โอบรักธารรุ้ง: อัยย์ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
หมู่บ้านธารรุ้ง แผ่นดินผืนนี้คือทำเลทองของธุรกิจเขา
และคือบ้านเกิดแสนอบอุ่นที่เธอจะมาปักหลักเป็นเกษตรกร
'ภาณุรุจ' มีฝันจะทำรีสอร์ตแห่งใหม่ในพื้นที่ของ 'พิมริสา' โดยที่เธอเองก็มีฝันจะทำไร่ดอกไม้อยู่แล้ว
เขาจะรามือ หรือจะยื้อแย่งดี แต่เห็นความมุ่งมั่นขนาดนั้น เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้
เพราะเธอก็ไม่ใช่คนไกล เป็นอดีตรุ่นน้องรหัสสมัยเรียนที่เขาเคยว้ากใส่จนไม่มองหน้ากันมาก่อน
ความฝังใจของเธอ เขาคือรุ่นพี่ที่ไร้เมตตา แต่เขาอยากจะบอกเธอว่า...ไม่เสมอไป
เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยถามเขา “โทร.มาทำไมคะ ดึกๆ ป่านนี้ มีธุระอะไรเหรอ”
“ไม่ใช่โทร.มาขอซื้อที่แล้วกัน อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ตอนนี้นะ คือว่า...พี่นอนไม่หลับ”
“แล้วทำไมถึงโทร.หาพิมล่ะ คนทั้งหมู่บ้านก็มี”
เขาเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจตอบ “ก็...ไม่ได้คิดถึงคนอื่นนี่”
ใช่ เขาคิดถึงเธอนั่นแหละ ทุกลมหายใจ
แล้วทีนี้จะให้ทำยังไง นอกจากดับฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเองเพื่อเธอ
******************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย อัยย์ และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ โรแมนติกน่ารักน่าหยิกตามสไตล์คุณอัยย์เช่นเคย และมีความคู่กัดระหว่างพระเอกนางเอก เพราะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ชังขี้หน้ากันตั้งแต่มหา'ลัย แต่ต้องมาเจอกันอีกในหมู่บ้านธารรุ้ง หวานๆ ฮาๆ ในเรื่องราวค่ะ นอกจากนี้มีเรื่องของการสร้างชุมชน และการมีกิจการของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย #รับประกันความสนุก!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช, ร้านนิยายรัก, ร้านbooksforfun, ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง), ร้านThebookboxclub และร้าน BestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
และคือบ้านเกิดแสนอบอุ่นที่เธอจะมาปักหลักเป็นเกษตรกร
'ภาณุรุจ' มีฝันจะทำรีสอร์ตแห่งใหม่ในพื้นที่ของ 'พิมริสา' โดยที่เธอเองก็มีฝันจะทำไร่ดอกไม้อยู่แล้ว
เขาจะรามือ หรือจะยื้อแย่งดี แต่เห็นความมุ่งมั่นขนาดนั้น เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้
เพราะเธอก็ไม่ใช่คนไกล เป็นอดีตรุ่นน้องรหัสสมัยเรียนที่เขาเคยว้ากใส่จนไม่มองหน้ากันมาก่อน
ความฝังใจของเธอ เขาคือรุ่นพี่ที่ไร้เมตตา แต่เขาอยากจะบอกเธอว่า...ไม่เสมอไป
เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยถามเขา “โทร.มาทำไมคะ ดึกๆ ป่านนี้ มีธุระอะไรเหรอ”
“ไม่ใช่โทร.มาขอซื้อที่แล้วกัน อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ตอนนี้นะ คือว่า...พี่นอนไม่หลับ”
“แล้วทำไมถึงโทร.หาพิมล่ะ คนทั้งหมู่บ้านก็มี”
เขาเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจตอบ “ก็...ไม่ได้คิดถึงคนอื่นนี่”
ใช่ เขาคิดถึงเธอนั่นแหละ ทุกลมหายใจ
แล้วทีนี้จะให้ทำยังไง นอกจากดับฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเองเพื่อเธอ
******************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย อัยย์ และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ โรแมนติกน่ารักน่าหยิกตามสไตล์คุณอัยย์เช่นเคย และมีความคู่กัดระหว่างพระเอกนางเอก เพราะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ชังขี้หน้ากันตั้งแต่มหา'ลัย แต่ต้องมาเจอกันอีกในหมู่บ้านธารรุ้ง หวานๆ ฮาๆ ในเรื่องราวค่ะ นอกจากนี้มีเรื่องของการสร้างชุมชน และการมีกิจการของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย #รับประกันความสนุก!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช, ร้านนิยายรัก, ร้านbooksforfun, ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง), ร้านThebookboxclub และร้าน BestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
Tags: โรแมนติก คู่กัด เกษตรกร รีสอร์ต รุ่นพี่ รุ่นน้อง
ตอน: บทที่ 8 -100%
ภาณุรุจพารถเคลื่อนออกไป ทั้งคู่ยังคงนั่งเงียบๆ ชายหนุ่มเหลือบตามองแล้วบอก
“ไม่ต้องนั่งเกร็งแบบนั้นหรอก ทำตัวสบายๆ”
“พิมไม่ได้เกร็ง พี่นั่นแหละเกร็ง ขับรถตัวแข็งทื่อ แล้วก็ขับช้ายังกะกลัวถนนเจ็บ”
ชายหนุ่มหัวเราะลั่น จริงอย่างเธอว่า เขาจับพวงมาลัยเสียแน่นยังกับหัดขับรถ แล้วเขาก็ผ่อนคลายลง งุนงงกับตัวเอง นี่ตื่นเต้นอะไรนักนะยังกับจะพาสาวที่เพิ่งแอบรักออกเดต
พิมริสาเองก็แอบหันไปอมยิ้มกับวิวข้างทาง
อีตาบ้า เวลาหัวเราะออกหล่อปิ๊ง ดูสดใสเหมือนเด็กๆ แต่ทำไมชอบวางท่าเก๊กนัก ตั้งแต่พบเขาที่นี่ นี่เป็นครั้งแรกกระมังที่ได้เห็นเขาหัวเราะ
ยังไม่ทันพ้นเขตหมู่บ้าน รถคันหนึ่งก็แล่นสวนมา ต่างฝ่ายต่างหยุดเลื่อนกระจกทักทาย นทีมีสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นคนที่นั่งคู่กับหุ้นส่วนรุ่นน้อง
“อ้าว นั่นไปไหนกัน” เขาถามภาณุรุจ ก็มันน่าสงสัยน้อยอยู่เมื่อไรที่สองคนนั่งรถไปด้วยกันแบบนี้ เท่าที่เห็น พี่น้องร่วมสถาบันคู่นี้ต่างคนต่างศรศิลป์ไม่ค่อยกินกันสักเท่าไร
“ไปในเมืองครับ ผมจะไปธุระ พิมก็จะไปธุระพอดี ก็เลยไปด้วยกันดีกว่าจะได้ประหยัดน้ำมันไปในตัว”
ประโยคหลังไม่เข้าท่านัก แต่เขาก็พูดแก้เก้อไปอย่างนั้นเอง นทีจะคิดอย่างไรนะ เพราะคนที่ไปกับเขาเป็นคนที่นทีเพิ่งบอกเมื่อไม่กี่วันนี้เองว่า
‘ผมชอบ’
พิมริสาตอบขึ้นอีกคน “น้าชดเขาไปช่วยงานให้พี่ไผ่น่ะค่ะ พิมไม่มีคนขับรถ ก็เลยติดรถพี่ไผ่ไปแทน”
ภาณุรุจฟังเธอพูดกับอีกฝ่ายเสียงแจ๋ว เพิ่งได้ยินเธอเรียกเขาว่า ‘พี่ไผ่’ แบบเต็มๆ ฟังแล้วรู้สึกชอบชะมัด ถ้าเพราะคนฟังไม่ใช่นที และน้ำเสียงคนพูดไม่บอกความสนิทสนมอย่างนี้ เขาคงจะชื่นใจมากกว่านี้
นทีพยักหน้าถี่ๆ แล้วบอก
“โอเคๆ ไปกันเถอะ อ้อ คุณพิมครับ เรื่องนั้นสบายใจขึ้นยังครับ”
“ค่ะ สบายใจขึ้นมาก ขอบคุณคุณนทีอีกครั้งนะคะ”
นทียิ้ม ก่อนจะเลื่อนกระจกขึ้นแล้วขับออกไป ภาณุรุจเองก็ออกรถแต่ยังคาใจกับคำพูดของทั้งคู่ เขาอดถามไม่ได้
“สบายใจเรื่องอะไร บอกได้ไหม”
“ก็...เรื่องช้างไงคะ วันก่อนคุณนทีไปหาพิมที่บ้านบอกว่าจะเปลี่ยนเส้นทางช้างให้ แล้วเขาก็ทำให้จริงๆ ช่วงสองสามวันมานี้ พิมไม่เห็นช้างเดินมาแถวบ้านพิมอีก”
“อ้อ...”
