รักอุ้มบุญ
...ความรักของเธอมันแท้ง! กี่ครั้งก็แท้ง! คราวนี้จึงต้องมีเขามาอุ้มบุญ รักครั้งนี้จะได้เป็นตัวเป็นตน...รักอุ้มบุญ
Tags: รักอุ้มบุญ,ปลากัด
ตอน: บทที่ 6
สวัสดีเช้าวันจันทร์ค่ะ
คุณ Pat - คราวนี้ได้ทราบแล้วนะคะว่าข้อสันนิษฐานถูกไหม ^^
คุณแพม - เพราะคิดว่าผู้ชายเห็นแก่ตัวนี่ล่ะค่ะ คนเขียนถึงยังโสด อ้าว O.O เกี่ยวไหม 5555+
คุณแว่นใส - มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายค่ะ แต่ไม่เครียดจนเกินไป เพราะมีหัวใจรักที่พร้อมสู้ของใครบางคน
คุณ anOO - ตอนนี้ก็ได้ทราบข้อสงสัยแล้วนะคะ ^^
คุณ ann - ตอนนี้ชัดเลยค่ะ ไม่ทะแม่งๆ ละ
คุณบัวขาว - ถ้าเห็นแก่ตัวบ้าง ไม่มากเกินพอไหวไหมคะ 555+
ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามและให้กำลังใจกันนะคะ ^^
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
บทที่6
ภัทรมนตกใจจนทัพพีในมือแทบหลุดร่วงลงพื้นเมื่อโดนสวมกอดและหอมจากทางด้านหลัง พอเอี้ยวตัวไปมองแววตาเธอมีทั้งความดีใจและผิดหวังปนกัน
“อ้ะ ผมเห็นนะว่าแววตาพี่มนผิดหวังที่เป็นผมไม่ใช่พี่ภัตใช่ไหมล่ะครับ”
คนตาไวปากไวเอ่ยแซว ภัทรมนไม่เถียงเพราะมันคือความจริง หญิงสาวเพียงยิ้มแหย แล้วหันไปคนต้มยำทะเลต่อเงียบๆ ชั่วอึดใจจึงเอ่ย
“นิดหน่อยน่า พี่ก็แค่อยากให้คุณภัตกลับมาทานข้าวบ้าน แต่ก็เข้าใจเขาละ ทิ้งงานไปตั้งสองอาทิตย์คงต้องเคลียร์เยอะละมั้ง” น้ำเสียงอ่อนอ่อยไร้แววมั่นใจในคำพูดตัวเอง เธอกำลังพยายามอย่างมากที่จะเข้าใจและไม่ระแวงเขา
ภัทริศกระชับวงแขนแน่น แนบหน้าลงกับศีรษะพี่สาว แสนรักแสนห่วง
“พี่มนไม่ต้องกลัวครับ มีผมอยู่ทั้งคน จะไม่มีวันเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับพี่มนแน่ ผมสัญญา”
ความรักความผูกพันของสองพี่น้องแนบแน่นมาตั้งแต่วัยเยาว์ ภัทรมนเม้มริมฝีปากแน่นพูดอะไรไม่ออก มือบางยกขึ้นจับแขนน้องชาย เงียบกันไปครู่ ฝ่ายพี่สาวจึงชวนเปลี่ยนเรื่องให้บรรยากาศดีขึ้น
“ไม่เอาน่าริศ อย่ามาทำซึ้งหน่อยเลย จะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับพี่ล่ะ วันนี้พี่มีเรื่องดีๆ มากด้วย จะเล่าให้ริศฟัง แต่ตอนนี้ ริศไปรอพี่ที่โต๊ะอาหารก่อนแล้วกัน พี่ทำต้มยำเสร็จก็เสร็จทุกอย่างละ เดี๋ยวให้ส้มยกออกไปนะ”
“รีบหน่อยนะครับ พยาธิในท้องผมมันคิดถึงอาหารฝีมือพี่มนจะแย่แล้ว” พูดจบก็หอมฟอดใหญ่แล้วผละออกจากครัวไป
ภัทรมนมองตามน้องชายด้วยรอยยิ้ม ถ้านับน้องชายเป็นเพื่อน นี่คงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอเลยทีเดียว
คนเป็นพี่นั่งมองน้องชายเอร็ดอร่อยกับอาหารฝีมือตัวเองด้วยรอยยิ้มปลาบปลื้ม จะเพราะหิวหรือเพราะรสชาติดีอันนั้นหญิงสาวไม่แน่ใจ แต่เห็นท่าทางสดใสของน้องชายแล้วเธอก็เป็นสุข
“เอ้า มัวนั่งยิ้มมองผมอยู่ได้ ทำไมไม่ทานละครับพี่มน” คนที่เพิ่งมีโอกาสเงยหน้าจากจานข้าว ทำตาโตร้องทักพี่สาว
“พี่ไม่ค่อยหิวหรอก ริศทานให้เต็มที่เลย พี่ทำกับข้าวเยอะวันนี้ นึกว่าน้องแยมจะมาด้วย” พอได้ยินชื่อนั้นภัทริศก็รามือในการตักอาหารเข้าปาก ไม่ใช่ว่าหมดอร่อย เพียงแต่อะไรบางอย่างทำให้กลืนข้าวยากมากขึ้นเท่านั้นเอง
“วันนี้เขามีเพื่อนไปกินข้าว ผมเลยหมดประโยชน์ต้องมาให้พี่มนเลี้ยงนี่ไงครับ”
“ริศพูดเหมือนน้อยใจน้องแยม” ภัทรมนหยั่งเชิงมากกว่าจะแน่ใจตามคำพูดตัวเอง ท่าทางน้องชายเปลี่ยนไป หากดูออกและพอรู้ว่าคงไม่ได้เกิดจากความเสียใจที่ยศยาทิ้งไปหาเพื่อนแน่ๆ
“เปล่าเลย แค่เบื่อๆ นิดหน่อยครับ รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองชักต้องการอิสระมากขึ้นเท่านั้นเอง” เขาว่าพลางยักไหล่ แล้วเอื้อมตักต้มยำทะเลเข้าปากต่อ
“เอ๊...ที่อยากได้อิสระนี่เพราะน้องหวาน เลขาจอมกวนหรือเปล่าน๊า...” อีกฝ่ายแกล้งเปรยขึ้น ยกนิ้วเคาะคางคล้ายสงสัย และนั่นทำให้ภัทริศถึงกับสำลักน้ำต้มยำที่เพิ่งตักเข้าปากไปสดๆ ร้อนๆ
ชายหนุ่มไอจนหน้าแดงไปถึงใบหู ภัทรมนจึงคว้าแก้วน้ำยื่นส่งให้ เขาดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ก็ยังไม่หายสำลัก นานทีเดียวกว่าจะหายแสบจมูกแสบคอ และหันมาจ้องหน้าพี่สาวตรงๆ ได้
“นี่อย่าบอกนะครับว่าแขกที่ไปหาผมที่ออฟฟิศวันนี้คือพี่มน?” ถามทั้งๆ ที่ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ผิดคนแน่ ภัทรมนยิ้มกว้างพยักหน้ารับหลายครั้ง “ถึงว่า เลขาผมไม่ยอมบอกว่าแขกที่ไปหาผมถึงที่ทำงานเป็นใคร พี่มนนี่เอง”
“พี่สั่งน้องหวานเองแหละไม่ให้บอก ตอนแรกพี่กะเซอร์ไพรส์ริศนี่นา แล้วก็เซอร์ไพรส์จริงๆ ด้วยการได้เจอสาวสวย น่ารัก น่าสนใจที่ชื่อ หวาน...มธุรินแทน”
คนเป็นพี่แกล้งย้ำชื่อของเลขาสาวชัดทั้งชื่อเล่นชื่อจริง และอีกฝ่ายพอรับรู้ความนัยได้ จึงเสวางหน้าเฉย หันไปสนใจอาหารตรงหน้าต่อคล้ายๆ จะจบประเด็น
“ปกติพี่มนไม่ค่อยออกจากบ้าน นึกยังไงถึงไปหาผมถึงที่ทำงานละครับ” เขาพยายามทำเสียงเป็นการเป็นงาน จนพี่สาวหมั่นไส้ทำปากเบะอย่างรู้ทัน
“ก็พี่ได้ข่าวมานะซี้...ว่าประธานบริษัทนั้นน่ะ เขามีการระบุเลขาส่วนตัวด้วย แถมยังได้ข่าวอีกว่า เลขาเขาน่ะ ทั้งสวย ทั้งเก่ง จนเจ้านายยกให้เป็นคน ‘พิเศษ’ กว่าใครๆ จึงต้องไปสืบดู”
คราวนี้ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าต่อให้เลี่ยงยังไงพี่สาวก็คงไม่ยอมจบง่ายๆ ยิ่งลองได้ไปเจอมธุรินตัวเป็นๆ อย่างนั้น มีหรือพี่สาวเขาจะไม่หลงรักเธอเข้า ใครบ้างอยู่ใกล้มธุรินแล้วเฉยได้...ไม่มีซะละ
“โอเคๆ ผมยอมแพ้ นี่ใช่ไหมครับเรื่องที่พี่มนบอกว่าจะคุยกับผม” เขารวบช้อนแล้วยกน้ำที่ส้มเพิ่งเติมให้ขึ้นดื่มอึกๆ รู้สึกคอแห้งขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
ภัทรมนจ้องหน้าน้องชายนิ่ง ดูจากอาการเขาแล้ว บวกกับสิ่งที่ได้พบวันนี้ ชัวร์ว่าภัทริศกำลังตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแน่ๆ อยากรู้เหมือนกันว่าสำหรับน้องชายเธอแล้ว มธุรินอยู่ระดับไหนของความรู้สึกขณะนี้ หากเท่าที่สังเกตคงมาไกลกว่าคำว่า ‘คนพิเศษ’ มากโขแล้ว
“ใช่ครึ่งหนึ่ง แต่มีเรื่องสำคัญอีกครึ่งหนึ่ง พี่ว่าเราทานข้าวให้เสร็จก่อนดีกว่า แล้วค่อยไปคุยกันในห้องนั่งเล่น พี่ไม่อยากเห็นริศสำลักอีกห้ารอบติดๆ น่ะ”
แล้วภัทรมนก็หัวเราะสนุกสนาน ผิดกับอีกฝ่ายที่แสดงออกว่าระแวงแคลงใจในตัวพี่สาว แต่ภัทรมนก็ไม่ยอมเปิดปาก ก้มหน้าก้มตาทานอาหารราวกับรื่นรมย์เสียยิ่งนัก
---------------------
ผลไม้หลังมื้ออาหารถูกวางลงบนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยในห้องนั่งเล่น แล้วส้มเด็กรับใช้ก็ก้าวถอยออกไป เหลือสองพี่น้องนั่งติดกันบนโซฟาตัวยาว ภัทริศเอียงตัวมองพี่สาวอย่างรอลุ้นว่าเรื่องที่พี่สาวจะพูดนั้นมีสาระสำคัญอันใด แน่นอนว่ายิ่งเกี่ยวกับมธุรินเขายิ่งอยากรู้...เป็นพิเศษ
“ก่อนอื่นพี่อยากรู้ว่าริศกับน้องหวานรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าจ๊ะ”
“ทำไมพี่มนถึงคิดว่าเป็นอย่างนั้นล่ะครับ”
“ก็อย่างที่พี่บอกไง ว่าพี่ได้ข่าวมาว่าตอนรับสมัครเลขา ริศระบุว่าต้องเป็น ‘มธุริน’ เท่านั้น ถ้าไม่รู้จักมาก่อนจะระบุได้ไง จริงไหม” คนเป็นพี่ตั้งข้อสังเกต และภัทริศก็ไม่ได้คิดปิดบัง เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนเอ่ยเล่า
“พี่มนจำเรื่องที่ผมโดนชนแล้วโทรศัพท์สลับกับเขาได้ไหมครับ” พี่สาวคิดครู่หนึ่งก็พยักหน้างงๆ น้องชายจึงขยายความ “คุณหวานคือคนที่ชนผมวันนั้นและเป็นเจ้าของข้อความที่ผมให้พี่มนอ่านครับ” ขณะเล่าเท้าความหลัง ใบหน้าและริมฝีปากของชายหนุ่มสะกดกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่มิด ให้ตายสิน่า ทำไมเขาต้องรู้สึกดีทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์นั้น
“หา! จริงเหรอริศ ทำไมโลกกลมอย่างนี้” ภัทรมนร้องพร้อมยกมือปิดปาก ดวงตาเบิกกว้างทั้งแปลกใจทั้งดีใจร่วมกับน้องชาย
“กลมกว่านั้นอีกครับ วันที่ผมไปส่งพี่มนที่สนามบิน พอกลับมา ผมก็มาเจอเธออยู่หน้าบริษัทและได้รู้ว่าเธอมาสมัครงานฝ่ายการตลาด”
“ฝ่ายการตลาด?” ภัทรมนทวนด้วยคิ้วขมวด “แล้วมาเป็นเลขาริศได้ยังไงล่ะ”
“นั่นล่ะครับ สาเหตุของการที่ผมต้องระบุชื่อเลขาส่วนตัว”
คราวนี้หญิงสาวร่างผอมถึงบางอ้อทั้งหมด เธอยิ้มกว้าง ขยับเข้าไปชิดน้องชาย จับอุ้งมือใหญ่ทั้งสองข้างของเขาไว้พลางบีบแน่น จ้องหน้าสบตาด้วยแววความหวังเต็มดวงตา ภัทริศมองตอบด้วยความสงสัย
“ริศรู้ไหมว่าพี่รักโลกกลมๆ ใบนี้แค่ไหน” อาจเพราะความดีใจกับบางสิ่งกระมังถึงทำให้ยิ่งพูดคนฟังยิ่งงงกว่าเดิม “ตอนพี่ไปอเมริกากับคุณภัตคราวนี้ พี่ไปเจอเพื่อนเก่าจ้ะ เขาและสามีไปพักอยู่กับพี่สาวที่นั่น เพื่อนพี่คนนี้แต่งงานมานานแล้ว เขามีลูกยากเหมือนพี่เลย แต่คราวนี้ริศรู้ไหมพี่ไปเจอลูกเขาด้วย!” ท่าทางของภัทรมนตื่นเต้นขึ้นเป็นทวีคูณ ภัทริศเองพลอยลุ้นจนตัวเกร็งไปด้วย “เขาเล่าให้พี่ฟังว่า หมอที่นั่นแนะนำให้เขามีลูกด้วยการ ‘อุ้มบุญ’ คือการฝากท้องกับคนอื่นน่ะจ้ะ เขาเลยฝากให้พี่สาวเขาตั้งท้องให้ ลูกเขาแข็งแรงสมบูรณ์ หน้าตาเหมือนแม่ม๊ากมาก”
“พี่มนกำลังจะบอกผมว่าพี่มนสนใจวิธีนี้หรือครับ?”
“อือฮึ แต่ไม่ใช่แค่สนใจนะจ๊ะ วันนี้พี่ไปปรึกษาคุณหมอในเมืองไทยมาแล้วด้วย พอได้ฟังคุณหมออธิบายจบ พี่นะ อยากกรีดร้องให้ลั่นโรงพยาบาลเลยล่ะริศ โอกาสเป็นไปได้สูงมากถ้าพี่หาคนมาอุ้มบุญให้ได้ พี่ก็เลยจะไปหาริศเพื่อเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ไม่นึกว่าพี่จะเจออะไรดีๆ” พอพูดถึงตรงนี้มือบางเขย่ามือน้องชายอย่างตื่นเต้น และมีความหวัง
“อะไรดีๆ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสงสัย ภัทรมนยิ้มกว้างที่สุดในชีวิต พยักหน้ายืนยันหลายต่อหลายครั้ง คนมองเลยทำตาปริบๆ ยิ่งสงสัยมากขึ้น “พี่มนช่วยทำให้ผมหายงงหน่อยได้ไหมครับว่าอะไรดีๆ คืออะไร แล้วมันเกี่ยวกับคุณหวานตรงไหน”
“คืออย่างนี้ คุณหมอบอกว่าการอุ้มบุญคือ การนำเชื้ออสุจิของพ่อกับไข่ของแม่มาปฏิสนธิกันและพัฒนาเป็นตัวอ่อน แล้วค่อยย้ายตัวอ่อนนำไปฝากไว้ในโพรงมดลูกของคนที่เราจะให้เขาอุ้มบุญให้ เนื่องจากร่างกายพี่ไม่แข็งแรง ถ้าอุ้มท้องเองจะมีโอกาสแท้งสูง” หญิงสาวเว้นวรรคหายใจ ความตื่นเต้นทำให้เธอถึงกับเหนื่อยเลยทีเดียว “พี่ก็เลยถามหมอว่า คนที่จะอุ้มบุญให้กับเราต้องมีลักษณะอย่างไร คุณหมอเลยบอกว่าถ้าได้ญาติกันก็จะดี ไม่เกี่ยวกับทางการแพทย์นะ เพียงแต่ว่าถ้าเป็นญาติกันตอนคลอดและคืนลูกให้เราจะได้ไม่มีปัญหาเท่านั้นเอง แต่ถ้าไม่มีญาติก็ให้ใครก็ได้ ถ้าได้คนอายุน้อยก็จะยิ่งดี แต่งงานหรือยังไม่แต่งงานก็ได้ ขอเพียงเขามีร่างกายแข็งแรง พร้อมยอมรับเงื่อนไข และพร้อมจะ...เสียสละ”
“เอ๊ะ วิธีนี้ใช่วิธีเดียวกับการทำเด็กหลอดแก้วไหมครับ ผมเคยได้ยินมาเรื่องเด็กหลอดแก้ว อีกวิธีที่ทำให้คนมีลูกยากมีลูกได้” ภัทริศให้ความสนใจในเรื่องนี้เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยหาข้อมูลมาเพื่อช่วยพี่สาวนี่ละ
“พี่ก็ถามคุณหมอเหมือนกันนะเรื่องนี้ จริงๆ มันคือวิธีเดียวกันนั่นละ แต่ต่างกันที่ขั้นตอนสุดท้ายจ้ะ คือถ้าเด็กหลอดแก้ว พอน้ำเชื้ออสุจิของพ่อกับของแม่มาปฏิสนธิกันในห้องทดลองเรียบร้อยแล้ว เขาจะนำตัวอ่อนมาฝังในโพรงมดลูกของเจ้าของไข่ ในที่นี่ก็คือในตัวพี่นี่ละ แต่อย่างที่บอกพี่ร่างกายไม่แข็งแรง การอุ้มบุญก็เลยต้องหาคนมาอุ้มท้องเด็กหลอดแก้วแทน จะว่างั้นก็ได้จ้ะ”
ภัทริศเริ่มเข้าใจมากขึ้น เขาพยักหน้าพร้อมคิดตามคำพูดพี่สาวไปเรื่อยๆ อย่างไม่นึกเอะใจอะไร
“แล้วพี่มนคิดว่าจะให้ใครอุ้มบุญให้ละครับ เรามีญาติคนไหนที่พร้อมรับเงื่อนไขและเสียสละบ้าง?” ชายหนุ่มเกิดข้อสงสัยใหม่ คราวนี้สีหน้าของภัทรมนลำบากใจขึ้นมานิดหน่อย
