรณ์ เขาเลิกคิ้วขึ้นบอกความสงสัยแต่ไม่ถาม นอกจากรั้งศีรษะเธอเข้ามาใกล้แล้วจูบขมับเธอเบาๆ ยิ้มให้แล้วชี้ชวนให้เธอดูพระอาทิตย์ที่ตกดินไปพร้อมกัน
แต่ความสุขอยู่ด้วยไม่นาน เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงกรณ์ก็ดังขึ้น เขาหยิบมาดูชื่อคนโทรเข้ามา แล้วกดรับสายทันที เสียงที่พูดมาให้ได้ยินนั้นทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา “ได้ ตกลงตามนี้” พูดจบเขาก็ลุกขึ้น ปล่อยมือชิญาดา ซึ่งมองออกว่าเขากำลังจะไปทำอะไรบางอย่าง
“ไปไหนคะ”
“ล่าคน”
ความห่วงใยผุดขึ้นมาเต็มหัวใจทันที แล้วจะรั้งเขาไว้ด้วยความห่วง “ไหนบอกว่าจะไม่ปล่อยมือไงคะ” ถามแล้วก็ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเขา
“แค่ชั่วคราวนะน้องหนู พี่มีเรื่องที่ต้องไปจัดการ”
“เรื่องอะไรคะ แล้วทำไมไม่พาน้องหนูไปด้วย”
“มันอันตราย พี่ไม่พาน้องหนูไปเสี่ยงเด็ดขาด เพราะถ้าพลาดขึ้นมาก็ขอให้เป็นพี่คนเดียวที่เจ็บ”
“ไม่ยุติธรรม ทำไมไม่เจ็บด้วยกัน ทำไมต้องโดนทิ้งไว้คนเดียว ไม่รู้เหรอคะว่ามันทรมาน ที่เห็นคนรักเจ็บ”
“คนรัก รักพี่มากไหม”
ชิญาดายืนนิ่งไม่ตอบ แต่สีหน้าแววตาบอกความรักความห่วงใยชัดเจน กรณ์ยกมือขึ้นแตะแก้มนุ่มลูบแผ่วๆให้คลายความห่วงใย “รอพี่อยู่ที่นี่ รับรองว่าไม่มีใครทำอันตรายได้เด็ดขาด เดี๋ยวพี่ก็กลับมา ไม่ต้องเป็นห่วง พี่สัญญาจะกลับมาให้น้องหนูรับขวัญแน่นอน”
“จริงนะ”
กรณ์ให้รอยยิ้มเป็นสัญญาก้มหน้าลงจูบหน้าผากเธอ แล้วเดินไปที่รถที่มีคนขับมารออยู่แล้ว นั่นเพราะผินสั่งให้คนของเขามาแล้วนั่นเอง
ชิญาดามองตามรถที่ค่อยๆเคลื่อนออกไป ในเวลาพลบค่ำอย่างนี้ เขาจะไปตามล่าใคร เธอคิดแล้วก็นึกออก พวกที่จะอุ้มเธอเมื่อวันก่อน ที่เชื่อมโยงมายังเพื่อนของเธอกับความลับที่เธอรู้แล้วว่าคืออะไร เธอห่วงเขาเต็มหัวใจแล้วเป็นฝ่ายที่ทนไม่ได้เสียเอง ที่จะเห็นเขาออกไปเสี่ยงอันตราย จึงคิดจะบอกความลับให้รู้ เธอรีบวิ่งไปให้ทันรถแต่ไม่ทันรถเลี้ยวออกไปจากประตูรั้วแล้ว
*********
คฤาหาสน์บลูโน โค สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ ตั้งแต่ประตูมาถึงตัวคฤหาสน์ ให้สวยงามเด่นสง่าขึ้นมา รถยนต์ของอดีตนายหญิงคนแรกของตระกูล ถูกขับเข้ามาจอดเทียบหน้าบันไดหินขาวมุก คนขับรีบเปิดประตูลงมาเปิดประตูให้เจ้านาย เอวาก้าวออกมาจากรถ ใบหน้าเธอเชิดวางท่าราวกับนางพญาเหมือนเมื่อครั้งที่ได้เป็นหนึ่ง ปรายตามองไปรอบบริเวณที่ยังจดจำได้ดี และมีความเสียดายล้นอยู่ในอก กำมือที่ถือกระเป๋าข่มความรู้สึกนั้นไว้ ทำนิ่งเฉยเสมือนว่าไม่มีความรู้สึกใดๆ
เอริคก้าวออกจากรถมายืนข้างคนเป็นแม่ เขามองเข้าไปด้านใน ความเงียบนั้นบ่งบอกว่าอาจจะยังไม่มีใครมา และไม่มีใครออกมาต้อนรับ เขารู้สึกไม่พอใจสีหน้าตึงขึ้นมาทันที เพราะเขาเป็นถึงลูกเจ้าของ และแม่เขาถึงไม่ได้เป็นนายที่นี่แล้ว แต่ก็ยังเป็นคนสำคัญ ที่คนในสังคมยอมรับ แต่กลับไม่มีใครโผล่หน้ามาต้อนรับ
เขาจะก้าวขึ้นไปเอาเรื่อง แต่มีคนโผล่มาเสียก่อน เป็นเมียปัจจุบันของพ่อเขานั่นเองที่มากับสาวใช้
กรองแก้วยิ้มแบบยินดีต้อนรับทั้งสองคน แต่ยังไม่พูดคำเชิญออกมา ก็เห็นท่าทางเชิดหน้าของอดีตภรรยาของสามีเอวาปรายตามองเหยียดหยันอยู่ภายใต้สีหน้าที่นิ่งเฉย แล้วเอาคืนที่ปล่อยให้เธอรอ ด้วยการมองไปรอบๆราวกับสนใจต้นไม้ ใบหญ้ามากกว่าคนที่จะมาเชิญ แล้วต้องเปลี่ยนท่าทีคอแข็งขึ้นมา เพราะอีการาเซลที่โผล่มาให้เห็นก็รู้สันดานมันทันที ว่าจะต้องแส่เป็นคนพูดคำเชิญออกมา
เธอรีบเดินขึ้นบันไดก่อนที่มันจะพูดออกมา ราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง ซึ่งเธอไม่ยอมให้มันเหนือกว่าแน่นอน ราเซลเบ้ปากออกหยัน เพราะเธอนั่นเห็นการวางท่าของนางหงส์ ตั้งแต่ลงมาจากรถแล้ว แต่ไม่แสดงตัวออกมา เพราะอยากจะดูความจองหองเท่านั้นเอง แล้วยิ้มเยาะก่อนจะถามอย่างรู้ทันว่า
“ไม่ชมนกชมไม้ต่อแล้วเหรอ”
เอวาก้าวมายืนตรงหน้า มองด้วยสายตาสมเพชตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วจะเดินผ่านเข้าไปข้างใน แต่ราเซลชิงเดินเข้าไปเสียก่อน พร้อมหัวเราะเยาะคนข้างหลังที่จะเดินตามเข้าไป ให้รู้ว่าต่อไปนี้เธอเป็นผู้นำไม่ใช่ผู้ตาม เอวาต้องข่มใจอย่างหนัก ตอนนี้เป็นทีของอีการาเซล แต่อีกไม่นานหรอก เธอกดความแค้นไว้แล้วเดินเข้าไปข้างใน โดยมีเอริคตามเข้าไปติดๆ
กรองแก้วได้แต่ถอนหายใจ ในฐานะเจ้าบ้านเธอมีสิทธิ์ที่จะปรามทั้งคู่ แต่ที่ไม่ทำและนิ่งอย่างเดียวนั้น เพราะรู้ว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เจอกันเมื่อไรไม่คำรามก็กระโจนเข้าหากัน แล้วเธอจะเอาตัวเข้าไปขวางให้เกิดรอยขีดข่วนทำไม
ทุกคนเริ่มทยอยมากันแล้ว อีกไม่นานคงมากันครบ และคนที่จะปิดท้ายก็คือสามีเธอกับแขกที่ยังเป็นปริศนาว่า...เป็นใคร
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ลูกชายอีกหนึ่งคนกับลูกสาวอีกสองคนของโจนส์ก็มาถึง ทุกคนเข้าไปนั่งอยู่ในห้องโถง กรองแก้วดูแลให้การรับรองทุกคนเท่าเทียมกัน แต่ทั้งสองฝ่ายต่างนั่งกันคนละมุม และอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา รถยนต์คันหรูของประธานโจนส์ก็มาถึงคฤหาสน์