ภาณุรุจพูดแค่นั้น แล้วก็ขับรถเงียบๆ ไปตลอดทางจนพิมริสารู้สึกไม่สบายใจ นี่เกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่อีตารุ่นพี่ยังหัวเราะลั่นโลกอยู่เลย แต่แค่พริบตา เขากลับมาขรึมเหมือนกำลังไปงานศพญาติ
ชายหนุ่มเองก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นดอกไม้ที่กำลังบานอยู่ในทุ่งแล้วจู่ๆ ก็ถูกมือดีที่ไหนไม่รู้เอาไฟแช็กมาจ่อที่กลีบดอกจนไฟลุกพรึ่บ ความ สุขหายไปเกินครึ่ง ความกังวลเข้ามาสิงในใจแทน
นทีไปพบกับพิมริสา แล้วบอกเปลี่ยนเส้นทางช้างนั้นเพื่อเธอ สิ่งนี้คืออะไร คือนทีเริ่มเดินแผนเกมรักเกมร้ายแล้วใช่ไหม เส้นทางช้างจุดนั้นเป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวชอบเพราะเห็นสายรุ้ง และเป็นจุดใกล้น้ำตก ทั้งนทีและเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนเส้นทางเด็ดขาด เคยคุยกันไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แล้วทำไม...?
คำตอบก็คงเป็นอย่างที่นทีพูด เขาชอบพิมริสา เขาก็ต้องเอาใจเธอทุกอย่างเพื่อชนะใจเธอให้ได้ เรื่องเปลี่ยนเส้นทางช้างนี้ กระทั่งกับเขา นทีก็ยังไม่บอกสักคำ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่หุ้นใหญ่ของปางช้าง แต่นักท่องเที่ยวเหล่านั้นก็เป็นนักท่องเที่ยวในรีสอร์ตของเขา เขาควรจะได้รับรู้การตัดสินใจนี้ร่วมกันมิใช่หรือ
รถแล่นผ่านป่าเขาลำเนาไพรและเส้นทางอันตรายหลายสิบโค้งเข้าเขตเมือง ความอึมครึมก็ยังไม่หายไปจากใจภาณุรุจ พิมริสาเองก็ห่อเหี่ยวไปด้วย ที่จริงเธอไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมานั่งเจ๊าะแจ๊ะหรือทำตัวหน้าชื่นตาบานกับเขา แต่ทำไมนะ เมื่อภาณุรุจเงียบไปแบบนี้ เธอกลับรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
ทำไมเธอต้องแคร์ ทั้งๆ ที่เธอก็มาทำงาน เขาเงียบไปก็น่าจะดีแล้ว เธอจะได้มีสมาธิจดจ่อกับงานที่กำลังจะไปติดต่อ...ทำไมเธอต้องอยากให้เขาดูแจ่มใสร่าเริง
*****************
ภาณุรุจพารถเข้าสู่วงเวียนหอนาฬิกาที่เป็นใจกลางเมือง จุดนี้มีตลาดขนาดใหญ่ รถราและผู้คนพลุกพล่าน ตึกสองชั้นที่รายรอบวงเวียนเป็นอา คารโบราณรูปทรงสวยงาม และมีตัวตึกที่ทั้งสูงและรูปทรงทันสมัยหลังหนึ่งแทรกตัวอยู่ในหมู่อาคารเก่าเหล่านั้น
เขาเห็นเธอมองอยู่ก็เลยบอกว่า
“นั่นเป็นโรงแรมของพี่นที เป็นไง ใหญ่โตโอฬารไหม”
“ใหญ่มาก สวยด้วย แต่เสียดายที่มาตั้งอยู่ตรงนี้ทำให้ดูขัดๆ ตากับตึกเก่า” พิมริสาวิจารณ์ตรงๆ นี่ละ นิสัยเธอ
“วงเวียนตรงนี้ ตอนกลางคืนจะมีแสงไฟที่หอนาฬิกากับอาคารเก่า มองลงมาจากบนตึกจะเห็นเป็นภาพที่สวยงาม นักท่องเที่ยวชอบมาก ตลาด โต้รุ่งก็อยู่ตรงนี้ด้วย เอ๊ะ หรือนี่พี่เอามะพร้าวมาขายสวนซะแล้ว ลืมไปว่าพิมก็คนจังหวัดนี้ คงจะรู้จักที่นี่มากกว่าพี่เสียอีกมั้ง”
“ไม่หรอกค่ะ นานๆ ทีพิมถึงจะเข้าเมือง มันก็ไกลอยู่นะ เกือบร้อยกิโล นั่งมานานมากเลย”
เขาเหลือบตามองเธอแล้วถาม
“รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ หรือ หรือเป็นเพราะนั่งมากับคนที่เกลียดขี้หน้า ก็เลยรู้สึกว่าเวลามันเดินช้า ทั้งๆ ที่พี่เหยียบตั้งร้อยยี่ ร้อยสาม”
“พิมไม่ได้เกลียดขี้หน้าพี่ ถ้าพิมเกลียดใคร พิมจะไม่มีวันขึ้นรถมาด้วย แต่...” พิมริสาเงียบไปเหมือนคิดหาคำ
“แต่อะไรอีก นี่กำลังดีใจว่าพิมไม่ได้เกลียด พิมก็มามีคำว่าแต่อีก”
“พิมไม่ได้เกลียด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะ...” เธอนึกคำต่อไปไม่ออกจริงๆ
“จะอะไร จะรักหรือ”
เขากลับต่อคำนั้นให้เธออย่างง่ายๆ ตามองถนนด้านหน้า มือแตะพวงมาลัยหลวมๆ โชเฟอร์อาสาปล่อยตัวตามสบายขึ้น แต่ก็หวนกลับมาขับช้าแบบกลัวถนนจะเจ็บอีกครั้ง
พิมริสานั่งบีบมือตัวเองแน่นบนตักอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกร้อนๆ ที่แก้ม บอกตัวเองว่าทำไมต้องคิดมากกับคำนี้ คนพูดเขาพูดโดยไม่สื่ออะไรพิเศษทั้งสิ้น คำว่า ‘รัก’ ใครๆ ก็ใช้กันทั่วไปในหลายวาระ ในต่างโอกาส ยิ่งคนที่คบค้ากันเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง คำนี้เขาใช้กันเกร่อ เธอไม่ควรสะดุ้ง ก็ดูท่าทางเขาสิ ธรรมดามากๆ
“พิมหมายถึงว่า ไม่ได้เกลียด พิมแค่...เฉยๆ”
พูดแล้วแอบพรูลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อครู่ที่นั่งกันมาเงียบๆ รู้สึกอึดอัดทีหนึ่งแล้ว แต่พอมาสนทนากันกลับอึดอัดยิ่งกว่า...ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ความอึดอัด แต่เธอรู้สึกขัดเขิน ทำตัวไม่ถูกต่างหาก