“นั่นล่ะประเด็น พี่คิดตลอดทางที่นั่งรถไปหาริศ แต่ก็คิดไม่ออก เราไม่มีญาติผู้หญิงคนไหนที่พร้อมเลย”
“คุณแม่สิครับ!”
สิ้นคำพูดนั้นฝ่ามือของพี่สาวซัดเผียะเข้าตรงต้นแขนแข็งแรง ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจ ยิ่งเห็นสายตาค้อนควักของพี่สาวเขายิ่งขำ
“ทำมาพูดดีนะ คุณแม่ได้ยินละจะเนื้อเขียว”
“เอ้า ผมพูดจริงนะครับ คุณแม่เรายังสาวอยู่เลย แข็งแรงด้วย”
“บ้าหรือริศ คุณแม่น่ะอุ้มท้องเราสองคนมา เลี้ยงกว่าจะโตเหนื่อยแย่แล้ว จะให้มาอุ้มท้องหลานอีกเหรอ ไม่เอาละ พี่เจอคนที่คิดว่าเหมาะสมแล้ว เหลือแต่...เขาจะยอมไหมก็เท่านั้นเอง” น้ำเสียงประโยคหลังเบาอย่างขาดความมั่นใจ
น้องชายชะงักในทันที อะไรบางอย่างสะกิดใจเขาอย่างแรง ชายหนุ่มเด้งตัวนั่งหลังตรง จ้องหน้าพี่สาวเขม็ง ก่อนค่อยๆ ขยับปากอย่างกล้าๆ กลัวๆ เอ่ยถาม
“พี่มน...อย่าบอกนะครับว่า...” แค่คิดภัทริศยังรู้สึกว่าน้ำลายฝืดเต็มทน “...ว่าพี่มนจะให้....”
“ใช่จ้ะ ริศเข้าใจไม่ผิด พี่ถูกใจน้องหวาน พี่ลองถามประวัติเขาแล้ว ไม่มีใครเหมาะสมเท่าเลยจ้ะ”
“เฮ้ย! พี่มน!”
นี่กระมัง สาเหตุที่ภัทรมนไม่ยอมพูดเรื่องนี้ที่โต๊ะอาหาร จริงอย่างเธอว่า ถ้าเขาได้ฟังเรื่องนี้ตอนทานข้าว เป็นได้สำลักลงไปชักดิ้นชักงอบนพื้นแน่ๆ
อาการร้องด้วยความตกใจนั้นภัทรมนรู้ในทันทีว่าน้องชายช็อก และอาจไม่เห็นด้วยกับคนที่เธอเลือก ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว กับการจะให้ใครสักคนมาเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ แม้จะถูกใจมธุรินก็จริง แต่ลึกๆ หญิงสาวก็หวาดหวั่นเหมือนกัน กลัวมธุรินไม่ตกลง หรือถ้าตกลงมันก็เหมือนทำลายชีวิตสาวโสดคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก็นั่นละ อย่างที่บอกว่าการอุ้มบุญครั้งนี้ คนมาอุ้มบุญต้องพร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ และการยอมรับเงื่อนไขทั้งปวง
“พี่รู้นะริศว่ามันอาจฟังเห็นแก่ตัวเกินไป แต่ตอนไปเที่ยวกับคุณภัตครั้งนี้ ริศรู้ไหมคุณภัตเขาดูไม่มีความสุขเลย เหม่อลอยตลอดเวลา บางครั้งก็หงุดหงิดลืมตัว เคร่งเครียด จนพี่เองก็พลอยไม่สนุกและไม่มีความสุขไปด้วย พี่รู้ว่ามันเกิดเพราะอะไร แต่อีกเหตุผลนึงพี่เชื่อว่าคนมีครอบครัวทุกคนอยากให้ครอบครัวอบอุ่นสมบูรณ์ด้วยการมีลูก” หยุดเพื่อมองหน้าน้องชายด้วยสายตาหม่นเศร้า “พี่มั่นใจว่าถ้าพี่มีลูกให้คุณภัตได้ ทุกอย่างระหว่างพี่กับเขาต้องดีขึ้นแน่ๆ จ้ะริศ”
ความเงียบตีวงกว้างทั้งห้อง ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จะเอ่ยคำใดต่อ ปล่อยให้ใช้ความคิดส่วนตัวกันคนละครู่ใหญ่ๆ ภัทริศจึงเอ่ย
“แล้วพี่ภัตรู้เรื่องนี้หรือยังครับ”
“ยังจ้ะ แต่พี่มั่นใจว่าเขาต้องเห็นด้วยแน่ พี่อยากเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อน พอมีเวลาพี่จะได้บอกเขา”
ริมฝีปากหยักลึกเม้มเข้าหากันแน่น เห็นอาการดีใจของพี่สาวภัทริศยอมรับว่าเขาพลอยมีความสุขไปด้วย และหากวิธีนี้จะทำให้ชีวิตคู่ของพี่สาวกับพี่เขยเขาดีขึ้น ชายหนุ่มพร้อมจะช่วยเหลือเต็มที่ หากเมื่อมีเงื่อนไขหรือข้อแม้เป็นมธุรินนั้นเล่า เขาควรทำอย่างไรดี ส่วนตัวเขาไม่ใช่ปัญหา แต่เลขาสาวเพิ่งผ่านเข้ามาในชีวิตเขากับภัทรมน จะใช้ความสำคัญอันใดไปร้องขอให้เขามาเสียสละให้
“พี่มนพูดเรื่องนี้กับคุณหวานหรือเปล่าครับวันนี้” พี่สาวส่ายหน้าไปมาช้าๆ
“พี่รอปรึกษาริศก่อน แต่น้องหวานเหมาะเหลือเกินนะริศที่จะมาอุ้มบุญลูกพี่ เขาเป็นคนอารมณ์ดี อายุยังน้อย สุขภาพแข็งแรง ที่สำคัญถ้าเขายอมตกลงเราจะดูแลเขาเป็นอย่างดี และพี่ยินดีจ่ายค่าเสียสละครั้งนี้ให้อย่างคุ้มค่าจ้ะ”
ร่างสูงผ่อนลมหายใจยาว พลิกมือมากุมมือพี่สาวแทนก่อนเอ่ยเนิบช้า
“คนอย่างคุณหวานเธอไม่เห็นแก่เงินหรอกครับพี่มน ขนาดผมจ่ายค่าซ่อมรถให้ เธอยังไม่พอใจ รีบร้อนเอามาคืนจนได้ อีกอย่าง...เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตเธอเลยนะครับ จะมีเงินจำนวนไหนจ่ายให้เธอแล้วเรียกว่า ‘คุ้มค่า’ ได้ล่ะครับ”
“จ้ะ พี่ก็พอมองออก พี่เลยอยากขอร้องริศ ให้ช่วยพูดกับน้องหวานให้พี่หน่อย แค่ลองนะริศนะ ถ้าเขาไม่ตกลงก็ไม่เป็นไร แต่พี่บอกริศตามตรงเลยว่า พี่อยากให้ริศช่วยพี่ให้สำเร็จ เพราะนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตพี่เหมือนกัน”
ใบหน้าพี่สาวหม่นหมองจนภัทริศต้องระบายลมหายใจยาวอีกครั้ง
ชายหนุ่มรู้ว่าภัทรมนไม่ใช่คนชอบเอาเปรียบคนอื่น เรื่องคราวนี้พี่สาวเขาเป็นทุกข์ใจอย่างหนักจริงๆ ทั้งเรื่องสามีไปมีคนอื่น ความสั่นคลอนในครอบครัว และความอยากมีลูกมาตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้ว
“เอาเป็นว่าผมขอเก็บไปคิดดูก่อนนะครับ และถ้ามีลู่ทาง หรือมีโอกาส...ผมจะลองดู”
“ขอบใจมากนะริศ...ขอบใจมาก” ภัทรมนเขย่ามือน้องชาย ยิ้มทั้งปากทั้งตาอย่างมีความหวัง ส่วนน้องชายนั้นได้แต่ยิ้มน้อยๆ กลืนความลำบากใจลงคอไปเสีย
“งั้นวันนี้ผมขอตัวก่อนดีกว่า พี่มนเองจะได้พักผ่อน เพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อเช้าเอง” อีกฝ่ายพยักหน้ารับเร็วๆ ยังไม่คลายยิ้มแห่งความดีอกดีใจ ร่างสูงลุกยืนพร้อมๆ กับพี่สาวที่เดินออกมาส่งหน้าบ้าน
พอน้องชายเปิดประตูรถยังไม่ทันได้ก้าวขึ้นนั่ง ภัทรมนก็เรียกรั้งไว้ พร้อมเดินไปหยุดยืนใกล้ๆ ร่างสูงนั้น เงยมองหน้าเขาเงียบๆ ชั่วครู่ก่อนเปิดปากถาม
“ริศ...ชอบน้องหวานใช่ไหมจ๊ะ”
คำถามนั้นราบเรียบ แต่ให้ความหมายลึกซึ้ง ภัทริศมองตอบพี่สาวนิ่ง เขาไม่ได้ใคร่ครวญ ไม่ลังเล เพียงแต่กำลังตัดสินใจ
“โชคชะตากำลังเล่นตลกกับผม คงจะจริงอย่างที่พี่มนเคยบอก ความรักเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราควบคุมมันไม่ได้ สั่งไม่ได้ แต่ถึงสั่งได้ ผมก็จะสั่งให้มันไปทางนี้ครับ แม้ผมไม่มีสิทธิ์เลือกแล้วก็ตาม”
“มันคือความรัก...ไม่ใช่แค่ความชอบ?” ภัทรมนถามเพื่อย้ำความมั่นใจว่าตนเองมองไม่ผิด ภัทริศพยักหน้าหนักแน่น และต่างเงียบกันไปครู่
“น่าขำไหมครับ ผมไม่เคยนึกเลยว่าความรักมีอานุภาพร้ายแรงขนาดนี้ เราแทบไม่ต้องอาศัยเวลาเลย สำหรับการรักใครสักคน แค่เพียงสบตา ส่งข้อความหากัน ถ้าคนๆ นั้นคือคนที่ใช่ ความรักมันก็เกิดขึ้นชั่วพริบตา ชั่วลมหายใจเข้าออกสั้นๆ ผิดกับคนบางคน...ถึงเราพยายามแค่ไหน...ก็เท่านั้น”
ยิ่งฟังภัทรมนยิ่งสงสารน้องจับหัวใจ ไม่มีอะไรผิดจากคำพูดเขาเลย ‘ความรัก’ เมื่อหยั่งรากลึกลงบนเนื้อหัวใจนิ่มๆ ยากเหลือเกินกับการจะถอนมันออก
ร่างผอมเดินเข้าไปโอบกอดน้องชายทดแทนทุกคำพูดที่ไม่สามารถหาคำใดมาปลอบหรือพูดให้มันเป็นจริงได้ ชายหนุ่มโอบกอดร่างเล็กตอบ หลับตาเกยคางบนศีรษะเล็กๆ ของพี่สาว คล้ายกำลังถ่ายถอดความหนักอึ้งในหัวใจออกไปบ้าง
“ถ้าไม่เจ็บปวดและเห็นแก่ตัวเกินไปนัก พี่ว่าการได้อยู่ใกล้ๆ เห็นหน้า และพูดคุย แม้ไม่อาจสัมผัสหรือครอบครองได้ แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้เจอกันเลย ริศว่ายังไง”
สองแขนแข็งแรงดันร่างพี่สาวออกห่างตัว ระบายยิ้มอ่อนๆ ให้เธอแล้วบอก
“สิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำ ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหน นั่นคือการอยู่ห่างๆ เธอครับพี่มน” คนฟังยิ้มพอใจ เรื่องของหัวใจก็ย่อมต้องฟังเสียงหัวใจ
“พี่เชื่อและภาวนาว่าการพบกันของริศกับน้องหวานครั้งนี้คงไม่ใช่แค่การผ่านมาแล้วผ่านไป มันเป็นความตั้งใจของโชคชะตา และพี่ว่าโชคชะตาไม่เล่นตลกกับเราครั้งนี้ครั้งเดียวหรอกน่า อะไรๆ ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้”
“ขอบคุณครับ เข้าบ้านเถอะ โดนน้ำค้างนานๆ จะไม่สบายเอาได้ ผมจะรีบกลับเดี๋ยวพระมารดาโทรตามอีก แล้วจะเป็นเรื่อง”
เขาบอกพร้อมก้มลงหอมแก้มพี่สาวอย่างแสนรัก แทรกตัวเข้าไปยังที่นั่งคนขับ โบกมือลาภัทรมนแล้วเคลื่อนรถออกไป
ภัทรมนมองจนไฟท้ายรถน้องชายลับสายตา...โชคชะตาต้องไม่แค่เล่นตลกแน่ๆ นี่คือความตั้งใจจากฟ้า การได้พบมธุริน คือเส้นทางที่ถูกขีดไว้ ทั้งเธอและน้องชาย หญิงสาวยิ้มให้ตัวเองก่อนเดินเข้าบ้านไป
----------------------------
ในความมืดมิดของราตรี ท่ามกลางความเงียบสงัดยามดึก ยศยานอนลืมตาในความมืดที่มีแสงสลัวรางจากด้านนอกสาดเข้ามาภายในห้องนอนของคอนโดฯ สุดหรู หญิงสาวเคยคิดว่าทำไมโชคชะตาถึงเล่นตลกกับเธอนักหนา ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยรักใครนอกจาก ‘เขา’ แต่ฟ้าก็ยังพรากให้เขาไปแต่งงานกับคนอื่น และหัวใจเจ้ากรรมของเธอก็ยังปักหลักอยู่กับเขาไม่ไปไหน ไม่ยอมเอนเอียงไปหาใคร แม้กระทั่ง ภัทริศคู่หมั้นสุดเพอร์เฟกต์ในสายตาใครๆ ก็ตาม
ใบหน้าเรียวหันมองคนนอนข้างๆ ด้วยแววรักใคร่และทุกข์ทนระคนกัน ยามมีเขามาเคียงข้างเธอช่างเป็นสุขล้นหัวใจ หากยามใดเขาไปเคียงข้างคนอื่น ต่อให้บอกว่าไม่รัก มันก็ยากเหลือเกินที่จะสั่งให้ตัวเองไม่ทรมาน
“หวาน...หวาน! คุณอยู่ไหน กลับมานะหวาน กลับมาหาผม หวาน!”
เสียงละเมอและมือที่ไขว่คว้ากลางอากาศ ราวกับมือที่ดึงให้คิ้วโก่งสวยขยับมามัดกันแน่น ความโกรธแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ รุมกัดทึ้งในหัวอก มือทั้งสองข้างกำผ้าห่มแน่น เพ่งสายตามองผู้ชายข้างตัวเขม็งจนรู้สึกร้อนหัวตา พานพาให้น้ำตาจะไหล
“พี่ภัต!” ยศยาตะโกนสุดเสียงจนคนนอนหลับเพราะความอ่อนเพลียสะดุ้งตื่น หากสติยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ “ตื่นเลยนะพี่ภัต นี่พี่ภัตละเมอถึงใคร บอกแยมมานะ พี่ภัต! ตื่น ตื่นมาพูดกันให้รู้เรื่องนะ!” ปากก็ร้องเรียก มือนั้นทุบลงบนแผงอกหนาเปลือยเปล่าไม่ยั้ง กระทั่งฝ่ายถูกทำร้ายสะดุ้งและเด้งตัวลุกนั่งกลางเตียง คนโวยวายจึงคว้าเปิดโคมไฟหัวเตียงเพื่อได้มองหน้ากันชัดๆ
“มีอะไรแยม ปลุกพี่ทำไมดึกดื่นป่านนี้”
เสียงเขาหงุดหงิดงัวเงีย ยังไม่สำเหนียกว่าเพ้ออะไรออกมา
ยศยาจ้องเขาตาขุ่น หายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงแรง มือที่กำแน่นซัดปึกเข้าตรงหัวไหล่ชายหนุ่มอีกครั้ง
“ปลุกทำไมน่ะหรือ? ก็แยมอยากรู้นะสิคะว่าดึกดื่นป่านนี้พี่ภัตละเมอถึงใคร นอกจากนังเมียขี้โรคนั่น นอกจากแยมแล้ว พี่ภัตยังมีใครอีกคะ นี่ใช่ไหม สาเหตุที่ช่วงหลังๆ พี่ภัตหายไปบ่อยๆ เพราะพี่ภัตแอบไปมีคนอื่นอีกใช่ไหม ใช่ไหมๆๆ พี่ภัตบอกแยมมานะ!”
สองมือรัวทำร้ายอีกฝ่ายด้วยแรงอารมณ์ หยดน้ำอุ่นๆ มาออกันอยู่ในเบ้าตาจวนเจียนจะหยาดหยดเต็มทน หากเธอยังเก็บกลั้นมันไว้
“โอ๊ย! แยมอย่าบ้าน่า แค่ทำงาน ดูแลคุณมน แล้วก็แบ่งเวลาให้แยม พี่ก็แทบไม่เหลือเวลาหายใจแล้ว จะไปหาใครตอนไหนได้อีกเล่า” เขารวบมือเธอทั้งสองข้างเข้าไว้ด้วยกัน หนังตายังหนักอึ้งด้วยความอ่อนเพลียและง่วงงุน
แขนเรียวพยายามดึงกลับจะให้หลุดแต่เขาแรงเยอะพอจะกำไว้แน่น หลุดออกได้ยาก
“ไม่จริง พี่ภัตอย่ามาโกหก! แยมไม่เชื่อ ถ้าไม่มีใครพี่ภัตจะละเมอชื่อนังหวานได้ยังไง หวานไหนละ บอกมาสิ แยมจะไปฆ่ามัน ฆ่าให้หมดเลยนังพวกผู้หญิงที่พี่ภัตไปข้องแวะ”
คราวนี้บริภัตตื่นเต็มตาเมื่อได้ยินว่าตัวเองละเมอชื่อใคร เขานิ่งและยอมปล่อยมืออีกฝ่ายให้เป็นอิสระ ยศยายังคงจ้องเขาไม่วางตา
“หึ! นั่นไง เงียบไปเลย แสดงว่านังคนชื่อหวานนั่นมีจริง พี่ภัตรักมันหรือคะ ถึงได้ละเมอหา ทำไมพี่ภัตทำกับแยมได้ลงคอ ที่ผ่านมาแยมยังเจ็บปวด ยังทรมานไม่สาแก่ใจพี่ภัตหรือไง ถึงได้ทำกับแยมอย่างนี้ แค่แยมรักและยอมพี่ภัตขนาดนี้ พี่ภัตยังคิดนอกใจแยมตลอดเวลา ไม่ใจดำไปหน่อยหรือคะ”
