โอบรักธารรุ้ง: อัยย์ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
หมู่บ้านธารรุ้ง แผ่นดินผืนนี้คือทำเลทองของธุรกิจเขา
และคือบ้านเกิดแสนอบอุ่นที่เธอจะมาปักหลักเป็นเกษตรกร
'ภาณุรุจ' มีฝันจะทำรีสอร์ตแห่งใหม่ในพื้นที่ของ 'พิมริสา' โดยที่เธอเองก็มีฝันจะทำไร่ดอกไม้อยู่แล้ว
เขาจะรามือ หรือจะยื้อแย่งดี แต่เห็นความมุ่งมั่นขนาดนั้น เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้
เพราะเธอก็ไม่ใช่คนไกล เป็นอดีตรุ่นน้องรหัสสมัยเรียนที่เขาเคยว้ากใส่จนไม่มองหน้ากันมาก่อน
ความฝังใจของเธอ เขาคือรุ่นพี่ที่ไร้เมตตา แต่เขาอยากจะบอกเธอว่า...ไม่เสมอไป
เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยถามเขา “โทร.มาทำไมคะ ดึกๆ ป่านนี้ มีธุระอะไรเหรอ”
“ไม่ใช่โทร.มาขอซื้อที่แล้วกัน อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ตอนนี้นะ คือว่า...พี่นอนไม่หลับ”
“แล้วทำไมถึงโทร.หาพิมล่ะ คนทั้งหมู่บ้านก็มี”
เขาเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจตอบ “ก็...ไม่ได้คิดถึงคนอื่นนี่”
ใช่ เขาคิดถึงเธอนั่นแหละ ทุกลมหายใจ
แล้วทีนี้จะให้ทำยังไง นอกจากดับฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเองเพื่อเธอ
******************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย อัยย์ และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ โรแมนติกน่ารักน่าหยิกตามสไตล์คุณอัยย์เช่นเคย และมีความคู่กัดระหว่างพระเอกนางเอก เพราะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ชังขี้หน้ากันตั้งแต่มหา'ลัย แต่ต้องมาเจอกันอีกในหมู่บ้านธารรุ้ง หวานๆ ฮาๆ ในเรื่องราวค่ะ นอกจากนี้มีเรื่องของการสร้างชุมชน และการมีกิจการของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย #รับประกันความสนุก!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช, ร้านนิยายรัก, ร้านbooksforfun, ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง), ร้านThebookboxclub และร้าน BestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
และคือบ้านเกิดแสนอบอุ่นที่เธอจะมาปักหลักเป็นเกษตรกร
'ภาณุรุจ' มีฝันจะทำรีสอร์ตแห่งใหม่ในพื้นที่ของ 'พิมริสา' โดยที่เธอเองก็มีฝันจะทำไร่ดอกไม้อยู่แล้ว
เขาจะรามือ หรือจะยื้อแย่งดี แต่เห็นความมุ่งมั่นขนาดนั้น เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้
เพราะเธอก็ไม่ใช่คนไกล เป็นอดีตรุ่นน้องรหัสสมัยเรียนที่เขาเคยว้ากใส่จนไม่มองหน้ากันมาก่อน
ความฝังใจของเธอ เขาคือรุ่นพี่ที่ไร้เมตตา แต่เขาอยากจะบอกเธอว่า...ไม่เสมอไป
เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยถามเขา “โทร.มาทำไมคะ ดึกๆ ป่านนี้ มีธุระอะไรเหรอ”
“ไม่ใช่โทร.มาขอซื้อที่แล้วกัน อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ตอนนี้นะ คือว่า...พี่นอนไม่หลับ”
“แล้วทำไมถึงโทร.หาพิมล่ะ คนทั้งหมู่บ้านก็มี”
เขาเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจตอบ “ก็...ไม่ได้คิดถึงคนอื่นนี่”
ใช่ เขาคิดถึงเธอนั่นแหละ ทุกลมหายใจ
แล้วทีนี้จะให้ทำยังไง นอกจากดับฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเองเพื่อเธอ
******************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย อัยย์ และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ โรแมนติกน่ารักน่าหยิกตามสไตล์คุณอัยย์เช่นเคย และมีความคู่กัดระหว่างพระเอกนางเอก เพราะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ชังขี้หน้ากันตั้งแต่มหา'ลัย แต่ต้องมาเจอกันอีกในหมู่บ้านธารรุ้ง หวานๆ ฮาๆ ในเรื่องราวค่ะ นอกจากนี้มีเรื่องของการสร้างชุมชน และการมีกิจการของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย #รับประกันความสนุก!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช, ร้านนิยายรัก, ร้านbooksforfun, ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง), ร้านThebookboxclub และร้าน BestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
Tags: โรแมนติก คู่กัด เกษตรกร รีสอร์ต รุ่นพี่ รุ่นน้อง
ตอน: บทที่ 2 -100%
