กระซิบรักฝากหัวใจที่ปลายฟ้า: พิมมาศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เพราะเสียงกระซิบจากชายในฝัน
ทำให้ 'เอริน' จดจำฝังใจและรอวันที่จะได้พบเจอ
จนเวลาผันผ่านนานนับยี่สิบปี...
เสียงนั้นกลับเข้ามาย้ำเตือนความทรงจำของเธออีกครั้ง
ซีอีโอหนุ่มใหญ่ที่แก่กว่าเธอร่วมสิบกว่าปีได้ ทั้งแววตาและน้ำเสียงอบอุ่นของเขา
ยิ่งใกล้ชิดยิ่งติดพัน ยิ่งใกล้กันยิ่งหวั่นไหว เธอจะทำอย่างไรกับใจของตัวเอง
Love go on, until the end of the world…
เพราะความน่ารัก สดใส เยาว์วัยของเธอ
ทำให้ 'ชานนท์' กลับมายิ้มได้อีกครั้งพร้อมความรู้สึกดีๆ
ผ่านไปอีกหนึ่งปี...
เขากลับมาหาเธอพร้อมคำสัญญาที่เคยให้ไว้
รอยยิ้มของยายกุหลาบชมพูแก้มกลมผู้สดใส อ่อนโยน
กำลังหลอมละลายความแค้นในใจของเขาให้กลายกลับมาเป็นความรักอีกครั้ง
***************************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "พิมมาศ" และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" เปิดจองเร็วๆ นี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เรื่องนี้โรแมนติก น่ารักน่าหยิกมากๆ ใครชอบพระเอกหนุ่มใหญ่สายเปย์ รุกจีบเด็ก ส่วนเด็กมีความใสซื่อแต่แก่นแก้วนิดๆ และแอบตามตื๊อ มิควรพลาดจ้าาาาา นอกจากนี้ยังได้ไปเที่ยวยุโรปกันด้วย มีความดราม่าของเรื่องราวในวัยเด็กระหว่างกันแฝงอยู่ด้วยค่ะ #รับประกันความสนุก!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก.com ร้านbooksforfun ร้านbanniyayindy ร้านภาวิกา ร้านbestbooksmile เป็นต้น
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 624 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 385฿ จากราคาปก 445฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 430฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 455฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
ทำให้ 'เอริน' จดจำฝังใจและรอวันที่จะได้พบเจอ
จนเวลาผันผ่านนานนับยี่สิบปี...
เสียงนั้นกลับเข้ามาย้ำเตือนความทรงจำของเธออีกครั้ง
ซีอีโอหนุ่มใหญ่ที่แก่กว่าเธอร่วมสิบกว่าปีได้ ทั้งแววตาและน้ำเสียงอบอุ่นของเขา
ยิ่งใกล้ชิดยิ่งติดพัน ยิ่งใกล้กันยิ่งหวั่นไหว เธอจะทำอย่างไรกับใจของตัวเอง
Love go on, until the end of the world…
เพราะความน่ารัก สดใส เยาว์วัยของเธอ
ทำให้ 'ชานนท์' กลับมายิ้มได้อีกครั้งพร้อมความรู้สึกดีๆ
ผ่านไปอีกหนึ่งปี...
เขากลับมาหาเธอพร้อมคำสัญญาที่เคยให้ไว้
รอยยิ้มของยายกุหลาบชมพูแก้มกลมผู้สดใส อ่อนโยน
กำลังหลอมละลายความแค้นในใจของเขาให้กลายกลับมาเป็นความรักอีกครั้ง
***************************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "พิมมาศ" และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" เปิดจองเร็วๆ นี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เรื่องนี้โรแมนติก น่ารักน่าหยิกมากๆ ใครชอบพระเอกหนุ่มใหญ่สายเปย์ รุกจีบเด็ก ส่วนเด็กมีความใสซื่อแต่แก่นแก้วนิดๆ และแอบตามตื๊อ มิควรพลาดจ้าาาาา นอกจากนี้ยังได้ไปเที่ยวยุโรปกันด้วย มีความดราม่าของเรื่องราวในวัยเด็กระหว่างกันแฝงอยู่ด้วยค่ะ #รับประกันความสนุก!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก.com ร้านbooksforfun ร้านbanniyayindy ร้านภาวิกา ร้านbestbooksmile เป็นต้น
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 624 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 385฿ จากราคาปก 445฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 430฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 455฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