คนขับรีบเปิดประตูออกมาเปิดให้เจ้านาย ซึ่งก้าวออกมายืนข้างรถ ปรายตามองเข้าไปในรถก่อนจะก้าวขึ้นบันได กรองแก้วออกมาต้อนรับสามี ท่าทางเขาดูเหนื่อยๆสีหน้าก็มีความเคร่งเครียด เธอยิ้มหวานให้ปลอบใจ และคล้องแขนเขาพาเดินเข้าไปข้างใน พร้อมกับบอกให้รู้ว่า ทุกคนมากันครบแล้ว
โจนส์ให้ทุกคนไปนั่งพร้อมกันที่โต๊ะอาหาร โดยมีเขานั่งเป็นประธานที่หัวโต๊ะด้านซ้ายมือคือกรองแก้วภรรยาคนปัจจุบัน ถัดไปคือราเซลอดีตภรรยาคนที่สองกับลูกอีกสองคน ราฟกับเรนียา ส่วนด้านขวาเอวาอดีตภรรยาคนแรก ลูกชายเอริคและลูกสาวเอริน่า
เขามองตวัดสายตามองทุกคน แล้วนิ่งอยู่อึดใจก็พูดขึ้น “ทานข้าวเถอะ อิ่มแล้วเราค่อยคุยกัน”
“คุยไปทานไปก็ได้นะคะ จะได้มีอรรถรส” ราเซลเอยออกมา เพราะอยากรู้เต็มแก่แล้วว่า เขาเรียกมาทำไม
“ใช่ครับ พูดๆออกมาเถอะ จะได้จบๆไป” เอริคที่ทนความนิ่งไม่ได้อีกคน ก็เสนอออกมา
โจนส์ตวัดสายตามองทั้งสองคนแล้วสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ทานข้าว”
ทุกคนทำตาม ภายในห้องอาหาร นอกจากเสียงช้อนกระทบจานเบาๆแล้วก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงใดๆอีก กระทั่งทุกคนอิ่ม ก็ย้ายมานั่งที่ห้องโถง โจนส์นั่งบนโซฟาตัวใหญ่เคียงคู่กรองแก้ว ส่วนเก้าอี้ที่เหลือก็เป็นอดีตภรรยากับลูกๆ แล้วก็เริ่มพูดขึ้น
“ตอนนี้คิดว่าทุกคนคงรู้ว่าเรามีปัญหาอะไรกันอยู่ และขยายกว้างออกไป ให้มีผลกระทบยังไงบ้าง และเพื่อที่จะให้ทุกอย่างยังคงอยู่ ฉันจำเป็นต้องทำบางอย่าง แต่ก่อนที่จะพูดออกไป ใครจะยอมรับความผิดครั้งนี้ และแสดงความรับผิดชอบออกมาบ้าง
ราเซลเหยียดริมฝีปากออกยิ้ม เพราะตัวเธอกับลูกๆนั้นไม่มีปัญหา ใช้สายตาปรายไปมองคู่แม่ลูก ที่สร้างปัญหาขึ้นมา ซึ่งนั่งคอแข็งหลังตรงวางท่า ทั้งที่กำลังจะถูกพิพากษา
“ฉันไงค่ะ ที่ยอมรับว่าเอริคทำผิด” เสียงเอวาดังขึ้น เชิดหน้าบอกความทระนง ไม่หวั่นต่ออดีตสามีแม้แต่นิด “แต่ความผิดแค่นี้ ไม่น่าจะเกี่ยวกับธุรกิจ มันพลาดเพราะการบริหารมากกว่า”
“เธอโทษฉันเหรอ”
“กรรมการค่ะ ถ้ามีความสามารถกันจริงๆ เรื่องเล็กๆแค่นี้จะมีผลกระทบอะไรกัน”
“งั้นเธอก็ฟังให้ดี” เสียงโจนส์กร้าวขึ้น เมื่อคนที่ควรจะสำนึกกลับไม่มีทีท่าให้น่าเห็นใจเลย เขามีแต่ความผิดหวังจริงๆ “ว่าเรื่องเล็กๆที่ลูกชายสุดที่รักเธอทำขึ้นมา การทำร้ายผู้หญิง มันนำไปสู่อะไร เชื่อมโยงให้พวกเขาคิดไกลขุดคุ้ยกันไปถึงไหน”
ทุกคนปรายตามองหน้ากันว่ามันคืออะไร มีความหวั่นไหวในแววตาของเอวากับเอริค สองแม่ลูกกำมือข่มกันไว้สุด ขณะที่กรองแก้วก็จับมือสามีไว้ปลอบให้ใจเย็น เมื่อยิ่งพูดหน้าเขาก็ยิ่งเครียด และทุกคนก็ต้องตกใจกับคำ ที่เขาพูดออกมา
“ค้าประเวณี”
ภายในห้องเงียบกริบ แต่ภายใต้ความเงียบคือความตึงเครียด หวาดกลัว วัวสันหลังวะของใคร ใคร และใครบางคน
เอวาจิกเล็บเข้าเนื้อข่มใจอย่างหนัก บังคับตัวเองไม่ให้ปรายตาไปมองคน ที่เธอรู้แล้วว่าเป็นคนทำ กลัวว่ามันจะรู้ตัวแล้วแผนการเปิดโปงจะล้มเหลว และพยายามจับมือเอริค ให้ใจเย็นไว้ แต่คนใจร้อนอย่างเขากลับทำไม่ได้ โวยวายออกมา
“ไม่จริง ผมไม่เคยทำอะไรอย่างนั้นเลย”
“ร้อนตัว น่าสงสัยนะเนี๋ย” ราเซลก่อเชื้อไฟขึ้นมาแต่โดนเอริคตวาดกลับ
“หุบปาก และหยุดความคิดชั่วๆของแกเอาไว้ด้วย ระวังมันจะเข้าตัวเอง”
“ไอ้เอริค นี่แกกล้าจิกหัวฉันเหรอ” ราเซลปรี้ดขึ้นมา ลุกขึ้นอยากจะปราดเข้าไปตบหน้ามัน เรนียาต้องดึงแขนคนเป็นแม่ไว้ ขณะที่เอริคก็ไม่ลดรา
“เออ มากกว่านี้ก็จะทำ”
ว่าแล้วเขาก็มองกราดไปที่ราฟ ที่นั่งนิ่งทำทองไม่รู้ร้อน ทั้งที่ทองร้อนๆลวกไปทั้งตัวแล้ว เพราะมันกระทบเขาด้วย แต่เขายังไม่คิดว่าจะมีเขาเกี่ยวข้อง ราฟสบตาเยาะใส่อีกฝ่ายแล้วทำสีหน้าเบื่อหน่ายกับเรื่องตรงหน้า ที่ทำให้เขาเสียเวลามานั่งฟัง เอริคอยากจะถลาเข้าไปหา แล้วชกหน้าเนื้อใจเสือนั้นให้คว่ำ
เอวาที่รู้จักลูกดี รีบลุกขึ้นจับมือไว้ แล้วถามอดีตสามีออกมา “แล้วคุณจะทำไงคะ”
“ตัดหางปล่อยวัด”
**********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
อาคารราฟ เวดดิ้ง ยังคงสวยงามด้วยชุดแต่งงานหลากหลายแบบ ที่โชว์ให้คนที่แวะมาและผ่านไปได้เห็น พนักงานยังคงทำหน้าที่ให้การต้อนรับดีเยี่ยม ส่วนเจ้าของเวลานี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องทำงาน บนโต๊ะทำงานเขามีรูปของอดีตคนรักวางกระจายอยู่ ตั้งแต่ได้รูปมาเขาครุ่นคิดวนเวียนด้วยคำถามเดิมๆ ว่าที่เธอกลับมาหาเขา ต้องการอะไรกันแน่ เพื่อเย้ยไอ้เอริคนั่น..ใช่
แต่น่าจะเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เพราะถ้าใช่จริงๆ เธอต้องควงแขนเขาไปเย้ยมันแล้ว แต่นี่เธอยังหลบซ่อนตัวอยู่ แสดงว่าต้องมีเหตุผลอื่นซึ่งสำคัญมาก ทำให้เธอยังไม่ปรากฏตัวออกมา และเขาก็ติดต่อเธอไม่ได้ ต้องรอจนกว่าเธอจะติดต่อกลับมา นั่นแสดงว่า เธอกำลังเล่นเกมบางอย่างอยู่
เขาเคาะนิ้วกับโต๊ะทำงาน เมื่อยังคิดหาทางแล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียด คลายความอึดอัดที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สงสัยอยู่ได้ แล้วหยิบโทรศัพท์เพื่อจะโทรหานักสืบ แต่มีสัญญาณเข้ามาที่โทรศัพท์ของเขาเสียก่อน เขาทำหน้าเบื่อหน่ายเมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้ามา กดรับสาย แล้วยกขึ้นแนบหู
“ครับ ครับ” ปากเขาก็รับคำ แต่สีหน้ากับแววตามีความแปลกใจปนสงสัย “ครับ” คำสุดท้ายที่ตอบรับแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ คำสั่งให้ไปทานมื้อค่ำของพ่อ จากคนเป็นแม่ที่บอกที่มาที่ไป แม้จะมีความสงสัย แต่ไม่ได้คิดให้ลึกลงไปเมื่อเรื่องตรงหน้าสำคัญกว่า