ระยะทางหนึ่งกิโลเมตรจากบ้านของพิมริสา ข้างหน้าคืออ่างเก็บน้ำที่เพิ่งสร้างขึ้นในระยะหลัง ตามความรู้สึกของเธอ เจ้าอ่างน้ำขนาดใหญ่นี้ไม่ได้ทำให้หมู่บ้านที่มีลำธารไหลผ่านอยู่ก่อนแล้วดูสวยงามขึ้นแต่อย่างใด ตัวมันเองทั้งดูแปลกปลอมและน่าเกลียด เพราะการเก็บกักน้ำนี้ ก็เพื่อผลประโยชน์ของพวกนักธุรกิจท่องเที่ยวมากกว่าอย่างอื่น ถึงแม้จะมีคนบอกว่าทำขึ้นเพื่อช่วยการเกษตร แต่ในความเป็นจริงคือ ทำเพื่อเก็บและปล่อยน้ำให้นักท่อง เที่ยวได้ล่องแพได้ทุกฤดูกาลต่างหาก ส่วนเรื่องช่วยเหลือการเกษตรนั้นคือผลพลอยได้ หรือจะเรียกว่าเป็น ‘ข้ออ้าง’ ก็ได้
ก่อนถึงอ่างเก็บน้ำเล็กน้อย หญิงสาวก็เลี้ยวขวาเข้าไปยัง ‘อิงไพรรีสอร์ต’
ภาพรีสอร์ตสีเขียวทึมหลังแรกปรากฏขึ้นในสายตา มันวางตัวอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ท่ามกลางต้นไม้นานาพรรณปกคลุมแทบมิด พิมริสาอดคิดติดลบไม่ได้ เจ้าของรีสอร์ตนี้ช่างตั้งได้เหมาะเหม็ง มันแอบอิงและ(อ้าง)อิงไพร เพื่อการทำมาหากินของเขาจริงๆ
พิมริสาแหงนมองทางขึ้น คะเนความสูงน่าจะเกินสามสิบเมตร ทางชันเอาการสำหรับรถคันเล็กๆ ของเธอ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร นึกขอบคุณตัว เองด้วยซ้ำที่ไม่ปั่นจักรยานมา ไม่อย่างนั้นคงไปเจอนายภาณุรุจด้วยอาการลิ้นห้อย
มาถึงตอนนี้เธอก็จำชื่อเขาได้ขึ้นใจแล้ว คนที่ใครๆ บอกว่าคุยง่าย แต่เธอคุยโทรศัพท์กับเขาตั้งนาน ปรากฏว่าไม่ยักง่ายอย่างที่คิด
เมื่อคืนการเจรจาไม่ประสบผล วันนี้ได้คุยกันแบบเห็นหน้าเห็นตา เธอก็ยังมีความหวังว่า เขาจะเอาช้างหลบให้ มันจะอะไรนักหนา หมู่บ้านที่มีผู้คน เด็กเล็กเคยเดินเล่นไปมาอย่างสบาย กลายเป็นดินแดนแห่งช้างเดินไปได้อย่างไร
เมื่อเข้าสู่ลานจอด พิมริสาลงมาจากรถมองไปรอบๆ เฉพาะที่เห็นกับตาขณะนี้ บ้านพักราวสิบหลังเรียงรายไปทั่ว สีเขียวใบไม้ของบ้านทุกหลังดูกลมกลืนกับต้นไม้ที่รายรอบ รูปทรงบ้านก็แตกต่างกันไป บ้างเตี้ยติดพื้น บ้างยกพื้นสูงมีบันไดหลายขั้น และแต่ละหลังมีชุดเก้าอี้นั่งพักผ่อนแบบเดียวกันอยู่ด้านหน้า
แล้วสายตาของพิมริสาก็สะดุดกับบ้านไม้สองชั้นริมเนินที่มีสีโดดเด่นกว่าใครบนเนินเขา บ้านอื่นก็ดูเป็นมิตรกับธรรมชาติดีหรอก แต่บ้านหลังนั้นสิ แทนที่จะเป็นสีไม้กลับทาสีส้ม หน้าต่างสีขาว แถมนอกชานชั้นบนสีแดงแจ๊ด รสนิยมอะไรก็ไม่รู้ นี่กระมัง บ้านนายคนนั้น
โชคดีที่หญิงสาวไม่ต้องขึ้นไป เพราะเขาออกมารอต้อนรับเธออยู่แล้วที่เรือนต้อนรับลูกค้า ติดกับร้านอาหารของรีสอร์ต
เมื่อได้พบกัน ทั้งคู่ต่างขมวดคิ้วและนิ่งงันกันไปชั่วครู่ แล้วเป็นภา ณุรุจที่เอ่ยขึ้นก่อน น้ำเสียงเขาดูตื่นเต้น แต่จะปนตกใจหรือดีใจด้วยหรือไม่ พิมริสาก็มองไม่ออก
“พิม...พิมริสา...ใช่ไหม”
คนถูกถามพยักหน้า เก็บอาการแปลกใจที่เจอเขาได้ไว้มิดชิด...ชื่อที่คุ้น เสียงที่คุ้น ที่เธอนึกไม่ออกสักทีว่าใคร มาตอนนี้รู้สึกโล่งหัวชะมัด ที่แท้ภาณุรุจคนนี้คือรุ่นพี่ปีสี่จอมว้ากที่มหาวิทยาลัยนั่นเอง ถึงแม้เหตุการณ์จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เธอก็ไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งเคยมีผู้ชายที่ชื่อ ภาณุรุจ หรือ ‘พี่ไผ่’ หรือ ‘ประธานไผ่’ สั่งให้รุ่นพี่คนอื่นๆ จับเธอแก้ผ้า!
ซาดิสม์ วิตถารเป็นบ้า โชคดีที่เธอวิ่งหนีทัน
และเขาเองก็คงไม่ลืมแน่ๆ ว่าตอนนั้นเขาทำอะไรไป ก็ดูสิ เขายังอุตส่าห์จำชื่อเธอได้
นึกถึงอดีตอันไม่งดงามแล้วก็รู้สึกขมขื่นใจทุกที หลังจากวิ่งหนีงานรับน้องคราวนั้นแล้ว เธอก็ไม่มีพี่คนไหนมาดูแลอีกเลย เธอต้องเรียนรู้ชีวิตใหม่ด้วยตัวเอง ขณะที่น้องปีหนึ่งคนอื่นๆ มี ‘พี่รหัส’ คอยเทกแคร์ดูแลราวกับน้องในไส้
เพียงแค่เธอโต้เถียงรุ่นพี่ในวันนั้น ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าทุกคนจะแก้แค้นน้องคนนี้โดยเลิกใส่ใจทุกกรณี เด็กบ้านนอกในสถาบันใหญ่ของเมืองหลวงอย่างเธอ ต้องเผชิญชะตากรรมจากการถูกพี่ๆ บอยขอตตลอดปีแรก แม้จะบอกตัวเองว่าเป็นคนแกร่งกล้า แต่ตอนนั้นเธอก็ยังเด็กมาก คิดดูเถอะว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน โชคดีอยู่บ้างที่เธอเป็นคนเรียนดี และยังมีรูปร่างหน้าตาโดดเด่น ทำให้พอจะเอาตัวรอดได้บ้างในปีที่สามและสี่
แล้วนี่ โชคชะตาเล่นตลกหรืออย่างไรกัน เธอถึงมาเจอเขาที่นี่อีก รุ่นน้องที่ถูกทอดทิ้ง มาเจอรุ่นพี่ที่ไร้เมตตา ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างเหลือ เชื่อ!