“ก็ยังดี เฉยๆ ก็ดีกว่าเกลียดเข้าไส้” แล้วเขาก็ต่ออีกนิด “ไม่ต้องรักพี่หรอก ขอแค่ อย่าเกลียดกันเป็นพอ เพราะเรายังต้องเจอกันอีกบ่อยๆ จริงไหม”
“ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรต้องขุ่นเคืองแล้วละ” เธอว่า “ถ้าพี่เลิกคิดจะซื้อที่ดินของพิม มันก็จบ ส่วนเรื่องช้างคุณนทีเขาจัดการให้แล้ว ต่อไปนี้พิมก็ไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้ว” เธอหมายความตามนั้นจริงๆ
ภาณุรุจพยักหน้าหงึกๆ แล้วพูด “ดีๆๆ” ทั้งๆ ที่ในใจโต้ตอบไปว่า
‘ไม่ติดค้างอะไรกันแม่คุณ เมื่อครู่นี้ตอนฉันไปขอตัวน้าของเธอให้ช่วยงาน เธอยังออกงิ้วใส่ฉันอยู่เลย’
พิมริสารู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มดีขึ้น ก็เลยชวนคุยต่อ
“สมัยก่อนที่พิมมาตอนเด็กๆ ตัวเมืองมีตึกสูงๆ อยู่ไม่กี่ตึก เพิ่งวันนี้แหละที่เห็นว่าจังหวัดตัวเองเจริญขนาดนี้” พูดแล้วพิมริสาก็มองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ คนที่อาสาเป็นโชเฟอร์ให้มองอากัปกิริยาคนนั่งแล้วก็แอบยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู จากนั้นเขาก็ขับพาเธอวนไปเรื่อยๆ เหมือนพาเด็กบ้านนอกชมเมือง
ภาณุรุจรู้สึกถึงความสดใสเบิกบานที่ตัวเองไม่ได้สัมผัสอารมณ์แบบนี้มานานแล้ว เขาลืมความหมองใจเรื่องนทีเปลี่ยนเส้นทางช้างโดยไม่บอกเขาแต่ดอดไปบอกพิมริสาถึงบ้านไปชั่วขณะ...จนกระทั่งเธอพูดขึ้นว่า
“เห็นคุณนทีไปๆ มาๆ อยู่ที่ธารรุ้ง พิมนึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นถึงเจ้า ของโรงแรมใหญ่โตขนาดนั้น”
อารมณ์ใสๆ เริ่มขุ่นขึ้นมาอีกครั้ง จนชายหนุ่มนึกรำคาญใจในความผันแปรของตัวเอง ก็มันน่าฉุนไหม คำพูดเธอเหมือนจะติดใจความร่ำรวยของนทีเสียนักหนา ขนาดว่ารถผ่านโรงแรมหลังโก้ไปพักใหญ่แล้วก็ยังเอามาพูดอีก แต่เขาก็ตอบเธอไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะปกติที่สุด
“ใช่ เป็นกิจการของครอบครัว พี่นทีเขาเป็นตระกูลเศรษฐีของจัง หวัด ไม่ใช่แค่โรงแรม เขายังมีธุรกิจอื่นอีกเยอะแยะ มีโรงงานอยู่หลายโรง คิดดู เขาเป็นหนุ่มโสดด้วย จะเนื้อหอมแค่ไหน ผู้หญิงคนไหนได้แต่งงานกับพี่นที ยิ่งกว่าถูกลอตเตอรีรางวัลที่หนึ่งสิบงวดติดกันเสียอีกนะ”
เธอฟังเขาบรรยายสรรพคุณนทีด้วยสุ้มเสียงที่...ฟังไม่ออกว่าริษยาหรือเปล่า แต่คงไม่ใช่ ผู้ชายด้วยกันเขาไม่มีเรื่องเหล่านี้ในสมองแน่ๆ เท่าที่รู้ ภาณุรุจเองก็ฐานะทัดเทียมนทีอยู่ อันที่จริงเธอยังนึกไม่ถึงด้วยซ้ำว่าต้องมาคบค้าสมาคมกับพวกนายทุนคนมีสตางค์ ถึงแม้จะเริ่มต้นไม่สวยนัก แต่ก็ดูจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ มาถึงตอนนี้ พิมริสาคิดว่า สองหนุ่มคงยอมแพ้เรื่องจะซื้อที่ดินของเธอร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว
“ใช่แต่คุณนทีนี่คะ” เธอตอบตามที่ใจคิด “พี่เองก็ไม่ได้ด้อยกว่าเขาตรงไหนเลย ใครได้...ได้แต่งกับพี่ก็โชคดีเหมือนกัน”
“จริงหรือ” เขาหันมาสบตาเธอแวบหนึ่งแล้วรีบหันกลับไปมองทางข้างหน้า “บทจะป้อนลูกยอก็เก่งเหมือนกันนี่เรา ไม่จริงมั้ง”
“จริงสิคะ”
พิมริสาตอบแล้วก็นึกถึงใบหน้าขวยเขินของเกดแก้วขึ้นมา เพื่อนเก่าของเธอดูท่าจะมีอนาคตที่ดีงาม เห็นตำแหน่งคุณนายรีสอร์ตอยู่ไม่ไกล แล้วเธอก็จินตนาการต่อ ช่วงที่ผ่านมา เขากับเกดแก้วคงไปไหนมาไหนกันสองต่อสองแบบเขากับเธอวันนี้สินะ เกดแก้วคงนั่งรถคันนี้เข้าเมืองจนเบื่อ
ว่าแต่ว่า...ถ้าเพื่อนรู้เข้าจะคิดอย่างไรหนอ ถึงแม้เธอไม่ได้มาเที่ยวกับภาณุรุจ แต่หากเกดแก้วรู้ก็คงไม่สบายใจ เธอควรรีบทำธุระให้เสร็จเร็วๆ แล้วรีบกลับ ไม่ใช่เอ้อระเหยชมเมืองอยู่อย่างนี้ ยอมรับว่าตั้งแต่ขึ้นรถมากับเขา มีเรื่องให้คิดให้คุยเยอะจนแทบลืมเป้าประสงค์เดิมไปเลย
พิมริสารีบบอกตำแหน่งของบ้านที่จะไปติดต่อเรื่องซื้อขายดอกไม้ มันอยู่เลยตัวเมืองอีกฝั่งออกมาเล็กน้อย ตัวบ้านเองเป็นไร่ดอกไม้อยู่แล้วแต่ที่ทางไม่เยอะเท่าเธอ
จากที่โทรศัพท์คุยกัน ที่นี่เป็นตัวกลางรับซื้อดอกไม้ส่งไปตามตลาดต่างๆ อีกทีหนึ่ง เธอต้องมาตรงนี้ แม้จะได้ราคาไม่ดีนัก แต่มือใหม่อย่างเธอจะให้ไปหาลูกค้ารายย่อยเองทีละรายเห็นจะลำบาก ที่จริงเธอมุ่งตลาดต่าง ประเทศเป็นส่วนใหญ่ แต่นั่นคือส่วนที่เป็นหัวพันธุ์ที่เขาต้องการ ตรงส่วนที่เป็นดอก เธอก็ต้องหาตลาดรายย่อยในประเทศให้มากที่สุด และควรจะเริ่มจากที่นี่
