ชายา ตอน เล่ห์รักดวงใจกรณ์
เพราะรูปถ่ายที่ได้เห็นเพียงครั้งเดียวในห้องทำงานของ ชินกฤต หรือเสือ แห่งตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ทำให้กรณ์ วิจิตรนาถ หลงรักเธอทันที เขาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับของหัวใจ แต่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมีคนรู้ความลับนี้เข้า และได้ทำตัวเป็นกามเทพ นำพาเธอมาหาเขา

ชิญาดา หรือน้องหนู ตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ได้รับโชคก้อนใหญ่ ได้มาเที่ยวกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมืองที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก ของสถานที่ท่องเที่ยว และสถาปัตยกรรมมากมาย เธอเดินทางมาคนเดียว ปลายทางคือเพื่อนรัก ที่ไม่ได้เจอกันมานาน จึงจะมาเซอร์ไพรส์ แต่ความคิดมันสวนทางกับความจริง เมื่อมาเจอเพื่อนถูกผู้ชายเลวทรามคนหนึ่งทำร้าย

ปลายกระบอกปืนที่เล็งมา จะเอาลมหายใจจากไปจากร่างกาย ทำให้เธอกลัวไปทั้งใจ แต่หลังจากนั้นคือการลุกขึ้นสู้ คนเลวทรามต้องติดคุก แต่คุกไม่ได้มีไว้ขังคนมีเงิน มีอำนาจ เธอถูกข่มขู่ คุกคาม กามเทพจึงอุ้มเธอมาใส่ในมือเขา ที่กางแขนโอบกอดเธอไว้ ไม่ให้คลาดไปจากสายตา ห่างไกลไปจากหัวใจอีกเลย

ทุกอย่างน่าจะจบลงที่ความสุข แต่หัวใจไม่ใช่เงินตรา ที่จะจับต้องหยิบไปใช้เมื่อไรก็ได้ เธอไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขา เขาจึงต้องทำให้เธอเห็น ด้วยภาษากาย พูดให้เธอฟัง ด้วยภาษาใจ และกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ในอ้อมแขน จนเธอรับรู้แต่กลับต้องวางหัวใจ เมื่อความลับของคนมีอำนาจ กำลังจะพรากเพื่อนรักไปจากเธอ

การแย่งชิง ไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม ถูกนำมาใช้ ท่ามกลางความรัก และผลประโยชน์ของตระกูลบลูโน โค ทุกคนกลายเป็นหมาก ที่ต้องเดิมเกมอย่างระวัง เพราะถ้าพลาดพลั้งทุกอย่างต้องพังทลาย ชิญาดากลายเป็นกุญแจสำคัญที่ใครๆก็ต้องการตัว แต่จะมีใครช่วงชิงเธอไปจากอ้อมแขนแห่งรักของกรณ์ ได้หรือไม่ ต้องติดตาม...

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 14

ตอน 14
กรณ์หมุนตัวเดินออกไปจากห้องทำงานทันที เดินตรงไปยังห้องนอนของเธอ เปิดประตูเข้าไป ร่างอรชรนอนนิ่งอยู่บนเตียง เขาก้าวเดินไปหาแล้วอุ้มตัวเธอขึ้นมา ชิญาดาผวาด้วยความตกใจ กอดคอเขาไว้ด้วยความกลัวว่าจะตก แล้วจะดิ้น แต่เสียงเข้มดุดังขึ้นมาอย่างรู้ทัน

“อย่าดิ้น”

เธอเม้มริมฝีปากข่มความไม่พอใจไว้ และไม่มองหน้าคนที่ทำลายความไว้ใจของเธอ กรณ์หรี่ตาลงมองเพียงแวบเดียว ก็อุ้มเธอออกมาจากห้อง ตรงไปยังห้องอาหาร วางเธอให้นั่งบนเก้าอี้แล้วเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่วางอยู่ข้างกัน จับมือเธอไว้ไม่ยอมให้ลุกหนี มองใบหน้างามที่บึ้งตึง แล้วบอกว่า

“ทานข้าวก่อน แล้วค่อยทะเลาะกัน พี่จะไม่ลุกไปไหน จะนั่งให้น้องหนูซักฟอกทั้งวัน”

ชิญาดาดึงมือออกจากมือเขา กรณ์ก็ปล่อยโดยดี เพราะต้องใช้มือทานข้าว แต่สายตาก็คอยมองถ้าเธอขยับหรือลุกเขาก็จะตะครุบไว้ทันที เขาตักข้าวใส่จานให้เธอ แล้วให้ตัวเอง จากนั้นก็ตักกับข้าวให้ทั้งเธอและตัวเอง ทั้งคู่ทานข้าวกันเงียบๆ กระทั่งท้องอิ่ม เธอก็ลุกขึ้น เขาก็จับมือไว้ทันที ก่อนจะปล่อยเมื่อเห็นว่าเธอจะเอาจานไปล้าง

กรณ์ช่วยเธอเก็บโต๊ะ ล้างจาน เรียบร้อยแล้วก็จับมือเธอพาไปนั่งบนโซฟาที่ห้องโถง ดึงโซฟาอีกตัวมานั่งตรงหน้าเธอ มองใบหน้างามที่ยังบึ้งตึง สายตาไม่ยอมมองหน้าเขา บอกให้รู้ถึงความโกรธของเธอ ตอนที่แยกไปอยู่ห้องทำงาน เขามีเวลาคิดถึงทุกสิ่งที่ได้พูดกับเอริน่าไป แต่ไม่มีอะไรที่จะเป็นชนวนให้เธอโกรธเลย นอกจากเรื่อง...จูบ