“พิมริสา” เขาเรียกชื่อเธออีกครั้ง ยิ้มกว้างอย่างมีไมตรีให้ก่อน “พี่นึกว่าใครเสียอีก แปลกใจมากเลยนะที่เจอน้องที่นี่”
“ใช่ค่ะ ฉัน เอ๊ย พิมเป็นคนที่นี่ ก็แปลกใจเหมือนกันที่มาเจอ...พี่”
ใจจริงก็ไม่อยากเรียกเขาว่าพี่ว่าเชื้ออะไรเพราะยังแค้นฝังใจ แต่เมื่อเขาเรียกเธอว่า ‘น้อง’ เธอก็มีมารยาทพอที่จะเรียกเขากลับว่า ‘พี่’
“โลกมันกลมจริงๆ เมื่อก่อนพิมเป็นหลานรหัสพี่ด้วยนี่ ใช่ไหม ถ้าจำไม่ผิด”
พิมริสามองเขาอย่างชิงชังภายใต้สีหน้าเรียบเฉย นี่ยังอุตส่าห์จำได้ด้วยหรือว่าเธอเป็นหลานรหัส แล้วเขาจะขุดอดีตขึ้นมาเพื่อ...?
ที่สถาบันของเธอนั้น จะมีระบบรุ่นพี่รุ่นน้องที่เชื่อมโยงกันทุกชั้นปีและเรียกกันแบบเครือญาติ น้องเล็กปีหนึ่งติดขัดอะไร พี่รหัสปีสองก็คอยให้คำปรึกษา ถ้าพี่รหัสไม่อยู่ น้องปีหนึ่งก็ขอความช่วยเหลือจากพี่ปีสามปีที่เรียกกันว่าลุง-ป้าหรือปู่-ย่ารหัสได้ เพราะถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน
พิมริสาก็เพิ่งรู้หลังจากวันรับน้องว่า ไผ่ ภาณุรุจ พี่ขาว้ากที่เป็นถึงประธานคณะ เขาเป็นปู่รหัสของเธอด้วย และแน่นอน จากการปะทะคารมวันนั้น เขาก็ไม่เคยสนใจไยดีเธออีกเพราะความโกรธ ต่างห่างเหินจนแทบไม่เคยพูดกันเลยก็ว่าได้ ก็ช่างเขาเถอะ เธอเองก็เจอเขาแค่ปีเดียวเท่านั้น
เขาเรียนจบไปคือจบจากความสัมพันธ์อันไม่ผูกพัน เธอก็ไม่ได้ไปร่วมงานรับปริญญาของเขา ทั้งๆ ที่ปกติพวกพี่ๆ ปีสี่ที่จบไป จะมีบรรดาน้องรหัสปีหนึ่ง สอง และสามชักชวนกันไปร่วมยินดีด้วยอย่างอบอุ่นเสมอ และมีมากมายที่ความสัมพันธ์นี้ต่อยอดไปจนถึงการชักชวนเข้าทำงานที่นั่นที่นี่...แต่เธอมันแกะดำ ดิ้นรนเอาเองสิ งานที่ธนาคารก็สมัครได้เอง ไม่มีเส้นพี่คนไหนช่วย
“ขอโทษด้วยนะ ที่ตอนเรียนพี่ไม่ค่อยได้สนใจพิมเท่าที่ควร ช่วงปีสุดท้าย มันยุ่งๆ ไหนจะเครียดเรื่องหน่วยกิตที่เหลืออีกเพียบ ช่วงนั้นกลัวจะไม่จบเอาเลย ไหนจะกิจกรรม ไหนจะ...”
“ช่างเถอะค่ะ พิมเองก็ไม่ค่อยได้สนใจพี่เท่าไรเหมือนกัน”
ประโยคที่ขัดขึ้นนั้นทำเอาภาณุรุจไปต่อไม่ถูก เมื่อพิมริสาเห็นหน้าเขาขรึมลง เธอจึงพูดต่ออีกเล็กน้อย
“อ้อ แต่ได้ข่าวว่าพี่ไปเรียนต่อ และทำงานอยู่ที่เมืองนอก”
เธอรู้เรื่องของเขาแค่นั้นจริงๆ จำได้เลาๆ ว่าเพื่อนสักคนเคยพูดให้ฟังสักครั้ง
“ใช่ ไปเรียน แต่ไม่ได้อยู่หรอก จบแล้วก็มาอยู่บ้านนอกแทน”
พูดแล้วเขาก็หัวเราะเบาๆ บรรยากาศเหมือนจะดีขึ้น แต่ก็ไม่มาก
พิมริสาลอบสังเกตใบหน้าอีกฝ่าย ภาณุรุจอาจจะไม่ใสกริบเหมือนสมัยเป็นนักศึกษา เขาดูกร้านขึ้นเล็กน้อยตามวัยและแดดลม แต่โดยรวมก็ยังเป็นคนหนุ่มที่ดูสดใสมีเสน่ห์ชวนมองสำหรับเพศตรงข้ามอยู่ดี
คิ้วและตาสีเข้มสนิท ขนตายาวงอนดกหนาจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นขนตาผู้ชาย จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากที่แย้มยิ้มอยู่นั้นหยักโค้งได้รูป ผมสีน้ำตาลแก่ดกหนาตัดสั้นเข้าทรง รูปร่างสูงเพรียวและยังปราดเปรียวเหมือนหนุ่มวัยรุ่นของเขาซ่อนอยู่ในเสื้อเชิ้ตแขนสั้นปล่อยชายลายตาหมากรุก กับกางเกงยีนสีน้ำเงินขาสั้นเทียมเข่า เขาดูเป็นนักธุรกิจหนุ่มระดับท้องถิ่นที่แต่งตัวสบายๆ ดูปอนๆ เล็กน้อยด้วยซ้ำ หากแต่เนื้อตัว นิ้วมือนิ้วเท้าเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้าน
“แล้วพิมล่ะ” ภาณุรุจเอ่ยขณะเดินนำเธอไปนั่งแล้ว “ทำไมมาอยู่บ้าน พี่นึกว่าทำงานอยู่กรุงเทพฯ เหมือนเพื่อนๆ”
ชายหนุ่มหมายความตามที่พูด วันนี้เขารู้สึกเหมือนเจอเรื่องมหัศ-จรรย์ ที่ยายหลานรหัสหัวรุนแรงกลายมาเป็นชาวสวนแถวนี้ แต่ที่แปลกใจกว่าคือ เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนว่ารูปร่างหน้าตาของเธอจะสะสวยขนาดนี้
ภาพจำของพิมริสาสำหรับเขาคือ ยายเฟรชชี่แก้มหลากสีผมห้าจุกที่ก้าวร้าวสุดโต่งในวันรับน้อง เธอผู้นี้เองที่ทำเอาเขามีรอยด่างในชีวิต เพราะแม้ทุกวันนี้ เมื่อเจอเพื่อนเก่าหรือรุ่นน้อง เขาก็ยังถูกล้อเรื่องที่ ‘ประธานไผ่ไปพลาดท่าให้เด็กใหม่’ อยู่เสมอ