หยดน้ำตารินหลั่งลงอาบแก้มสวยไม่ขาดสาย สายธารแห่งความรานร้าวไหล่บ่าท่วมท้นหัวใจ ในโลกนี้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากเป็น ‘รอง’ ให้เจ็บช้ำน้ำใจตัวเอง นอกเสียจากว่าเขาคนนั้นคือคนที่เธอรักปักใจจนยากจะถอดถอน
ยศยาก็เช่นเดียวกัน เธอกับบริภัตรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ สิ่งที่หญิงสาววาดฝันไว้คือเมื่อโตขึ้นจะเป็นเจ้าสาวของเขา เธอหลงรักเขาเรื่อยมา คาดหวังว่าเมื่อถึงเวลาจะได้แต่งงานสมดั่งใจ ทว่าสุดท้าย จู่ๆ ผู้ใหญ่ทางบริภัตกับผู้ใหญ่ทางภัทรมนซึ่งรู้จักกันมานานก็จับคู่ให้ทั้งสองคนหมั้นและแต่งงานกัน บริภัตไม่ได้ปฏิเสธเพราะโดยพื้นฐานแล้ว เขาเองไม่เคยรักยศยามากกว่าความเป็นน้องเลย
“ไม่มีอะไรหรอกน่า นอนเถอะ พี่ง่วง”
เขาปัดที่จะอธิบายเรื่องทั้งหมด เพราะไม่เห็นประโยชน์อันใด นอกจากทำร้ายน้ำจิตน้ำใจเธอมากขึ้น หนำซ้ำจะทะเลาะกันไม่รู้จบอีกต่างหาก
“ไม่ค่ะ จนกว่าเราจะพูดกันให้รู้เรื่องก่อน แยมจะไม่ยอมอีกต่อไปแล้วนะคะ ถ้าพี่ภัตไม่อธิบายเรื่องนังคนชื่อหวานอะไรนั่นให้กระจ่างแจ้ง แยมก็จะประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเราเป็นอะไรกัน แยมจะไปบอกนังเมียขี้โรคของพี่ภัต จะบอกริศว่าแยมมีสามีแล้ว ชื่อบริภัต!”
“แยม!”
บริภัตตวาดขึ้นอย่างเหลืออด หากไม่พูดอะไรมากกว่านั้นนอกจากแสดงท่าทางหัวเสีย
ความผิดพลาดมันเริ่มจากการที่เขาตัดสินใจแต่งงานเพราะความสงสารภัทรมน และต่อมาก็พลาด ที่ปล่อยให้อารมณ์ต้องการแบบผู้ชาย ทำให้เขาใจอ่อน เมื่อยศยาเสนอตัวเข้ามาในช่วงที่ภัทรมนกำลังไม่สบาย พลาดครั้งสำคัญคือ เขาพลาดที่ไปรักมธุรินอย่างจริงจัง ผู้หญิงคนนั้นอยู่นอกเหนืออารมณ์ แต่เธอคือความรู้สึกลึกซึ้ง
“เรียกแยมทำไมคะ พี่ภัตกลัวหรือคะ กลัวใครๆ จะรู้เรื่องของเราใช่ไหม แล้วไม่คิดบ้างหรือคะว่าแยมทุกข์ขนาดไหนกับการอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ อย่างนี้ ไม่รู้หรือคะว่าแยมต้องเหงา อ้างว้าง คิดถึงพี่ภัตขนาดไหนเวลาพี่ภัตอยู่กับคนอื่น เจ็บบ้างไหมคะ รู้สึกบ้างไหมคะ!”
เธอลงมือทุบตีเขาอีกครั้งอย่างระบายอารมณ์คลุ้มคลั่ง คั่งแค้นในอก
“แยมก็มีนายริศแก้เหงาแล้วไง หรือถ้าแยมจะเลิกกับพี่ให้เด็ดขาดเพื่อไปแต่งงานกับนายริศพี่ก็ยินดีนะ เพราะพี่ก็ไม่อยากทำร้ายแยมแล้วเหมือนกัน”
เพียะ!!!
มือบางที่ฟาดไปเต็มใบหน้าเขาสั่นน้อยๆ ริมฝีปากถูกกัดแน่นไม่ให้สั่น เธอจ้องเขาผ่านม่านน้ำตาที่พร่ามัว ผู้ชายคนนี้ไม่เคยรักเธอเลย ไม่เคยเข้าใจ ดีแต่ผลักไสให้ออกห่าง ทุ่มเทเท่าไหร่ก็ไม่ต่างจากการทุ่มทิ้ง เจ็บใจตัวเองนักที่รักเขาชนิดถอนตัวไม่ขึ้น
“เห็นแก่ตัว! พี่ภัตก็รู้ว่าแยมรักพี่ภัตคนเดียว ไม่ได้รักริศเลย แยมไม่ใช่ผู้หญิงสำส่อนนะคะ ที่จะได้นอนกับใครโดยไม่รู้สึกอะไร ทุกวันนี้ที่แยมยอมเป็นเมียเก็บพี่ภัตทั้งๆ ที่มาก่อน มันเพราะรักนะคะ ไม่ใช่เพราะแยมใจง่าย พี่ภัตได้ยินไหมคะ แยมรักพี่ภัต รู้สึกบ้างไหมคะพี่ภัต!”
ร่างระหงสะอื้นแรง น้ำมูกน้ำตาไหลนองใบหน้า เหมือนเครื่องปรับอากาศในห้องลดอุณหภูมิต่ำลงจนรู้สึกเหน็บหนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ
บริภัตหลับตาสงบสติตัวเอง ทบทวนหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมา คงจะจริงอย่างเธอว่านั่นละ เขามันเห็นแก่ตัว ปล่อยให้เกิดความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่คิดห้ามใจ จนทำร้ายใครต่อใครอย่างไม่เป็นสุภาพบุรุษ
“พี่ขอโทษแยม...พี่ขอโทษ”
เขาบอกเสียงอ่อนโยนลง ดึงร่างนั้นมากอดไว้แนบอก ถึงไม่เคยรักเธออย่างที่ผู้ชายคนนึงพึงรักผู้หญิงสักคน แต่ระหว่างเขากับเธอแนบแน่นด้วยความผูกพันกันมาทั้งชีวิต
ยศยาไร้แรงต้านทาน เธอสวมกอดเขาตอบ และยิ่งสะอื้นหนักขึ้น เมื่อตระหนักถึงหนทางข้างหน้าที่มืดมัวไร้ทางออก
หลังจากบริภัตแต่งงานกับภัทรมน ยศยาก็ไม่ปฏิเสธเมื่อพ่อแม่จับเธอให้คู่กับภัทริศ ตอนนั้นคิดเพียงว่าต้องการประชดบริภัต และจะได้คอยอยู่ใกล้ๆ เขากับภรรยาเพื่อเป็นก้างขวางคอ ที่สำคัญ ถึงอยู่ใกล้แล้วเจ็บปวดเธอก็ยินดี ขอให้ได้ยินเสียง ได้พบหน้า พูดคุยกันบ้าง ดีกว่าต้องห่างกันไปเลย
หากสุดท้ายหญิงสาวได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่เธอตัดสินใจทั้งหมด นอกจากไม่เป็นผลกับบริภัตแล้ว ยังกลายเป็นว่าหาห่วงมาผูกคอให้มีพันธนาการลุกลามไปมากกว่าเดิมเสียอีก
กระนั้นการได้รู้จักกับภัทริศก็ยังมีเรื่องดีอยู่บ้าง ผู้ชายคนนั้นเป็นเพื่อนที่ดี คลายเหงาได้ในเวลาที่ไม่อยากกินข้าวคนเดียว ไม่อยากช็อปปิ้งคนเดียว และถึงไม่ได้รักเขา เธอก็จะไม่มีวันยอมให้ใครมาแย่งภัทริศไปได้หรอก สำหรับยศยาตอนนี้สิ่งที่เธอเกลียดที่สุด คือการถูกแย่ง ไม่ว่าของนั้นจะรักหรือไม่รัก หากมันเป็นของเธอ ใครก็ไม่มีสิทธิ์!
“พี่ภัตสัญญากับแยมได้ไหมคะ ว่าพี่ภัตจะไม่มีใครอื่นอีก แยมยินยอมพี่ภัตได้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องนี้เท่านั้นนะคะ ที่แยมจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด”
“เราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันตอนนี้เลย นอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มีงานเช้า” ลองเขาบ่ายเบี่ยงอย่างนี้แสดงว่าเขาต้องการนอกใจเธอไปมีคนอื่นอีก
หญิงสาวเด้งตัวออกห่างเขาราวกับกำลังกอดของร้อนก็ไม่ปาน ดวงตาคู่สวยจ้องเขาอย่างอาฆาต
“แยมเกลียด! เกลียดเวลาพี่ภัตขัดใจ และคิดนอกใจแยมตลอดเวลา จำไว้นะคะ คนอย่างแยม เมื่อจนหนทางแยมทำได้ทุกอย่าง ถ้าพี่ภัตไม่เชื่อก็ลองดู ถ้าแยมรู้ว่า นังหวานนั่นมีตัวตน และแยมได้เจอ...” เธอจ้องตาเขานิ่ง ขบฟันแน่น “แยมจะฆ่ามัน!”
เท่านั้นหญิงสาวก็สะบัดตัวลงจากเตียงเดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ ปล่อยให้บริภัตมองตามด้วยความหนักใจ
“แยม!”
โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชมค่ะ ^^
คุณ Pat - คราวนี้ได้ทราบแล้วนะคะว่าข้อสันนิษฐานถูกไหม ^^
คุณแพม - เพราะคิดว่าผู้ชายเห็นแก่ตัวนี่ล่ะค่ะ คนเขียนถึงยังโสด อ้าว O.O เกี่ยวไหม 5555+
คุณแว่นใส - มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายค่ะ แต่ไม่เครียดจนเกินไป เพราะมีหัวใจรักที่พร้อมสู้ของใครบางคน
คุณ anOO - ตอนนี้ก็ได้ทราบข้อสงสัยแล้วนะคะ ^^
คุณ ann - ตอนนี้ชัดเลยค่ะ ไม่ทะแม่งๆ ละ
คุณบัวขาว - ถ้าเห็นแก่ตัวบ้าง ไม่มากเกินพอไหวไหมคะ 555+
ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามและให้กำลังใจกันนะคะ ^^
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
บทที่6
ภัทรมนตกใจจนทัพพีในมือแทบหลุดร่วงลงพื้นเมื่อโดนสวมกอดและหอมจากทางด้านหลัง พอเอี้ยวตัวไปมองแววตาเธอมีทั้งความดีใจและผิดหวังปนกัน
“อ้ะ ผมเห็นนะว่าแววตาพี่มนผิดหวังที่เป็นผมไม่ใช่พี่ภัตใช่ไหมล่ะครับ”
คนตาไวปากไวเอ่ยแซว ภัทรมนไม่เถียงเพราะมันคือความจริง หญิงสาวเพียงยิ้มแหย แล้วหันไปคนต้มยำทะเลต่อเงียบๆ ชั่วอึดใจจึงเอ่ย
“นิดหน่อยน่า พี่ก็แค่อยากให้คุณภัตกลับมาทานข้าวบ้าน แต่ก็เข้าใจเขาละ ทิ้งงานไปตั้งสองอาทิตย์คงต้องเคลียร์เยอะละมั้ง” น้ำเสียงอ่อนอ่อยไร้แววมั่นใจในคำพูดตัวเอง เธอกำลังพยายามอย่างมากที่จะเข้าใจและไม่ระแวงเขา
ภัทริศกระชับวงแขนแน่น แนบหน้าลงกับศีรษะพี่สาว แสนรักแสนห่วง
“พี่มนไม่ต้องกลัวครับ มีผมอยู่ทั้งคน จะไม่มีวันเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับพี่มนแน่ ผมสัญญา”
ความรักความผูกพันของสองพี่น้องแนบแน่นมาตั้งแต่วัยเยาว์ ภัทรมนเม้มริมฝีปากแน่นพูดอะไรไม่ออก มือบางยกขึ้นจับแขนน้องชาย เงียบกันไปครู่ ฝ่ายพี่สาวจึงชวนเปลี่ยนเรื่องให้บรรยากาศดีขึ้น
“ไม่เอาน่าริศ อย่ามาทำซึ้งหน่อยเลย จะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับพี่ล่ะ วันนี้พี่มีเรื่องดีๆ มากด้วย จะเล่าให้ริศฟัง แต่ตอนนี้ ริศไปรอพี่ที่โต๊ะอาหารก่อนแล้วกัน พี่ทำต้มยำเสร็จก็เสร็จทุกอย่างละ เดี๋ยวให้ส้มยกออกไปนะ”
“รีบหน่อยนะครับ พยาธิในท้องผมมันคิดถึงอาหารฝีมือพี่มนจะแย่แล้ว” พูดจบก็หอมฟอดใหญ่แล้วผละออกจากครัวไป
ภัทรมนมองตามน้องชายด้วยรอยยิ้ม ถ้านับน้องชายเป็นเพื่อน นี่คงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอเลยทีเดียว
คนเป็นพี่นั่งมองน้องชายเอร็ดอร่อยกับอาหารฝีมือตัวเองด้วยรอยยิ้มปลาบปลื้ม จะเพราะหิวหรือเพราะรสชาติดีอันนั้นหญิงสาวไม่แน่ใจ แต่เห็นท่าทางสดใสของน้องชายแล้วเธอก็เป็นสุข
“เอ้า มัวนั่งยิ้มมองผมอยู่ได้ ทำไมไม่ทานละครับพี่มน” คนที่เพิ่งมีโอกาสเงยหน้าจากจานข้าว ทำตาโตร้องทักพี่สาว
“พี่ไม่ค่อยหิวหรอก ริศทานให้เต็มที่เลย พี่ทำกับข้าวเยอะวันนี้ นึกว่าน้องแยมจะมาด้วย” พอได้ยินชื่อนั้นภัทริศก็รามือในการตักอาหารเข้าปาก ไม่ใช่ว่าหมดอร่อย เพียงแต่อะไรบางอย่างทำให้กลืนข้าวยากมากขึ้นเท่านั้นเอง
“วันนี้เขามีเพื่อนไปกินข้าว ผมเลยหมดประโยชน์ต้องมาให้พี่มนเลี้ยงนี่ไงครับ”
“ริศพูดเหมือนน้อยใจน้องแยม” ภัทรมนหยั่งเชิงมากกว่าจะแน่ใจตามคำพูดตัวเอง ท่าทางน้องชายเปลี่ยนไป หากดูออกและพอรู้ว่าคงไม่ได้เกิดจากความเสียใจที่ยศยาทิ้งไปหาเพื่อนแน่ๆ
“เปล่าเลย แค่เบื่อๆ นิดหน่อยครับ รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองชักต้องการอิสระมากขึ้นเท่านั้นเอง” เขาว่าพลางยักไหล่ แล้วเอื้อมตักต้มยำทะเลเข้าปากต่อ
“เอ๊...ที่อยากได้อิสระนี่เพราะน้องหวาน เลขาจอมกวนหรือเปล่าน๊า...” อีกฝ่ายแกล้งเปรยขึ้น ยกนิ้วเคาะคางคล้ายสงสัย และนั่นทำให้ภัทริศถึงกับสำลักน้ำต้มยำที่เพิ่งตักเข้าปากไปสดๆ ร้อนๆ
ชายหนุ่มไอจนหน้าแดงไปถึงใบหู ภัทรมนจึงคว้าแก้วน้ำยื่นส่งให้ เขาดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ก็ยังไม่หายสำลัก นานทีเดียวกว่าจะหายแสบจมูกแสบคอ และหันมาจ้องหน้าพี่สาวตรงๆ ได้
“นี่อย่าบอกนะครับว่าแขกที่ไปหาผมที่ออฟฟิศวันนี้คือพี่มน?” ถามทั้งๆ ที่ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ผิดคนแน่ ภัทรมนยิ้มกว้างพยักหน้ารับหลายครั้ง “ถึงว่า เลขาผมไม่ยอมบอกว่าแขกที่ไปหาผมถึงที่ทำงานเป็นใคร พี่มนนี่เอง”
“พี่สั่งน้องหวานเองแหละไม่ให้บอก ตอนแรกพี่กะเซอร์ไพรส์ริศนี่นา แล้วก็เซอร์ไพรส์จริงๆ ด้วยการได้เจอสาวสวย น่ารัก น่าสนใจที่ชื่อ หวาน...มธุรินแทน”
คนเป็นพี่แกล้งย้ำชื่อของเลขาสาวชัดทั้งชื่อเล่นชื่อจริง และอีกฝ่ายพอรับรู้ความนัยได้ จึงเสวางหน้าเฉย หันไปสนใจอาหารตรงหน้าต่อคล้ายๆ จะจบประเด็น
“ปกติพี่มนไม่ค่อยออกจากบ้าน นึกยังไงถึงไปหาผมถึงที่ทำงานละครับ” เขาพยายามทำเสียงเป็นการเป็นงาน จนพี่สาวหมั่นไส้ทำปากเบะอย่างรู้ทัน
“ก็พี่ได้ข่าวมานะซี้...ว่าประธานบริษัทนั้นน่ะ เขามีการระบุเลขาส่วนตัวด้วย แถมยังได้ข่าวอีกว่า เลขาเขาน่ะ ทั้งสวย ทั้งเก่ง จนเจ้านายยกให้เป็นคน ‘พิเศษ’ กว่าใครๆ จึงต้องไปสืบดู”
คราวนี้ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าต่อให้เลี่ยงยังไงพี่สาวก็คงไม่ยอมจบง่ายๆ ยิ่งลองได้ไปเจอมธุรินตัวเป็นๆ อย่างนั้น มีหรือพี่สาวเขาจะไม่หลงรักเธอเข้า ใครบ้างอยู่ใกล้มธุรินแล้วเฉยได้...ไม่มีซะละ
“โอเคๆ ผมยอมแพ้ นี่ใช่ไหมครับเรื่องที่พี่มนบอกว่าจะคุยกับผม” เขารวบช้อนแล้วยกน้ำที่ส้มเพิ่งเติมให้ขึ้นดื่มอึกๆ รู้สึกคอแห้งขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
ภัทรมนจ้องหน้าน้องชายนิ่ง ดูจากอาการเขาแล้ว บวกกับสิ่งที่ได้พบวันนี้ ชัวร์ว่าภัทริศกำลังตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแน่ๆ อยากรู้เหมือนกันว่าสำหรับน้องชายเธอแล้ว มธุรินอยู่ระดับไหนของความรู้สึกขณะนี้ หากเท่าที่สังเกตคงมาไกลกว่าคำว่า ‘คนพิเศษ’ มากโขแล้ว
