รักอุ้มบุญ
...ความรักของเธอมันแท้ง! กี่ครั้งก็แท้ง! คราวนี้จึงต้องมีเขามาอุ้มบุญ รักครั้งนี้จะได้เป็นตัวเป็นตน...รักอุ้มบุญ
Tags: รักอุ้มบุญ,ปลากัด

ตอน: บทที่ 7

สวัสดีวันพุธค่ะ มาสลับให้มีบทผ่อนคลาย (?) บ้างเล็กน้อยดีกว่านะคะ ^^
ขอบคุณนักอ่านที่น่ารัก ทุกท่านนะคะ ^^

คุณ anOO - ถ้าเจอกันหน้าห้องทำงานจะเป็นยังไง ติดตามกันไปเรื่อยๆ นะคะ ^^
คุณแว่นใส - บางครั้งคนบางคนก็ปล่อยให้ความรักมีอิทธิพลจนลืมความถูกต้อง ^^
คุณบัวขาว - บางทีหวานอาจจะน่าอิจฉากว่าน่าสงสารนะคะ ^^
คุณ พี่เหมียว - ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ดีใจที่เหมียวแวะมานะคะ ^^
คุณแพม - ยามรักปักอุรา ทุกคนมักมองเห็นแต่ความต้องการของตัวเอง
ถ้าริศกับหวานมองเห็นความรักของตัวเองมากพอ ทุกอย่างคงไม่เลวร้าย ^^
คุณคิมหันตุ์ - 555+ นั่นสิคะ ชีวิตยุ่งเหยิงจัง แต่จะค่อยๆ จัดการให้เป็นระเบียบ ^^
คุณinnam - รับกำลังใจมาด้วยรอยยิ้มกว้างๆ ค่ะ ^___________^
คุณann - นายภัตคือตัวสะท้อนสังคมที่มีเกลื่อนเมืองทุกวันนี้ ^^
คุณรอให้เป็นเล่ม - เดาไม่ยากใช่ไหมคะ ^^
คุณdee jung - จริงๆ แยมก็น่าเห็นใจอยู่นะ เขารักของเขามานาน 555+
คุณPat - อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ หนูหวานกับริศอาจจะน่าอิจฉาท่ามกลางความน่าสงสารนะคะ ^^
คุณปูสีน้ำเงิน - เพราะความเห็นแก่ตัวของนายภัตเชียว ถึงทำให้นายริศ ได้เจอกับหนูหวาน ^^
คุณPretty - ว่าแล้วว่าต้องติดตามกันต่อไปใช่ไหมคะ ^^

ยิ้มรับทุกๆ คอมเม้นท์ค่ะ เรื่องกำลังจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ฝากติดตามด้วยนะคะ ^^

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-**-



บทที่7


ด้วยเรื่องที่กังสดาลโทร.มาหามธุรินนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะให้ใครได้ยิน หญิงสาวจึงหลบมุมมายืนตรงระเบียงเล็กๆ ข้างห้องทำงานใหญ่ของภัทริศ สีหน้าหญิงสาวค่อนข้างยุ่งทีเดียวเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของเพื่อน ทั้งความไม่สบายใจและเจ็บลึกผสมกัน

“ฉันว่าคุณภัตเขาไม่ยอมง่ายๆ หรอกยายหวาน ไม่งั้นเขาจะมาหาคุณนรินทร์ทำไม ดีนะที่ฉันปิดใจให้เขาตั้งแต่ทีแรก เขาเลยไม่กล้ามาถามอะไรฉัน” กังสดาลออกความเห็น ยิ่งทำให้มธุรินหนักใจมากกว่าเดิม