Tags: สายเปย์ รุกจีบ น่ารัก ดราม่า แก้แค้น ลอนดอน ฟลอเรนซ์
ตอน: บทที่ 5 -100%
มาต่อค่า ใครสนใจสั่งจองกดดูรายละเอียดที่ปุ่มอ่านเรื่องย่อด้านบนได้เลยนะคะ^^
**************
ครู่ใหญ่ งานเลี้ยงก็จบลงพร้อมแขกเหรื่อที่มาร่วมงานพากันทยอยกลับหลังส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอแล้วเรียบร้อย
หน้าที่การเป็นเพื่อนเจ้าสาวของเอรินก็สิ้นสุดลงด้วยเช่นกัน หล่อนจึงอาศัยจังหวะที่เหล่าบรรดาผองเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวต่างแยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บข้าวของที่ห้องรับรองวีไอพี ชิ่งหายออกมาจากกลุ่ม เพื่อกลับไปที่ห้องจัดงานเลี้ยง
แต่เดินออกมาไม่ทันไร เอรินก็เจอกับชานนท์เข้าพอดี
“เป็นยังไงบ้างคุณ เจอคุณโอมไหมคะ”
“ไม่เจอเลย” ซีอีโอหนุ่มส่ายหน้า มีอาการร้อนใจไม่แพ้กัน
“ว่าแต่ทางคุณโอเคหรือเปล่า มีใครสงสัยเรื่องบนเวทีไหม ผมว่าจะมาคุยกับเพื่อนๆ ของวิลเลียมกับวินซ์หน่อย เผื่อมีใครรู้ว่านายโอมหายไปไหน...แล้วก็มินนี่ด้วย”
“อะ...อะไรนะคะ ตกลงคุณมินนี่ก็หายไปด้วยเหรอคะ” เอรินเพิ่งรู้
“เรื่องคุณโอม ฉันถามเพื่อนคนอื่นให้แล้วละค่ะ พวกเขาก็ไม่รู้พอกัน ส่วนเรื่องบนเวทีคุณไม่ต้องห่วงนะคะ ไม่มีใครติดใจหรือสงสัยอะไรเลยค่ะ คุณเล่นรันงานต่อเนียนขนาดนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นนายโอมกับมินนี่หายไปไหน...” ชานนท์พึมพำกับตัวเอง ยิ่งครุ่นคิดตามที่เอรินว่ามาเขาก็ยิ่งกระวนกระวายใจ ไม่เข้าใจด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกับอธิปกถึงได้ลงจากเวทีไปกะทันหันแบบนั้น แล้วไหนจะสิมิลันอีกคน เขาพยายามโทร.หาเท่าไรก็ไม่ยอมรับสาย หนำซ้ำยังมาหายตัวไปดื้อๆ เหมือนอธิปกอีก!
พลันโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น ชานนท์รีบกดรับสายแล้วแยกออกไปคุยทันที ปล่อยให้เอรินได้แต่เมียงๆ มองๆ อากัปกิริยาของเขาที่เดินวนไปวนมาอยู่หน้าลิฟต์
สีหน้าของชานนท์ขณะคุยโทรศัพท์นั้น เคร่งเครียดไม่ต่างจากตอนที่เพิ่งเกิดเรื่องเลย...
“ตามหาคุณมินนี่ให้ทั่ว อย่าเว้นแม้แต่จุดเดียว ตรวจรถเข้าออกทุกคันได้ยิ่งดี ถ้ายังหาไม่เจอโดนดีแน่!”
นั่นคือบทสนทนาสุดท้ายก่อนที่ซีอีโอหนุ่มจะกดตัดสายทิ้ง
ชานนท์ยังคงเดินวนไปวนมาอยู่ที่เดิม ใบหน้าบึ้งตึง เอรินเลยพลอยใจคอไม่ดีไปด้วย ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมความกล้าก่อนเข้าไปหาเขา
“ใจเย็นๆ นะคุณ”
“ผมขออยู่คนเดียว” เขาสวนกลับมาเสียงห้วน
“แต่ฉันว่า...”
“คุณจะให้ผมใจเย็นได้ไงในเมื่อคนหายไปทั้งคน โธ่เว้ย! ทำไมต้องเกิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้ด้วย” ชานนท์ตบผนังหน้าลิฟต์ระบายความโกรธแล้วสบถออกมาเสียงดังจนเอรินสะดุ้งโหยง
ทั้งเขาและหล่อนยืนอยู่แถวนั้นได้สักพัก ก็มีแขกของโรงแรมสองถึงสามคนออกมาจากลิฟต์พร้อมเสียงหัวเราะร่วนอารมณ์ดี
ชานนท์ได้สติก็ตอนนั้น รีบปรับสีหน้าเป็นปกติเพราะไม่ควรให้แขกเห็นซีอีโอของโรงแรมอยู่ในสภาพแย่ๆ กอปรกับเขาเริ่มอารมณ์เย็นลงบ้างแล้วที่ได้ระบายออกมาเมื่อครู่
พอพ้นสายตาแขกของโรงแรมไปแล้ว ชานนท์จึงหันกลับมา เห็นเอรินยังคงยืนอยู่ข้างๆ ไม่ไปไหน แต่ถอยห่างออกไปเล็กน้อย