“พิมทำงานที่นั่นได้สองปีก็เบื่อ คิดถึงบ้านด้วย ก็เลยลาออกกลับ มาทำงานที่บ้าน นี่ก็เพิ่งมาอยู่ได้แค่สองอาทิตย์เอง ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรมากนัก แต่แผนการน่ะมีนานแล้ว”
“อ๋อ ที่ว่าจะปลูกดอกไม้อะไรนั่นใช่ไหม”
เธอพยักหน้า “ว่าจะทำไร่ดอกไม้” เว้นวรรคไปเล็กน้อยก่อนเติมคำว่า “ค่ะ” ต่อท้าย
เขาเลิกคิ้ว ทำตาโต “ไร่เลยหรือ โอ้โห แสดงว่าที่บ้านมีเนื้อที่กว้าง ขวางสิ”
“โชคดีที่พ่อกับแม่มีที่ดินเยอะ แต่เขาทำไร่พืชผลอื่นๆ ไม่ได้ผลเท่า ไร พิมจะมาทำใหม่ ทีนี้ก็อย่างที่คุยเมื่อคืนไงคะ” พิมริสารีบเข้าเรื่องเพราะรู้สึกว่าเสียเวลาซักประวัติอันไม่โสภากันนานแล้ว “ช้างของพี่เดินผ่านทางนั้น”
“เรื่องนี้...พี่ก็อยากจะบอกพิมเหมือนที่บอกไปแล้วนะว่า เราเปลี่ยนเส้นทางยาก ยากกว่าการที่พิมเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่อีกนะ ลองคิดใหม่ดีไหม ช้างไม่ได้เดินรุกเข้าไปในที่ของพิม และไม่มีวันจะรุก เพราะเรามีควาญ...อีกอย่าง ช้างมันไม่กินดอกไม้”
พิมริสาไม่ยอมตลกกับประโยคสุดท้ายของเขา เพราะเขาเอาความตลกมากลบความใจดำ ความเป็นพี่น้องร่วมสถาบัน มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ภาณุรุจยังเป็นพี่ที่ยังไม่เคยเห็นน้องอย่างเธอในสายตา นี่เธอไม่ได้มาขออะไรเขามากมาย แต่ของแค่นี้ สรุปว่าขอกันกินไม่ได้สินะ
“พิมเป็นคนธารรุ้ง” เขาพูดต่อเมื่อเห็นเธอนิ่งไป “พิมก็น่าจะรู้ว่าก่อนนี้ที่นี่ลำบากกันแค่ไหน แต่ได้การท่องเที่ยวมาช่วยเอาไว้ ซึ่งบางครั้งสิ่งที่ได้มา ก็ต้องแลกกับสิ่งที่เสียไปบ้าง พิมอาจไม่ชอบที่เห็นช้างเที่ยวเดินแถวบ้านพิม แต่ชาวบ้านอีกมากมาย หรือทั้งหมู่บ้านเลยมั้งที่เขาชอบ เพราะเขาได้มีกินมีใช้กับธุรกิจท่องเที่ยว”
“ท่องเที่ยวอะไร ธุรกิจทรมานสัตว์น่ะไม่ว่า!”
เธอพูดเสียงลอดไรฟัน ท่าทางกร้าวจนอีกฝ่ายสะอึก เขาเบือนหน้าไปอีกทางเพื่อซ่อนความไม่พอใจ ชายหนุ่มลงความเห็นว่าเธอยังเป็นเธอคนเดิมไม่มีผิด เคราะห์กรรมจริงๆ ที่หนียายคนนี้ไม่พ้น คำพูดเธอมันแรงเกินอภัยตั้งแต่อดีตยันปัจจุบัน
“ทรมานตรงไหน มันได้มีงานทำ” ภาณุรุจหันมาและพยายามพูดอย่างใจเย็น “มีกล้วยอ้อยให้กินมากมายทั้งวัน ถ้าไม่มีอะไรให้ทำสิ มันจะยิ่งอดอยาก”
“แล้วพี่เคยถามมันบ้างไหมคะว่ามันอยากทำงานไหม”
“อ้าวๆ...อย่าพาลสิคร้าบน้อง”
คราวนี้น้ำเสียงและแววตาเขาเริ่มเปลี่ยนไปให้เธอเห็นซึ่งๆ หน้า
“ถ้าพูดแบบนี้ น้องต้องไปถามชาวนาด้วยว่าเคยถามควายบ้างไหมว่ามันอยากไถนาหรือเปล่า”
เธอสะอึก
“หรือไม่ก็ไปถามวัวว่ามันอยากให้รีดนมหรือเปล่า ไปถามไก่ ถามหมูว่ามันอยากให้เรากินเนื้อมันไหม”
พิมริสาผุดลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเจอกับท่าทีนั้น ลงว่ากวนมาแบบนี้คุยต่อด้วยก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ
“โอเค เป็นอันว่า พี่ช่วยอะไรพิมไม่ได้”
“ช่วยได้ แต่ได้ในกรอบ”
“งั้นพิมก็ต้องยอมใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปเพื่อเห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่การท่องเที่ยว อย่างนั้นใช่ไหม”
“ก็...ทำนองนั้น” เขาผงกศีรษะ “เสียงส่วนน้อย มันก็ต้องยอมเสียงส่วนใหญ่อยู่แล้ว หรือพิมจะให้คนทั้งหมู่บ้านสละทุกอย่างเพื่อพิมคนเดียว”
***************
พิมริสากลับบ้านมาอย่างหัวเสีย วันนี้เธอแพ้หมดรูปเพราะได้คำตอบแน่ชัดแล้วว่า ไม่ว่าอย่างไร ช้างพวกนั้นก็ยังคงเดินผ่านบ้านเธอเหมือนเดิม เธอคงต้องมาปรับตัวเองไม่ให้กลัวช้าง มากกว่าไปขอให้เขาเปลี่ยนเส้นทางช้าง