“โกรธที่เอริน่าจูบพี่เหรอ” กรณ์เริ่มพูดออกมา “พี่ขอโทษที่ไม่ระวัง ส่วนเรื่องนัด พี่ก็ปฏิเสธทุกครั้ง ไม่เคยไปเจอะเจอเลย”

“ไม่เคยไปเจอ แต่ก็นัดเธอใช่ไหม”

“ไม่”

เสียงปฏิเสธนั่นหนักแน่นและรวดเร็วจนชิญาดารู้สึกได้ว่าเขาพูดจริง ขณะที่กรณ์ก็รู้สึกดีขึ้นที่เธอยอมพูด รวบมือทั้งสองข้างของเธอมากุมไว้ พลางบอกว่า “เอริน่าพูดอะไรให้เข้าใจพี่ผิดหรือเปล่า พูดมาเถอะ พี่ไม่ได้จะแก้ตัว แต่จะแก้ไขให้ถูกเท่านั้นเอง”

ชิญาดาหรี่ตามองมือเขาที่กลับมาจับมือเธอไว้อีกครั้ง แต่ความไม่เข้าใจยังขวางความรู้สึกที่มีให้ก่อนหน้านี้ แต่เธอจะไม่หนี เมื่อเขาแสดงออกมาว่ายังไงเธอก็สำคัญ ด้วยการพยายามที่จะรับฟังคำพูดเธอๆก็ควรฟังคำพูดเขา “เธอบอกว่าคุณโทรไปคุยกับเธอ นัดให้เธอมาหาที่บลูโน โค และที่สำคัญคือคุณมีปัญหาอะไรก็จะโทรไปคุยกับเธอตลอด”

“พี่ไม่เคยโทรไปคุยกับเธอเลย มีบ้างที่เธอโทรมาหาพี่ แต่นั่นก่อนที่น้องหนูจะมาที่นี่ คุยไม่นานพี่ก็ตัดบทวาง ส่วนเรื่องนัดก็ไม่เคยนัด เธอทึกทักนัดเอาเองทุกครั้ง และพี่ก็ปฏิเสธอย่างที่น้องหนูเห็นมาแล้วถึงสองครั้ง”

“แต่ตอนที่เจอ คุณไม่ปฏิเสธคำพูดเธอ ที่บอกว่านัดกันไว้เลย ซ้ำยังพูดขอตัวราวกับนัดไว้ แต่ไม่สามารถไปได้”

“ก็เลยเชื่อทุกอย่างที่เธอพูด”

“คุณทำให้เชื่อต่างหาก”

“พี่ขอโทษที่ไม่ชัดเจน” เขาบอกแล้วยกมือขึ้นเขี่ยแก้มเธอให้หายบึ้ง ชิญาดามองค้อนเล็กๆแล้วฟังเขาพูดออกมาว่า “เอริน่าก็เป็นแบบนี้ ชอบหว่านเสน่ห์ไปทั่ว พอใครไม่สนใจก็มักจะไม่ยอม อีกอย่างเธอก็เป็นเหมือนเพื่อน และคุยเล่นแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้ว”

“ทำไมเธอทำอย่างนั้นละคะ”

“ไม่รู้ซิ พี่ไม่ไปเข้าใจใครทั้งนั้น นอกจากน้องหนู” เสียงกรณ์ทอดหวานให้หัวใจชิญาดายิ้มได้ ก็บอกว่า

“ขอโทษค่ะ”

กรณ์ส่ายหน้าว่าไม่รับ “รู้ไหมว่าที่บึ้งตึงใส่นะ พี่เสียใจมากแค่ไหน ต้องเรียกขวัญที่กระเจิงของพี่กลับมา”

“จะเรียกยังไงคะ”

“คนรักกันเขาทำยังไงกันละ”

“ไม่ได้บอกว่ารักสักหน่อย”

“แต่งอนและโกรธพี่แบบนี้ ถ้าไม่รักแล้วเขาเรียกว่าอะไร”

“คนพิเศษ”

“ที่สุด เพียงคนเดียวหรือเปล่า”

ชิญาดาสุดจะเขิน แล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่อย่าคิดว่าจะรอด เมื่อกรณ์เคลื่อนตัวไปนั่งข้างเธอ แล้วรั้งตัวเธอให้มานั่งอยู่บนตัก เธอหน้าเหวอไปเล็กน้อย ก็ถอยห่าง แต่กรณ์กลับกอดไว้ไม่ให้ห่าง และพูดให้ดักทางไม่ให้เธอบ่ายเบี่ยงว่า “ถ้าไม่บอก และเรียกขวัญพี่กลับมา จะพาเข้าห้อง”

“ไม่นะ” เธอร้องเสียงหลงและหน้าก็แดงขึ้นมา เมื่อคิดว่าเขาจะปรารถนาเธอมากกว่าที่เคยทำมา

“ร้องเสียงดัง คิดว่าพี่จะทำอะไร” ว่าแล้วก็ลิ่วตา เหมือนจะรู้ความคิดเธอ

ชิญาดายกมือขึ้นทุบอกกลบความเขินกรณ์จับมือนุ่มไปจูบแล้วบังคับด้วยสายตาให้เธอเรียกขวัญ เธอจึงข่มความเขินไว้ ยื่นหน้าไปหอมแก้มเขาทั้งซ้ายและขวา แต่กรณ์เลื่อนริมฝีปากมารับแทน แล้วทำให้เห็นว่าการเรียกขวัญของเขาจริงๆนั้นต้องทำยังไง