“ดีนะ ที่ตอนนั้นฉันไม่ได้บอกอะไรคุณนรินทร์ และเขาไม่รู้ว่าฉันทำงานที่ไหน โชคดีเหลือเกินแก้มที่ฉันไม่เคยให้พี่ภัตรู้จักบ้านฉัน...อย่างน้อยก็ไม่โง่จนเกินไปใช่ไหม” ทุกครั้งที่เอ่ยเรื่องนี้ เหมือนเป็นตราบาปสำหรับมธุริน ทั้งๆ ที่เพื่อนคอยเตือน ยายคอยให้สติ แต่เธอกลับหน้ามืดตามัว แม้ใจลึกๆ จริงๆ แอบหวั่นก็ยังดึงดันทำเป็นไม่ใส่ใจความข้องใจตัวเอง สุดท้ายเลยกลายเป็นคนโง่งมให้เขาหลอก

“บ้าน่า โง่เง่ออะไรกัน ก็แกไม่รู้นี่นา รอดมาได้ก็ดีแล้ว แต่ฉันว่านะแกระวังตัวไว้บ้างก็ดี ลองถ้าเขาไม่ยอมแพ้ เขาก็อาจจะหาแกจนกว่าจะเจอก็ได้ เฮ้อ ทำไมไม่จบๆ กันไปซะนะ มีทั้งเมียทั้งคนอื่นอยู่แล้วจะมาวุ่นวายกับแกทำไมอีกก็ไม่รู้ ผู้ชายไม่รู้จักพอ!” ฝ่ายโทร.มาเผลอบ่นด้วยความโมโห ส่งผลให้คนฟังถึงกับเงียบไป ไม่ได้โกรธคำพูดเพื่อน แต่มธุรินกำลังจมลงสู่ความรู้สึกเจ็บปวดในความผิดพลาดครั้งร้ายแรงของตัวเอง “เฮ้ย หวานเงียบทำไม ฉันขอโทษเผลอปากไปหน่อย”

“ไม่มีอะไรนี่ ไม่เห็นต้องขอโทษเลย แกพูดถูกทุกอย่าง”

“เอาเถอะ แกอย่าคิดมากเลย สรุปว่าจะมากินข้าวกับฉันไหม แต่แกต้องมาหาฉันนะ เพราะฉันไม่อยากไปหาแก บอกตรงๆ ฉันกลัว กลัวคุณนรินทร์จะแอบช่วยเพื่อนเขา ทำนองว่าสะกดรอยตามฉันเพื่อหาแกทำนองนั้น หรือคุณภัตเองอาจซุ่มตามฉันอยู่ก็ได้ ฉันไม่ได้คิดมากไปนะยะ แต่ช่วงนี้ฉันจะไม่ไปหาแกที่บ้าน ไม่ไปหาแกที่ทำงานใหม่ ต้องระวังไว้บ้างไม่เสียหาย”

“อือ ฉันเห็นด้วย เอาเป็นว่าเรานัดกินมื้อเที่ยงกันข้างนอกแล้วกัน แถวๆ ที่ทำงานแกนั่นละ เดี๋ยวฉันไปหา ตั้งแต่มาทำงานที่นี่เราก็ไม่ได้เจอกัน งั้นอีกครึ่งชั่วโมงเจอกันนะแก้ม ขอบใจแกมาก”

“สบายมากเพื่อน เดี๋ยวเจอกัน” แล้วทั้งคู่ก็ตัดสัญญาณกันไป มธุรินกำโทรศัพท์ในมือแน่น เหม่อมองผ่านกระจกใสออกไปเบื้องนอกอย่างไร้จุดหมาย

เธอจะต้องหลุดพ้นจากบริภัตให้ได้...และต้องหลุดพ้นแบบเด็ดขาด ไม่มีคำว่าติดต่อกันเลยไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม...หญิงสาวคิด และสูดหายใจเต็มปอด หมุนตัวกลับหลังแล้วต้องสะดุ้งโหยง

“ว้าย! คุณริศ!”