นายไผ่ รุ่นพี่เฮงซวยที่ตามมาหลอนจนถึงนี่ พยายามให้สัญญาว่าช้างจะไม่มาสร้างความเสียหายให้ไร่ดอกไม้ของเธอ ซึ่งเรื่องนี้ ส่วนลึกของใจ พิมริสาเองหาได้วิตกไม่ แต่จะให้บอกเขาได้อย่างไรว่า ที่จริงแล้วเธอกลัวมันต่างหาก เห็นมันทีไรเธอกลัวจนขนหัวลุก กลัวมันพุ่งมาทำร้าย ช้างมันไว้ใจได้ที่ไหน เวลามันนึกจะตกมันขึ้นมา ใครเอามันอยู่บ้าง
แน่ละ หากบอกเขาไปแบบนี้ มันแทบไม่มีน้ำหนักอะไร เขาคงยิ่งหัวเราะเยาะ เพราะทั้งหมู่บ้าน แม้แต่เด็กอมมือก็ยังไม่มีใครกลัวช้าง
หญิงสาวนั่งดูพรผกาเต้นประกอบเพลงจากเครื่องแท็บเล็ต แล้วก็รู้สึกเพลิน จนอารมณ์ที่ตึงเครียดผ่อนคลายลงบ้าง พี่สาวเธอเป็นครูอนุบาล วันๆ ต้องพาเด็กเล็กๆ ร้องรำทำเพลงจึงต้องซ้อมเต้นอยู่หน้ากระจกอยู่เสมอ ซึ่งสมัยก่อนพรผกาเป็นคนขี้อาย พอมากลายเป็นครูอนุบาล พิมริสาก็ไม่รู้ว่าพี่ไปขุดเอาความกล้าแบบนี้มาจากไหน เธอเคยเห็นที่งานโรงเรียนเวลาเด็กๆ ออกมาแสดงการเต้นบนเวที พี่สาวของเธอก็ต้องเต้นนำเด็กๆ โยกตัวไปมา ส่ายสะโพกโอนเอนอยู่ด้านล่างท่ามกลางสายตาของผู้ปกครองทั้งหอประชุม
ให้เธอทำงานแบบพี่ เห็นทีจะไม่ได้ เพราะแค่เต้นสั้นๆ อย่างท่าไก่ย่างถูกเผา เธอยังเกลียด
แต่จะทำอะไรดี สองสัปดาห์ผ่านไปแล้ว โครงการปลูกดอกไม้ก็ยังเป็นสายลม เพราะอารมณ์เธอยังไม่พร้อมเอาเสียเลย...
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ก่อนถึงอ่างเก็บน้ำเล็กน้อย หญิงสาวก็เลี้ยวขวาเข้าไปยัง ‘อิงไพรรีสอร์ต’
ภาพรีสอร์ตสีเขียวทึมหลังแรกปรากฏขึ้นในสายตา มันวางตัวอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ท่ามกลางต้นไม้นานาพรรณปกคลุมแทบมิด พิมริสาอดคิดติดลบไม่ได้ เจ้าของรีสอร์ตนี้ช่างตั้งได้เหมาะเหม็ง มันแอบอิงและ(อ้าง)อิงไพร เพื่อการทำมาหากินของเขาจริงๆ
พิมริสาแหงนมองทางขึ้น คะเนความสูงน่าจะเกินสามสิบเมตร ทางชันเอาการสำหรับรถคันเล็กๆ ของเธอ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร นึกขอบคุณตัว เองด้วยซ้ำที่ไม่ปั่นจักรยานมา ไม่อย่างนั้นคงไปเจอนายภาณุรุจด้วยอาการลิ้นห้อย
มาถึงตอนนี้เธอก็จำชื่อเขาได้ขึ้นใจแล้ว คนที่ใครๆ บอกว่าคุยง่าย แต่เธอคุยโทรศัพท์กับเขาตั้งนาน ปรากฏว่าไม่ยักง่ายอย่างที่คิด
เมื่อคืนการเจรจาไม่ประสบผล วันนี้ได้คุยกันแบบเห็นหน้าเห็นตา เธอก็ยังมีความหวังว่า เขาจะเอาช้างหลบให้ มันจะอะไรนักหนา หมู่บ้านที่มีผู้คน เด็กเล็กเคยเดินเล่นไปมาอย่างสบาย กลายเป็นดินแดนแห่งช้างเดินไปได้อย่างไร
เมื่อเข้าสู่ลานจอด พิมริสาลงมาจากรถมองไปรอบๆ เฉพาะที่เห็นกับตาขณะนี้ บ้านพักราวสิบหลังเรียงรายไปทั่ว สีเขียวใบไม้ของบ้านทุกหลังดูกลมกลืนกับต้นไม้ที่รายรอบ รูปทรงบ้านก็แตกต่างกันไป บ้างเตี้ยติดพื้น บ้างยกพื้นสูงมีบันไดหลายขั้น และแต่ละหลังมีชุดเก้าอี้นั่งพักผ่อนแบบเดียวกันอยู่ด้านหน้า
แล้วสายตาของพิมริสาก็สะดุดกับบ้านไม้สองชั้นริมเนินที่มีสีโดดเด่นกว่าใครบนเนินเขา บ้านอื่นก็ดูเป็นมิตรกับธรรมชาติดีหรอก แต่บ้านหลังนั้นสิ แทนที่จะเป็นสีไม้กลับทาสีส้ม หน้าต่างสีขาว แถมนอกชานชั้นบนสีแดงแจ๊ด รสนิยมอะไรก็ไม่รู้ นี่กระมัง บ้านนายคนนั้น
โชคดีที่หญิงสาวไม่ต้องขึ้นไป เพราะเขาออกมารอต้อนรับเธออยู่แล้วที่เรือนต้อนรับลูกค้า ติดกับร้านอาหารของรีสอร์ต
เมื่อได้พบกัน ทั้งคู่ต่างขมวดคิ้วและนิ่งงันกันไปชั่วครู่ แล้วเป็นภา ณุรุจที่เอ่ยขึ้นก่อน น้ำเสียงเขาดูตื่นเต้น แต่จะปนตกใจหรือดีใจด้วยหรือไม่ พิมริสาก็มองไม่ออก
“พิม...พิมริสา...ใช่ไหม”
คนถูกถามพยักหน้า เก็บอาการแปลกใจที่เจอเขาได้ไว้มิดชิด...ชื่อที่คุ้น เสียงที่คุ้น ที่เธอนึกไม่ออกสักทีว่าใคร มาตอนนี้รู้สึกโล่งหัวชะมัด ที่แท้ภาณุรุจคนนี้คือรุ่นพี่ปีสี่จอมว้ากที่มหาวิทยาลัยนั่นเอง ถึงแม้เหตุการณ์จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เธอก็ไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งเคยมีผู้ชายที่ชื่อ ภาณุรุจ หรือ ‘พี่ไผ่’ หรือ ‘ประธานไผ่’ สั่งให้รุ่นพี่คนอื่นๆ จับเธอแก้ผ้า!