เขาจูบเธออย่างดูดดื่ม หยอกเย้าป้อนความหวานครอบงำอารมณ์เธอ และให้เผลอตอบสนอง แต่ไม่ได้หยุดแค่จูบเหมือนเช่นทุกครั้ง มือเขาสอดเข้าไปใต้เสื้อ ลูบไล้ผิวกายที่นุ่มลื่น ก่อนจะเคลื่อนไปด้านหลังปลดตะขอบราเธอออก แล้วเลื่อนมากอบกุมทรวงอกนุ่ม

ร่างอรชรสะดุ้งที่เขามาจับต้อง พยายามดึงมือเขาออก แต่กรณ์แข็งขืนไว้แล้วจูบเธอให้เผลอไปกับความหวานอีกครั้ง ก่อนจะผ่อนตัวเธอให้นอนราบไปกับโซฟา สองแขนของชิญาดายกขึ้นกอดต้นคอเขาไว้ เป็นโอกาสให้กรณ์ได้ปลดกระดุมเสื้อเธอลงมา แล้วถอนริมฝีปากออกมา เพื่อจะได้ยลโฉมทรวงอกงาม แต่ต้องชะงันกับสร้อยที่ห้อยอยู่กลางทรวงอก

จี้เงินรูปหนูมีตาเป็นเพชรรูปหัวใจสีชมพู เขาจำได้ดี เพราะเป็นคนเลือกซื้อมากับมือและส่งไปให้เธอ คิดไม่ถึงว่าเธอจะใส่ติดตัวไว้แบบนี้ เขารู้สึกปลื้มเป็นที่สุด แล้วจูบที่จี้เบาๆก่อนจะเลื่อนไปครอบครองยอดทรวง ชิญาดาวาบไปทั้งใจ ผลักไสให้เขาถอยห่าง

กรณ์จับมือเธอไว้เหนือศีรษะขณะขบเม้มยอดทรวง ปลุกเร้าอารมณ์เธอให้รู้สึกถึงความต้องการของเขา ที่รอคอยเธอมานาน เฝ้าสัมผัสวนเวียนจูบย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเธอครางแผ่ว ปล่อยตัวปล่อยใจเรียนรู้รักที่เขาเริ่มสอน กรณ์ปล่อยมือของเธอก่อนจะก็เคลื่อนตัวไปจูบริมฝีปาก แล้วเลื่อนมือมาครองครองทรวงอกแทน เคล้าคลึงราวกับเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ

ชิญาดาตอบสนองด้วยอารมณ์รักที่ซ่อนอยู่ในใจ จูบตอบ กอดตอบ พลางเบียดตัวเข้าหา กรณ์ถึงกับครางกระเส่า “น้องหนู” ความปรารถนาพุ่งขึ้นสูงเลื่อนฝ่ามือลงต่ำไปถึงหน้าท้องเรียบแบนและแทรกเข้าไปใต้กางเกง สัมผัสกับสิ่งที่จะให้ความสุขกับเธอ

ร่างอรชรสะดุ้งพิศวาสที่ครอบงำอยู่จางลง เมื่อถูกรุกล้ำเกินขอบเขต สติเริ่มจะกลับมาและแสนจะอับอาย “ปล่อย ปล่อยได้แล้วค่ะ”เธอบอกด้วยเสียงสั่นพล่าพลางถอยห่าง กรณ์รีบกอดตัวไว้ จูบปลอบไปทั่วใบหน้าก่อนจะอ้อนวอนด้วยเสียงนุ่มทุ้มลึก

“อีกนิดนะคนดี จูบพี่อีกนิด ให้พี่สัมผัสอีกหน่อย” ว่าพลางขยับปลายนิ้ว ให้อารมณ์เธอเริ่มหวามขึ้นมาอีกครั้ง “น้องหนู” เสียงเขากระซิบอยู่ที่ใบหู ขบเม้มซุกไซร้ประโลม ให้ตามที่ขอ ชิญาดากัดริมฝีปากข่มพิศวาสที่ก่อตัวขึ้นมา อ้าปากจะปฏิเสธ แต่เขากลับจูบปิดริมฝีปาก เธอก็ตอบสนองราวกับน้ำมันได้เจอกับไฟ
*********
เรนียานั่งทำงานอยู่ในอาคารซี ราเซล เธอสุขใจที่ได้นั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ เพราะได้มีเวลาคิดแผนงานต่างๆ แต่ไม่กี่ชั่วโมงผ่านไป ก็มีคนมาทำให้ความสุขของเธอหายไป คนเป็นแม่เปิดประตูเข้ามาราวกับพายุ หน้าตาบึ้งตึง เดินไปกระแทกตัวนั่งบนโซฟา วางกระเป๋าถือไว้ข้างตัว แล้วก็บ่นความคับแค้นที่อยู่ในใจออกมา

“เสียเวลา เสียเงิน เสียมันทุกอย่าง ไม่ได้เรื่องแล้วยังจะเรียกเงินเพิ่มอีกต่างหาก”

เรนียาเหลือบตาขึ้นมองหน้าท่าน รอยช้ำที่แก้มจางไปแทบจะมองไม่เห็นแล้ว แต่ที่มุมปากยังชัดอยู่ คำพูดที่บ่นมานั้นเธอได้ยินทุกคำ อยากจะนิ่งไม่พูดไม่ถาม แต่รู้ดีว่าความเงียบนั่นอันตราย เพราะจะถูกค่อนแคะ เลยถามออกมาอย่างเสียไม่ได้ “หงุดหงิดอะไรมาคะ”

“นึกว่าจะเป็นตอไม้ ไม่รู้สึกรู้สมกับฉันเสียอีก”