เธอบอกภาณุรุจ “พิมอาจจะต้องคุยกับเขาพักใหญ่ อาจจะถามเขาหลายเรื่องหน่อย พี่ไปทำธุระก่อนก็ได้ เสร็จธุระของพี่แล้วค่อยมารับพิม”
คนพามามีท่าทีตรึกตรอง วันนี้เขามีธุระที่ไหนกันเล่า แต่โกหกแล้วก็ต้องเลยตามเลย อีกอย่างดูท่าทางเธออยากทำงานตามลำพัง เขาคนนอก เธอคงไม่อยากให้เข้ามามีส่วนร่วมหรือรู้เรื่องราวมากไปกว่านี้
“ตกลง พี่ไปสักชั่วโมง แล้วเดี๋ยวค่อยมารับ”
“ได้ค่ะ ถ้าธุระยังไม่เสร็จก็โทร.มาบอกนะ พิมรอที่นี่ได้”
“น่าจะเสร็จ ธุระพี่ไม่มีอะไรมากมาย แค่ไปคุยกับลูกค้าสองสามคำก็จบ โอเค งั้นอีกชั่วโมงเจอกัน”
ส่งเธอที่บ้านหลังนั้นเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็ขับรถกลับเข้าไปในเมืองอีกที เข้าไปหาที่เหมาะๆ กินกาแฟสักชั่วโมง ซึ่งก็คงไม่มีที่ไหนเหมาะเท่า...โรงแรมของนที เขาเองไปมาที่นี่จนคุ้นเคย ทีแรกตอนนั่งรถมาก็อยากจะชวนยายรุ่นน้องเข้ามาหาอะไรรับประทานอยู่เหมือนกัน แต่คิดดูแล้ว เขาจะมาช่วยสร้างความชื่นชอบผูกพันให้เธอมีต่อนทียิ่งขึ้นทำไม เพราะถึงอย่างไรเดี๋ยวนทีก็ต้องพาเธอมาเองอยู่แล้ว
วาดพวงมาลัยเข้าเขตโรงแรม จอดรถเสร็จสรรพเขาก็เดินเข้าไปในร้านกาแฟเล็กๆ ซึ่งตกแต่งอย่างงดงามอยู่ในบริเวณล็อบบี้ ป้ายหน้าร้านนั้นเขียนว่า Together Cafe
เมื่อเห็นภาณุรุจ พนักงานสาวๆ ในร้านก็ยิ้มให้อย่างมีไมตรีและโดยไม่ต้องสั่งอะไรให้มากความ แค่บอกว่า เหมือนเดิม ไม่นานเขาก็ได้กาแฟรส ชาติดีแก้วโตมานั่งละเลียด
ภาณุรุจถือโอกาสนี้โทรศัพท์หานที เพื่อลบรอยอะไรบางอย่างที่อาจ จะค้างคาใจกันทั้งสองฝ่าย
“ตอนนี้นั่งกินกาแฟอยู่ที่ทูเก็ตเตอร์ครับพี่” เขาบอกอีกฝ่ายและราย งานต่ออีกเล็กน้อยตามประสาคนทำธุรกิจ “ร้านพี่โชคดีจริงๆ ได้ทั้งแขกข้างนอกข้างใน ผมเข้ามาเกือบไม่มีที่นั่งแน่ะ”
“ใช่ ก็คนมันเฮงไงไผ่ แล้วนั่น...พิมริสาอยู่ด้วยหรือเปล่า”
ภาณุรุจเกือบสำลักกาแฟ นทีรีบเข้าเป้ารวดเร็วแบบนี้แสดงว่าจิตใจหมกมุ่นกับคนที่เขาพามาด้วยจริงๆ
“เปล่าครับ เขาไปติดต่องานของเขา มันต้องใช้เวลา ผมเลยหลบมาก่อน เดี๋ยวไปรับ”
“ฝากด้วยนะ”
“ฝากอะไรครับ”
“อ้าว ก็ฝากเด็กของผมไง” นทีหัวเราะมาตามสาย “ที่จริงวันนี้คุณน่าจะกระซิบกันหน่อย ผมจะได้อาสาพาเธอมาเอง นี่อดทำคะแนนเลย”
“มันปุบปับครับ โอกาสหน้าพี่ยังมีอีกเยอะแยะ อ้อ เรื่องช้าง...ผมก็เพิ่งรู้จากเธอว่าพี่เปลี่ยนเส้นทางให้แล้ว”
“ใช่ๆ ไม่เอาใจเขาตอนนี้ แล้วจะเอาใจตอนไหนล่ะ”
ภาณุรุจเงียบไปหลายวินาที นทีเลยพูดต่อ “แต่ก็สงสารเขาด้วยนั่นแหละ เราเปลี่ยนนิดเดียว ให้ช้างเดินไปไม่ถึงตรงนั้นแล้วเดินกลับ มันก็ไม่มีอะไรนี่นา”
“มีสิครับ แขกของเราก็อดดูสายรุ้งแถวนั้น ไปไม่ถึงน้ำตกด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ก็ดูอย่างอื่นไป ใบไม้ใบหญ้าก็มีให้ดูเยอะแยะ”
นทีตอบง่ายเสียจนคนฟังต้องกุมขมับ นี่นทีกลายเป็นอะไรไปแล้ว นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงแห่งวงการท่องเที่ยว เหตุไฉนคิดอะไรตื้นแบบนี้ เพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวอย่างนั้นหรือ เขาไม่อยากจะเชื่อว่านทีจะปล่อยให้หัวใจนำทางจนพาธุรกิจเข้ารกเข้าพง
“แต่ตรงนั้นมันคือไฮไลต์นะครับพี่” เขายังแย้งอย่างอ่อนแรง
“เออน่ะ ผมคิดดีแล้วน่ะไผ่ เรื่องเส้นทางนี้ เราแค่เปลี่ยนให้คุณพิมเขาสบายใจชั่วคราว สมมุติว่าต่อไป ผมสนิทกับเธอระดับหนึ่งแล้ว เรื่องนี้มันก็ง่ายมากๆ ที่จะกลับมาเหมือนเดิม อย่าว่าแต่เส้นทางช้างเลย ต่อให้ไร่ปทุมมาเธอก็อาจทุบทิ้ง แล้วเปลี่ยนใจเป็นยกที่ตรงนั้นให้เราทำรีสอร์ตเลยนะ คุณไม่ดีใจหรือ ถ้าในที่สุดเราได้ทำรีสอร์ต”
ฟังคำของนทีแล้ว ภาณุรุจรู้สึกปั่นปั่วนจนแทบอาเจียน นทีมีแผนทำให้พิมริสาหลงรักแน่นอนแล้ว ถึงจะอยากได้ที่สร้างรีสอร์ตใจแทบขาด แต่เขาก็ไม่ชอบแผนนี้เอาเสียเลย แล้วนี่จะทำอย่างไรดี ในเมื่อนทีก็ยังไม่ได้ทำอะไรผิด เพื่อนร่วมหุ้นของเขาแค่อยากเอาชนะใจสาวเท่านั้น ยังไม่ได้ฉุดลากเธอเข้าไปย่ำยีที่ไหนสักหน่อย
เขาจำได้ทุกถ้อยคำของนที
“ผมชอบพิมจริงๆ สิ่งที่จะได้ต่อจากนั้น คือผลพลอยได้”
ชายหนุ่มรู้สึกเครียดจนพูดต่อไปไม่ไหว เขาเออๆ ออๆ ไปสองสามคำแล้วขอวางหู จากนั้นก็นั่งจมจ่อมอยู่กับโต๊ะ กาแฟที่จิบไปสองสามคำถูกทิ้งค้างค่อนถ้วย เพราะไม่มีอารมณ์อยากกินต่อ
ยิ่งคิดยิ่งหนักใจ แผนของนทีมีเค้าว่าจะสำเร็จเสียด้วย ซึ่งที่จริงไม่ต้องเดินแผนอะไรด้วยซ้ำ หนุ่มหล่อรวยแบบนที แค่เดินไปให้ผู้หญิงเห็นหน้า ขี้คร้านพวกเธอจะเดินตามเป็นพรวน พิมริสาก็ไม่น่าจะเป็นข้อยกเว้น วันนี้เขาก็เห็นแล้วว่าเธอสนใจซักถามถึงนทีอยู่หลายคำ