“ใช่ครึ่งหนึ่ง แต่มีเรื่องสำคัญอีกครึ่งหนึ่ง พี่ว่าเราทานข้าวให้เสร็จก่อนดีกว่า แล้วค่อยไปคุยกันในห้องนั่งเล่น พี่ไม่อยากเห็นริศสำลักอีกห้ารอบติดๆ น่ะ”
แล้วภัทรมนก็หัวเราะสนุกสนาน ผิดกับอีกฝ่ายที่แสดงออกว่าระแวงแคลงใจในตัวพี่สาว แต่ภัทรมนก็ไม่ยอมเปิดปาก ก้มหน้าก้มตาทานอาหารราวกับรื่นรมย์เสียยิ่งนัก
---------------------
ผลไม้หลังมื้ออาหารถูกวางลงบนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยในห้องนั่งเล่น แล้วส้มเด็กรับใช้ก็ก้าวถอยออกไป เหลือสองพี่น้องนั่งติดกันบนโซฟาตัวยาว ภัทริศเอียงตัวมองพี่สาวอย่างรอลุ้นว่าเรื่องที่พี่สาวจะพูดนั้นมีสาระสำคัญอันใด แน่นอนว่ายิ่งเกี่ยวกับมธุรินเขายิ่งอยากรู้...เป็นพิเศษ
“ก่อนอื่นพี่อยากรู้ว่าริศกับน้องหวานรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าจ๊ะ”
“ทำไมพี่มนถึงคิดว่าเป็นอย่างนั้นล่ะครับ”
“ก็อย่างที่พี่บอกไง ว่าพี่ได้ข่าวมาว่าตอนรับสมัครเลขา ริศระบุว่าต้องเป็น ‘มธุริน’ เท่านั้น ถ้าไม่รู้จักมาก่อนจะระบุได้ไง จริงไหม” คนเป็นพี่ตั้งข้อสังเกต และภัทริศก็ไม่ได้คิดปิดบัง เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนเอ่ยเล่า
“พี่มนจำเรื่องที่ผมโดนชนแล้วโทรศัพท์สลับกับเขาได้ไหมครับ” พี่สาวคิดครู่หนึ่งก็พยักหน้างงๆ น้องชายจึงขยายความ “คุณหวานคือคนที่ชนผมวันนั้นและเป็นเจ้าของข้อความที่ผมให้พี่มนอ่านครับ” ขณะเล่าเท้าความหลัง ใบหน้าและริมฝีปากของชายหนุ่มสะกดกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่มิด ให้ตายสิน่า ทำไมเขาต้องรู้สึกดีทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์นั้น
“หา! จริงเหรอริศ ทำไมโลกกลมอย่างนี้” ภัทรมนร้องพร้อมยกมือปิดปาก ดวงตาเบิกกว้างทั้งแปลกใจทั้งดีใจร่วมกับน้องชาย
“กลมกว่านั้นอีกครับ วันที่ผมไปส่งพี่มนที่สนามบิน พอกลับมา ผมก็มาเจอเธออยู่หน้าบริษัทและได้รู้ว่าเธอมาสมัครงานฝ่ายการตลาด”
“ฝ่ายการตลาด?” ภัทรมนทวนด้วยคิ้วขมวด “แล้วมาเป็นเลขาริศได้ยังไงล่ะ”
“นั่นล่ะครับ สาเหตุของการที่ผมต้องระบุชื่อเลขาส่วนตัว”
คราวนี้หญิงสาวร่างผอมถึงบางอ้อทั้งหมด เธอยิ้มกว้าง ขยับเข้าไปชิดน้องชาย จับอุ้งมือใหญ่ทั้งสองข้างของเขาไว้พลางบีบแน่น จ้องหน้าสบตาด้วยแววความหวังเต็มดวงตา ภัทริศมองตอบด้วยความสงสัย
“ริศรู้ไหมว่าพี่รักโลกกลมๆ ใบนี้แค่ไหน” อาจเพราะความดีใจกับบางสิ่งกระมังถึงทำให้ยิ่งพูดคนฟังยิ่งงงกว่าเดิม “ตอนพี่ไปอเมริกากับคุณภัตคราวนี้ พี่ไปเจอเพื่อนเก่าจ้ะ เขาและสามีไปพักอยู่กับพี่สาวที่นั่น เพื่อนพี่คนนี้แต่งงานมานานแล้ว เขามีลูกยากเหมือนพี่เลย แต่คราวนี้ริศรู้ไหมพี่ไปเจอลูกเขาด้วย!” ท่าทางของภัทรมนตื่นเต้นขึ้นเป็นทวีคูณ ภัทริศเองพลอยลุ้นจนตัวเกร็งไปด้วย “เขาเล่าให้พี่ฟังว่า หมอที่นั่นแนะนำให้เขามีลูกด้วยการ ‘อุ้มบุญ’ คือการฝากท้องกับคนอื่นน่ะจ้ะ เขาเลยฝากให้พี่สาวเขาตั้งท้องให้ ลูกเขาแข็งแรงสมบูรณ์ หน้าตาเหมือนแม่ม๊ากมาก”
“พี่มนกำลังจะบอกผมว่าพี่มนสนใจวิธีนี้หรือครับ?”
“อือฮึ แต่ไม่ใช่แค่สนใจนะจ๊ะ วันนี้พี่ไปปรึกษาคุณหมอในเมืองไทยมาแล้วด้วย พอได้ฟังคุณหมออธิบายจบ พี่นะ อยากกรีดร้องให้ลั่นโรงพยาบาลเลยล่ะริศ โอกาสเป็นไปได้สูงมากถ้าพี่หาคนมาอุ้มบุญให้ได้ พี่ก็เลยจะไปหาริศเพื่อเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ไม่นึกว่าพี่จะเจออะไรดีๆ” พอพูดถึงตรงนี้มือบางเขย่ามือน้องชายอย่างตื่นเต้น และมีความหวัง
“อะไรดีๆ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสงสัย ภัทรมนยิ้มกว้างที่สุดในชีวิต พยักหน้ายืนยันหลายต่อหลายครั้ง คนมองเลยทำตาปริบๆ ยิ่งสงสัยมากขึ้น “พี่มนช่วยทำให้ผมหายงงหน่อยได้ไหมครับว่าอะไรดีๆ คืออะไร แล้วมันเกี่ยวกับคุณหวานตรงไหน”
“คืออย่างนี้ คุณหมอบอกว่าการอุ้มบุญคือ การนำเชื้ออสุจิของพ่อกับไข่ของแม่มาปฏิสนธิกันและพัฒนาเป็นตัวอ่อน แล้วค่อยย้ายตัวอ่อนนำไปฝากไว้ในโพรงมดลูกของคนที่เราจะให้เขาอุ้มบุญให้ เนื่องจากร่างกายพี่ไม่แข็งแรง ถ้าอุ้มท้องเองจะมีโอกาสแท้งสูง” หญิงสาวเว้นวรรคหายใจ ความตื่นเต้นทำให้เธอถึงกับเหนื่อยเลยทีเดียว “พี่ก็เลยถามหมอว่า คนที่จะอุ้มบุญให้กับเราต้องมีลักษณะอย่างไร คุณหมอเลยบอกว่าถ้าได้ญาติกันก็จะดี ไม่เกี่ยวกับทางการแพทย์นะ เพียงแต่ว่าถ้าเป็นญาติกันตอนคลอดและคืนลูกให้เราจะได้ไม่มีปัญหาเท่านั้นเอง แต่ถ้าไม่มีญาติก็ให้ใครก็ได้ ถ้าได้คนอายุน้อยก็จะยิ่งดี แต่งงานหรือยังไม่แต่งงานก็ได้ ขอเพียงเขามีร่างกายแข็งแรง พร้อมยอมรับเงื่อนไข และพร้อมจะ...เสียสละ”
“เอ๊ะ วิธีนี้ใช่วิธีเดียวกับการทำเด็กหลอดแก้วไหมครับ ผมเคยได้ยินมาเรื่องเด็กหลอดแก้ว อีกวิธีที่ทำให้คนมีลูกยากมีลูกได้” ภัทริศให้ความสนใจในเรื่องนี้เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยหาข้อมูลมาเพื่อช่วยพี่สาวนี่ละ
“พี่ก็ถามคุณหมอเหมือนกันนะเรื่องนี้ จริงๆ มันคือวิธีเดียวกันนั่นละ แต่ต่างกันที่ขั้นตอนสุดท้ายจ้ะ คือถ้าเด็กหลอดแก้ว พอน้ำเชื้ออสุจิของพ่อกับของแม่มาปฏิสนธิกันในห้องทดลองเรียบร้อยแล้ว เขาจะนำตัวอ่อนมาฝังในโพรงมดลูกของเจ้าของไข่ ในที่นี่ก็คือในตัวพี่นี่ละ แต่อย่างที่บอกพี่ร่างกายไม่แข็งแรง การอุ้มบุญก็เลยต้องหาคนมาอุ้มท้องเด็กหลอดแก้วแทน จะว่างั้นก็ได้จ้ะ”
ภัทริศเริ่มเข้าใจมากขึ้น เขาพยักหน้าพร้อมคิดตามคำพูดพี่สาวไปเรื่อยๆ อย่างไม่นึกเอะใจอะไร
“แล้วพี่มนคิดว่าจะให้ใครอุ้มบุญให้ละครับ เรามีญาติคนไหนที่พร้อมรับเงื่อนไขและเสียสละบ้าง?” ชายหนุ่มเกิดข้อสงสัยใหม่ คราวนี้สีหน้าของภัทรมนลำบากใจขึ้นมานิดหน่อย
“นั่นล่ะประเด็น พี่คิดตลอดทางที่นั่งรถไปหาริศ แต่ก็คิดไม่ออก เราไม่มีญาติผู้หญิงคนไหนที่พร้อมเลย”
“คุณแม่สิครับ!”
สิ้นคำพูดนั้นฝ่ามือของพี่สาวซัดเผียะเข้าตรงต้นแขนแข็งแรง ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจ ยิ่งเห็นสายตาค้อนควักของพี่สาวเขายิ่งขำ
“ทำมาพูดดีนะ คุณแม่ได้ยินละจะเนื้อเขียว”
“เอ้า ผมพูดจริงนะครับ คุณแม่เรายังสาวอยู่เลย แข็งแรงด้วย”
“บ้าหรือริศ คุณแม่น่ะอุ้มท้องเราสองคนมา เลี้ยงกว่าจะโตเหนื่อยแย่แล้ว จะให้มาอุ้มท้องหลานอีกเหรอ ไม่เอาละ พี่เจอคนที่คิดว่าเหมาะสมแล้ว เหลือแต่...เขาจะยอมไหมก็เท่านั้นเอง” น้ำเสียงประโยคหลังเบาอย่างขาดความมั่นใจ
น้องชายชะงักในทันที อะไรบางอย่างสะกิดใจเขาอย่างแรง ชายหนุ่มเด้งตัวนั่งหลังตรง จ้องหน้าพี่สาวเขม็ง ก่อนค่อยๆ ขยับปากอย่างกล้าๆ กลัวๆ เอ่ยถาม
“พี่มน...อย่าบอกนะครับว่า...” แค่คิดภัทริศยังรู้สึกว่าน้ำลายฝืดเต็มทน “...ว่าพี่มนจะให้....”
“ใช่จ้ะ ริศเข้าใจไม่ผิด พี่ถูกใจน้องหวาน พี่ลองถามประวัติเขาแล้ว ไม่มีใครเหมาะสมเท่าเลยจ้ะ”
“เฮ้ย! พี่มน!”
นี่กระมัง สาเหตุที่ภัทรมนไม่ยอมพูดเรื่องนี้ที่โต๊ะอาหาร จริงอย่างเธอว่า ถ้าเขาได้ฟังเรื่องนี้ตอนทานข้าว เป็นได้สำลักลงไปชักดิ้นชักงอบนพื้นแน่ๆ
อาการร้องด้วยความตกใจนั้นภัทรมนรู้ในทันทีว่าน้องชายช็อก และอาจไม่เห็นด้วยกับคนที่เธอเลือก ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว กับการจะให้ใครสักคนมาเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ แม้จะถูกใจมธุรินก็จริง แต่ลึกๆ หญิงสาวก็หวาดหวั่นเหมือนกัน กลัวมธุรินไม่ตกลง หรือถ้าตกลงมันก็เหมือนทำลายชีวิตสาวโสดคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก็นั่นละ อย่างที่บอกว่าการอุ้มบุญครั้งนี้ คนมาอุ้มบุญต้องพร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ และการยอมรับเงื่อนไขทั้งปวง
“พี่รู้นะริศว่ามันอาจฟังเห็นแก่ตัวเกินไป แต่ตอนไปเที่ยวกับคุณภัตครั้งนี้ ริศรู้ไหมคุณภัตเขาดูไม่มีความสุขเลย เหม่อลอยตลอดเวลา บางครั้งก็หงุดหงิดลืมตัว เคร่งเครียด จนพี่เองก็พลอยไม่สนุกและไม่มีความสุขไปด้วย พี่รู้ว่ามันเกิดเพราะอะไร แต่อีกเหตุผลนึงพี่เชื่อว่าคนมีครอบครัวทุกคนอยากให้ครอบครัวอบอุ่นสมบูรณ์ด้วยการมีลูก” หยุดเพื่อมองหน้าน้องชายด้วยสายตาหม่นเศร้า “พี่มั่นใจว่าถ้าพี่มีลูกให้คุณภัตได้ ทุกอย่างระหว่างพี่กับเขาต้องดีขึ้นแน่ๆ จ้ะริศ”
ความเงียบตีวงกว้างทั้งห้อง ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จะเอ่ยคำใดต่อ ปล่อยให้ใช้ความคิดส่วนตัวกันคนละครู่ใหญ่ๆ ภัทริศจึงเอ่ย
“แล้วพี่ภัตรู้เรื่องนี้หรือยังครับ”
“ยังจ้ะ แต่พี่มั่นใจว่าเขาต้องเห็นด้วยแน่ พี่อยากเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อน พอมีเวลาพี่จะได้บอกเขา”
ริมฝีปากหยักลึกเม้มเข้าหากันแน่น เห็นอาการดีใจของพี่สาวภัทริศยอมรับว่าเขาพลอยมีความสุขไปด้วย และหากวิธีนี้จะทำให้ชีวิตคู่ของพี่สาวกับพี่เขยเขาดีขึ้น ชายหนุ่มพร้อมจะช่วยเหลือเต็มที่ หากเมื่อมีเงื่อนไขหรือข้อแม้เป็นมธุรินนั้นเล่า เขาควรทำอย่างไรดี ส่วนตัวเขาไม่ใช่ปัญหา แต่เลขาสาวเพิ่งผ่านเข้ามาในชีวิตเขากับภัทรมน จะใช้ความสำคัญอันใดไปร้องขอให้เขามาเสียสละให้
“พี่มนพูดเรื่องนี้กับคุณหวานหรือเปล่าครับวันนี้” พี่สาวส่ายหน้าไปมาช้าๆ
“พี่รอปรึกษาริศก่อน แต่น้องหวานเหมาะเหลือเกินนะริศที่จะมาอุ้มบุญลูกพี่ เขาเป็นคนอารมณ์ดี อายุยังน้อย สุขภาพแข็งแรง ที่สำคัญถ้าเขายอมตกลงเราจะดูแลเขาเป็นอย่างดี และพี่ยินดีจ่ายค่าเสียสละครั้งนี้ให้อย่างคุ้มค่าจ้ะ”
ร่างสูงผ่อนลมหายใจยาว พลิกมือมากุมมือพี่สาวแทนก่อนเอ่ยเนิบช้า
“คนอย่างคุณหวานเธอไม่เห็นแก่เงินหรอกครับพี่มน ขนาดผมจ่ายค่าซ่อมรถให้ เธอยังไม่พอใจ รีบร้อนเอามาคืนจนได้ อีกอย่าง...เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตเธอเลยนะครับ จะมีเงินจำนวนไหนจ่ายให้เธอแล้วเรียกว่า ‘คุ้มค่า’ ได้ล่ะครับ”
“จ้ะ พี่ก็พอมองออก พี่เลยอยากขอร้องริศ ให้ช่วยพูดกับน้องหวานให้พี่หน่อย แค่ลองนะริศนะ ถ้าเขาไม่ตกลงก็ไม่เป็นไร แต่พี่บอกริศตามตรงเลยว่า พี่อยากให้ริศช่วยพี่ให้สำเร็จ เพราะนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตพี่เหมือนกัน”
ใบหน้าพี่สาวหม่นหมองจนภัทริศต้องระบายลมหายใจยาวอีกครั้ง
ชายหนุ่มรู้ว่าภัทรมนไม่ใช่คนชอบเอาเปรียบคนอื่น เรื่องคราวนี้พี่สาวเขาเป็นทุกข์ใจอย่างหนักจริงๆ ทั้งเรื่องสามีไปมีคนอื่น ความสั่นคลอนในครอบครัว และความอยากมีลูกมาตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้ว
“เอาเป็นว่าผมขอเก็บไปคิดดูก่อนนะครับ และถ้ามีลู่ทาง หรือมีโอกาส...ผมจะลองดู”
“ขอบใจมากนะริศ...ขอบใจมาก” ภัทรมนเขย่ามือน้องชาย ยิ้มทั้งปากทั้งตาอย่างมีความหวัง ส่วนน้องชายนั้นได้แต่ยิ้มน้อยๆ กลืนความลำบากใจลงคอไปเสีย
“งั้นวันนี้ผมขอตัวก่อนดีกว่า พี่มนเองจะได้พักผ่อน เพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อเช้าเอง” อีกฝ่ายพยักหน้ารับเร็วๆ ยังไม่คลายยิ้มแห่งความดีอกดีใจ ร่างสูงลุกยืนพร้อมๆ กับพี่สาวที่เดินออกมาส่งหน้าบ้าน
พอน้องชายเปิดประตูรถยังไม่ทันได้ก้าวขึ้นนั่ง ภัทรมนก็เรียกรั้งไว้ พร้อมเดินไปหยุดยืนใกล้ๆ ร่างสูงนั้น เงยมองหน้าเขาเงียบๆ ชั่วครู่ก่อนเปิดปากถาม
“ริศ...ชอบน้องหวานใช่ไหมจ๊ะ”
คำถามนั้นราบเรียบ แต่ให้ความหมายลึกซึ้ง ภัทริศมองตอบพี่สาวนิ่ง เขาไม่ได้ใคร่ครวญ ไม่ลังเล เพียงแต่กำลังตัดสินใจ
“โชคชะตากำลังเล่นตลกกับผม คงจะจริงอย่างที่พี่มนเคยบอก ความรักเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราควบคุมมันไม่ได้ สั่งไม่ได้ แต่ถึงสั่งได้ ผมก็จะสั่งให้มันไปทางนี้ครับ แม้ผมไม่มีสิทธิ์เลือกแล้วก็ตาม”