“หนูไม่ชอบก้าวก่าย แม่ก็รู้นี่ค่ะ”

“ย่ะ แต่คนดี และไม่ต้องมาประชดฉัน แกมันก็เหมือนพ่อแก ทำตัวนิ่ง ไม่มีความหวือหวา วันๆมีแต่งานกับงาน แต่ซ่อนความร้ายกาจ มีเมียปาเข้าไปแล้วสามคน”

“ถ้าเรยาจะมีความร้ายกาจ ก็คงมาจากแม่นั่นแหละค่ะ” ราเซลตาลุกวาวที่โดนย้อน แต่เรนียาฉลาดรีบเปลี่ยนเรื่องเสียก่อน “ที่บ่นเรื่องเงินเมื่อกี้ ไปเสียค่าอะไรมาอีกเหรอคะ”

“ค่าโง่” ว่าแล้วเธอก็ยังเจ็บใจไม่หาย “ฉันไปจ้างนักสืบ ให้หาตัวคนรักของไอ้เอริค อยากเห็นว่าหน้าตาเป็นยังไง จะได้ช่วยเป็นหูเป็นตา ตามหาให้บ้าง แต่กลับคว้าน้ำเหลว เป็นพวกหลอกลวงกันเสียงั้น พอได้เงินก็ชิงหนีหมด”

“แม่คงไม่ได้ช่วยด้วยความจริงใจ แต่มีอะไรแอบแฝงอยู่ใช่ไหมคะ”

“จะมีสักครั้งไหมที่แกจะมองฉัน ในแง่ดีบ้าง”

“อยู่ที่การกระทำ และความจริงใจค่ะ”

“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวน เล่นคำกับฉัน” ว่าแล้วเธอก็ค้อน “แต่ก็เอาเถอะ ฉันยอมรับในฐานะที่แกเป็นลูกฉันว่าใช่ แกคิดดูนะ มันถูกเอริคทำร้าย แล้วหนีหายไปซ่อนตัว มันต้องมีอะไรแน่นอน ฉันสงสัยจนหัวจะระเบิดอยู่แล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร พี่ชายแกเขาก็สนใจด้วย”

“ราฟนั่นเหรอ” เธอพูดกับตัวเองมากกว่าจะถามคนเป็นแม่ ความสงสัยปรากฏขึ้นเต็มสีหน้า เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอหรือเขาเลย จะมีก็ส่วนได้ส่วนเสียจากความผิดพลาดของอีกฝ่ายบ้างก็คือหุ้น แล้วจะมีอะไรที่เขาจะได้อีก ถ้าได้รู้จักหรือเห็นหน้าค่าตาของผู้หญิงคนนั้น ที่สำคัญที่ผ่านมา เมื่อคนเป็นแม่มาพูดถึงเรื่องนี้ทีไร เขาก็ไม่สนใจด้วยซ้ำไป แล้วทำไมจู่ๆถึงได้สนใจขึ้นมา หรือเพราะแม่โดนทำร้าย จึงอยากเอาคืนฝ่ายโน้นบ้าง เธอคิดแล้วถาม “เขาจะอยากรู้ไปทำไมคะ”

“ก็รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามไง รู้เขารู้เราไว้ก็ไม่เสียหาย แกควรจะเอาเป็นตัวอย่าง จะได้รู้เท่าทันนางหงส์กับลูกของมันบ้าง”

“รู้มากก็ใช่ว่าสบายใจ มีตัวอย่างให้ดูแล้ว ไม่รู้อะไรเลยดีกว่า”

ราเซลตาเขียวใส่ลูก ที่ว่ากระทบเธอ แล้วมองไปที่กระเป๋าที่วางอยู่ข้างตัว เพราะเสียงโทรศัพท์ส่วนตัวที่ดังขึ้นมา เธอเปิดกระเป๋าหยิบออกมา เห็นชื่อคนโทรมาแล้วเบ้ปากออก ก่อนกดรับสาย พูดภาษาดอกไม้มีพิษหยันๆออกไป

“ว่าไงคะคุณกรองแก้ว มีอะไรให้รับใช้คะ”
*********
กรองแก้วยิ้มออกมานิดๆ เพราะคิดก่อนที่จะโทรไปว่าจะได้ยินคำพูดแบบใด แล้วก็ใช่อย่างที่คิดจริงๆ เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน หลังจากที่คุยกับญาติหนุ่มแล้ว ก็นั่งทำงาน กระทั่งได้เวลาที่เหมาะ ก็กดหาอดีตภรรยาของสามีทีละคน เริ่มจากคนที่กำลังอยู่ในสายตอนนี้

“ท่านให้เรียนเชิญมาทานมื้อค่ำด้วยกัน”

ราเซลเบ้ปากใส่เสียงพูดอย่างเป็นทางการด้วยความหมั่นไส้ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายจงใจบอกให้รู้ฐานะที่เหนือกว่าตัว จึงจิกกัดกลับไป “เรื่องกระจอกแค่นี้ถึงกับใช้เธอเลยเหรอ ดูไม่สมกับฐานะเธอเลยนะ หรือจะโดนโละทิ้งแล้ว”

“ขอบคุณที่อวยพรค่ะ แต่ท่านเห็นว่ามันสำคัญมากต่างหาก จึงอยากให้ออกจากปากฉันเอง”

“จองหอง ฉันแช่งแล้วยังอวดดี” เธอเข่นเขี้ยว ก่อนจะถามห้วนๆ “แล้วมีเรื่องอะไร”

“ไม่ทราบค่ะ ดิฉันแจ้งตามคำสั่งท่านเท่านั้น”