ยังไม่ทันครบชั่วโมง ภาณุรุจก็ขึ้นรถกลับไปรับพิมริสา ซึ่งเธอก็รออยู่แล้วด้วยใบหน้าที่สดใส
“เป็นไง เรียบร้อยดีสิท่า” เขาถามเมื่อเธอขึ้นมาบนรถแล้ว
“ดูหน้าตาพิมเหมือนปลาได้น้ำ ดีใจด้วยนะ”
“ดีใจแล้วทำไมต้องแขวะกันด้วย ปลาได้น้ำนี่ ปลากระดี่หรือเปล่า”
“ปลาทุกชนิดนั่นแหละ”
เขาตอบด้วยอารมณ์บ่จอย อีกฝ่ายพอจะจับสังเกตได้ แต่เพราะวัน นี้การเจรจาของเธอได้ผลดีเสียจนทำให้ไม่อยากใส่ใจเรื่องจุกจิก พิมริสาจึงพูดต่อ
“เขาพร้อมรับซื้อทั้งหมด ไปรับถึงที่ด้วยนะคะ แล้วก็ให้ราคาดีกว่าที่คิด พิมก็เลยสบายใจขึ้นเยอะ ถือว่าวันนี้มาไม่เสียเที่ยว”
“อืม...ซื้อหมดไร่เลยนี่นะ ไม่เยอะไปหน่อยหรือ”
“ก็บอกแล้วไงคะว่าเขาเป็นเอเย่นต์ เขามีส่งหลายเจ้า แค่ของพิมยังไม่พอกับความต้องการเขาด้วยซ้ำ”
“ก็ดี พี่ยินดีด้วย ว่าแต่พิมหิวไหม ใกล้เที่ยงแล้ว ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า จะได้ไปต่ออีกสองที่”
เธอพยักหน้า เป็นอันว่าตามนั้น
************
วันนี้มาต่อให้อิ่มเลยค่ะ แฮ่ inbox สั่งจองที่เพจ ‘ปลายปากกาสำนักพิมพ์’ หรือ plaipakkabooks
แพลนส่งเข้าโรงพิมพ์ต้นเดือนมกราคม โอนก่อนได้ก่อนน้าาาา
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
“ไม่ต้องนั่งเกร็งแบบนั้นหรอก ทำตัวสบายๆ”
“พิมไม่ได้เกร็ง พี่นั่นแหละเกร็ง ขับรถตัวแข็งทื่อ แล้วก็ขับช้ายังกะกลัวถนนเจ็บ”
ชายหนุ่มหัวเราะลั่น จริงอย่างเธอว่า เขาจับพวงมาลัยเสียแน่นยังกับหัดขับรถ แล้วเขาก็ผ่อนคลายลง งุนงงกับตัวเอง นี่ตื่นเต้นอะไรนักนะยังกับจะพาสาวที่เพิ่งแอบรักออกเดต
พิมริสาเองก็แอบหันไปอมยิ้มกับวิวข้างทาง
อีตาบ้า เวลาหัวเราะออกหล่อปิ๊ง ดูสดใสเหมือนเด็กๆ แต่ทำไมชอบวางท่าเก๊กนัก ตั้งแต่พบเขาที่นี่ นี่เป็นครั้งแรกกระมังที่ได้เห็นเขาหัวเราะ
ยังไม่ทันพ้นเขตหมู่บ้าน รถคันหนึ่งก็แล่นสวนมา ต่างฝ่ายต่างหยุดเลื่อนกระจกทักทาย นทีมีสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นคนที่นั่งคู่กับหุ้นส่วนรุ่นน้อง
“อ้าว นั่นไปไหนกัน” เขาถามภาณุรุจ ก็มันน่าสงสัยน้อยอยู่เมื่อไรที่สองคนนั่งรถไปด้วยกันแบบนี้ เท่าที่เห็น พี่น้องร่วมสถาบันคู่นี้ต่างคนต่างศรศิลป์ไม่ค่อยกินกันสักเท่าไร
“ไปในเมืองครับ ผมจะไปธุระ พิมก็จะไปธุระพอดี ก็เลยไปด้วยกันดีกว่าจะได้ประหยัดน้ำมันไปในตัว”
ประโยคหลังไม่เข้าท่านัก แต่เขาก็พูดแก้เก้อไปอย่างนั้นเอง นทีจะคิดอย่างไรนะ เพราะคนที่ไปกับเขาเป็นคนที่นทีเพิ่งบอกเมื่อไม่กี่วันนี้เองว่า
‘ผมชอบ’
พิมริสาตอบขึ้นอีกคน “น้าชดเขาไปช่วยงานให้พี่ไผ่น่ะค่ะ พิมไม่มีคนขับรถ ก็เลยติดรถพี่ไผ่ไปแทน”
ภาณุรุจฟังเธอพูดกับอีกฝ่ายเสียงแจ๋ว เพิ่งได้ยินเธอเรียกเขาว่า ‘พี่ไผ่’ แบบเต็มๆ ฟังแล้วรู้สึกชอบชะมัด ถ้าเพราะคนฟังไม่ใช่นที และน้ำเสียงคนพูดไม่บอกความสนิทสนมอย่างนี้ เขาคงจะชื่นใจมากกว่านี้
นทีพยักหน้าถี่ๆ แล้วบอก
“โอเคๆ ไปกันเถอะ อ้อ คุณพิมครับ เรื่องนั้นสบายใจขึ้นยังครับ”
“ค่ะ สบายใจขึ้นมาก ขอบคุณคุณนทีอีกครั้งนะคะ”
นทียิ้ม ก่อนจะเลื่อนกระจกขึ้นแล้วขับออกไป ภาณุรุจเองก็ออกรถแต่ยังคาใจกับคำพูดของทั้งคู่ เขาอดถามไม่ได้
“สบายใจเรื่องอะไร บอกได้ไหม”
“ก็...เรื่องช้างไงคะ วันก่อนคุณนทีไปหาพิมที่บ้านบอกว่าจะเปลี่ยนเส้นทางช้างให้ แล้วเขาก็ทำให้จริงๆ ช่วงสองสามวันมานี้ พิมไม่เห็นช้างเดินมาแถวบ้านพิมอีก”
“อ้อ...”
ภาณุรุจพูดแค่นั้น แล้วก็ขับรถเงียบๆ ไปตลอดทางจนพิมริสารู้สึกไม่สบายใจ นี่เกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่อีตารุ่นพี่ยังหัวเราะลั่นโลกอยู่เลย แต่แค่พริบตา เขากลับมาขรึมเหมือนกำลังไปงานศพญาติ
ชายหนุ่มเองก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นดอกไม้ที่กำลังบานอยู่ในทุ่งแล้วจู่ๆ ก็ถูกมือดีที่ไหนไม่รู้เอาไฟแช็กมาจ่อที่กลีบดอกจนไฟลุกพรึ่บ ความ สุขหายไปเกินครึ่ง ความกังวลเข้ามาสิงในใจแทน
นทีไปพบกับพิมริสา แล้วบอกเปลี่ยนเส้นทางช้างนั้นเพื่อเธอ สิ่งนี้คืออะไร คือนทีเริ่มเดินแผนเกมรักเกมร้ายแล้วใช่ไหม เส้นทางช้างจุดนั้นเป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวชอบเพราะเห็นสายรุ้ง และเป็นจุดใกล้น้ำตก ทั้งนทีและเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนเส้นทางเด็ดขาด เคยคุยกันไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แล้วทำไม...?