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด โทรศัพท์เขาดังขึ้นมาอีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็รีบกดรับสาย เพราะเบอร์แปลกที่ขึ้นมานั้น เขารู้ได้ทันทีว่าเธอโทรมาหา ริมฝีปากเหยียดออกยิ้ม ขณะที่แววตาก็วาวไปด้วยความสาสมใจ ที่จะได้ตลบหลังเธอเสียที
“คิดถึงกันอยู่ไหมคะ” เสียงเธอหวานเจือความขำให้รู้ว่าเป็นการพูดเล่น ซึ่งเขายินดีที่จะเล่นตามอยู่แล้ว
“ถ้าบอกว่าใช่ จะทำให้ดีใจเก้อหรือเปล่า” เขาแสร้งพูดกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพื่อให้เธอรู้สึกว่าเขากำลังกลุ้มใจอยู่ ซึ่งเธอต้องการที่จะล้วงความลับเขาอยู่แล้ว ต้องกระโจนเข้าใส่ทันที แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิด เมื่อเสียงพูดกลับมาไม่มีแววขำอีกแล้ว
“ฟังเสียงแล้วไม่ค่อยดี มีอะไรหรือเปล่า ยินดีที่จะรับฟังนะ”
“คนที่เพิ่งหักอกคุณมา โดนยิง” เขาหยิบเหยื่อชิ้นใหญ่ ตกปลาทันที แล้วก็ได้ผล
“งั้นเหรอ” เสียงเธอไม่มีความตกใจ ฟังออกจะหยันด้วยซ้ำไป และถ้าเขาได้เห็นแววตาจะได้รู้ว่ามีความเกลียดชังเพียงใด คาริสานั่งอยู่บนเตียงนอนในห้องที่เธอซ่อนตัวอยู่ และจะอยู่ที่นี่เป็นวันสุดท้าย “สาหัสไหมคะ ฉันจะได้ใส่ชุดถูก”
“เก็บสีดำไว้ก่อนเถอะ”
“แสดงว่าไม่เป็นอะไรมาก เสียดายที่ไม่ตาย” เสียงเธอไม่ปิดบังความชิงชัง
“คิดร้ายขนาดนี้ แสดงว่าที่เจอมาหนักมากซินะ มันทำอะไร” เขาหลอกถาม เพื่อจะให้เธอบอก แต่เธอกลับไม่ตกหลุม
“อย่าไปรื้อฝืนเลย” เธอตัดบท ตัดความหวังของเขา แววตาจึงชิงชังขึ้นมาทันที โชคดีที่ต่างก็ไม่เห็นหน้ากันสีหน้าแววตาจึงแสดงออกได้เต็มที่ แล้วต้องรีบปรับสีหน้า เพื่อให้เสียงเป็นปรกติ เมื่อเธอถามมาว่า “แต่เกิดอะไรขึ้นคะ ถึงได้ไปโดนมา”
เขาเล่าให้ฟัง เหมือนไม่ได้รู้เรื่องอะไรมาก่อน ว่าไปมีเรื่องกับคนชื่อกรณ์เพราะไปยุ่งกับผู้หญิงของเขา ขณะที่คาริสาก็ประติดประต่อเรื่องทุกอย่างได้ทันที และห่วงใยเพื่อนขึ้นอีกมากมาย แต่ไม่เป็นไร อีกไม่นานเธอจะทบต้นทบดอกให้คนเลวนั้นชดใช้ทุกอย่างให้เธอ
“อยากให้ช่วยอะไรหรือเปล่า หรืออยากไปดูเลือดของมัน ก็ยินดีนะ” เขาแสดงน้ำใจ เพื่อแผนการที่วางไว้ในใจ ถ้าเธอยอมเขาก็จะได้รู้ที่อยู่เธอ และจะจับตัวเธอมาเค้นความจริง แต่เธอกลับตอบมาว่า
“ฉันไม่อยากเห็นเลือดเขาหรอก เพราะคนอื่นทำมันไม่สะใจเหมือนได้ทำเอง”
“ใช่ เธอพูดถูก ไม่มีใครทำแทนใครได้จริงๆ ยิ่งคนที่ทำให้เราเจ็บเราต้องตอบแทนอย่างสาสม” เขาบอกให้เธอรู้ แต่เธอที่ไม่รู้ว่าเขารู้แล้วว่าเธอเป็นใคร คำพูดที่บอกไป จึงคิดว่าเป็นแค่การเออออไปกับเธอเท่านั้น “แล้วเราเจอกันได้ไหม” เขาหาทางเพื่อจะรู้ให้ได้ว่าเธออยู่ที่ไหน แต่ต้องคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง เมื่อเธอบอกว่า
“ไว้วันหลังดีกว่า วันนี้ฉันอยู่ต่างเมือง ไม่สะดวก”
“ที่ไหน ฉันไปหาได้นะ” เขาถามแล้วเริ่มจะรู้ตัวว่าแสดงออกมากเกินไป เธออาจจะสงสัยขึ้นมา ก็แก้ตัวมาว่า “ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร อยากเจออยากคุยเมื่อไร ก็โทรแล้วกัน”
“ขอบคุณ” คาริสาวางสาย แล้วรู้สึกว่าอดีตคนรักแปลกไป ก่อนหน้าที่เจอเขาไม่มีความสนใจที่จะรู้เรื่องของเธอด้วยซ้ำ แต่มาวันนี้กลับถาม และรู้สึกถึงการอยากเจอเธอ ... เขาจะรู้อะไรมาหรือเปล่า
เธอคิดทบทวนคำพูดเขาอีกครั้ง และต้องขอบคุณความเจ็บปวดที่ได้รับมา ทำให้เธอมองโลกในแง่ร้ายขึ้น ไม่ว่าเขาจะรู้อะไรมา หรือพูดดีหรือทำดีมากน้อยแค่ไหน สุดท้ายแล้วถ้าเขารู้ว่าเธอมีความลับเขาอยู่ในมือ เขาก็ไม่มีทางที่จะปล่อยเธอไป ต้องจัดการเธอให้ความลับนี้เป็นความลับตลอดไป
*********
ขณะที่ราฟก็คิดหนักยิ่งกว่าเดิม เพิ่มเติมก็คือพยายามคิดว่าเธอจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนได้ ทำไมใครๆถึงหาเธอไม่เจอเสียที เธอเล็ดรอดสายตาคนของผู้หญิงแถวหน้า และนักสืบที่เขาจ้างไปได้ยังไง ที่สำคัญเธอมาหาเขาถึงสองครั้ง ในเวลาที่ไม่ต่างกันแสดงว่าเธอต้องวนเวียนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขา
เขาโทรศัพท์ไปหานักสืบทันที สอบถามความคืบหน้าโดยไม่รอให้ติดต่อกลับมา และทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย เขาก็ถามออกไป “ได้เรื่องหรือยัง”
“ยัง แต่ไม่ใช่จะไม่ได้อะไรเลย” เสียงนักสืบที่ตอนนี้อยู่ในห้องของหญิงสาว มันลักลอบเข้ามาขณะที่คนเฝ้าเผลอหลับ แต่ก่อนจะเข้ามาก็ได้สืบหาข้อมูล จากการถามคนที่พักอาศัยอยู่ที่นี่มาบ้างแล้ว มันเดินตรวจตราไปรอบห้อง และเริ่มจะเห็นบางอย่างที่ผิดปรกติไป ของที่หายและร่องรอยการเคลื่อนที่
“ว่ามา”
มันบอกให้ราฟรู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน แล้วอธิบายสิ่งที่พูดไปว่า “ห้องพักของเธอ มีร่องรอยของคนเข้ามาตรวจสอบ จากที่ดูพวกของมีค่าหายไป สันนิฐานได้ว่ามีคนเข้ามา อาจจะเป็นเธอหรือใครที่ต้องตัวเธอ”
คำพูดนี้ทำให้เขาคิดถึงความคิดก่อนหน้านี้ของตัวเองทันที การมาหาเขาของเธอกับอาจเป็นเธอ จะเป็นไปได้ไหมว่า ที่ใครหาตัวเธอไม่เจอ เพราะที่ๆอันตรายที่สุด คือที่ๆปลอดภัยที่สุด เธออาจจะอยู่ที่นั้น แต่ไม่ใช่ห้องของเธอแต่อาจจะเป็น...