“ฉันไม่เชื่อ เธอรู้แล้วไม่บอกมากกว่า ผัวเมียกัน นอนเตียงเดียวกันจะไม่รู้ได้ยังไง หรือว่า...” เธอทำเสียงมีเลศนัยแยกเตียง แยกกันอยู่แล้วละ”

“จะเอาไปขึ้นหน้าหนึ่งหรือคะ” เสียงกรองแก้วนิ่งแต่จริงจัง

“หน้าหนึ่งอะไร” เสียงไม่รู้ไม่รู้ ทั้งที่ใจสะดุ้ง

“จะบอกว่าคุณไม่รู้ แต่คุณอย่าลืมว่าตอนนี้ใครคือนายหญิงแห่งบลูโน โค เรื่องที่ทำนะมันปิดไม่มิดหรอกค่ะ และขอเตือนว่าอย่าให้มีซ้ำสองนะคะ เพราะอาจจะไม่เหลืออะไรเลย”

“แกขู่ฉันเหรอ” เสียงเปลี่ยนด้วยความร้อนตัว

กรองแก้วยิ้มเย็นในหน้า แล้วตอบกลับไปว่า “เตือนด้วยความหวังดีต่างหาก และถ้าอยากรู้เรื่องที่ถามมาทั้งหมด ก็มาพิสูจน์ด้วยตัวเองก็แล้วกัน แล้วไม่ใช่แค่คุณนะคะที่ได้เชิญ ลูกสองคนด้วยนะคะ สวัสดีค่ะ”

ราเซลอยากจะปาโทรศัพท์ใส่หน้านังจองหองนั่นนะ เสียแต่ไม่ได้อยู่ตรงหน้าเท่านั้น “ทำเป็นวางท่า เชิดหน้าอยู่บนหอคอย อยากรู้นักว่าถ้าวันหนึ่งถูกเฉดหัวออกมา แล้วคอยังจะตั้งตรงอยู่ได้หรือเปล่า” เสียงเธอกร้าวด้วยอารมณ์โกรธ

เรนียาที่ได้รับฟังส่ายหน้าหน่ายใจกับนิสัยของคนเป็นแม่ ที่ไม่เคยมองใครดีไปกว่าตัวเอง แล้วถามออกมา “คุณกรองแก้ว โทรมามีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”

“เรียกมันว่าอีก็พอ ไม่ต้องให้เกียรติมันให้ระคายหูฉัน” เสียงเธอยังบอกถึงความโกรธอยู่ แล้วข่มอารมณ์ เมื่อต้องคิดถึงคำสั่ง “พ่อแกเชิญให้ไปทานข้าวด้วย” บอกแล้วสีหน้าของราเซลหมกมุ่น “ต้องมีอะไรสักอย่าง เพราะพ่อแกไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน”

เรนียาเห็นด้วย และยิ่งแปลกใจเมื่อคนเป็นแม่บอกออกมาอีกว่า “ไม่ใช่แค่ฉัน แต่แกกับราฟต้องไปด้วย”

“แม่เผลอไปสร้างเรื่องอะไรให้พ่อไม่พอใจหรือเปล่า”

“ไม่มี” เธอตอบลูกได้ทันที เพราะไม่มีอะไรซุกซ่อนไว้จริงๆ

“แล้วราฟละคะ”

“เขาก็ไม่มี วันๆอยู่แต่ร้านเวดดิ้ง อยู่กับผ้า ผ้า ผ้าแล้วก็ผ้า จะไปทำอะไร ให้มีเดือดร้อนได้ไง” เธอบอกทั้งที่ไม่แน่ใจ เพราะระยะหลังมานี้ เธอรู้สึกว่าลูกชายมีคำพูดแปลกๆ

“ถ้าไม่มี ก็อาจจะเกี่ยวกับเรื่องที่ร้อนอยู่ในตอนนี้ค่ะ”

“ก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะฉันได้ข่าวว่าจากกรรมการบางคน ว่าพ่อของแกถูกรัฐมนตรีที่ดูแลโครงการยักษ์ใหญ่เรียกคุย” เธอว่า และคิดก่อนจะพูดออกมาอีกว่า “ถ้าใช่ นางหงส์เอวากับลูกมันก็ต้องไปด้วย เพราะทำให้ตระกูลเสื่อมเสีย ทำให้ธุรกิจเสียหาย และคราวนี้เราสามคนแม่ลูก ก็จะมีข่าวดีเสียที”

“ข่าวดี เรื่องอะไรคะ” เธอถามเพราะตามความคิดคนเป็นแม่ไม่ทัน

“เปลี่ยนแปลงผู้สืบทอดตำแหน่ง”

“แม่หมายถึง...”

“ใช่ พี่ชายแกอาจจะได้เป็นมือวางอันดับหนึ่งแทนไอ้เอริค ที่ก่อเรื่องขึ้นมาถูกลงโทษด้วยการยกหุ้นมาให้กับราฟไปแล้ว แต่คราวนี้เมื่อปัญหามันบานปลายไปถึงชื่อเสียงหน้าตาของตระกูล อาจจะมีสร้างเซอร์ไพรส์ อย่างที่ฉันบอกไปก็ได้” ว่าแล้วเธอก็ยิ้มกริ่มเมื่อคิดถึงอำนาจที่อาจจะมาอยู่ในมือ

“ไม่ได้แล้ว ฉันต้องไปเตรียมตัวเตรียมชุด อาบน้ำแร่แช่สปา แล้วต้องโทรบอกราฟ ส่วนแกก็อย่าลืมหาชุดสวยๆใส่ไปด้วยละ” พูดจบเธอก็หยิบกระเป๋าถือ ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป

เรนียามองตามไปพร้อมความคิดต่าง เมื่อมองว่าพี่ชายเธอนั้นยังไม่เหมาะกับตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่นี้ ภาพลักษณ์เขามีความอ่อนแอราวกับผู้หญิงที่ทุกคนได้เห็น อีกอย่างเขาบอกด้วยการกระทำมาตลอดว่าเขาไม่ต้องการ โดยที่เธอไม่รู้ว่านั่นเป็นเพียงภาพลวงตาของเขาเท่านั้น
********
คฤหาสน์ของผู้หญิงแถวหน้า เอวานั่งจัดดอกไม้อยู่ในพักผ่อน ก็ได้รับโทรศัพท์จากภรรยาของอดีตสามีเหมือนกัน สาวใช้นำโทรศัพท์มายื่นให้เธอ พร้อมกับบอกว่าใครโทรมา ชื่อที่ได้ยินนั้นทำให้ใบหน้าของเธอเชิดขึ้น วางท่าอยู่เหนือคนโทรมา แล้ววางมือจากดอกไม้ ยกขึ้นรับโทรศัพท์มาถือไว้ รอจนสาวใช้ถอยออกไปพ้นห้อง ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไว้ตัว ถามออกไปว่ามีอะไร แล้วก็ได้รับคำตอบที่สร้างความแปลกใจให้ไม่ต่างกับราเซลเลย และไม่ใช่แค่ตัวเธอเท่านั้นยังมีลูกทั้งสองคนด้วย ตั้งแต่หย่าขาดกันไป น้อยครั้งนักที่จะได้ทำแบบนี้ นอกจากวันเกิดของลูกๆเท่านั้น

“เรื่องแค่นี้ถึงกับให้เธอโทรมาเหรอ มันไม่สมเหตุผลเลยนะ มันต้องสำคัญกว่านี้ซิ ถึงได้ใช้เธอ”

“ท่านให้แจ้งแค่นี้ค่ะ”

“ถ้างั้นก็บอกว่าฉันไม่ไป”

“ได้ค่ะ ฉันจะเรียนท่านให้ แต่คุณคงไม่อยากพลาดสิ่งสำคัญ”

“จะบอกอะไร”

“ไม่มีค่ะ แค่เตือนด้วยความหวังดีเท่านั้น ว่าอะไรที่ร้อนอยู่แล้วก็น่าจะทำให้เย็น ไม่ควรทำให้ความร้อนมันลุกลามออกไป จนยากที่จะดับเอานะคะ”

พูดจบคนโทรมาก็วางสายไป เอวาวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะขณะสมองทำงานอย่างหนัก คิดหาเหตุผลที่อดีตสามีทำ เธอให้น้ำหนักเรื่องของเอริค เพราะได้ยินข่าวเรื่องที่เขาถูกรัฐมนตรีเรียกไปคุยเช่นกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้ไม่จำเป็นที่เขาต้องเรียกไปที่บ้าน มันต้องมีเรื่องอื่นซิ แล้วมันเรื่องอะไร

เธอไม่มีกระจิตกระใจจะจัดดอกไม้ ความสวยงามของมันไม่ได้ช่วยบรรเทาใจที่เป็นทุกข์ขึ้นมาได้แล้ว และไม่อาจควบคุมตัวเองให้นิ่งเฉยได้อีกต่อไป ลุกขึ้นเดินไปยืนที่หน้าต่าง มองไปที่หน้าคฤหาสน์ คอยคนที่เธอสั่งให้มารายงานความคืบหน้าเรื่องที่ให้ไปทำ และคงต้องให้ช่วยคิดเรื่องนี้ด้วย ไม่นานคนที่รอก็โผล่มา

เธอข่มอารมณ์ให้นิ่ง แล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม หยิบดอกไม้ขึ้นมาปักในแจกัน เสมือนว่าไม่ได้มีความร้อนระอุเผาใจอยู่ กระทั่งทนายเมอเรย์เดินเข้ามายืนตรงหน้า เธอวางดอกไม้ไว้บนโต๊ะแล้วบอกให้เขานั่งบนเก้าอี้ข้างๆ สาวใช้นำน้ำมาวางให้บนโต๊ะ แล้วถอยออกไป เขาก็พูดสิ่งที่ได้ไปทำมาโดยไม่ต้องให้นายถาม

“คุณราฟเคลื่อนไหวแล้วครับ”

แววตาของเอวาเปล่งประกายความพอใจออกมา ก่อนถาม “มันทำอะไร”

“ติดต่อพวกนักเลงนักสืบ กำลังสืบอยู่ว่าให้ทำอะไร”

“ฉันจะได้คำตอบเมื่อไร”

“น่าจะค่ำนี้ เพราะพวกนี้หาตัวยาก เข้าถึงยาก ถ้าไม่ใช่คนที่มันไว้ใจหรือเงินหนาพอ ก็ยากจะเข้าถึงตัว”

“ช้าไป สั่งคนของเราให้เร็วกว่านี้ จะเสียเท่าไรเสียไป และจับตาดูไอ้ราฟไว้ อย่าให้คลาดสายตาเด็ดขาด”

“ครับ ว่าแต่มีเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับคุณราฟหรือเปล่า” เขาอดไม่ได้ที่จะถาม ทั้งๆที่เคยถามแล้วไม่ได้คำตอบ นอกจากต้องคิดหาเอง