คำตอบก็คงเป็นอย่างที่นทีพูด เขาชอบพิมริสา เขาก็ต้องเอาใจเธอทุกอย่างเพื่อชนะใจเธอให้ได้ เรื่องเปลี่ยนเส้นทางช้างนี้ กระทั่งกับเขา นทีก็ยังไม่บอกสักคำ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่หุ้นใหญ่ของปางช้าง แต่นักท่องเที่ยวเหล่านั้นก็เป็นนักท่องเที่ยวในรีสอร์ตของเขา เขาควรจะได้รับรู้การตัดสินใจนี้ร่วมกันมิใช่หรือ
รถแล่นผ่านป่าเขาลำเนาไพรและเส้นทางอันตรายหลายสิบโค้งเข้าเขตเมือง ความอึมครึมก็ยังไม่หายไปจากใจภาณุรุจ พิมริสาเองก็ห่อเหี่ยวไปด้วย ที่จริงเธอไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมานั่งเจ๊าะแจ๊ะหรือทำตัวหน้าชื่นตาบานกับเขา แต่ทำไมนะ เมื่อภาณุรุจเงียบไปแบบนี้ เธอกลับรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
ทำไมเธอต้องแคร์ ทั้งๆ ที่เธอก็มาทำงาน เขาเงียบไปก็น่าจะดีแล้ว เธอจะได้มีสมาธิจดจ่อกับงานที่กำลังจะไปติดต่อ...ทำไมเธอต้องอยากให้เขาดูแจ่มใสร่าเริง
*****************
ภาณุรุจพารถเข้าสู่วงเวียนหอนาฬิกาที่เป็นใจกลางเมือง จุดนี้มีตลาดขนาดใหญ่ รถราและผู้คนพลุกพล่าน ตึกสองชั้นที่รายรอบวงเวียนเป็นอา คารโบราณรูปทรงสวยงาม และมีตัวตึกที่ทั้งสูงและรูปทรงทันสมัยหลังหนึ่งแทรกตัวอยู่ในหมู่อาคารเก่าเหล่านั้น
เขาเห็นเธอมองอยู่ก็เลยบอกว่า
“นั่นเป็นโรงแรมของพี่นที เป็นไง ใหญ่โตโอฬารไหม”
“ใหญ่มาก สวยด้วย แต่เสียดายที่มาตั้งอยู่ตรงนี้ทำให้ดูขัดๆ ตากับตึกเก่า” พิมริสาวิจารณ์ตรงๆ นี่ละ นิสัยเธอ
“วงเวียนตรงนี้ ตอนกลางคืนจะมีแสงไฟที่หอนาฬิกากับอาคารเก่า มองลงมาจากบนตึกจะเห็นเป็นภาพที่สวยงาม นักท่องเที่ยวชอบมาก ตลาด โต้รุ่งก็อยู่ตรงนี้ด้วย เอ๊ะ หรือนี่พี่เอามะพร้าวมาขายสวนซะแล้ว ลืมไปว่าพิมก็คนจังหวัดนี้ คงจะรู้จักที่นี่มากกว่าพี่เสียอีกมั้ง”
“ไม่หรอกค่ะ นานๆ ทีพิมถึงจะเข้าเมือง มันก็ไกลอยู่นะ เกือบร้อยกิโล นั่งมานานมากเลย”
เขาเหลือบตามองเธอแล้วถาม
“รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ หรือ หรือเป็นเพราะนั่งมากับคนที่เกลียดขี้หน้า ก็เลยรู้สึกว่าเวลามันเดินช้า ทั้งๆ ที่พี่เหยียบตั้งร้อยยี่ ร้อยสาม”
“พิมไม่ได้เกลียดขี้หน้าพี่ ถ้าพิมเกลียดใคร พิมจะไม่มีวันขึ้นรถมาด้วย แต่...” พิมริสาเงียบไปเหมือนคิดหาคำ
“แต่อะไรอีก นี่กำลังดีใจว่าพิมไม่ได้เกลียด พิมก็มามีคำว่าแต่อีก”
“พิมไม่ได้เกลียด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะ...” เธอนึกคำต่อไปไม่ออกจริงๆ
“จะอะไร จะรักหรือ”
เขากลับต่อคำนั้นให้เธออย่างง่ายๆ ตามองถนนด้านหน้า มือแตะพวงมาลัยหลวมๆ โชเฟอร์อาสาปล่อยตัวตามสบายขึ้น แต่ก็หวนกลับมาขับช้าแบบกลัวถนนจะเจ็บอีกครั้ง
พิมริสานั่งบีบมือตัวเองแน่นบนตักอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกร้อนๆ ที่แก้ม บอกตัวเองว่าทำไมต้องคิดมากกับคำนี้ คนพูดเขาพูดโดยไม่สื่ออะไรพิเศษทั้งสิ้น คำว่า ‘รัก’ ใครๆ ก็ใช้กันทั่วไปในหลายวาระ ในต่างโอกาส ยิ่งคนที่คบค้ากันเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง คำนี้เขาใช้กันเกร่อ เธอไม่ควรสะดุ้ง ก็ดูท่าทางเขาสิ ธรรมดามากๆ
“พิมหมายถึงว่า ไม่ได้เกลียด พิมแค่...เฉยๆ”
พูดแล้วแอบพรูลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อครู่ที่นั่งกันมาเงียบๆ รู้สึกอึดอัดทีหนึ่งแล้ว แต่พอมาสนทนากันกลับอึดอัดยิ่งกว่า...ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ความอึดอัด แต่เธอรู้สึกขัดเขิน ทำตัวไม่ถูกต่างหาก
“ก็ยังดี เฉยๆ ก็ดีกว่าเกลียดเข้าไส้” แล้วเขาก็ต่ออีกนิด “ไม่ต้องรักพี่หรอก ขอแค่ อย่าเกลียดกันเป็นพอ เพราะเรายังต้องเจอกันอีกบ่อยๆ จริงไหม”
“ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรต้องขุ่นเคืองแล้วละ” เธอว่า “ถ้าพี่เลิกคิดจะซื้อที่ดินของพิม มันก็จบ ส่วนเรื่องช้างคุณนทีเขาจัดการให้แล้ว ต่อไปนี้พิมก็ไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้ว” เธอหมายความตามนั้นจริงๆ
ภาณุรุจพยักหน้าหงึกๆ แล้วพูด “ดีๆๆ” ทั้งๆ ที่ในใจโต้ตอบไปว่า
‘ไม่ติดค้างอะไรกันแม่คุณ เมื่อครู่นี้ตอนฉันไปขอตัวน้าของเธอให้ช่วยงาน เธอยังออกงิ้วใส่ฉันอยู่เลย’
พิมริสารู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มดีขึ้น ก็เลยชวนคุยต่อ
“สมัยก่อนที่พิมมาตอนเด็กๆ ตัวเมืองมีตึกสูงๆ อยู่ไม่กี่ตึก เพิ่งวันนี้แหละที่เห็นว่าจังหวัดตัวเองเจริญขนาดนี้” พูดแล้วพิมริสาก็มองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ คนที่อาสาเป็นโชเฟอร์ให้มองอากัปกิริยาคนนั่งแล้วก็แอบยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู จากนั้นเขาก็ขับพาเธอวนไปเรื่อยๆ เหมือนพาเด็กบ้านนอกชมเมือง