เพียงแค่สบตา สาวข้างกายก็หลบวูบน้ำตารื้นไม่รู้ตัว
“ขอโทษ ที่เมื่อกี้พูดไม่ดีกับคุณ”
ชานนท์เอ่ยขอโทษตรงๆ ความโมโหมลายหายพลันเมื่อเห็นน้ำตาหญิงสาว
“วันนี้ทั้งคุณทั้งผมเหนื่อยมามากแล้ว คุณขึ้นไปพักเถอะ เดี๋ยวผมต้องไปจัดการธุระต่ออีก ไม่อยากต้องมาเป็นห่วงคุณอีกคน”
“แล้วคุณจะตามหาคุณโอมกับคุณมินนี่ยังไงเหรอคะ” เอรินยังอดที่จะถามเขาไม่ได้พลางปาดน้ำตาทิ้ง
“ผมว่าจะไปเช็กกล้องวงจรปิด” เขาบอกแล้วหันไปกดปุ่มขึ้นลิฟต์ “อยากไล่ดูเอง ไม่อยากรออยู่แบบนี้”
“งั้นฉันขอไปด้วยคนนะคะ”
“ไม่ต้อง คุณอยู่รอฟังข่าวที่ห้องน่ะดีแล้ว”
คุยกันได้เท่านั้นลิฟต์ก็มาถึงพอดี ชานนท์เป็นคนกดเรียกลิฟต์ให้เองเลยไม่รีรอดุนหลังสาวน้อยเข้าไปในลิฟต์ทันที
เอรินได้แต่มองคนตัวโตด้านนอกลิฟต์ เขาจงใจยืนขวางหน้าประตูไว้ หล่อนเลยหน้างอแอบน้อยใจเขาอย่างบอกไม่ถูก สองหนุ่มสาวสบตากันเพียงชั่ววินาทีก่อนที่ประตูลิฟต์จะค่อยๆ ปิดลง
เมื่อเหลือตัวคนเดียวภายในลิฟต์ เอรินเลยทอดถอนใจออกมา มองตัวเลขชั้นที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งถึงชั้นที่หล่อนพัก
ประตูลิฟต์เปิดออกแต่เอรินยังคงยืนค้างอยู่อย่างนั้น
ตอนที่ถูกดันเข้ามาในลิฟต์ ก็เป็นชานนท์อีกเช่นกันที่กดเลขชั้นให้หล่อนเพื่อบังคับกลับห้อง แต่หล่อนรู้ตัวดีว่าให้กลับไปพักตอนนี้ ก็คงนอนไม่หลับหรอก
หล่อนต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่เป็นห่วงคนแบบเขา!
“ไม่! ฉันไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้คิด ไม่คิด เข้าใจไหม ตาลุงคนนั้นแก่กว่าฉันตั้งสิบกว่าปี ผู้ชายใจร้าย แก่ก็แก่ ปากก็ร้าย ใจก็ดำ”
เอรินต่อว่า ‘ลุง’ อยู่คนเดียวในลิฟต์ ถึงปากจะบอกไม่คิดอะไร แต่หัวใจกลับไม่ยอมทำตามอย่างที่ปากว่าสักนิด
รู้ตัวอีกที หญิงสาวก็ลงลิฟต์กลับลงมาชั้นล่างแล้ว
หากทว่าชั้นที่เอรินเลือกกลับลงมานั้น คือชั้นห้องจัดงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสของวิลเลียมกับวินซ์ หล่อนจึงมองซ้ายแลขวาอยู่ครู่เพื่อความแน่ใจว่าไม่มีชานนท์อยู่แถวนั้น ค่อยก้าวออกมาจากลิฟต์
ภายในห้องจัดงานเลี้ยงเวลานี้...เงียบเชียบ...บ่งบอกว่าไม่น่ามีใครอยู่แล้ว
ถึงอย่างนั้นก็ตาม เอรินสอดส่องไปทั่วบริเวณ พลันสายตาเหลือบเห็นบางอย่างวิบวับตกอยู่บนพื้นหน้าประตูหนีไฟ หญิงสาวในชุดราตรีโบฮี เมียน รีบเข้าไปหยิบมันขึ้นมาดู
“คุ้นมาก...เหมือนเคยเห็นที่ไหน”
หล่อนจ้องนาฬิกาข้อมือเรือนจิ๋วในมือพลางพินิจพิจารณา
จริงด้วย เหมือนเห็นสิมิลันใส่อยู่ตอนเช้าที่โบสถ์...นาฬิกาเรือนนี้เป็นของสิมิลันแน่ๆ แล้วทำไมตกอยู่หน้าประตูหนีไฟเนี่ย
ไวเท่าความคิดเอรินเปิดประตูหนีไฟออกไปดู แม้พบเพียงความว่างเปล่า แต่ความรู้สึกแปลกพิกลกับเรื่องที่เกิดขึ้นสั่งให้หญิงสาวลงบันไดหนีไฟไปเผื่อเจอสิมิลัน ด้วยความที่ยังใส่ชุดราตรีกรุยกราย ทุกย่างก้าวที่ลงบันไดเลยค่อนข้างทุลักทุเล แล้วยังจะทางเดินแคบๆ กับแสงไฟแต่ละชั้นที่กะพริบติดๆ ดับๆ อย่างกับหนังผีอีก
คนริเป็นนักสืบอย่างเอรินเริ่มหวั่นใจขึ้นมา ยิ่งเดินลงไปก็ยิ่งไม่พบสิ่งใดผิดสังเกตอีก ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าและเสียงหายใจหอบถี่ของตัวเอง
จนกระทั่งลงมาถึงชั้นล่างสุดซึ่งเป็นลานจอดรถของโรงแรม เอรินถึงกับยืนหอบพิงกำแพง ได้หายใจทั่วท้องก็ตอนนั้น
นี่หล่อนคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่เนี่ย ไม่น่ามาช่วยเขาหาเลย กลับไปนอนรอฟังข่าวสบายๆ อยู่ในห้องอย่างที่เขาว่าแต่แรกก็หมดเรื่อง!