“เดี๋ยวนะ” เสียงนักสืบหยุดคำพูดเขาไว้ เมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง ราฟก็ถามออกมาทันที
“มีอะไร”
“เสียง นอกประตู ฝั่งตรงกันข้าม”
“หมายความว่าไง”
“ห้องนั้นไม่มีคนอยู่ แล้วใครเปิดปิดประตู”
นักสืบทิ้งคำถามพลางรีบเดินไปที่ประตู ส่วนราฟก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความตื่นเต้น และภาวนาขอให้เป็นอย่างสิ่งที่คิด เป็นเธอที่หลบซ่อนตัวอยู่ที่นั้น จะได้จับตัวมาถามสิ่งที่คาใจให้รู้เรื่องกันไปเสียที
นักสืบเปิดประตูออกไป มองห้องตรงข้าม ประตูนั้นปิดสนิทไปแล้ว จึงมองทางด้านซ้ายและขวา เห็นหลังหญิงสาวคนหนึ่งเดินตรงไปที่ลิฟต์ มันรีบเดินตามไปทันที แต่ไม่ทันเธอเข้าไปในลิฟต์แล้ว มันรีบวิ่งก่อนประตูลิฟต์จะปิด แต่ไม่ทัน แต่ทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเป็นหน้าเดียวกับรูปที่มันให้คนจ้างไป
-************
คฤหาสน์บลูโน โค กรองแก้วกลับจากที่ทำงานมาก่อนสามี เพราะต้องมาดูแลความเรียบร้อยของอาหารสำหรับแขกที่จะมาทานมื้อค่ำวันนี้ เธอยืนอยู่ในห้องอาหาร มองทุกอย่างที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างพอใจ บนโต๊ะอาหารมีดอกไม้สดสวยๆ จานช้อนแก้วเครื่องดื่มวางเป็นชุดคู่กัน อาหารเธอก็สั่งมาจากห้องอาหารที่มีชื่อเสียง ของชอบของแต่ละคนนั้น เธอสอบถามจากสาวใช้เก่าแก่ ซึ่งรู้ว่าอดีตภรรยากับลูกๆของสามีเธอนั้นชอบอะไร เธอก็สั่งมาให้ครบ รอแค่ทุกคนมาของทุกอย่างก็จะวางบนโต๊ะทันที
ส่วนห้องพักที่จะใช้รับรองแขก เธอก็ขึ้นไปดูมาแล้ว สาวใช้ได้จัดไว้ให้ตามที่สั่ง เรียบร้อยแล้วเช่นกัน แต่จนถึงตอนนี้เธอก็ยังสงสัยว่าคนที่จะมาพักนั้นเป็นใคร แล้วทำไมต้องเชิญทุกคนมาที่นี่ยกเว้นญาติหนุ่มของเธอ กับลูกนกที่เขาปกป้อง
“นายหญิงคะ”
กรองแก้วหันไปมองหน้าสาวใช้ที่เข้ามายืนนอบน้อมอยู่ไม่ห่าง เธอยิ้มให้ก่อนจะถามว่ามีอะไร แล้วคำตอบที่ได้ก็ทำให้อึ้งไปเล็กน้อย ก็เดินออกจากห้องอาหารมายังห้องโถงใหญ่ คิดไม่ถึงว่าจะได้ต้อนรับแขกเร็วขนาดนี้
คนเป็นแขกยืนอยู่กลางห้องโถงใหญ่ มองความงดงามของของที่ประดับตกแต่งไว้ ความวิจิตรตระการตาของ ภาพวาดอันเก่าแก่บนผนัง โคมไฟคริสตัลเป็นประกายระยิบระยับ ส่องกระทบแจกันลายครามปักดอกไม้สดให้กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วห้อง และโดดเด่นด้วยโซฟาหลุยส์โบราณ มองแล้วทำให้คิดถึงอดีตที่ครั้งหนึ่งเธอได้เป็นเจ้าของครอบครอง ได้นั่ง...
เธอเชิดหน้าขึ้นเดินย่างกรายดุจนางพญาไปที่โซฟาตัวใหญ่ ปลายนิ้วลากลูบสัมผัสถึงอำนาจความยิ่งใหญ่ เพราะคนที่จะได้นั่งคือเจ้านายผู้ชายหรือเจ้านายผู้หญิงเท่านั้น ริมฝีปากเหยียดออกยิ้ม ขณะที่สายตาก็เปล่งประกาย แล้วจะนั่งลง แต่...