ซาดิสม์ วิตถารเป็นบ้า โชคดีที่เธอวิ่งหนีทัน
และเขาเองก็คงไม่ลืมแน่ๆ ว่าตอนนั้นเขาทำอะไรไป ก็ดูสิ เขายังอุตส่าห์จำชื่อเธอได้
นึกถึงอดีตอันไม่งดงามแล้วก็รู้สึกขมขื่นใจทุกที หลังจากวิ่งหนีงานรับน้องคราวนั้นแล้ว เธอก็ไม่มีพี่คนไหนมาดูแลอีกเลย เธอต้องเรียนรู้ชีวิตใหม่ด้วยตัวเอง ขณะที่น้องปีหนึ่งคนอื่นๆ มี ‘พี่รหัส’ คอยเทกแคร์ดูแลราวกับน้องในไส้
เพียงแค่เธอโต้เถียงรุ่นพี่ในวันนั้น ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าทุกคนจะแก้แค้นน้องคนนี้โดยเลิกใส่ใจทุกกรณี เด็กบ้านนอกในสถาบันใหญ่ของเมืองหลวงอย่างเธอ ต้องเผชิญชะตากรรมจากการถูกพี่ๆ บอยขอตตลอดปีแรก แม้จะบอกตัวเองว่าเป็นคนแกร่งกล้า แต่ตอนนั้นเธอก็ยังเด็กมาก คิดดูเถอะว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน โชคดีอยู่บ้างที่เธอเป็นคนเรียนดี และยังมีรูปร่างหน้าตาโดดเด่น ทำให้พอจะเอาตัวรอดได้บ้างในปีที่สามและสี่
แล้วนี่ โชคชะตาเล่นตลกหรืออย่างไรกัน เธอถึงมาเจอเขาที่นี่อีก รุ่นน้องที่ถูกทอดทิ้ง มาเจอรุ่นพี่ที่ไร้เมตตา ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างเหลือ เชื่อ!
“พิมริสา” เขาเรียกชื่อเธออีกครั้ง ยิ้มกว้างอย่างมีไมตรีให้ก่อน “พี่นึกว่าใครเสียอีก แปลกใจมากเลยนะที่เจอน้องที่นี่”
“ใช่ค่ะ ฉัน เอ๊ย พิมเป็นคนที่นี่ ก็แปลกใจเหมือนกันที่มาเจอ...พี่”
ใจจริงก็ไม่อยากเรียกเขาว่าพี่ว่าเชื้ออะไรเพราะยังแค้นฝังใจ แต่เมื่อเขาเรียกเธอว่า ‘น้อง’ เธอก็มีมารยาทพอที่จะเรียกเขากลับว่า ‘พี่’
“โลกมันกลมจริงๆ เมื่อก่อนพิมเป็นหลานรหัสพี่ด้วยนี่ ใช่ไหม ถ้าจำไม่ผิด”
พิมริสามองเขาอย่างชิงชังภายใต้สีหน้าเรียบเฉย นี่ยังอุตส่าห์จำได้ด้วยหรือว่าเธอเป็นหลานรหัส แล้วเขาจะขุดอดีตขึ้นมาเพื่อ...?
ที่สถาบันของเธอนั้น จะมีระบบรุ่นพี่รุ่นน้องที่เชื่อมโยงกันทุกชั้นปีและเรียกกันแบบเครือญาติ น้องเล็กปีหนึ่งติดขัดอะไร พี่รหัสปีสองก็คอยให้คำปรึกษา ถ้าพี่รหัสไม่อยู่ น้องปีหนึ่งก็ขอความช่วยเหลือจากพี่ปีสามปีที่เรียกกันว่าลุง-ป้าหรือปู่-ย่ารหัสได้ เพราะถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน
พิมริสาก็เพิ่งรู้หลังจากวันรับน้องว่า ไผ่ ภาณุรุจ พี่ขาว้ากที่เป็นถึงประธานคณะ เขาเป็นปู่รหัสของเธอด้วย และแน่นอน จากการปะทะคารมวันนั้น เขาก็ไม่เคยสนใจไยดีเธออีกเพราะความโกรธ ต่างห่างเหินจนแทบไม่เคยพูดกันเลยก็ว่าได้ ก็ช่างเขาเถอะ เธอเองก็เจอเขาแค่ปีเดียวเท่านั้น
เขาเรียนจบไปคือจบจากความสัมพันธ์อันไม่ผูกพัน เธอก็ไม่ได้ไปร่วมงานรับปริญญาของเขา ทั้งๆ ที่ปกติพวกพี่ๆ ปีสี่ที่จบไป จะมีบรรดาน้องรหัสปีหนึ่ง สอง และสามชักชวนกันไปร่วมยินดีด้วยอย่างอบอุ่นเสมอ และมีมากมายที่ความสัมพันธ์นี้ต่อยอดไปจนถึงการชักชวนเข้าทำงานที่นั่นที่นี่...แต่เธอมันแกะดำ ดิ้นรนเอาเองสิ งานที่ธนาคารก็สมัครได้เอง ไม่มีเส้นพี่คนไหนช่วย
“ขอโทษด้วยนะ ที่ตอนเรียนพี่ไม่ค่อยได้สนใจพิมเท่าที่ควร ช่วงปีสุดท้าย มันยุ่งๆ ไหนจะเครียดเรื่องหน่วยกิตที่เหลืออีกเพียบ ช่วงนั้นกลัวจะไม่จบเอาเลย ไหนจะกิจกรรม ไหนจะ...”