“มันคือความรัก...ไม่ใช่แค่ความชอบ?” ภัทรมนถามเพื่อย้ำความมั่นใจว่าตนเองมองไม่ผิด ภัทริศพยักหน้าหนักแน่น และต่างเงียบกันไปครู่
“น่าขำไหมครับ ผมไม่เคยนึกเลยว่าความรักมีอานุภาพร้ายแรงขนาดนี้ เราแทบไม่ต้องอาศัยเวลาเลย สำหรับการรักใครสักคน แค่เพียงสบตา ส่งข้อความหากัน ถ้าคนๆ นั้นคือคนที่ใช่ ความรักมันก็เกิดขึ้นชั่วพริบตา ชั่วลมหายใจเข้าออกสั้นๆ ผิดกับคนบางคน...ถึงเราพยายามแค่ไหน...ก็เท่านั้น”
ยิ่งฟังภัทรมนยิ่งสงสารน้องจับหัวใจ ไม่มีอะไรผิดจากคำพูดเขาเลย ‘ความรัก’ เมื่อหยั่งรากลึกลงบนเนื้อหัวใจนิ่มๆ ยากเหลือเกินกับการจะถอนมันออก
ร่างผอมเดินเข้าไปโอบกอดน้องชายทดแทนทุกคำพูดที่ไม่สามารถหาคำใดมาปลอบหรือพูดให้มันเป็นจริงได้ ชายหนุ่มโอบกอดร่างเล็กตอบ หลับตาเกยคางบนศีรษะเล็กๆ ของพี่สาว คล้ายกำลังถ่ายถอดความหนักอึ้งในหัวใจออกไปบ้าง
“ถ้าไม่เจ็บปวดและเห็นแก่ตัวเกินไปนัก พี่ว่าการได้อยู่ใกล้ๆ เห็นหน้า และพูดคุย แม้ไม่อาจสัมผัสหรือครอบครองได้ แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้เจอกันเลย ริศว่ายังไง”
สองแขนแข็งแรงดันร่างพี่สาวออกห่างตัว ระบายยิ้มอ่อนๆ ให้เธอแล้วบอก
“สิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำ ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหน นั่นคือการอยู่ห่างๆ เธอครับพี่มน” คนฟังยิ้มพอใจ เรื่องของหัวใจก็ย่อมต้องฟังเสียงหัวใจ
“พี่เชื่อและภาวนาว่าการพบกันของริศกับน้องหวานครั้งนี้คงไม่ใช่แค่การผ่านมาแล้วผ่านไป มันเป็นความตั้งใจของโชคชะตา และพี่ว่าโชคชะตาไม่เล่นตลกกับเราครั้งนี้ครั้งเดียวหรอกน่า อะไรๆ ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้”
“ขอบคุณครับ เข้าบ้านเถอะ โดนน้ำค้างนานๆ จะไม่สบายเอาได้ ผมจะรีบกลับเดี๋ยวพระมารดาโทรตามอีก แล้วจะเป็นเรื่อง”
เขาบอกพร้อมก้มลงหอมแก้มพี่สาวอย่างแสนรัก แทรกตัวเข้าไปยังที่นั่งคนขับ โบกมือลาภัทรมนแล้วเคลื่อนรถออกไป
ภัทรมนมองจนไฟท้ายรถน้องชายลับสายตา...โชคชะตาต้องไม่แค่เล่นตลกแน่ๆ นี่คือความตั้งใจจากฟ้า การได้พบมธุริน คือเส้นทางที่ถูกขีดไว้ ทั้งเธอและน้องชาย หญิงสาวยิ้มให้ตัวเองก่อนเดินเข้าบ้านไป
----------------------------
ในความมืดมิดของราตรี ท่ามกลางความเงียบสงัดยามดึก ยศยานอนลืมตาในความมืดที่มีแสงสลัวรางจากด้านนอกสาดเข้ามาภายในห้องนอนของคอนโดฯ สุดหรู หญิงสาวเคยคิดว่าทำไมโชคชะตาถึงเล่นตลกกับเธอนักหนา ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยรักใครนอกจาก ‘เขา’ แต่ฟ้าก็ยังพรากให้เขาไปแต่งงานกับคนอื่น และหัวใจเจ้ากรรมของเธอก็ยังปักหลักอยู่กับเขาไม่ไปไหน ไม่ยอมเอนเอียงไปหาใคร แม้กระทั่ง ภัทริศคู่หมั้นสุดเพอร์เฟกต์ในสายตาใครๆ ก็ตาม
ใบหน้าเรียวหันมองคนนอนข้างๆ ด้วยแววรักใคร่และทุกข์ทนระคนกัน ยามมีเขามาเคียงข้างเธอช่างเป็นสุขล้นหัวใจ หากยามใดเขาไปเคียงข้างคนอื่น ต่อให้บอกว่าไม่รัก มันก็ยากเหลือเกินที่จะสั่งให้ตัวเองไม่ทรมาน
“หวาน...หวาน! คุณอยู่ไหน กลับมานะหวาน กลับมาหาผม หวาน!”
เสียงละเมอและมือที่ไขว่คว้ากลางอากาศ ราวกับมือที่ดึงให้คิ้วโก่งสวยขยับมามัดกันแน่น ความโกรธแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ รุมกัดทึ้งในหัวอก มือทั้งสองข้างกำผ้าห่มแน่น เพ่งสายตามองผู้ชายข้างตัวเขม็งจนรู้สึกร้อนหัวตา พานพาให้น้ำตาจะไหล
“พี่ภัต!” ยศยาตะโกนสุดเสียงจนคนนอนหลับเพราะความอ่อนเพลียสะดุ้งตื่น หากสติยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ “ตื่นเลยนะพี่ภัต นี่พี่ภัตละเมอถึงใคร บอกแยมมานะ พี่ภัต! ตื่น ตื่นมาพูดกันให้รู้เรื่องนะ!” ปากก็ร้องเรียก มือนั้นทุบลงบนแผงอกหนาเปลือยเปล่าไม่ยั้ง กระทั่งฝ่ายถูกทำร้ายสะดุ้งและเด้งตัวลุกนั่งกลางเตียง คนโวยวายจึงคว้าเปิดโคมไฟหัวเตียงเพื่อได้มองหน้ากันชัดๆ
“มีอะไรแยม ปลุกพี่ทำไมดึกดื่นป่านนี้”
เสียงเขาหงุดหงิดงัวเงีย ยังไม่สำเหนียกว่าเพ้ออะไรออกมา
ยศยาจ้องเขาตาขุ่น หายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงแรง มือที่กำแน่นซัดปึกเข้าตรงหัวไหล่ชายหนุ่มอีกครั้ง
“ปลุกทำไมน่ะหรือ? ก็แยมอยากรู้นะสิคะว่าดึกดื่นป่านนี้พี่ภัตละเมอถึงใคร นอกจากนังเมียขี้โรคนั่น นอกจากแยมแล้ว พี่ภัตยังมีใครอีกคะ นี่ใช่ไหม สาเหตุที่ช่วงหลังๆ พี่ภัตหายไปบ่อยๆ เพราะพี่ภัตแอบไปมีคนอื่นอีกใช่ไหม ใช่ไหมๆๆ พี่ภัตบอกแยมมานะ!”
สองมือรัวทำร้ายอีกฝ่ายด้วยแรงอารมณ์ หยดน้ำอุ่นๆ มาออกันอยู่ในเบ้าตาจวนเจียนจะหยาดหยดเต็มทน หากเธอยังเก็บกลั้นมันไว้
“โอ๊ย! แยมอย่าบ้าน่า แค่ทำงาน ดูแลคุณมน แล้วก็แบ่งเวลาให้แยม พี่ก็แทบไม่เหลือเวลาหายใจแล้ว จะไปหาใครตอนไหนได้อีกเล่า” เขารวบมือเธอทั้งสองข้างเข้าไว้ด้วยกัน หนังตายังหนักอึ้งด้วยความอ่อนเพลียและง่วงงุน
แขนเรียวพยายามดึงกลับจะให้หลุดแต่เขาแรงเยอะพอจะกำไว้แน่น หลุดออกได้ยาก
“ไม่จริง พี่ภัตอย่ามาโกหก! แยมไม่เชื่อ ถ้าไม่มีใครพี่ภัตจะละเมอชื่อนังหวานได้ยังไง หวานไหนละ บอกมาสิ แยมจะไปฆ่ามัน ฆ่าให้หมดเลยนังพวกผู้หญิงที่พี่ภัตไปข้องแวะ”
คราวนี้บริภัตตื่นเต็มตาเมื่อได้ยินว่าตัวเองละเมอชื่อใคร เขานิ่งและยอมปล่อยมืออีกฝ่ายให้เป็นอิสระ ยศยายังคงจ้องเขาไม่วางตา
“หึ! นั่นไง เงียบไปเลย แสดงว่านังคนชื่อหวานนั่นมีจริง พี่ภัตรักมันหรือคะ ถึงได้ละเมอหา ทำไมพี่ภัตทำกับแยมได้ลงคอ ที่ผ่านมาแยมยังเจ็บปวด ยังทรมานไม่สาแก่ใจพี่ภัตหรือไง ถึงได้ทำกับแยมอย่างนี้ แค่แยมรักและยอมพี่ภัตขนาดนี้ พี่ภัตยังคิดนอกใจแยมตลอดเวลา ไม่ใจดำไปหน่อยหรือคะ”
หยดน้ำตารินหลั่งลงอาบแก้มสวยไม่ขาดสาย สายธารแห่งความรานร้าวไหล่บ่าท่วมท้นหัวใจ ในโลกนี้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากเป็น ‘รอง’ ให้เจ็บช้ำน้ำใจตัวเอง นอกเสียจากว่าเขาคนนั้นคือคนที่เธอรักปักใจจนยากจะถอดถอน
ยศยาก็เช่นเดียวกัน เธอกับบริภัตรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ สิ่งที่หญิงสาววาดฝันไว้คือเมื่อโตขึ้นจะเป็นเจ้าสาวของเขา เธอหลงรักเขาเรื่อยมา คาดหวังว่าเมื่อถึงเวลาจะได้แต่งงานสมดั่งใจ ทว่าสุดท้าย จู่ๆ ผู้ใหญ่ทางบริภัตกับผู้ใหญ่ทางภัทรมนซึ่งรู้จักกันมานานก็จับคู่ให้ทั้งสองคนหมั้นและแต่งงานกัน บริภัตไม่ได้ปฏิเสธเพราะโดยพื้นฐานแล้ว เขาเองไม่เคยรักยศยามากกว่าความเป็นน้องเลย
“ไม่มีอะไรหรอกน่า นอนเถอะ พี่ง่วง”
เขาปัดที่จะอธิบายเรื่องทั้งหมด เพราะไม่เห็นประโยชน์อันใด นอกจากทำร้ายน้ำจิตน้ำใจเธอมากขึ้น หนำซ้ำจะทะเลาะกันไม่รู้จบอีกต่างหาก
“ไม่ค่ะ จนกว่าเราจะพูดกันให้รู้เรื่องก่อน แยมจะไม่ยอมอีกต่อไปแล้วนะคะ ถ้าพี่ภัตไม่อธิบายเรื่องนังคนชื่อหวานอะไรนั่นให้กระจ่างแจ้ง แยมก็จะประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเราเป็นอะไรกัน แยมจะไปบอกนังเมียขี้โรคของพี่ภัต จะบอกริศว่าแยมมีสามีแล้ว ชื่อบริภัต!”
“แยม!”
บริภัตตวาดขึ้นอย่างเหลืออด หากไม่พูดอะไรมากกว่านั้นนอกจากแสดงท่าทางหัวเสีย
ความผิดพลาดมันเริ่มจากการที่เขาตัดสินใจแต่งงานเพราะความสงสารภัทรมน และต่อมาก็พลาด ที่ปล่อยให้อารมณ์ต้องการแบบผู้ชาย ทำให้เขาใจอ่อน เมื่อยศยาเสนอตัวเข้ามาในช่วงที่ภัทรมนกำลังไม่สบาย พลาดครั้งสำคัญคือ เขาพลาดที่ไปรักมธุรินอย่างจริงจัง ผู้หญิงคนนั้นอยู่นอกเหนืออารมณ์ แต่เธอคือความรู้สึกลึกซึ้ง
“เรียกแยมทำไมคะ พี่ภัตกลัวหรือคะ กลัวใครๆ จะรู้เรื่องของเราใช่ไหม แล้วไม่คิดบ้างหรือคะว่าแยมทุกข์ขนาดไหนกับการอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ อย่างนี้ ไม่รู้หรือคะว่าแยมต้องเหงา อ้างว้าง คิดถึงพี่ภัตขนาดไหนเวลาพี่ภัตอยู่กับคนอื่น เจ็บบ้างไหมคะ รู้สึกบ้างไหมคะ!”
เธอลงมือทุบตีเขาอีกครั้งอย่างระบายอารมณ์คลุ้มคลั่ง คั่งแค้นในอก
“แยมก็มีนายริศแก้เหงาแล้วไง หรือถ้าแยมจะเลิกกับพี่ให้เด็ดขาดเพื่อไปแต่งงานกับนายริศพี่ก็ยินดีนะ เพราะพี่ก็ไม่อยากทำร้ายแยมแล้วเหมือนกัน”
เพียะ!!!
มือบางที่ฟาดไปเต็มใบหน้าเขาสั่นน้อยๆ ริมฝีปากถูกกัดแน่นไม่ให้สั่น เธอจ้องเขาผ่านม่านน้ำตาที่พร่ามัว ผู้ชายคนนี้ไม่เคยรักเธอเลย ไม่เคยเข้าใจ ดีแต่ผลักไสให้ออกห่าง ทุ่มเทเท่าไหร่ก็ไม่ต่างจากการทุ่มทิ้ง เจ็บใจตัวเองนักที่รักเขาชนิดถอนตัวไม่ขึ้น
“เห็นแก่ตัว! พี่ภัตก็รู้ว่าแยมรักพี่ภัตคนเดียว ไม่ได้รักริศเลย แยมไม่ใช่ผู้หญิงสำส่อนนะคะ ที่จะได้นอนกับใครโดยไม่รู้สึกอะไร ทุกวันนี้ที่แยมยอมเป็นเมียเก็บพี่ภัตทั้งๆ ที่มาก่อน มันเพราะรักนะคะ ไม่ใช่เพราะแยมใจง่าย พี่ภัตได้ยินไหมคะ แยมรักพี่ภัต รู้สึกบ้างไหมคะพี่ภัต!”
ร่างระหงสะอื้นแรง น้ำมูกน้ำตาไหลนองใบหน้า เหมือนเครื่องปรับอากาศในห้องลดอุณหภูมิต่ำลงจนรู้สึกเหน็บหนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ
บริภัตหลับตาสงบสติตัวเอง ทบทวนหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมา คงจะจริงอย่างเธอว่านั่นละ เขามันเห็นแก่ตัว ปล่อยให้เกิดความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่คิดห้ามใจ จนทำร้ายใครต่อใครอย่างไม่เป็นสุภาพบุรุษ
“พี่ขอโทษแยม...พี่ขอโทษ”
เขาบอกเสียงอ่อนโยนลง ดึงร่างนั้นมากอดไว้แนบอก ถึงไม่เคยรักเธออย่างที่ผู้ชายคนนึงพึงรักผู้หญิงสักคน แต่ระหว่างเขากับเธอแนบแน่นด้วยความผูกพันกันมาทั้งชีวิต
ยศยาไร้แรงต้านทาน เธอสวมกอดเขาตอบ และยิ่งสะอื้นหนักขึ้น เมื่อตระหนักถึงหนทางข้างหน้าที่มืดมัวไร้ทางออก
หลังจากบริภัตแต่งงานกับภัทรมน ยศยาก็ไม่ปฏิเสธเมื่อพ่อแม่จับเธอให้คู่กับภัทริศ ตอนนั้นคิดเพียงว่าต้องการประชดบริภัต และจะได้คอยอยู่ใกล้ๆ เขากับภรรยาเพื่อเป็นก้างขวางคอ ที่สำคัญ ถึงอยู่ใกล้แล้วเจ็บปวดเธอก็ยินดี ขอให้ได้ยินเสียง ได้พบหน้า พูดคุยกันบ้าง ดีกว่าต้องห่างกันไปเลย
หากสุดท้ายหญิงสาวได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่เธอตัดสินใจทั้งหมด นอกจากไม่เป็นผลกับบริภัตแล้ว ยังกลายเป็นว่าหาห่วงมาผูกคอให้มีพันธนาการลุกลามไปมากกว่าเดิมเสียอีก
กระนั้นการได้รู้จักกับภัทริศก็ยังมีเรื่องดีอยู่บ้าง ผู้ชายคนนั้นเป็นเพื่อนที่ดี คลายเหงาได้ในเวลาที่ไม่อยากกินข้าวคนเดียว ไม่อยากช็อปปิ้งคนเดียว และถึงไม่ได้รักเขา เธอก็จะไม่มีวันยอมให้ใครมาแย่งภัทริศไปได้หรอก สำหรับยศยาตอนนี้สิ่งที่เธอเกลียดที่สุด คือการถูกแย่ง ไม่ว่าของนั้นจะรักหรือไม่รัก หากมันเป็นของเธอ ใครก็ไม่มีสิทธิ์!
“พี่ภัตสัญญากับแยมได้ไหมคะ ว่าพี่ภัตจะไม่มีใครอื่นอีก แยมยินยอมพี่ภัตได้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องนี้เท่านั้นนะคะ ที่แยมจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด”
“เราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันตอนนี้เลย นอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มีงานเช้า” ลองเขาบ่ายเบี่ยงอย่างนี้แสดงว่าเขาต้องการนอกใจเธอไปมีคนอื่นอีก
หญิงสาวเด้งตัวออกห่างเขาราวกับกำลังกอดของร้อนก็ไม่ปาน ดวงตาคู่สวยจ้องเขาอย่างอาฆาต
“แยมเกลียด! เกลียดเวลาพี่ภัตขัดใจ และคิดนอกใจแยมตลอดเวลา จำไว้นะคะ คนอย่างแยม เมื่อจนหนทางแยมทำได้ทุกอย่าง ถ้าพี่ภัตไม่เชื่อก็ลองดู ถ้าแยมรู้ว่า นังหวานนั่นมีตัวตน และแยมได้เจอ...” เธอจ้องตาเขานิ่ง ขบฟันแน่น “แยมจะฆ่ามัน!”
เท่านั้นหญิงสาวก็สะบัดตัวลงจากเตียงเดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ ปล่อยให้บริภัตมองตามด้วยความหนักใจ
“แยม!”
โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชมค่ะ ^^