“สวัสดีค่ะ คุณราเซล”
เสียงทักที่ดังขึ้นข้างหลัง อดีตนายหญิงคนที่สองของคฤหาสน์นี้จำได้ดีว่าเป็นเสียงใคร คอแข็งขึ้นมา หน้าตาก็เหยียดหยัน แล้วหันหน้ามามองนายหญิงคนปัจจุบัน ที่เข้ามาครอบครองที่นี่แทนเธอ แต่อย่าคิดว่าเธอยอมถอยแค่คำพูดที่เหมือนจะเตือนให้รู้ถึงการควรไม่ควร เหยียดยิ้มออกมาประกายตาเธอท้าทาย แล้วนั่งลงบนโซฟาให้เห็นกันซึ่งหน้า
กรองแก้วยิ้มเย็นไม่ถือสา เดินเข้าไปยืนใกล้ๆเหมือนค้ำอีกฝ่ายไว้ แล้วถาม “มาเร็วแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ราเซลเชิดหน้าขึ้นราวกับเธอเป็นเจ้าของที่นี่ และมีอำนาจเหนือคนที่ยืนอยู่ทุกอย่าง “ฉันควรจะถามเธอมากกว่า ว่าที่ทำทั้งหมด มีอะไรแบบซ่อนไว้”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ ก็อย่างที่บอก ทุกอย่างที่ทำก็คือคำสั่งของโจนส์”
“คำสั่งโจนส์แต่เธออาจจะทำนอกเหนือคำสั่ง ปิดบังซ่อนเร้นไม่ให้ฉันได้รู้ ฉันจึงต้องมาดูก่อนที่จะเสียรู้เธอไง”
“แล้วเห็นอะไรนอกจากความอยากมีอยากได้ของตัวเองไหมคะ” เธอว่าเพราะเห็นการกระทำของอีกฝ่ายเมื่อกี้นี้
“ความจองหองของเธอไง”
“งั้นก็ดีเลยค่ะ เพราะเดี๋ยวฉันจะสั่งให้คนเอาโซฟาตัวนี้ไปเผา แล้วก็ซื้อใหม่ ไม่อยากให้มีเสนียดของคนที่พูดจาไม่ดีกับฉันติดอยู่ ไม่อยากจะคันนะคะ”
ราเซลลุกพรวดขึ้นมา แววตาจ้าราวกับจะฉีกอีกฝ่ายให้ แล้วเปลี่ยนเป็นเหยียดหยัน กวาดตามองไปรอบๆห้องโถง ก่อนจะมองออกไปข้างนอก “เธอได้คันแน่ ถ้าฉันจับได้ว่าเธอคิดร้าย”
“ตามสบายค่ะ แล้วลูกสองคนของคุณละคะ ไม่มาพร้อมกันเหรอ”
“เดี๋ยวก็ตามมา แต่อาหารค่ำนี้ นางหงส์เอวามารวมโต๊ะด้วยหรือเปล่า” เธอถามทั้งๆที่คิดไว้อยู่แล้วว่ามันต้องมา เพราะเหตุที่ถูกอดีตสามีเรียกมา ก็เดาไว้ว่าเพราะลูกของมันที่ทำเรื่องขึ้นมานั่นเอง
“มาค่ะ ทั้งสามคนเหมือนกัน ฉันขอตัวนะคะ ไม่ได้นั่งอยู่ต้อนรับคงไม่ว่ากัน เพราะคุณคุ้นเคยอยู่แล้ว และถ้าคุณอยากจะเดินดูหรือสำรวจอะไรก็ตามสบายเช่นกัน แต่อย่าหยิบจับไปของที่ไม่ใช่ของเราแต่เป็นของคนอื่นไปแล้วนะคะ มันไม่ดี” พูดจบกรองแก้วก็เดินออกจากห้องไป
ราเซลขึงตามองตามไปด้วยความหมั่นไส้ ในความหยิ่งยโส แล้วมองไปรอบๆห้อง ความเสียดายปรากฏขึ้นเต็มสีหน้า ที่เธอมาก่อนเวลาเพราะอยากจะมารำลึกความหลังที่เคยได้เป็นเจ้าของที่นี่ การจับผิดที่พูดออกไปเป็นข้ออ้างเท่านั้นเอง
************
รถยนต์คันหรูวิ่งไปบนถนนมุ่งสู่คฤหาสน์บลูโน โค เอวาภายในรถอดีตนายหญิงคนที่หนึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลังกับลูกชาย ที่ไปรับมาจากห้องพัก ท่าทางภายนอกเธอนิ่งดุจนางหงส์เช่นเดิม แต่จิตใจร้อนรุ่มไปกับปัญหาที่ยังคิดไม่ตก ว่าอดีตสามีนั้นนัดให้ไปทานมื้อค่ำเพราะอะไร
เอริคที่ทราบเรื่องทุกอย่างจากคนเป็นแม่แล้ว ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน และที่หนักใจมากไปกว่านั้นคือ คำพูดของแม่ที่บอกเขาเมื่อกี้ว่า ไอ้ราฟติดต่อนักเลงนักสืบ มันจะให้สืบอะไร ถ้าไม่ใช่หาตัวคาริสาผู้หญิงที่เขาเขี่ยทิ้งมาเล่นงานเขา และยังจะเรื่องเพื่อนของเธอ ที่จะถูกอุ้มอีก จะเป็นฝีมือมันด้วยหรือเปล่า ถ้าใช่แสดงว่ามันต้องรู้อะไรมาแน่ๆ
“แม่คิดว่าจะใช่ฝีมันมันด้วยหรือเปล่า ที่จะอุ้มเพื่อนของคาริสา”
“ถ้าไม่ใช่มันก็ต้องเป็นแม่มัน คงอยากเค้นหาที่อยู่ของนังนั้น เพื่อจะเอาตัวมาสอบถามว่าซ่อนเร้นอะไรไว้ จะได้เอามาเล่นงานเรา”
“หรือบางที คาริสาก็อาจจะบอกมันไปแล้ว จึงได้จ้างนักสืบหาตัว เพื่อจะได้ตัดไฟแต่ต้นลม”
“ไม่หรอก นังนั้นคงไม่โง่ขนาดนั้น มันอันตรายเกินไป เพราะถ้าไอ้ราฟมันรู้ว่า ความลับนั่นคือความเลวของมัน มันไม่เก็บเธอไว้แน่”
“ก็ไม่แน่นะครับ เพราะเธออาจจะต่อรองกับมันเหมือนที่เคยต่อรองกับผม”
“แล้วนังนั้นจะต้องการอะไรจากมัน”
“ยื่มมือมันมาทำลายผม”
เอวานิ่งไปกับคำตอบที่คิดแล้วอาจจะเป็นไปได้ เพราะความแค้นของผู้หญิงนั่นน่ากลัว ตอนนี้ชื่อเสียงลูกชายเธอก็โดนทำลายไปแล้วส่วนหนึ่ง ถ้ามันสองคนร่วมมือกัน คงขยี้เรื่องการทำร้ายร่างกายให้เป็นการทารุณกรรม แล้วอนาคตของเอริคดับวูบ เพราะไม่มีอะไรมาคัดค้านหรือแก้ตัวได้เลย
“ถ้าเป็นอย่างที่คิด เราจะแก้เกมมันยังไงดีครับ”
“ค่ำนี้ก็จะได้รู้ว่า มันทำอะไรอยู่”
“แล้วถ้าใช่ เราจะทำยังไงครับ”
เอวาไม่ตอบ แต่ประกายตาของเธอนั้นช่างน่ากลัว แล้วนั่งเงียบไม่พูดอะไรอีก เอริคก็เช่นกัน เขาไม่มีความกระด้างกับแม่อีกแล้ว เมื่อเรื่องมันใหญ่เกินรับมือ
**********
คนที่สองแม่ลูกคิดถึง นั่งอยู่ในรถยนต์ของตัวเอง ขับเคลื่อนไปยังจุดหมายเดียวกัน และจิตใจก็เป็นเช่นเดียวกันอีก คือหาความสงบสุขไม่ได้ มันร้อนรุ่มกระวนกระวาย เพราะการรอคอยความหวังผลสำเร็จ ราฟกำพวงมาลัยรถที่จับไว้แน่น เมื่อคิดไปถึงก่อนหน้านี้ ที่เกือบจะได้ตัวหญิงสาวที่กำลังหาตัวอยู่ ซึ่งก็คืออดีตคนรักของเขานั่นเอง มันแคล้วคลาดกันไปแค่เส้นยาแดง นักสืบไม่สามารถตามเธอทัน ตอนนี้ก็กำลังควานหาตัวเธอยู่ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีรายงานข่าวมาให้เขารู้
คิดแล้วเขาก็อยากจะขับรถกลับไปสมทบกับนักสืบ ช่วยหาตัวเธอนัก เพราะร่องรอยที่ได้มานั้นมันเหมือนใกล้แค่เอื้อมอีกไม่เท่าไรก็จะได้ตัวเธอมาแล้ว ราฟต้องข่มใจไว้หนักเพราะการไปคฤหาสน์บลูโน โค ก็สำคัญมากเช่นเดียวกัน ไม่มีข่าวคราวใดๆออกมา ว่าคนเป็นพ่อเชิญทุกคนไปทานข้าวทำไม คงมีเรื่องสำคัญที่จะต้องพูดแน่ๆ ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่าคือเรื่องของไอ้เอริค ท่านจะจัดการมันยังไง
เขาเหยียดริมฝีปากออกยิ้ม มีความสะใจขึ้นมาช่วยคลายความกระวนกระวาย แล้วเหยียบคันเร่งๆความเร็วของรถให้ไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด โดยไม่รู้ว่าอีกไม่นานเขาจะได้เจอกับคนที่แคล้วคลาดกันไปแค่เอื้อม
หญิงสาวที่ทุกคนต้องการตัว กำลังเดินเข้าไปในอาคารบลูโน โค ใบหน้าสวยมีรอยยิ้มติดอยู่ที่ริมฝีปาก ราวกับมีเรื่องให้สุขใจ แล้วเปิดยิ้มกว้างให้กับสาวสวยที่ยืนต้อนรับอยู่ตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ซึ่งทักทายด้วยไมตรีจิตที่มอบให้กับทุกคนที่เข้ามาติดต่อ จากนั้นก็ถามถึงวัตถุประสงค์ที่มา
“ต้องการพบใครคะ”
“ประธานบลูโน โค”
“แล้วคุณคือ...”