หล่อนนึกพลางผลักประตูหนีไฟออกไปเพื่อกลับสู่โลกภายนอก
เนื่องจากอาคารจอดรถของโรงแรมอยู่ชั้นใต้ดิน และก็ดึกมากแล้วด้วย สิ่งแรกที่เอรินสัมผัสได้คือความเงียบสงัดในยามค่ำคืน จากที่คิดว่าจะช่วยให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้างเลยยิ่งวังเวงหนักกว่าเก่า เหลือบมองซ้ายขวาอย่างระแวงๆ
แต่แล้วหญิงสาวต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคนปิดประตูรถไม่ต่างจากกระแทก หันไปทันเห็นว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งเข้าไปในรถเอสยูวีสีดำสนิท ซึ่งจอดอยู่มุมลับตา
ลานจอดรถไม่ได้สว่างนัก แต่ก็ไม่ได้มืดจนมองไม่เห็นว่า ชายหนุ่มในรถคันนั้น คือ อธิปก!
“เขาอยู่นี่เอง ให้คนอื่นหาเสียทั่ว”
เอรินบ่น ไม่คิดจะเข้าไปหาหรอกเพราะเห็นก่อนแล้วว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่คนเดียวในรถ เลยแค่เพ่งสายตามอง จากท่าทางเหมือนเขากำลังทะเลาะกับใครอีกคนอยู่ แล้วจู่ๆ อธิปกก็แนบหน้าลงไปหาใบหน้าหญิงสาวคนนั้น
“คุณมินนี่!” เอรินรีบปิดปากตัวเองเพราะเผลอหลุดชื่อออกมา ถึง กับตกใจตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของหญิงสาวในรถชัดขึ้นภายใต้แสงไฟสลัวของลานจอดรถ
เอรินแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่า สิมิลันจะหายมาอยู่กับอธิปก!
ทว่าในความตกใจนั้น หน้าของซีอีโอหนุ่มลอยเข้ามาทันที...
ขณะที่ชานนท์กำลังวิ่งวุ่นตามหาสิมิลันกับอธิปกให้ควั่กด้วยความเป็นห่วง พวกเขาสองคนกลับหายมาอยู่ด้วยกัน แถมคนหนึ่งเป็นหญิงสาวที่ชานนท์ทั้งรักทั้งชื่นชม ส่วนอีกคนเป็นถึงเพื่อนรุ่นน้องของเขาและยังเป็นอดีตน้องเขยของเขาด้วย
ถึงชานนท์จะรู้ความจริงในความสัมพันธ์ของคนทั้งสองแล้วก็ตาม แต่เขาจะทนได้จริงๆ เหรอถ้าต้องมาเห็นภาพบาดตานี้!
“มองอะไรอยู่เหรอคุณ”
“คุณอเล็กซ์!” เอรินเบิกตากว้างราวเห็นผี ตกใจที่อยู่ดีไม่ว่าดีคนที่กำลังนึกห่วงอยู่ก็โผล่หน้ามา แถมยืนอยู่ด้านหลังหล่อนแทบจะชิดติดกันอยู่แล้ว!
“ขะ...คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ไหนว่าจะไปดูกล้องวงจรปิด”
“ไปดูมาแล้ว” ชานนท์ตอบสั้นๆ แค่นั้น แล้วทำท่าจะเดินผ่านหน้าไป ร้อนถึงเอรินต้องคว้าแขนเขาไว้
“คุณจะไปไหน กลับเข้าไปนั่งพักที่ล็อบบี้ดีกว่าค่ะ ฉันเองก็เหนื่อยเหมือนกัน เดี๋ยวฉันไปนั่งพักเป็นเพื่อนนะคะ”
“ใครบอกว่าผมอยากพัก”
เขาย้อน แต่ก็ยอมหันกลับมาคุยกับหล่อนต่อ
“คุณลงมาที่ลานจอดรถทำไม ผมให้คุณกลับไปนอนพักที่ห้องแล้วไม่ใช่เหรอ”
“คือฉัน...เอ่อ...” เอรินอ้ำๆ อึ้งๆ ลมหายใจอุ่นร้อนของชายหนุ่มตอนที่เข้ามาอยู่ด้านหลังเมื่อครู่ ยังติดอยู่ในความรู้สึก ไม่ต่างจากเขากำลังหายใจรดต้นคอจนหญิงสาวถึงกับขนลุกเกรียว ไม่กล้าบอก
ชานนท์เห็นเช่นนั้นก็ส่ายหัวแล้วจะผละไปอีกรอบ เอรินไม่รู้จะทำเช่นไรเลยรีบก้าวมาดักหน้าเขาไว้ยืนขวางอยู่นั่นเอง หารู้ไม่ว่าชายหนุ่มออกแรงผลักแค่นิดเดียว หล่อนก็กระเด็นแล้ว
“ทำอะไรของคุณ หลบไป!”