“ช่างเถอะค่ะ พิมเองก็ไม่ค่อยได้สนใจพี่เท่าไรเหมือนกัน”
ประโยคที่ขัดขึ้นนั้นทำเอาภาณุรุจไปต่อไม่ถูก เมื่อพิมริสาเห็นหน้าเขาขรึมลง เธอจึงพูดต่ออีกเล็กน้อย
“อ้อ แต่ได้ข่าวว่าพี่ไปเรียนต่อ และทำงานอยู่ที่เมืองนอก”
เธอรู้เรื่องของเขาแค่นั้นจริงๆ จำได้เลาๆ ว่าเพื่อนสักคนเคยพูดให้ฟังสักครั้ง
“ใช่ ไปเรียน แต่ไม่ได้อยู่หรอก จบแล้วก็มาอยู่บ้านนอกแทน”
พูดแล้วเขาก็หัวเราะเบาๆ บรรยากาศเหมือนจะดีขึ้น แต่ก็ไม่มาก
พิมริสาลอบสังเกตใบหน้าอีกฝ่าย ภาณุรุจอาจจะไม่ใสกริบเหมือนสมัยเป็นนักศึกษา เขาดูกร้านขึ้นเล็กน้อยตามวัยและแดดลม แต่โดยรวมก็ยังเป็นคนหนุ่มที่ดูสดใสมีเสน่ห์ชวนมองสำหรับเพศตรงข้ามอยู่ดี
คิ้วและตาสีเข้มสนิท ขนตายาวงอนดกหนาจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นขนตาผู้ชาย จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากที่แย้มยิ้มอยู่นั้นหยักโค้งได้รูป ผมสีน้ำตาลแก่ดกหนาตัดสั้นเข้าทรง รูปร่างสูงเพรียวและยังปราดเปรียวเหมือนหนุ่มวัยรุ่นของเขาซ่อนอยู่ในเสื้อเชิ้ตแขนสั้นปล่อยชายลายตาหมากรุก กับกางเกงยีนสีน้ำเงินขาสั้นเทียมเข่า เขาดูเป็นนักธุรกิจหนุ่มระดับท้องถิ่นที่แต่งตัวสบายๆ ดูปอนๆ เล็กน้อยด้วยซ้ำ หากแต่เนื้อตัว นิ้วมือนิ้วเท้าเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้าน
“แล้วพิมล่ะ” ภาณุรุจเอ่ยขณะเดินนำเธอไปนั่งแล้ว “ทำไมมาอยู่บ้าน พี่นึกว่าทำงานอยู่กรุงเทพฯ เหมือนเพื่อนๆ”
ชายหนุ่มหมายความตามที่พูด วันนี้เขารู้สึกเหมือนเจอเรื่องมหัศ-จรรย์ ที่ยายหลานรหัสหัวรุนแรงกลายมาเป็นชาวสวนแถวนี้ แต่ที่แปลกใจกว่าคือ เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนว่ารูปร่างหน้าตาของเธอจะสะสวยขนาดนี้
ภาพจำของพิมริสาสำหรับเขาคือ ยายเฟรชชี่แก้มหลากสีผมห้าจุกที่ก้าวร้าวสุดโต่งในวันรับน้อง เธอผู้นี้เองที่ทำเอาเขามีรอยด่างในชีวิต เพราะแม้ทุกวันนี้ เมื่อเจอเพื่อนเก่าหรือรุ่นน้อง เขาก็ยังถูกล้อเรื่องที่ ‘ประธานไผ่ไปพลาดท่าให้เด็กใหม่’ อยู่เสมอ
“พิมทำงานที่นั่นได้สองปีก็เบื่อ คิดถึงบ้านด้วย ก็เลยลาออกกลับ มาทำงานที่บ้าน นี่ก็เพิ่งมาอยู่ได้แค่สองอาทิตย์เอง ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรมากนัก แต่แผนการน่ะมีนานแล้ว”
“อ๋อ ที่ว่าจะปลูกดอกไม้อะไรนั่นใช่ไหม”
เธอพยักหน้า “ว่าจะทำไร่ดอกไม้” เว้นวรรคไปเล็กน้อยก่อนเติมคำว่า “ค่ะ” ต่อท้าย
เขาเลิกคิ้ว ทำตาโต “ไร่เลยหรือ โอ้โห แสดงว่าที่บ้านมีเนื้อที่กว้าง ขวางสิ”
“โชคดีที่พ่อกับแม่มีที่ดินเยอะ แต่เขาทำไร่พืชผลอื่นๆ ไม่ได้ผลเท่า ไร พิมจะมาทำใหม่ ทีนี้ก็อย่างที่คุยเมื่อคืนไงคะ” พิมริสารีบเข้าเรื่องเพราะรู้สึกว่าเสียเวลาซักประวัติอันไม่โสภากันนานแล้ว “ช้างของพี่เดินผ่านทางนั้น”
“เรื่องนี้...พี่ก็อยากจะบอกพิมเหมือนที่บอกไปแล้วนะว่า เราเปลี่ยนเส้นทางยาก ยากกว่าการที่พิมเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่อีกนะ ลองคิดใหม่ดีไหม ช้างไม่ได้เดินรุกเข้าไปในที่ของพิม และไม่มีวันจะรุก เพราะเรามีควาญ...อีกอย่าง ช้างมันไม่กินดอกไม้”
พิมริสาไม่ยอมตลกกับประโยคสุดท้ายของเขา เพราะเขาเอาความตลกมากลบความใจดำ ความเป็นพี่น้องร่วมสถาบัน มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ภาณุรุจยังเป็นพี่ที่ยังไม่เคยเห็นน้องอย่างเธอในสายตา นี่เธอไม่ได้มาขออะไรเขามากมาย แต่ของแค่นี้ สรุปว่าขอกันกินไม่ได้สินะ
“พิมเป็นคนธารรุ้ง” เขาพูดต่อเมื่อเห็นเธอนิ่งไป “พิมก็น่าจะรู้ว่าก่อนนี้ที่นี่ลำบากกันแค่ไหน แต่ได้การท่องเที่ยวมาช่วยเอาไว้ ซึ่งบางครั้งสิ่งที่ได้มา ก็ต้องแลกกับสิ่งที่เสียไปบ้าง พิมอาจไม่ชอบที่เห็นช้างเที่ยวเดินแถวบ้านพิม แต่ชาวบ้านอีกมากมาย หรือทั้งหมู่บ้านเลยมั้งที่เขาชอบ เพราะเขาได้มีกินมีใช้กับธุรกิจท่องเที่ยว”
“ท่องเที่ยวอะไร ธุรกิจทรมานสัตว์น่ะไม่ว่า!”