ภาณุรุจรู้สึกถึงความสดใสเบิกบานที่ตัวเองไม่ได้สัมผัสอารมณ์แบบนี้มานานแล้ว เขาลืมความหมองใจเรื่องนทีเปลี่ยนเส้นทางช้างโดยไม่บอกเขาแต่ดอดไปบอกพิมริสาถึงบ้านไปชั่วขณะ...จนกระทั่งเธอพูดขึ้นว่า
“เห็นคุณนทีไปๆ มาๆ อยู่ที่ธารรุ้ง พิมนึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นถึงเจ้า ของโรงแรมใหญ่โตขนาดนั้น”
อารมณ์ใสๆ เริ่มขุ่นขึ้นมาอีกครั้ง จนชายหนุ่มนึกรำคาญใจในความผันแปรของตัวเอง ก็มันน่าฉุนไหม คำพูดเธอเหมือนจะติดใจความร่ำรวยของนทีเสียนักหนา ขนาดว่ารถผ่านโรงแรมหลังโก้ไปพักใหญ่แล้วก็ยังเอามาพูดอีก แต่เขาก็ตอบเธอไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะปกติที่สุด
“ใช่ เป็นกิจการของครอบครัว พี่นทีเขาเป็นตระกูลเศรษฐีของจัง หวัด ไม่ใช่แค่โรงแรม เขายังมีธุรกิจอื่นอีกเยอะแยะ มีโรงงานอยู่หลายโรง คิดดู เขาเป็นหนุ่มโสดด้วย จะเนื้อหอมแค่ไหน ผู้หญิงคนไหนได้แต่งงานกับพี่นที ยิ่งกว่าถูกลอตเตอรีรางวัลที่หนึ่งสิบงวดติดกันเสียอีกนะ”
เธอฟังเขาบรรยายสรรพคุณนทีด้วยสุ้มเสียงที่...ฟังไม่ออกว่าริษยาหรือเปล่า แต่คงไม่ใช่ ผู้ชายด้วยกันเขาไม่มีเรื่องเหล่านี้ในสมองแน่ๆ เท่าที่รู้ ภาณุรุจเองก็ฐานะทัดเทียมนทีอยู่ อันที่จริงเธอยังนึกไม่ถึงด้วยซ้ำว่าต้องมาคบค้าสมาคมกับพวกนายทุนคนมีสตางค์ ถึงแม้จะเริ่มต้นไม่สวยนัก แต่ก็ดูจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ มาถึงตอนนี้ พิมริสาคิดว่า สองหนุ่มคงยอมแพ้เรื่องจะซื้อที่ดินของเธอร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว
“ใช่แต่คุณนทีนี่คะ” เธอตอบตามที่ใจคิด “พี่เองก็ไม่ได้ด้อยกว่าเขาตรงไหนเลย ใครได้...ได้แต่งกับพี่ก็โชคดีเหมือนกัน”
“จริงหรือ” เขาหันมาสบตาเธอแวบหนึ่งแล้วรีบหันกลับไปมองทางข้างหน้า “บทจะป้อนลูกยอก็เก่งเหมือนกันนี่เรา ไม่จริงมั้ง”
“จริงสิคะ”
พิมริสาตอบแล้วก็นึกถึงใบหน้าขวยเขินของเกดแก้วขึ้นมา เพื่อนเก่าของเธอดูท่าจะมีอนาคตที่ดีงาม เห็นตำแหน่งคุณนายรีสอร์ตอยู่ไม่ไกล แล้วเธอก็จินตนาการต่อ ช่วงที่ผ่านมา เขากับเกดแก้วคงไปไหนมาไหนกันสองต่อสองแบบเขากับเธอวันนี้สินะ เกดแก้วคงนั่งรถคันนี้เข้าเมืองจนเบื่อ
ว่าแต่ว่า...ถ้าเพื่อนรู้เข้าจะคิดอย่างไรหนอ ถึงแม้เธอไม่ได้มาเที่ยวกับภาณุรุจ แต่หากเกดแก้วรู้ก็คงไม่สบายใจ เธอควรรีบทำธุระให้เสร็จเร็วๆ แล้วรีบกลับ ไม่ใช่เอ้อระเหยชมเมืองอยู่อย่างนี้ ยอมรับว่าตั้งแต่ขึ้นรถมากับเขา มีเรื่องให้คิดให้คุยเยอะจนแทบลืมเป้าประสงค์เดิมไปเลย
พิมริสารีบบอกตำแหน่งของบ้านที่จะไปติดต่อเรื่องซื้อขายดอกไม้ มันอยู่เลยตัวเมืองอีกฝั่งออกมาเล็กน้อย ตัวบ้านเองเป็นไร่ดอกไม้อยู่แล้วแต่ที่ทางไม่เยอะเท่าเธอ
จากที่โทรศัพท์คุยกัน ที่นี่เป็นตัวกลางรับซื้อดอกไม้ส่งไปตามตลาดต่างๆ อีกทีหนึ่ง เธอต้องมาตรงนี้ แม้จะได้ราคาไม่ดีนัก แต่มือใหม่อย่างเธอจะให้ไปหาลูกค้ารายย่อยเองทีละรายเห็นจะลำบาก ที่จริงเธอมุ่งตลาดต่าง ประเทศเป็นส่วนใหญ่ แต่นั่นคือส่วนที่เป็นหัวพันธุ์ที่เขาต้องการ ตรงส่วนที่เป็นดอก เธอก็ต้องหาตลาดรายย่อยในประเทศให้มากที่สุด และควรจะเริ่มจากที่นี่
เธอบอกภาณุรุจ “พิมอาจจะต้องคุยกับเขาพักใหญ่ อาจจะถามเขาหลายเรื่องหน่อย พี่ไปทำธุระก่อนก็ได้ เสร็จธุระของพี่แล้วค่อยมารับพิม”
คนพามามีท่าทีตรึกตรอง วันนี้เขามีธุระที่ไหนกันเล่า แต่โกหกแล้วก็ต้องเลยตามเลย อีกอย่างดูท่าทางเธออยากทำงานตามลำพัง เขาคนนอก เธอคงไม่อยากให้เข้ามามีส่วนร่วมหรือรู้เรื่องราวมากไปกว่านี้
“ตกลง พี่ไปสักชั่วโมง แล้วเดี๋ยวค่อยมารับ”
“ได้ค่ะ ถ้าธุระยังไม่เสร็จก็โทร.มาบอกนะ พิมรอที่นี่ได้”
“น่าจะเสร็จ ธุระพี่ไม่มีอะไรมากมาย แค่ไปคุยกับลูกค้าสองสามคำก็จบ โอเค งั้นอีกชั่วโมงเจอกัน”
ส่งเธอที่บ้านหลังนั้นเสร็จแล้ว ชายหนุ่มก็ขับรถกลับเข้าไปในเมืองอีกที เข้าไปหาที่เหมาะๆ กินกาแฟสักชั่วโมง ซึ่งก็คงไม่มีที่ไหนเหมาะเท่า...โรงแรมของนที เขาเองไปมาที่นี่จนคุ้นเคย ทีแรกตอนนั่งรถมาก็อยากจะชวนยายรุ่นน้องเข้ามาหาอะไรรับประทานอยู่เหมือนกัน แต่คิดดูแล้ว เขาจะมาช่วยสร้างความชื่นชอบผูกพันให้เธอมีต่อนทียิ่งขึ้นทำไม เพราะถึงอย่างไรเดี๋ยวนทีก็ต้องพาเธอมาเองอยู่แล้ว
วาดพวงมาลัยเข้าเขตโรงแรม จอดรถเสร็จสรรพเขาก็เดินเข้าไปในร้านกาแฟเล็กๆ ซึ่งตกแต่งอย่างงดงามอยู่ในบริเวณล็อบบี้ ป้ายหน้าร้านนั้นเขียนว่า Together Cafe
เมื่อเห็นภาณุรุจ พนักงานสาวๆ ในร้านก็ยิ้มให้อย่างมีไมตรีและโดยไม่ต้องสั่งอะไรให้มากความ แค่บอกว่า เหมือนเดิม ไม่นานเขาก็ได้กาแฟรส ชาติดีแก้วโตมานั่งละเลียด