“ไม่หลบค่ะ หัวเด็ดตีนขาดยังไงฉันก็จะไม่ให้คุณไปเด็ดขาด”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็บอกมาว่าเมื่อกี้คุณมองอะไรอยู่”
“คะ? มะ...มองอะไรกันคุณ ฉันไม่ได้มองอะไรเลยจริงๆ ค่ะ” หล่อนแก้ตัว แต่สีหน้าปิดเขาไม่มิด!
“โกหกไม่เก่งแล้วยังจะริโกหกอีกนะคุณ หน้าซีดเป็นไก่ต้มขนาดนี้ ยังจะบอกว่าไม่อีก”
“ก็มันไม่มีอะไรจริงๆ”
“แสดงว่าต้องมี” ชานนท์สรุปเองเสร็จสรรพแล้วดันร่างเล็กกว่าให้พ้นทาง
ด้วยความที่เขาแรงเยอะกว่ามาก หล่อนเลยเสียหลักคว้าชายเสื้อสูทของเขาไว้เป็นหลักยึด แต่กลับสะดุดส้นสูงตัวเอง หมดเรี่ยวแรงล้มลงไปนั่งกับพื้นทั้งชุดราตรี
“คุณ...!” ชานนท์เหลียวมาเห็นก็ตกใจไม่น้อย ถลาเข้ามาหาเอริน
“คุณเป็นไงบ้าง”
“อย่าไปนะคะ...เชื่อฉัน”
เอรินยังคงเป็นห่วงเขา เอ่ยบอกเสียงสั่นเครือ
วินาทีนั้นชานนท์เลยช้อนหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน หากทว่ายังอดไม่ได้หันกลับไปมองจุดที่เอรินมองก่อนหน้านี้ สิ่งที่เขาเห็นคือมีรถเอสยูวีสีดำสนิทแล่นออกจากลานจอดรถของโรงแรมไปเงียบๆ
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
**************
ครู่ใหญ่ งานเลี้ยงก็จบลงพร้อมแขกเหรื่อที่มาร่วมงานพากันทยอยกลับหลังส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอแล้วเรียบร้อย
หน้าที่การเป็นเพื่อนเจ้าสาวของเอรินก็สิ้นสุดลงด้วยเช่นกัน หล่อนจึงอาศัยจังหวะที่เหล่าบรรดาผองเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวต่างแยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บข้าวของที่ห้องรับรองวีไอพี ชิ่งหายออกมาจากกลุ่ม เพื่อกลับไปที่ห้องจัดงานเลี้ยง
แต่เดินออกมาไม่ทันไร เอรินก็เจอกับชานนท์เข้าพอดี
“เป็นยังไงบ้างคุณ เจอคุณโอมไหมคะ”
“ไม่เจอเลย” ซีอีโอหนุ่มส่ายหน้า มีอาการร้อนใจไม่แพ้กัน
“ว่าแต่ทางคุณโอเคหรือเปล่า มีใครสงสัยเรื่องบนเวทีไหม ผมว่าจะมาคุยกับเพื่อนๆ ของวิลเลียมกับวินซ์หน่อย เผื่อมีใครรู้ว่านายโอมหายไปไหน...แล้วก็มินนี่ด้วย”
“อะ...อะไรนะคะ ตกลงคุณมินนี่ก็หายไปด้วยเหรอคะ” เอรินเพิ่งรู้
“เรื่องคุณโอม ฉันถามเพื่อนคนอื่นให้แล้วละค่ะ พวกเขาก็ไม่รู้พอกัน ส่วนเรื่องบนเวทีคุณไม่ต้องห่วงนะคะ ไม่มีใครติดใจหรือสงสัยอะไรเลยค่ะ คุณเล่นรันงานต่อเนียนขนาดนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นนายโอมกับมินนี่หายไปไหน...” ชานนท์พึมพำกับตัวเอง ยิ่งครุ่นคิดตามที่เอรินว่ามาเขาก็ยิ่งกระวนกระวายใจ ไม่เข้าใจด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกับอธิปกถึงได้ลงจากเวทีไปกะทันหันแบบนั้น แล้วไหนจะสิมิลันอีกคน เขาพยายามโทร.หาเท่าไรก็ไม่ยอมรับสาย หนำซ้ำยังมาหายตัวไปดื้อๆ เหมือนอธิปกอีก!
พลันโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น ชานนท์รีบกดรับสายแล้วแยกออกไปคุยทันที ปล่อยให้เอรินได้แต่เมียงๆ มองๆ อากัปกิริยาของเขาที่เดินวนไปวนมาอยู่หน้าลิฟต์
สีหน้าของชานนท์ขณะคุยโทรศัพท์นั้น เคร่งเครียดไม่ต่างจากตอนที่เพิ่งเกิดเรื่องเลย...