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ส.ค. 2554, 10:52:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ส.ค. 2554, 10:52:52 น.
จำนวนการเข้าชม : 2602
<< บทที่ 5 | บทที่ 7 >> |

anOO 22 ส.ค. 2554, 12:29:38 น.
โอ้ว....แล้วถ้าแยมได้เจอหวานหน้าห้องนายริศล่ะ
เรื่องมันจะยุ่งกันไปใหญ่ไหมเนี้ย
โอ้ว....แล้วถ้าแยมได้เจอหวานหน้าห้องนายริศล่ะ
เรื่องมันจะยุ่งกันไปใหญ่ไหมเนี้ย

แว่นใส 22 ส.ค. 2554, 12:35:54 น.
นายภัตนี่ชั่วที่สุดในเรื่องเลย เหมือนเป็นคนดีแต่เจ้าชู้จริง ๆ
นายภัตนี่ชั่วที่สุดในเรื่องเลย เหมือนเป็นคนดีแต่เจ้าชู้จริง ๆ

บัวขาว 22 ส.ค. 2554, 13:23:31 น.
สงสารหวานจัง ...
สงสารหวานจัง ...

tangtangmeow 22 ส.ค. 2554, 14:03:15 น.
มาให้กำลังใจน้องปลากัดครับ
มาให้กำลังใจน้องปลากัดครับ