“คาริสา อชิระ เรียนท่านว่าคาริสา”
ประชาสัมพันธ์สาวยิ้มหวานให้ แต่ไม่ยกโทรศัพท์กดรายงานท่านประทาน กลับเชิญให้เธอเดินตามไป แต่คาริสาไม่ขยับเพราะกลัวจะมีใครมาเล่นเล่ห์หลอกเอาตัวเธอไป ประชาสัมพันธ์สาวจึงหันมาบอกว่า “ท่านรออยู่ค่ะ”
“เรียนให้ท่านมาพบฉันก็แล้วกัน”
ประชาสัมพันธ์สาวมีสีหน้าแปลกใจ แต่ก็ทำตามเพราะท่านประธานเพิ่งโทรมาสั่งกำชับไว้นั่นเอง ไม่เกินสิบนาทีนายใหญ่แห่งบลูโน โค ก็ปรากฏตัวขึ้น ท่านแนะตัวกับเธอ คาริสายกมือไหว้พลางลอบมองชายสูงวัย ลักษณะท่าทางมีความเป็นผู้นำมาก บุคลิกน่านับถือและยังเต็มไปด้วยอำนาจ จากนั้นท่านก็พาเธอไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ข้างตึก เมื่อทั้งคู่เข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว คนขับก็ขับรถออกไป
ประธานโจนส์มองหญิงสาวคราวลูก เธอสวยสมกับที่เป็นผู้หญิงของเอริค ดูอ่อนหวานจนไม่น่าจะซ่อนพิษร้ายไว้ขนาดนี้ แต่ความรักสำหรับบางคนผู้หญิงแล้วเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อไม่สมหวังแล้วถูกทำร้ายอย่างหนัก ก็จะร้ายกว่าผู้ชายมากนัก ถึงตอนนี้ท่านก็ยังไม่รู้ว่าความลับที่เธอมีนั่นคืออะไร แต่ที่เธอบอกว่ามีลูกท่านอีกคนเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ท่านคิดไว้แล้วว่าน่าจะไปเป็นใคร
“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจหนู และยอมทำในสิ่งที่หนูขอร้อง”
“ฉันหวังว่าจะทดแทนชดเชยกับสิ่งที่ลูกฉันทำกับหนูไว้บ้าง”
“โทษของลูกไม่เกี่ยวกับพ่อแม่ ไม่มีใครมาชดใช้ความผิดแทนกันได้หรอกค่ะ”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว เพราะฉันอบรมลูกไม่ดี มันทำเรื่องเลวร้ายขนาดนี้”
“แต่บางทีถึงท่านจะอบรมลูกดี แต่ถ้าลูกไม่รัก ท่านก็ทำอะไรได้หรอกค่ะ พ่อแม่ทุกคนเลี้ยงร่างกายลูกให้เติบโตเหมือนกัน แต่ไม่อาจเลี้ยงจิตใจให้ดีเหมือนกันได้ เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ภายในร่างกายไม่สามารถที่จะมองเห็น ว่าส่วนไหนชำรุดควรซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาให้ดี ฉะนั้นท่านอย่าโทษตัวเองเลยค่ะ”
“ถึงจะเป็นอย่างนั้น ฉันในฐานะพ่อก็ควรต้องรับผิดชอบ”
“ท่านก็ทำอยู่แล้วนี่ค่ะ แค่นี้หนูก็ขอบคุณมากแล้วค่ะ”
โจนส์ถอนหายใจออกมายาวๆ คิดถึงการเผชิญหน้ากัน เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่หวังว่าจะเห็นทางแก้ปัญหาให้ดีขึ้นมา
**********
หลังทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ชิญาดาก็แยกตัวมาจากคนปกป้อง ออกมานั่งบนเก้าอี้ไม้ที่วางอยู่ตรงน้ำพุจำลอง มองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับฟ้า แล้วคิดถึงเรื่องเพื่อนกับคลิปที่ส่งมาให้ดู และมีข้อความกำชับให้เธอเก็บไว้ให้ดี ซึ่งเธอเข้าใจว่า คงไม่ให้เธอบอกใคร แม้แต่คนที่ปกป้องเธออยู่ เพราะเขานั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลบลูโน โค เนื่องจากญาติสาวที่เกี่ยวดองกันอยู่
เธอจึงต้องมาคิดทบทวนว่าถ้าบอกให้เขารู้ เขาจะทำยังไง ทำลายหรือปกป้อง เพราะถ้าเทียบกันแล้วเพื่อนเธอก็เป็นเพียงแค่คนที่เขารู้จัก ส่วนตัวเธอถึงจะเป็นคนรักแต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับญาติสาวของเขา ที่มีสายเลือดผูกพันกันอยู่ ความสัมพันธ์ย่อมแน่นแฟ้นมากกว่าคนรักแน่นอน เว้นเสียแต่เขาจะรักเธอมากพอที่จะฟังคำขอร้องจากเธอ แต่ความชอบที่เกิดขึ้นมานาน เพิ่งจะเปลี่ยนเป็นความรัก ที่เกิดขึ้นมาในระยะสั้นๆ จะเพียงพอที่จะมีค่ามากกว่าสายเลือดหรือเปล่า
ฉะนั้นเขาอาจจะทำลายก็ได้ แล้วเพื่อนเธอจะทำยังไง เมื่อไม่มีอำนาจบารมีใดๆที่จะต่อสู้หรือต่อรองได้อีก อีกอย่างคาริสากำลังจะปรากฏตัวออกมา แม้เธอจะไม่รู้ว่าเพื่อนรักจะใช้วิธีไหน แต่ที่บอกว่าจะได้เจอกัน ทำให้เธอไม่อาจจะบอกเขาได้จริงๆ คงต้องเก็บไว้กับตัว จนกว่าจะแน่ใจว่าควรจะทำยังไง
เมื่อสรุปความคิดได้ ชิญาดาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วสะดุ้งเพราะมีอ้อมแขนมาสวมกอดจากด้านหลัง เธอรู้ว่าเป็นใครจึงไม่มีการดิ้นรน แต่พอหันไปมองก็โดนคนกอดหอมแก้มฟอดใหญ่ เธอมองค้อนขณะเขายิ้มอย่างอารมณ์ดี แล้วพาตัวมานั่งข้างๆเธอวาดแขนข้างหนึ่งโอบไหล่เธอไว้ ส่วนมืออีกข้างก็จับมือเธอไว้
ชิญาดามองการแสดงออกตั้งแต่แรกเจอจนมาถึงปัจจุบัน ความสุขเกิดขึ้นมากลบความกังวลใจ ไม่เคยคิดว่าความรักจะเกิดขึ้นกับเธอได้เร็วขนาดนี้ จะเป็นด้วยเรื่องใดก็สุดจะรู้ หรือจะเป็นเพราะความประทับใจที่เขาชอบเธอมานาน และแสดงออกอย่างชัดเจน หัวใจเธอจึงยอมรับเขาอย่างง่ายได้ บวกกับที่เขามาปกป้อง ดูแล อย่างที่ไม่เคยมีใครทำให้ ก็ยิ่งเปิดใจ จนรักเขา