เอวามองตาที่รอคอยคำตอบ อยากจะบอกให้รู้เหมือนกัน แต่เรื่องนี้เธอไว้ใจใครไม่ได้จริงๆ แล้วตอบด้วยคำตอบเดิม “ทำงานให้เสร็จแล้วจะได้รู้เอง”

ทนายเมอเรย์ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรับปาก “ครับ” แล้วจะลุกขึ้นเพื่อไปทำงานของตัวเองต่อ แต่ต้องนั่งลงเหมือนเดิมเพราะคำพูดของนาย ที่บอกว่า

“ฉันได้รับคำเชิญ ให้ไปทานมื้อค่ำที่คฤหาสน์บลูโน โค พอจะระแคะระคายเรื่องนี้บ้างไหม”

ทนายเมอเรย์นิ่วหน้าคิดด้วยความแปลกใจ ก่อนจะตอบ “ไม่ครับ คนของเราที่อยู่ในบลูโน โค ไม่มีส่งสัญญาณอะไรมา จะใช่เรื่องเดิมหรือเปล่าครับ”

“อาจจะมีส่วน แต่เขาไม่น่าถึงกับเชิญให้ไปอย่างนี้ ที่สำคัญให้กรองแก้วโทรมาด้วยตัวเอง และยังไม่มีใครรู้อีก นี่แหละที่แปลก”

ทนายเมอเรย์นิ่งคิดและเริ่มจะเห็นด้วย ตอนนี้มีเรื่องที่ร้อนๆอยู่สองเรื่อง ร้อนแรกคือคุณเอริคที่ทำร้ายผู้หญิง ซึ่งนำพามาสู่ร้อนที่สองคือเรื่องของโครงการยักษ์ใหญ่ ที่คลอนแคลนอยู่ นอกจากนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรอีก แต่ถ้าจะมี ...แววตาเขามีความหนักใจ ก่อนจะพูดออกมา “จะเปลี่ยนแปลงอะไรหรือเปล่าครับ”

“ยังไง”

“คราวก่อนพอเรื่องแดงขึ้นมา คุณเอริคก็โดนลดหุ้น แล้วคราวนี้เรื่องเลยเถิดไปถึงภาพลักษณ์ของบริษัท ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก อาจเสียอะไรที่ใหญ่ขึ้นตาม เช่น...”

ทนายเมอเรย์ไม่พูดออกมา เอวาก็เข้าใจ ว่าสิ่งที่ทนายจะบอกนั้นคือ การเสียสิทธิในทุกอย่าง เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของบริษัทไว้ เธอขบฟันเข้าหากันแน่น แววตาก็กร้าวขึ้นมาราวกับจะบอกว่า จะไม่ยอมให้ลูกของเธอเสียอะไรไปอีกแล้ว และถ้าเป็นอย่างที่คิดจริงๆ เธอจะแก้ไขมันยังไง ในเมื่อยังหาตัวผู้หญิงที่กำความลับของอีกฝ่ายไว้ไม่ได้ แถมมันยังลอบกัดข่มขู่ให้หวั่นๆอยู่แบบนี้

“ไปเพิ่มคนหาตัวนังผู้หญิงคนนั้นให้เจอ ต่อให้พลิกเวียนนาก็ต้องทำ”

“ครับ”

ทนายเมอเรย์รับคำ แล้วรีบลุกขึ้นไป เพราะร้อนใจไม่ต่างจากคนเป็นนาย ส่วนเอวาก็ไม่อาจนั่งรอให้ถึงค่ำนี้ได้อีกแล้ว เธอลุกขึ้นไปแต่งตัว เพื่อไปหาคนที่ก่อเรื่องขึ้นมา
**********
ความปรารถนาของกรณ์ที่มีต่อหญิงเดียวในดวงใจ เบาบางลงหลังจากได้เคล้าคลอพนอชิดจนฉ่ำไปทั้งใจ พอยับยั้งใจได้ ก็จัดเสื้อผ้าเธอให้เรียบร้อย แต่ยังไม่ยอมปล่อยตัวเธอให้ห่างไปจากตัวเขา ทั้งคู่ยังนั่งกันอยู่บนโซฟาในห้องโถง ตรงหน้าของชิญาดาคือสร้อยคอสีเงินมีจี้เงินรูปหนู ที่กรณ์ถอดออกมาจากคอของเธอ ชูขึ้นให้มองอย่างสงสัย ว่าเขาจะถอดออกมาทำไม และก็จำได้ว่าเขาเฝ้าวนเวียนจูบตรงจี้หลายครั้ง

คิดมาถึงตรงนี้หน้าเธอก็ร้อนผ่าว เพราะตรงที่จี้อยู่ก็คือกลางทรวงอกเธอ พอเขาจูบจี้ก็จะเลยไปจูบยอดทรวงเธอด้วย ยังรู้สึกเหมือนริมฝีปากของเขาดูดดื่ม ขบเม้นหยอกเย้าอยู่เลย แก้มเธอแดงขึ้นมาให้คนที่มองอยู่ถามออกมา

“คิดอะไร”

ทุกอย่างที่เป็นตัวเธอไม่เคยพลาดไปจากสายตาเขา “เปล่าค่ะ” เธอตอบแต่เสียงนั้นไม่หนักแน่นเอาเสียแล้ว แล้วรีบถามก่อนจะถูกล้อ “ชอบสร้อยเส้นนี้เหรอคะ ถึงได้ขอถอดออกมาดู”

“ใช่ แล้วน้องหนูละ ชอบมากซิ ถึงได้ใส่”

“ค่ะ”

“เล่าให้พี่ฟังหน่อย ว่าได้มายังไง”

“มีคนส่งมาในวันเกิดค่ะ ไม่ระบุผู้ส่ง รู้แต่ว่าถูกส่งมาจากต่างประเทศ”