เธอพูดเสียงลอดไรฟัน ท่าทางกร้าวจนอีกฝ่ายสะอึก เขาเบือนหน้าไปอีกทางเพื่อซ่อนความไม่พอใจ ชายหนุ่มลงความเห็นว่าเธอยังเป็นเธอคนเดิมไม่มีผิด เคราะห์กรรมจริงๆ ที่หนียายคนนี้ไม่พ้น คำพูดเธอมันแรงเกินอภัยตั้งแต่อดีตยันปัจจุบัน
“ทรมานตรงไหน มันได้มีงานทำ” ภาณุรุจหันมาและพยายามพูดอย่างใจเย็น “มีกล้วยอ้อยให้กินมากมายทั้งวัน ถ้าไม่มีอะไรให้ทำสิ มันจะยิ่งอดอยาก”
“แล้วพี่เคยถามมันบ้างไหมคะว่ามันอยากทำงานไหม”
“อ้าวๆ...อย่าพาลสิคร้าบน้อง”
คราวนี้น้ำเสียงและแววตาเขาเริ่มเปลี่ยนไปให้เธอเห็นซึ่งๆ หน้า
“ถ้าพูดแบบนี้ น้องต้องไปถามชาวนาด้วยว่าเคยถามควายบ้างไหมว่ามันอยากไถนาหรือเปล่า”
เธอสะอึก
“หรือไม่ก็ไปถามวัวว่ามันอยากให้รีดนมหรือเปล่า ไปถามไก่ ถามหมูว่ามันอยากให้เรากินเนื้อมันไหม”
พิมริสาผุดลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเจอกับท่าทีนั้น ลงว่ากวนมาแบบนี้คุยต่อด้วยก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ
“โอเค เป็นอันว่า พี่ช่วยอะไรพิมไม่ได้”
“ช่วยได้ แต่ได้ในกรอบ”
“งั้นพิมก็ต้องยอมใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปเพื่อเห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่การท่องเที่ยว อย่างนั้นใช่ไหม”
“ก็...ทำนองนั้น” เขาผงกศีรษะ “เสียงส่วนน้อย มันก็ต้องยอมเสียงส่วนใหญ่อยู่แล้ว หรือพิมจะให้คนทั้งหมู่บ้านสละทุกอย่างเพื่อพิมคนเดียว”
***************
พิมริสากลับบ้านมาอย่างหัวเสีย วันนี้เธอแพ้หมดรูปเพราะได้คำตอบแน่ชัดแล้วว่า ไม่ว่าอย่างไร ช้างพวกนั้นก็ยังคงเดินผ่านบ้านเธอเหมือนเดิม เธอคงต้องมาปรับตัวเองไม่ให้กลัวช้าง มากกว่าไปขอให้เขาเปลี่ยนเส้นทางช้าง
นายไผ่ รุ่นพี่เฮงซวยที่ตามมาหลอนจนถึงนี่ พยายามให้สัญญาว่าช้างจะไม่มาสร้างความเสียหายให้ไร่ดอกไม้ของเธอ ซึ่งเรื่องนี้ ส่วนลึกของใจ พิมริสาเองหาได้วิตกไม่ แต่จะให้บอกเขาได้อย่างไรว่า ที่จริงแล้วเธอกลัวมันต่างหาก เห็นมันทีไรเธอกลัวจนขนหัวลุก กลัวมันพุ่งมาทำร้าย ช้างมันไว้ใจได้ที่ไหน เวลามันนึกจะตกมันขึ้นมา ใครเอามันอยู่บ้าง
แน่ละ หากบอกเขาไปแบบนี้ มันแทบไม่มีน้ำหนักอะไร เขาคงยิ่งหัวเราะเยาะ เพราะทั้งหมู่บ้าน แม้แต่เด็กอมมือก็ยังไม่มีใครกลัวช้าง
หญิงสาวนั่งดูพรผกาเต้นประกอบเพลงจากเครื่องแท็บเล็ต แล้วก็รู้สึกเพลิน จนอารมณ์ที่ตึงเครียดผ่อนคลายลงบ้าง พี่สาวเธอเป็นครูอนุบาล วันๆ ต้องพาเด็กเล็กๆ ร้องรำทำเพลงจึงต้องซ้อมเต้นอยู่หน้ากระจกอยู่เสมอ ซึ่งสมัยก่อนพรผกาเป็นคนขี้อาย พอมากลายเป็นครูอนุบาล พิมริสาก็ไม่รู้ว่าพี่ไปขุดเอาความกล้าแบบนี้มาจากไหน เธอเคยเห็นที่งานโรงเรียนเวลาเด็กๆ ออกมาแสดงการเต้นบนเวที พี่สาวของเธอก็ต้องเต้นนำเด็กๆ โยกตัวไปมา ส่ายสะโพกโอนเอนอยู่ด้านล่างท่ามกลางสายตาของผู้ปกครองทั้งหอประชุม
ให้เธอทำงานแบบพี่ เห็นทีจะไม่ได้ เพราะแค่เต้นสั้นๆ อย่างท่าไก่ย่างถูกเผา เธอยังเกลียด
แต่จะทำอะไรดี สองสัปดาห์ผ่านไปแล้ว โครงการปลูกดอกไม้ก็ยังเป็นสายลม เพราะอารมณ์เธอยังไม่พร้อมเอาเสียเลย...
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ต.ค. 2562, 22:04:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ต.ค. 2562, 22:04:51 น.
จำนวนการเข้าชม : 590
<< บทที่ 2 -30% | บทที่ 3 -50% >> |