ภาณุรุจถือโอกาสนี้โทรศัพท์หานที เพื่อลบรอยอะไรบางอย่างที่อาจ จะค้างคาใจกันทั้งสองฝ่าย
“ตอนนี้นั่งกินกาแฟอยู่ที่ทูเก็ตเตอร์ครับพี่” เขาบอกอีกฝ่ายและราย งานต่ออีกเล็กน้อยตามประสาคนทำธุรกิจ “ร้านพี่โชคดีจริงๆ ได้ทั้งแขกข้างนอกข้างใน ผมเข้ามาเกือบไม่มีที่นั่งแน่ะ”
“ใช่ ก็คนมันเฮงไงไผ่ แล้วนั่น...พิมริสาอยู่ด้วยหรือเปล่า”
ภาณุรุจเกือบสำลักกาแฟ นทีรีบเข้าเป้ารวดเร็วแบบนี้แสดงว่าจิตใจหมกมุ่นกับคนที่เขาพามาด้วยจริงๆ
“เปล่าครับ เขาไปติดต่องานของเขา มันต้องใช้เวลา ผมเลยหลบมาก่อน เดี๋ยวไปรับ”
“ฝากด้วยนะ”
“ฝากอะไรครับ”
“อ้าว ก็ฝากเด็กของผมไง” นทีหัวเราะมาตามสาย “ที่จริงวันนี้คุณน่าจะกระซิบกันหน่อย ผมจะได้อาสาพาเธอมาเอง นี่อดทำคะแนนเลย”
“มันปุบปับครับ โอกาสหน้าพี่ยังมีอีกเยอะแยะ อ้อ เรื่องช้าง...ผมก็เพิ่งรู้จากเธอว่าพี่เปลี่ยนเส้นทางให้แล้ว”
“ใช่ๆ ไม่เอาใจเขาตอนนี้ แล้วจะเอาใจตอนไหนล่ะ”
ภาณุรุจเงียบไปหลายวินาที นทีเลยพูดต่อ “แต่ก็สงสารเขาด้วยนั่นแหละ เราเปลี่ยนนิดเดียว ให้ช้างเดินไปไม่ถึงตรงนั้นแล้วเดินกลับ มันก็ไม่มีอะไรนี่นา”
“มีสิครับ แขกของเราก็อดดูสายรุ้งแถวนั้น ไปไม่ถึงน้ำตกด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ก็ดูอย่างอื่นไป ใบไม้ใบหญ้าก็มีให้ดูเยอะแยะ”
นทีตอบง่ายเสียจนคนฟังต้องกุมขมับ นี่นทีกลายเป็นอะไรไปแล้ว นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงแห่งวงการท่องเที่ยว เหตุไฉนคิดอะไรตื้นแบบนี้ เพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวอย่างนั้นหรือ เขาไม่อยากจะเชื่อว่านทีจะปล่อยให้หัวใจนำทางจนพาธุรกิจเข้ารกเข้าพง
“แต่ตรงนั้นมันคือไฮไลต์นะครับพี่” เขายังแย้งอย่างอ่อนแรง
“เออน่ะ ผมคิดดีแล้วน่ะไผ่ เรื่องเส้นทางนี้ เราแค่เปลี่ยนให้คุณพิมเขาสบายใจชั่วคราว สมมุติว่าต่อไป ผมสนิทกับเธอระดับหนึ่งแล้ว เรื่องนี้มันก็ง่ายมากๆ ที่จะกลับมาเหมือนเดิม อย่าว่าแต่เส้นทางช้างเลย ต่อให้ไร่ปทุมมาเธอก็อาจทุบทิ้ง แล้วเปลี่ยนใจเป็นยกที่ตรงนั้นให้เราทำรีสอร์ตเลยนะ คุณไม่ดีใจหรือ ถ้าในที่สุดเราได้ทำรีสอร์ต”
ฟังคำของนทีแล้ว ภาณุรุจรู้สึกปั่นปั่วนจนแทบอาเจียน นทีมีแผนทำให้พิมริสาหลงรักแน่นอนแล้ว ถึงจะอยากได้ที่สร้างรีสอร์ตใจแทบขาด แต่เขาก็ไม่ชอบแผนนี้เอาเสียเลย แล้วนี่จะทำอย่างไรดี ในเมื่อนทีก็ยังไม่ได้ทำอะไรผิด เพื่อนร่วมหุ้นของเขาแค่อยากเอาชนะใจสาวเท่านั้น ยังไม่ได้ฉุดลากเธอเข้าไปย่ำยีที่ไหนสักหน่อย
เขาจำได้ทุกถ้อยคำของนที
“ผมชอบพิมจริงๆ สิ่งที่จะได้ต่อจากนั้น คือผลพลอยได้”
ชายหนุ่มรู้สึกเครียดจนพูดต่อไปไม่ไหว เขาเออๆ ออๆ ไปสองสามคำแล้วขอวางหู จากนั้นก็นั่งจมจ่อมอยู่กับโต๊ะ กาแฟที่จิบไปสองสามคำถูกทิ้งค้างค่อนถ้วย เพราะไม่มีอารมณ์อยากกินต่อ
ยิ่งคิดยิ่งหนักใจ แผนของนทีมีเค้าว่าจะสำเร็จเสียด้วย ซึ่งที่จริงไม่ต้องเดินแผนอะไรด้วยซ้ำ หนุ่มหล่อรวยแบบนที แค่เดินไปให้ผู้หญิงเห็นหน้า ขี้คร้านพวกเธอจะเดินตามเป็นพรวน พิมริสาก็ไม่น่าจะเป็นข้อยกเว้น วันนี้เขาก็เห็นแล้วว่าเธอสนใจซักถามถึงนทีอยู่หลายคำ
ยังไม่ทันครบชั่วโมง ภาณุรุจก็ขึ้นรถกลับไปรับพิมริสา ซึ่งเธอก็รออยู่แล้วด้วยใบหน้าที่สดใส
“เป็นไง เรียบร้อยดีสิท่า” เขาถามเมื่อเธอขึ้นมาบนรถแล้ว
“ดูหน้าตาพิมเหมือนปลาได้น้ำ ดีใจด้วยนะ”
“ดีใจแล้วทำไมต้องแขวะกันด้วย ปลาได้น้ำนี่ ปลากระดี่หรือเปล่า”
“ปลาทุกชนิดนั่นแหละ”
เขาตอบด้วยอารมณ์บ่จอย อีกฝ่ายพอจะจับสังเกตได้ แต่เพราะวัน นี้การเจรจาของเธอได้ผลดีเสียจนทำให้ไม่อยากใส่ใจเรื่องจุกจิก พิมริสาจึงพูดต่อ
“เขาพร้อมรับซื้อทั้งหมด ไปรับถึงที่ด้วยนะคะ แล้วก็ให้ราคาดีกว่าที่คิด พิมก็เลยสบายใจขึ้นเยอะ ถือว่าวันนี้มาไม่เสียเที่ยว”
“อืม...ซื้อหมดไร่เลยนี่นะ ไม่เยอะไปหน่อยหรือ”
“ก็บอกแล้วไงคะว่าเขาเป็นเอเย่นต์ เขามีส่งหลายเจ้า แค่ของพิมยังไม่พอกับความต้องการเขาด้วยซ้ำ”
“ก็ดี พี่ยินดีด้วย ว่าแต่พิมหิวไหม ใกล้เที่ยงแล้ว ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า จะได้ไปต่ออีกสองที่”
เธอพยักหน้า เป็นอันว่าตามนั้น
************
วันนี้มาต่อให้อิ่มเลยค่ะ แฮ่ inbox สั่งจองที่เพจ ‘ปลายปากกาสำนักพิมพ์’ หรือ plaipakkabooks
แพลนส่งเข้าโรงพิมพ์ต้นเดือนมกราคม โอนก่อนได้ก่อนน้าาาา
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ธ.ค. 2562, 09:18:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ธ.ค. 2562, 09:18:38 น.
จำนวนการเข้าชม : 554
<< บทที่ 7 -100% | บทที่ 9 -70% >> |