คนที่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงไม่ได้รู้สึกผิดใดๆ กลับยืนยิ้มคล้ายพอใจที่เห็นอีกฝ่ายตกใจจนหน้าเหวอ มธุรินจึงค้อนเข้าให้ แต่ก็ไม่ต่อว่าอะไร เพราะที่นี่เขาคือเจ้านาย

“เที่ยงแล้ว ผมจะมาชวนคุณไปทานข้าวด้วยกันครับ” เขาบอกด้วยใบหน้าที่ยังเปื้อนยิ้ม มธุรินสังเกตท่าทางเขาอย่างเป็นกังวล ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เขาเดินมาได้ยินการสนทนาของเธอหรือเปล่า เมื่อเขาเพียงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ไร้แววข้องใจใดๆ หญิงสาวจึงมั่นใจว่าเขาคงเพิ่งเดินมาเจอเธอ

“คุณไม่มีเพื่อนทานข้าวเหรอคะ” น้ำเสียงออกจะเกรงใจอยู่นิดหน่อย

“หูย คุณถามซะผมดูแย่เลยนะครับ เหมือนไม่มีเพื่อนคบเลย” เขาแกล้งทำหน้าตาค้อนราวผู้หญิง ก่อนพูดจริงจัง “เพื่อนผมมีเยอะแยะ แต่ผมอยากทานกับคุณ เพราะผมมีเรื่องจะคุยกับคุณด้วย”

มธุรินมองหน้าเจ้านายแล้วเม้มริมฝีปากแน่น คำพูดเขาแปลได้ทั้งพูดเล่นและพูดจริงในคราวเดียวกัน หากเขามีเรื่องงาน โดยหน้าที่เธอไม่สมควรเลี่ยง แต่ถ้าแค่อยากกินข้าวกับเธอ นัดของกังสดาลคงสำคัญกว่า

“คุณมีธุระด่วนหรือเปล่าคะ คุยตอนนี้เลยได้ไหม หรือเป็นช่วงบ่ายได้หรือเปล่าคะ พอดีฉันเพิ่งรับนัดเพื่อนไปทานข้าวกลางวันด้วยกันเมื่อกี้นี้เอง”

“คุณแก้มหรือเปล่าครับ” เขาถามหยั่งเชิงโดยหญิงสาวไม่เอะใจ ออกจะแปลกใจเสียมากกว่า

“คุณจำยายแก้มได้ด้วย?” อาการเบิกตาโตถามทำให้ภัทริศหลุดหัวเราะออกมา มองหน้าเธอแล้วนึกอยากย้อนอดีตให้หายคันปากเสียหน่อย

“จำได้สิครับ คุณไม่รู้หรือ ผมน่ะอย่าว่าแต่คนมีมิตรไมตรีอย่างคุณแก้มเลย ขนาดกับคนที่ชนแล้วหนีผมยังจำได้จนวันตายเลยล่ะครับ”

ร่างโปร่งกระตุกกึก ตวัดตาขึ้นมองเขาแล้วย่นจมูกเล็กน้อย

“เรื่องเล็กน้อยแค่นั้นคุณยังเอามากัดฉันได้ไม่เลิกเลยนะคะ ไม่สมกับเป็นประธานบริษัทเอาเสียเลย” เธอว่าแล้วเอียงหน้าหนีนิดๆ ไม่อยากมองคนชอบทำหูตาแพรวพราวเกินเหตุ

“หือ? แล้วประธานบริษัทเขาต้องเป็นยังไงละครับคุณเลขา” ร่างสูงยังนึกสนุกที่จะต่อปากต่อคำด้วยท่วงท่าสบายไม่รีบร้อนกับเวลาที่เดินไปเรื่อยๆ

“ก็...เขาไม่คิดเล็กคิดน้อยกันหรอกค่ะ เรื่องอะไรไร้สาระเขาก็ไม่จำ ระดับเจ้าของบริษัทหรือผู้บริหารน่ะ เก็บสมองไว้คิดเรื่องใหญ่ๆ ดีกว่าค่ะ” ปลายเสียงสะบัดเล็กน้อยไม่มากเกินสมควร

คราวนี้คนมีตำแหน่งระดับผู้บริหารอมยิ้มก่อนสวนกลับ

“แหม...คุณนี่ใจร้อนจัง เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ จะให้ผมคิดเรื่องใหญ่โตขนาดงานแต่งงานเลยรึ?”