เธอเม้มริมฝีปากข่มความเขินที่ยอมรับความรู้สึกว่ารักเขาเป็นครั้งแรก และเช่นเคยที่ไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาของกรณ์ เขาเลิกคิ้วขึ้นบอกความสงสัยแต่ไม่ถาม นอกจากรั้งศีรษะเธอเข้ามาใกล้แล้วจูบขมับเธอเบาๆ ยิ้มให้แล้วชี้ชวนให้เธอดูพระอาทิตย์ที่ตกดินไปพร้อมกัน
แต่ความสุขอยู่ด้วยไม่นาน เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงกรณ์ก็ดังขึ้น เขาหยิบมาดูชื่อคนโทรเข้ามา แล้วกดรับสายทันที เสียงที่พูดมาให้ได้ยินนั้นทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา “ได้ ตกลงตามนี้” พูดจบเขาก็ลุกขึ้น ปล่อยมือชิญาดา ซึ่งมองออกว่าเขากำลังจะไปทำอะไรบางอย่าง
“ไปไหนคะ”
“ล่าคน”
ความห่วงใยผุดขึ้นมาเต็มหัวใจทันที แล้วจะรั้งเขาไว้ด้วยความห่วง “ไหนบอกว่าจะไม่ปล่อยมือไงคะ” ถามแล้วก็ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเขา
“แค่ชั่วคราวนะน้องหนู พี่มีเรื่องที่ต้องไปจัดการ”
“เรื่องอะไรคะ แล้วทำไมไม่พาน้องหนูไปด้วย”
“มันอันตราย พี่ไม่พาน้องหนูไปเสี่ยงเด็ดขาด เพราะถ้าพลาดขึ้นมาก็ขอให้เป็นพี่คนเดียวที่เจ็บ”
“ไม่ยุติธรรม ทำไมไม่เจ็บด้วยกัน ทำไมต้องโดนทิ้งไว้คนเดียว ไม่รู้เหรอคะว่ามันทรมาน ที่เห็นคนรักเจ็บ”
“คนรัก รักพี่มากไหม”
ชิญาดายืนนิ่งไม่ตอบ แต่สีหน้าแววตาบอกความรักความห่วงใยชัดเจน กรณ์ยกมือขึ้นแตะแก้มนุ่มลูบแผ่วๆให้คลายความห่วงใย “รอพี่อยู่ที่นี่ รับรองว่าไม่มีใครทำอันตรายได้เด็ดขาด เดี๋ยวพี่ก็กลับมา ไม่ต้องเป็นห่วง พี่สัญญาจะกลับมาให้น้องหนูรับขวัญแน่นอน”
“จริงนะ”
กรณ์ให้รอยยิ้มเป็นสัญญาก้มหน้าลงจูบหน้าผากเธอ แล้วเดินไปที่รถที่มีคนขับมารออยู่แล้ว นั่นเพราะผินสั่งให้คนของเขามาแล้วนั่นเอง
ชิญาดามองตามรถที่ค่อยๆเคลื่อนออกไป ในเวลาพลบค่ำอย่างนี้ เขาจะไปตามล่าใคร เธอคิดแล้วก็นึกออก พวกที่จะอุ้มเธอเมื่อวันก่อน ที่เชื่อมโยงมายังเพื่อนของเธอกับความลับที่เธอรู้แล้วว่าคืออะไร เธอห่วงเขาเต็มหัวใจแล้วเป็นฝ่ายที่ทนไม่ได้เสียเอง ที่จะเห็นเขาออกไปเสี่ยงอันตราย จึงคิดจะบอกความลับให้รู้ เธอรีบวิ่งไปให้ทันรถแต่ไม่ทันรถเลี้ยวออกไปจากประตูรั้วแล้ว
*********
คฤาหาสน์บลูโน โค สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ ตั้งแต่ประตูมาถึงตัวคฤหาสน์ ให้สวยงามเด่นสง่าขึ้นมา รถยนต์ของอดีตนายหญิงคนแรกของตระกูล ถูกขับเข้ามาจอดเทียบหน้าบันไดหินขาวมุก คนขับรีบเปิดประตูลงมาเปิดประตูให้เจ้านาย เอวาก้าวออกมาจากรถ ใบหน้าเธอเชิดวางท่าราวกับนางพญาเหมือนเมื่อครั้งที่ได้เป็นหนึ่ง ปรายตามองไปรอบบริเวณที่ยังจดจำได้ดี และมีความเสียดายล้นอยู่ในอก กำมือที่ถือกระเป๋าข่มความรู้สึกนั้นไว้ ทำนิ่งเฉยเสมือนว่าไม่มีความรู้สึกใดๆ
เอริคก้าวออกจากรถมายืนข้างคนเป็นแม่ เขามองเข้าไปด้านใน ความเงียบนั้นบ่งบอกว่าอาจจะยังไม่มีใครมา และไม่มีใครออกมาต้อนรับ เขารู้สึกไม่พอใจสีหน้าตึงขึ้นมาทันที เพราะเขาเป็นถึงลูกเจ้าของ และแม่เขาถึงไม่ได้เป็นนายที่นี่แล้ว แต่ก็ยังเป็นคนสำคัญ ที่คนในสังคมยอมรับ แต่กลับไม่มีใครโผล่หน้ามาต้อนรับ
เขาจะก้าวขึ้นไปเอาเรื่อง แต่มีคนโผล่มาเสียก่อน เป็นเมียปัจจุบันของพ่อเขานั่นเองที่มากับสาวใช้
กรองแก้วยิ้มแบบยินดีต้อนรับทั้งสองคน แต่ยังไม่พูดคำเชิญออกมา ก็เห็นท่าทางเชิดหน้าของอดีตภรรยาของสามีเอวาปรายตามองเหยียดหยันอยู่ภายใต้สีหน้าที่นิ่งเฉย แล้วเอาคืนที่ปล่อยให้เธอรอ ด้วยการมองไปรอบๆราวกับสนใจต้นไม้ ใบหญ้ามากกว่าคนที่จะมาเชิญ แล้วต้องเปลี่ยนท่าทีคอแข็งขึ้นมา เพราะอีการาเซลที่โผล่มาให้เห็นก็รู้สันดานมันทันที ว่าจะต้องแส่เป็นคนพูดคำเชิญออกมา
เธอรีบเดินขึ้นบันไดก่อนที่มันจะพูดออกมา ราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง ซึ่งเธอไม่ยอมให้มันเหนือกว่าแน่นอน ราเซลเบ้ปากออกหยัน เพราะเธอนั่นเห็นการวางท่าของนางหงส์ ตั้งแต่ลงมาจากรถแล้ว แต่ไม่แสดงตัวออกมา เพราะอยากจะดูความจองหองเท่านั้นเอง แล้วยิ้มเยาะก่อนจะถามอย่างรู้ทันว่า
“ไม่ชมนกชมไม้ต่อแล้วเหรอ”
เอวาก้าวมายืนตรงหน้า มองด้วยสายตาสมเพชตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วจะเดินผ่านเข้าไปข้างใน แต่ราเซลชิงเดินเข้าไปเสียก่อน พร้อมหัวเราะเยาะคนข้างหลังที่จะเดินตามเข้าไป ให้รู้ว่าต่อไปนี้เธอเป็นผู้นำไม่ใช่ผู้ตาม เอวาต้องข่มใจอย่างหนัก ตอนนี้เป็นทีของอีการาเซล แต่อีกไม่นานหรอก เธอกดความแค้นไว้แล้วเดินเข้าไปข้างใน โดยมีเอริคตามเข้าไปติดๆ
กรองแก้วได้แต่ถอนหายใจ ในฐานะเจ้าบ้านเธอมีสิทธิ์ที่จะปรามทั้งคู่ แต่ที่ไม่ทำและนิ่งอย่างเดียวนั้น เพราะรู้ว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เจอกันเมื่อไรไม่คำรามก็กระโจนเข้าหากัน แล้วเธอจะเอาตัวเข้าไปขวางให้เกิดรอยขีดข่วนทำไม
ทุกคนเริ่มทยอยมากันแล้ว อีกไม่นานคงมากันครบ และคนที่จะปิดท้ายก็คือสามีเธอกับแขกที่ยังเป็นปริศนาว่า...เป็นใคร