แพม 22 ส.ค. 2554, 15:10:39 น.
บริภัตจะหนักใจทำไม ผลของการกระทำที่(แก) ทำไว้อ่ะ
ภัทรมนและภัทริศก็ลองให้มธุรินอุ้มบุญดูสิ แล้วจะรู้ว่านรกมีจริง บริภัตรู้มีหวังชิ่งไปทั้งแม่ทั้งลูกในท้อง
ยศยา ถ้ารักเขาแล้วทุกข์ก็หันมารักตัวเองมั่ง
มธุรินน่าสงสารสุด ชาติที่แล้วไปทำกรรมอะไรไว้หนอ
เห็นแววแล้วว่าเรื่องมันจะเป็นยังไงต่อไป
บริภัตจะหนักใจทำไม ผลของการกระทำที่(แก) ทำไว้อ่ะ
ภัทรมนและภัทริศก็ลองให้มธุรินอุ้มบุญดูสิ แล้วจะรู้ว่านรกมีจริง บริภัตรู้มีหวังชิ่งไปทั้งแม่ทั้งลูกในท้อง
ยศยา ถ้ารักเขาแล้วทุกข์ก็หันมารักตัวเองมั่ง
มธุรินน่าสงสารสุด ชาติที่แล้วไปทำกรรมอะไรไว้หนอ
เห็นแววแล้วว่าเรื่องมันจะเป็นยังไงต่อไป