“ตามหาคุณมินนี่ให้ทั่ว อย่าเว้นแม้แต่จุดเดียว ตรวจรถเข้าออกทุกคันได้ยิ่งดี ถ้ายังหาไม่เจอโดนดีแน่!”
นั่นคือบทสนทนาสุดท้ายก่อนที่ซีอีโอหนุ่มจะกดตัดสายทิ้ง
ชานนท์ยังคงเดินวนไปวนมาอยู่ที่เดิม ใบหน้าบึ้งตึง เอรินเลยพลอยใจคอไม่ดีไปด้วย ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมความกล้าก่อนเข้าไปหาเขา
“ใจเย็นๆ นะคุณ”
“ผมขออยู่คนเดียว” เขาสวนกลับมาเสียงห้วน
“แต่ฉันว่า...”
“คุณจะให้ผมใจเย็นได้ไงในเมื่อคนหายไปทั้งคน โธ่เว้ย! ทำไมต้องเกิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้ด้วย” ชานนท์ตบผนังหน้าลิฟต์ระบายความโกรธแล้วสบถออกมาเสียงดังจนเอรินสะดุ้งโหยง
ทั้งเขาและหล่อนยืนอยู่แถวนั้นได้สักพัก ก็มีแขกของโรงแรมสองถึงสามคนออกมาจากลิฟต์พร้อมเสียงหัวเราะร่วนอารมณ์ดี
ชานนท์ได้สติก็ตอนนั้น รีบปรับสีหน้าเป็นปกติเพราะไม่ควรให้แขกเห็นซีอีโอของโรงแรมอยู่ในสภาพแย่ๆ กอปรกับเขาเริ่มอารมณ์เย็นลงบ้างแล้วที่ได้ระบายออกมาเมื่อครู่
พอพ้นสายตาแขกของโรงแรมไปแล้ว ชานนท์จึงหันกลับมา เห็นเอรินยังคงยืนอยู่ข้างๆ ไม่ไปไหน แต่ถอยห่างออกไปเล็กน้อย
เพียงแค่สบตา สาวข้างกายก็หลบวูบน้ำตารื้นไม่รู้ตัว
“ขอโทษ ที่เมื่อกี้พูดไม่ดีกับคุณ”
ชานนท์เอ่ยขอโทษตรงๆ ความโมโหมลายหายพลันเมื่อเห็นน้ำตาหญิงสาว
“วันนี้ทั้งคุณทั้งผมเหนื่อยมามากแล้ว คุณขึ้นไปพักเถอะ เดี๋ยวผมต้องไปจัดการธุระต่ออีก ไม่อยากต้องมาเป็นห่วงคุณอีกคน”
“แล้วคุณจะตามหาคุณโอมกับคุณมินนี่ยังไงเหรอคะ” เอรินยังอดที่จะถามเขาไม่ได้พลางปาดน้ำตาทิ้ง
“ผมว่าจะไปเช็กกล้องวงจรปิด” เขาบอกแล้วหันไปกดปุ่มขึ้นลิฟต์ “อยากไล่ดูเอง ไม่อยากรออยู่แบบนี้”
“งั้นฉันขอไปด้วยคนนะคะ”
“ไม่ต้อง คุณอยู่รอฟังข่าวที่ห้องน่ะดีแล้ว”
คุยกันได้เท่านั้นลิฟต์ก็มาถึงพอดี ชานนท์เป็นคนกดเรียกลิฟต์ให้เองเลยไม่รีรอดุนหลังสาวน้อยเข้าไปในลิฟต์ทันที
เอรินได้แต่มองคนตัวโตด้านนอกลิฟต์ เขาจงใจยืนขวางหน้าประตูไว้ หล่อนเลยหน้างอแอบน้อยใจเขาอย่างบอกไม่ถูก สองหนุ่มสาวสบตากันเพียงชั่ววินาทีก่อนที่ประตูลิฟต์จะค่อยๆ ปิดลง
เมื่อเหลือตัวคนเดียวภายในลิฟต์ เอรินเลยทอดถอนใจออกมา มองตัวเลขชั้นที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งถึงชั้นที่หล่อนพัก
ประตูลิฟต์เปิดออกแต่เอรินยังคงยืนค้างอยู่อย่างนั้น
ตอนที่ถูกดันเข้ามาในลิฟต์ ก็เป็นชานนท์อีกเช่นกันที่กดเลขชั้นให้หล่อนเพื่อบังคับกลับห้อง แต่หล่อนรู้ตัวดีว่าให้กลับไปพักตอนนี้ ก็คงนอนไม่หลับหรอก
หล่อนต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่เป็นห่วงคนแบบเขา!