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ลูกชายอีกหนึ่งคนกับลูกสาวอีกสองคนของโจนส์ก็มาถึง ทุกคนเข้าไปนั่งอยู่ในห้องโถง กรองแก้วดูแลให้การรับรองทุกคนเท่าเทียมกัน แต่ทั้งสองฝ่ายต่างนั่งกันคนละมุม และอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา รถยนต์คันหรูของประธานโจนส์ก็มาถึงคฤหาสน์
คนขับรีบเปิดประตูออกมาเปิดให้เจ้านาย ซึ่งก้าวออกมายืนข้างรถ ปรายตามองเข้าไปในรถก่อนจะก้าวขึ้นบันได กรองแก้วออกมาต้อนรับสามี ท่าทางเขาดูเหนื่อยๆสีหน้าก็มีความเคร่งเครียด เธอยิ้มหวานให้ปลอบใจ และคล้องแขนเขาพาเดินเข้าไปข้างใน พร้อมกับบอกให้รู้ว่า ทุกคนมากันครบแล้ว
โจนส์ให้ทุกคนไปนั่งพร้อมกันที่โต๊ะอาหาร โดยมีเขานั่งเป็นประธานที่หัวโต๊ะด้านซ้ายมือคือกรองแก้วภรรยาคนปัจจุบัน ถัดไปคือราเซลอดีตภรรยาคนที่สองกับลูกอีกสองคน ราฟกับเรนียา ส่วนด้านขวาเอวาอดีตภรรยาคนแรก ลูกชายเอริคและลูกสาวเอริน่า
เขามองตวัดสายตามองทุกคน แล้วนิ่งอยู่อึดใจก็พูดขึ้น “ทานข้าวเถอะ อิ่มแล้วเราค่อยคุยกัน”
“คุยไปทานไปก็ได้นะคะ จะได้มีอรรถรส” ราเซลเอยออกมา เพราะอยากรู้เต็มแก่แล้วว่า เขาเรียกมาทำไม
“ใช่ครับ พูดๆออกมาเถอะ จะได้จบๆไป” เอริคที่ทนความนิ่งไม่ได้อีกคน ก็เสนอออกมา
โจนส์ตวัดสายตามองทั้งสองคนแล้วสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ทานข้าว”
ทุกคนทำตาม ภายในห้องอาหาร นอกจากเสียงช้อนกระทบจานเบาๆแล้วก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงใดๆอีก กระทั่งทุกคนอิ่ม ก็ย้ายมานั่งที่ห้องโถง โจนส์นั่งบนโซฟาตัวใหญ่เคียงคู่กรองแก้ว ส่วนเก้าอี้ที่เหลือก็เป็นอดีตภรรยากับลูกๆ แล้วก็เริ่มพูดขึ้น
“ตอนนี้คิดว่าทุกคนคงรู้ว่าเรามีปัญหาอะไรกันอยู่ และขยายกว้างออกไป ให้มีผลกระทบยังไงบ้าง และเพื่อที่จะให้ทุกอย่างยังคงอยู่ ฉันจำเป็นต้องทำบางอย่าง แต่ก่อนที่จะพูดออกไป ใครจะยอมรับความผิดครั้งนี้ และแสดงความรับผิดชอบออกมาบ้าง
ราเซลเหยียดริมฝีปากออกยิ้ม เพราะตัวเธอกับลูกๆนั้นไม่มีปัญหา ใช้สายตาปรายไปมองคู่แม่ลูก ที่สร้างปัญหาขึ้นมา ซึ่งนั่งคอแข็งหลังตรงวางท่า ทั้งที่กำลังจะถูกพิพากษา
“ฉันไงค่ะ ที่ยอมรับว่าเอริคทำผิด” เสียงเอวาดังขึ้น เชิดหน้าบอกความทระนง ไม่หวั่นต่ออดีตสามีแม้แต่นิด “แต่ความผิดแค่นี้ ไม่น่าจะเกี่ยวกับธุรกิจ มันพลาดเพราะการบริหารมากกว่า”
“เธอโทษฉันเหรอ”
“กรรมการค่ะ ถ้ามีความสามารถกันจริงๆ เรื่องเล็กๆแค่นี้จะมีผลกระทบอะไรกัน”
“งั้นเธอก็ฟังให้ดี” เสียงโจนส์กร้าวขึ้น เมื่อคนที่ควรจะสำนึกกลับไม่มีทีท่าให้น่าเห็นใจเลย เขามีแต่ความผิดหวังจริงๆ “ว่าเรื่องเล็กๆที่ลูกชายสุดที่รักเธอทำขึ้นมา การทำร้ายผู้หญิง มันนำไปสู่อะไร เชื่อมโยงให้พวกเขาคิดไกลขุดคุ้ยกันไปถึงไหน”
ทุกคนปรายตามองหน้ากันว่ามันคืออะไร มีความหวั่นไหวในแววตาของเอวากับเอริค สองแม่ลูกกำมือข่มกันไว้สุด ขณะที่กรองแก้วก็จับมือสามีไว้ปลอบให้ใจเย็น เมื่อยิ่งพูดหน้าเขาก็ยิ่งเครียด และทุกคนก็ต้องตกใจกับคำ ที่เขาพูดออกมา
“ค้าประเวณี”
ภายในห้องเงียบกริบ แต่ภายใต้ความเงียบคือความตึงเครียด หวาดกลัว วัวสันหลังวะของใคร ใคร และใครบางคน
เอวาจิกเล็บเข้าเนื้อข่มใจอย่างหนัก บังคับตัวเองไม่ให้ปรายตาไปมองคน ที่เธอรู้แล้วว่าเป็นคนทำ กลัวว่ามันจะรู้ตัวแล้วแผนการเปิดโปงจะล้มเหลว และพยายามจับมือเอริค ให้ใจเย็นไว้ แต่คนใจร้อนอย่างเขากลับทำไม่ได้ โวยวายออกมา
“ไม่จริง ผมไม่เคยทำอะไรอย่างนั้นเลย”
“ร้อนตัว น่าสงสัยนะเนี๋ย” ราเซลก่อเชื้อไฟขึ้นมาแต่โดนเอริคตวาดกลับ
“หุบปาก และหยุดความคิดชั่วๆของแกเอาไว้ด้วย ระวังมันจะเข้าตัวเอง”
“ไอ้เอริค นี่แกกล้าจิกหัวฉันเหรอ” ราเซลปรี้ดขึ้นมา ลุกขึ้นอยากจะปราดเข้าไปตบหน้ามัน เรนียาต้องดึงแขนคนเป็นแม่ไว้ ขณะที่เอริคก็ไม่ลดรา
“เออ มากกว่านี้ก็จะทำ”
ว่าแล้วเขาก็มองกราดไปที่ราฟ ที่นั่งนิ่งทำทองไม่รู้ร้อน ทั้งที่ทองร้อนๆลวกไปทั้งตัวแล้ว เพราะมันกระทบเขาด้วย แต่เขายังไม่คิดว่าจะมีเขาเกี่ยวข้อง ราฟสบตาเยาะใส่อีกฝ่ายแล้วทำสีหน้าเบื่อหน่ายกับเรื่องตรงหน้า ที่ทำให้เขาเสียเวลามานั่งฟัง เอริคอยากจะถลาเข้าไปหา แล้วชกหน้าเนื้อใจเสือนั้นให้คว่ำ
เอวาที่รู้จักลูกดี รีบลุกขึ้นจับมือไว้ แล้วถามอดีตสามีออกมา “แล้วคุณจะทำไงคะ”
“ตัดหางปล่อยวัด”
**********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 พ.ย. 2561, 10:59:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 พ.ย. 2561, 10:59:55 น.
จำนวนการเข้าชม : 1278
<< ตอน 14 |
Kim 6 พ.ย. 2561, 15:54:51 น.
นายราฟร้ายลึก
นายราฟร้ายลึก
แว่นใส 7 พ.ย. 2561, 08:04:57 น.
ลูกร้ายได้แม่ทุกคนเลย
ลูกร้ายได้แม่ทุกคนเลย
สิรินดา 25 เม.ย. 2562, 16:09:36 น.
(^__^)
(^__^)