คิมหันตุ์ 22 ส.ค. 2554, 15:16:21 น.
โอ้โหอิรุงตุงนังมากกกกกกกกก
โอ้โหอิรุงตุงนังมากกกกกกกกก

innam 22 ส.ค. 2554, 16:37:54 น.
ตามเป็นกำลังใจ
ตามเป็นกำลังใจ

ann 22 ส.ค. 2554, 17:18:03 น.
สรุปเรื่องนี้นายภัตเป็นคนที่เห็นแก่ตัวสุดๆ
สรุปเรื่องนี้นายภัตเป็นคนที่เห็นแก่ตัวสุดๆ

ปลากัด 22 ส.ค. 2554, 17:46:44 น.
ขอบคุณทุกๆ คนนะคะ ที่อินกันมากๆ 5555+
แต่อย่าเพิ่งตัดใจจากเรื่องนี้น้า อะไรๆ มันอาจไม่เลวร้ายเกินไปก็ได้
ขอบคุณที่ติดตามให้กำลังใจกัน หวังว่าจะติดตามจนจบนะคะ ^^
ขอบคุณทุกๆ คนนะคะ ที่อินกันมากๆ 5555+
แต่อย่าเพิ่งตัดใจจากเรื่องนี้น้า อะไรๆ มันอาจไม่เลวร้ายเกินไปก็ได้
ขอบคุณที่ติดตามให้กำลังใจกัน หวังว่าจะติดตามจนจบนะคะ ^^


dee_jung 22 ส.ค. 2554, 22:01:20 น.
ยายแยมหรือเนี่ย ไม่น่าเชื่อ
ยายแยมหรือเนี่ย ไม่น่าเชื่อ

Pat 22 ส.ค. 2554, 22:25:58 น.
มีแต่คนเห็นแก่ตนเอง บริพัตนอกใจเมียมีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นน้องเมียตัวเอง ไม่รู้มองหน้ากันยังไง ส่วนแยมมีความสัมพันธ์กับพี่เขยคู่หมั้นตัวเองในขณะเดียวกันก็จะไม่ยอมเสียคู่หมั้น(ที่ไม่ได้รัก) โฮะโฮะ ส่วนภัทรมนถึงกับหวังในสิ่งที่เป็นไปได้ยาก(ที่สุดสำหรับผู้หญิงโสดคนหนึ่ง)กับคนที่เจอครั้งแรกและบอกว่าถูกชะตา เรื่องนี้ถ้าจะน่าสงสารคงเป็นหนูหวานกับนายริศ>.< เฮ้อ
มีแต่คนเห็นแก่ตนเอง บริพัตนอกใจเมียมีความสัมพันธ์กับคู่หมั้นน้องเมียตัวเอง ไม่รู้มองหน้ากันยังไง ส่วนแยมมีความสัมพันธ์กับพี่เขยคู่หมั้นตัวเองในขณะเดียวกันก็จะไม่ยอมเสียคู่หมั้น(ที่ไม่ได้รัก) โฮะโฮะ ส่วนภัทรมนถึงกับหวังในสิ่งที่เป็นไปได้ยาก(ที่สุดสำหรับผู้หญิงโสดคนหนึ่ง)กับคนที่เจอครั้งแรกและบอกว่าถูกชะตา เรื่องนี้ถ้าจะน่าสงสารคงเป็นหนูหวานกับนายริศ>.< เฮ้อ

ปูสีน้ำเงิน 22 ส.ค. 2554, 23:38:53 น.
นายภัตนี่ช่างเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวที่สุดเลย
นายภัตนี่ช่างเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวที่สุดเลย

pretty 23 ส.ค. 2554, 09:23:24 น.
ว่าแล้วเชียว
ว่าแล้วเชียว

มะดัน 1 ก.ย. 2554, 00:03:47 น.
จริงๆแล้วในประเทศไทยยังไม่ให้อุ้มบุญโดยคนที่ไม่ใช่ญาตินะคะ ตามกฏแพทยสภา...
จริงๆแล้วในประเทศไทยยังไม่ให้อุ้มบุญโดยคนที่ไม่ใช่ญาตินะคะ ตามกฏแพทยสภา...