“ไม่! ฉันไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้คิด ไม่คิด เข้าใจไหม ตาลุงคนนั้นแก่กว่าฉันตั้งสิบกว่าปี ผู้ชายใจร้าย แก่ก็แก่ ปากก็ร้าย ใจก็ดำ”
เอรินต่อว่า ‘ลุง’ อยู่คนเดียวในลิฟต์ ถึงปากจะบอกไม่คิดอะไร แต่หัวใจกลับไม่ยอมทำตามอย่างที่ปากว่าสักนิด
รู้ตัวอีกที หญิงสาวก็ลงลิฟต์กลับลงมาชั้นล่างแล้ว
หากทว่าชั้นที่เอรินเลือกกลับลงมานั้น คือชั้นห้องจัดงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสของวิลเลียมกับวินซ์ หล่อนจึงมองซ้ายแลขวาอยู่ครู่เพื่อความแน่ใจว่าไม่มีชานนท์อยู่แถวนั้น ค่อยก้าวออกมาจากลิฟต์
ภายในห้องจัดงานเลี้ยงเวลานี้...เงียบเชียบ...บ่งบอกว่าไม่น่ามีใครอยู่แล้ว
ถึงอย่างนั้นก็ตาม เอรินสอดส่องไปทั่วบริเวณ พลันสายตาเหลือบเห็นบางอย่างวิบวับตกอยู่บนพื้นหน้าประตูหนีไฟ หญิงสาวในชุดราตรีโบฮี เมียน รีบเข้าไปหยิบมันขึ้นมาดู
“คุ้นมาก...เหมือนเคยเห็นที่ไหน”
หล่อนจ้องนาฬิกาข้อมือเรือนจิ๋วในมือพลางพินิจพิจารณา
จริงด้วย เหมือนเห็นสิมิลันใส่อยู่ตอนเช้าที่โบสถ์...นาฬิกาเรือนนี้เป็นของสิมิลันแน่ๆ แล้วทำไมตกอยู่หน้าประตูหนีไฟเนี่ย
ไวเท่าความคิดเอรินเปิดประตูหนีไฟออกไปดู แม้พบเพียงความว่างเปล่า แต่ความรู้สึกแปลกพิกลกับเรื่องที่เกิดขึ้นสั่งให้หญิงสาวลงบันไดหนีไฟไปเผื่อเจอสิมิลัน ด้วยความที่ยังใส่ชุดราตรีกรุยกราย ทุกย่างก้าวที่ลงบันไดเลยค่อนข้างทุลักทุเล แล้วยังจะทางเดินแคบๆ กับแสงไฟแต่ละชั้นที่กะพริบติดๆ ดับๆ อย่างกับหนังผีอีก
คนริเป็นนักสืบอย่างเอรินเริ่มหวั่นใจขึ้นมา ยิ่งเดินลงไปก็ยิ่งไม่พบสิ่งใดผิดสังเกตอีก ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าและเสียงหายใจหอบถี่ของตัวเอง
จนกระทั่งลงมาถึงชั้นล่างสุดซึ่งเป็นลานจอดรถของโรงแรม เอรินถึงกับยืนหอบพิงกำแพง ได้หายใจทั่วท้องก็ตอนนั้น
นี่หล่อนคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่เนี่ย ไม่น่ามาช่วยเขาหาเลย กลับไปนอนรอฟังข่าวสบายๆ อยู่ในห้องอย่างที่เขาว่าแต่แรกก็หมดเรื่อง!
หล่อนนึกพลางผลักประตูหนีไฟออกไปเพื่อกลับสู่โลกภายนอก
เนื่องจากอาคารจอดรถของโรงแรมอยู่ชั้นใต้ดิน และก็ดึกมากแล้วด้วย สิ่งแรกที่เอรินสัมผัสได้คือความเงียบสงัดในยามค่ำคืน จากที่คิดว่าจะช่วยให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้างเลยยิ่งวังเวงหนักกว่าเก่า เหลือบมองซ้ายขวาอย่างระแวงๆ
แต่แล้วหญิงสาวต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคนปิดประตูรถไม่ต่างจากกระแทก หันไปทันเห็นว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งเข้าไปในรถเอสยูวีสีดำสนิท ซึ่งจอดอยู่มุมลับตา
ลานจอดรถไม่ได้สว่างนัก แต่ก็ไม่ได้มืดจนมองไม่เห็นว่า ชายหนุ่มในรถคันนั้น คือ อธิปก!
“เขาอยู่นี่เอง ให้คนอื่นหาเสียทั่ว”
เอรินบ่น ไม่คิดจะเข้าไปหาหรอกเพราะเห็นก่อนแล้วว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่คนเดียวในรถ เลยแค่เพ่งสายตามอง จากท่าทางเหมือนเขากำลังทะเลาะกับใครอีกคนอยู่ แล้วจู่ๆ อธิปกก็แนบหน้าลงไปหาใบหน้าหญิงสาวคนนั้น
“คุณมินนี่!” เอรินรีบปิดปากตัวเองเพราะเผลอหลุดชื่อออกมา ถึง กับตกใจตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของหญิงสาวในรถชัดขึ้นภายใต้แสงไฟสลัวของลานจอดรถ
เอรินแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่า สิมิลันจะหายมาอยู่กับอธิปก!
ทว่าในความตกใจนั้น หน้าของซีอีโอหนุ่มลอยเข้ามาทันที...