“แล้วใส่ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับหรือเปล่า”

“ค่ะ น้องหนูเห็นว่ามันสวยดี น่ารัก ใส่ติดตัวไว้ไม่เคยถอดเลย”

คำตอบของเธอนั้นทำให้กรณ์ชื่นใจเป็นที่สุด ที่คิดไว้ก่อนส่งว่าเธออาจจะไม่สนใจ ไม่ทิ้งไปก็คงโยนเก็บไว้แล้วลืมเลือนมันไปเลย แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะชอบมาขนาดนี้ และคำแทนตัวว่าน้องหนูที่พูดกับเขานั่น น่ารักเหลือเกิน “พอจะเดาได้ไหม ว่าเป็นใคร”

เธอส่ายหน้าพร้อมกับบอกว่า “ไม่ค่ะ”

“มีใครแอบชอบหรือชอบแอบอยู่หรือเปล่า” กรณ์พูดให้แคบเข้ามา เพื่อให้เธอลองคิดดู

“ถ้าแอบชอบใครไม่มีค่ะ แต่ถ้าใครแอบชอบเพิ่งทราบว่ามี อยู่แถวนี้” ว่าแล้วเธอก็ทำตาล้อเขา เพราะเขาบอกว่าชอบเธอตั้งแต่เห็นแค่รูปถ่าย คิดมาถึงตรงนี้เธอก็มองหน้าเขาตาไม่กะพริบ เพราะเหมือนกับว่าปริศนาที่คาใจอยู่ถูกเฉลยออกมาแล้ว “เป็นคุณเหรอคะ ที่มอบให้”

“ถามใหม่ซิ”

เธอรู้ได้ทันทีว่าใช่ สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความดีใจ และรู้ว่าที่เขาต้องการให้พูดใหม่เพราะอยากได้ยินคำใด ก็เต็มใจพูดให้ทั้งๆที่ขัดเขิน “เป็นพี่กรณ์เหรอคะ ที่มอบให้”

กรณ์ยิ้มแล้วเอาสร้อยไปคล้องคอให้ ขณะที่ปลายจมูกซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่นและริมฝีปากก็บอกเบาๆที่ริมหูว่า “ใช่” แล้วก้มหน้าลงมองสร้อยที่ยาวอยู่กลางทรวงอกพอดี ปลายนิ้วเขาจับจี้ไว้ยกขึ้นแตะที่ริมฝีปาก ก่อนจะปล่อยไว้ที่เดิม แต่มือจะซนไปแตะต้องทรวงอกเธอ มือเรียวจึงตีเพี้ยะเข้าให้

“หวงเหรอ”

เธอมองค้อนเขา แล้วปัดมือเขาออก รวบคอเสื้อปิดจี้ไว้ ไม่สนใจสายตาละห้อยของเขา ซ้ำยังบอกว่า “หวงกับคนอื่นนะได้ แต่ห้ามหวงกับพี่”

“หวงเหมือนกันค่ะ จะให้คนอื่นมาแตะต้องได้ยังไง”

“พี่ก็เป็นคนอื่นด้วยเหรอ” เสียงเขามีแววน้อยใจ ชิญาดาใจเสียไปเล็กน้อยก็บอกว่า

“จะเป็นได้ไงคะ ก็เพิ่งบอกไปว่าเป็นคนพิเศษ”

“งั้นก็จับได้นะซิ” ไม่พูดเปล่าเขายังยื่นมือจะจับอกเธอด้วย ชิญาดาขึงตาใส่พร้อมกับตีมือเขาแรงๆ กรณ์หัวเราะลั่น กว่าจะหยุดแล้วพูดออกมาใหม่ออกมา “ไม่จับก็ได้ แต่พิเศษแค่ไหน บอกให้พี่รู้หน่อย”

ว่าแล้วก็ยื่นหน้าไปใกล้เอียงหูรอฟัง แต่ชิญาดากลับจับมือเขาหงายขึ้น แล้ววาดรูปบางอย่างกลางฝ่ามือเขา กรณ์มองตามปลายนิ้วที่ลากมาบรรจบกัน ก็ยิ้มกว้างเพราะมันคือรูปหัวใจ ที่เธอวางไว้กลางในมือเขาแล้วนั่นเอง

เขาขอบคุณเธอด้วยจูบเนิ่นนาน แล้วถอนจูบออกมา บอกว่า “พี่ไปทำงานดีกว่า ถ้ายังอยู่ตรงนี้มีหวังยั้งตัวเองไว้ไม่ได้แน่”

“จะปล้ำกันเหรอคะ”

“ลองดูไหมคะ รับรองว่าจะไม่ปล้ำให้ช้ำ แต่ทำให้สำลักความหวานเลย

ชิญาดาเขินหนัก แล้วเป็นฝ่ายลุกขึ้นห่างจากเขาเสียเอง เดินกลับไปที่ห้องตัวเอง กรณ์มองตามไปด้วยความสุขใจ และกลับมาคิดถึงอันตรายรอบตัวเธอ ที่เขายังไม่สามารถจัดการให้หมดไป ยังต้องระวังและป้องกันด้วยตัวและหัวใจเขาต่อไป
**********

ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ต.ค. 2561, 09:32:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ต.ค. 2561, 09:32:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1041





<< ตอน 13   ตอน 15 >>
Kim 30 ต.ค. 2561, 12:14:53 น.
ง้อแบบได้กำไรเห็นๆ


แว่นใส 31 ต.ค. 2561, 07:34:05 น.
ได้กำไรสุด ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account