ขณะที่ชานนท์กำลังวิ่งวุ่นตามหาสิมิลันกับอธิปกให้ควั่กด้วยความเป็นห่วง พวกเขาสองคนกลับหายมาอยู่ด้วยกัน แถมคนหนึ่งเป็นหญิงสาวที่ชานนท์ทั้งรักทั้งชื่นชม ส่วนอีกคนเป็นถึงเพื่อนรุ่นน้องของเขาและยังเป็นอดีตน้องเขยของเขาด้วย
ถึงชานนท์จะรู้ความจริงในความสัมพันธ์ของคนทั้งสองแล้วก็ตาม แต่เขาจะทนได้จริงๆ เหรอถ้าต้องมาเห็นภาพบาดตานี้!
“มองอะไรอยู่เหรอคุณ”
“คุณอเล็กซ์!” เอรินเบิกตากว้างราวเห็นผี ตกใจที่อยู่ดีไม่ว่าดีคนที่กำลังนึกห่วงอยู่ก็โผล่หน้ามา แถมยืนอยู่ด้านหลังหล่อนแทบจะชิดติดกันอยู่แล้ว!
“ขะ...คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ไหนว่าจะไปดูกล้องวงจรปิด”
“ไปดูมาแล้ว” ชานนท์ตอบสั้นๆ แค่นั้น แล้วทำท่าจะเดินผ่านหน้าไป ร้อนถึงเอรินต้องคว้าแขนเขาไว้
“คุณจะไปไหน กลับเข้าไปนั่งพักที่ล็อบบี้ดีกว่าค่ะ ฉันเองก็เหนื่อยเหมือนกัน เดี๋ยวฉันไปนั่งพักเป็นเพื่อนนะคะ”
“ใครบอกว่าผมอยากพัก”
เขาย้อน แต่ก็ยอมหันกลับมาคุยกับหล่อนต่อ
“คุณลงมาที่ลานจอดรถทำไม ผมให้คุณกลับไปนอนพักที่ห้องแล้วไม่ใช่เหรอ”
“คือฉัน...เอ่อ...” เอรินอ้ำๆ อึ้งๆ ลมหายใจอุ่นร้อนของชายหนุ่มตอนที่เข้ามาอยู่ด้านหลังเมื่อครู่ ยังติดอยู่ในความรู้สึก ไม่ต่างจากเขากำลังหายใจรดต้นคอจนหญิงสาวถึงกับขนลุกเกรียว ไม่กล้าบอก
ชานนท์เห็นเช่นนั้นก็ส่ายหัวแล้วจะผละไปอีกรอบ เอรินไม่รู้จะทำเช่นไรเลยรีบก้าวมาดักหน้าเขาไว้ยืนขวางอยู่นั่นเอง หารู้ไม่ว่าชายหนุ่มออกแรงผลักแค่นิดเดียว หล่อนก็กระเด็นแล้ว
“ทำอะไรของคุณ หลบไป!”
“ไม่หลบค่ะ หัวเด็ดตีนขาดยังไงฉันก็จะไม่ให้คุณไปเด็ดขาด”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็บอกมาว่าเมื่อกี้คุณมองอะไรอยู่”
“คะ? มะ...มองอะไรกันคุณ ฉันไม่ได้มองอะไรเลยจริงๆ ค่ะ” หล่อนแก้ตัว แต่สีหน้าปิดเขาไม่มิด!
“โกหกไม่เก่งแล้วยังจะริโกหกอีกนะคุณ หน้าซีดเป็นไก่ต้มขนาดนี้ ยังจะบอกว่าไม่อีก”
“ก็มันไม่มีอะไรจริงๆ”
“แสดงว่าต้องมี” ชานนท์สรุปเองเสร็จสรรพแล้วดันร่างเล็กกว่าให้พ้นทาง
ด้วยความที่เขาแรงเยอะกว่ามาก หล่อนเลยเสียหลักคว้าชายเสื้อสูทของเขาไว้เป็นหลักยึด แต่กลับสะดุดส้นสูงตัวเอง หมดเรี่ยวแรงล้มลงไปนั่งกับพื้นทั้งชุดราตรี
“คุณ...!” ชานนท์เหลียวมาเห็นก็ตกใจไม่น้อย ถลาเข้ามาหาเอริน
“คุณเป็นไงบ้าง”
“อย่าไปนะคะ...เชื่อฉัน”
เอรินยังคงเป็นห่วงเขา เอ่ยบอกเสียงสั่นเครือ
วินาทีนั้นชานนท์เลยช้อนหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน หากทว่ายังอดไม่ได้หันกลับไปมองจุดที่เอรินมองก่อนหน้านี้ สิ่งที่เขาเห็นคือมีรถเอสยูวีสีดำสนิทแล่นออกจากลานจอดรถของโรงแรมไปเงียบๆ
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ส.ค. 2562, 09:50:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ส.ค. 2562, 09:51:25 น.
จำนวนการเข้าชม : 599
<< บทที่ 5 -50% | บทที่ 6 -70% >> |