ใบหน้าเรียวที่เอียงหนีเมื่อครู่สะบัดกลับมามองอึ้งๆ ด้วยไม่คิดว่าเขาจะเล่นมุกนี้ นึกอยากโต้ตอบกลับไป ทว่าสมองมึนคว้างจนนึกอะไรไม่ออกได้แต่จ้องตอบ ซึ่งฝ่ายนั้นเห็นได้ชัดว่ากลั้นหัวเราะสุดความสามารถ

พอทำอะไรไม่ได้ มธุรินเลยออกอาการฮึดฮัดแล้วพานตัดบทไปเสีย ขืนพูดกับเขาต่อรังแต่จะเข้าตัวเสียเปล่าๆ

“สรุปว่าฉันไปทานข้าวกับเพื่อนตามนัดได้ใช่ไหมคะเจ้านาย” เลขาสาวไม่ลืมย้ำตำแหน่งหน้าที่ระหว่างเธอกับเขาให้ชัดเจน เผื่อเขาจะไม่พูดเล่นกับเธอทำนองนี้อีก

นอกจากไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งที่หญิงสาวพยายามบอก ภัทริศยังยืนทำท่าครุ่นคิดเสียนานเพื่อประวิงเวลา แต่พอรับรู้กระแสบางอย่างที่เหมือนจะมาคุรอบๆ ตัวคู่สนทนาเขาก็รีบยอมจำนนทันที

“โอเค คุณไปทานข้าวกับคุณแก้มก็ได้ เรื่องธุระของผมไม่ด่วนหรอก เป็นตอนบ่ายก็ได้ครับ ว่าแต่...คุณไม่คิดจะชวนผมไปด้วยหน่อยหรือ?” สีหน้าออดอ้อนและแววตาเว้าวอนนั้น ทำได้เพียงเรียกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากมธุรินเท่านั้น

“ไม่หรอกค่ะ คนที่ชนแล้วหนีอย่างฉันไม่มีมิตรไม่ตรีขนาดจะชวน ‘คนอื่น’ ไปทานข้าวในมื้อที่ต้องการความเป็นส่วนตัวกับเพื่อนหรอกนะคะ” พูดไปอมยิ้มไปอย่างตั้งใจยั่ว ภัทริศแสร้งทำหน้าง้ำกับคำตอบนั้น “ขอตัวก่อนนะคะเจ้านาย เดี๋ยวจะกลับมาทำงานช่วงบ่ายช้าแล้วจะโดนดุเอาได้ค่ะ” ยิ่งเห็นเขาหน้างอมธุรินยิ่งยิ้มกว้างขึ้น เดินเลี่ยงไปอย่างสบายอารมณ์มากขึ้น

“คนอะไร้ ใจจืดที่สุดเลย” แม้ปากจะบ่นแต่สีหน้ากลับเกลื่อนยิ้มเต็มใบหน้า ชายหนุ่มชอบที่ได้เห็นรอยยิ้มผู้หญิงคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นยิ้มยั่วโมโห หรือยิ้มอะไรก็แล้วแต่ สำหรับเขามันคือยิ้มที่ประทับในใจ

-----------------------------------------

พอก้าวเข้ามาในร้านอาหารที่กังสดาลบอกไว้ มธุรินก็กวาดสายตามองหาเพื่อน แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวเองนั้นไม่ได้นั่งอยู่เพียงลำพัง หญิงสาวเกิดอาการลังเลนิดหนึ่งว่าจะเข้าไปดีไหม คนที่มากับกังสดาลเข้าข่ายไม่น่าไว้วางใจ อย่างไรก็แล้วแต่ลองเขามากับเพื่อนเธอได้ นั่นแสดงว่าได้รับการคัดกรองมาอย่างดีแล้วกระมัง

พอร่างโปร่งมาหยุดยืนข้างโต๊ะ สองหนุ่มสาวก็เงยมองพร้อมกัน ในขณะที่ฝ่ายผู้ชายเปิดรอยยิ้มรับใบหน้าเรียบนิ่งของมธุริน หญิงสาวอีกคนกลับเพียงยิ้มแหยๆ ด้วยท่วงท่าลำบากใจ พลางเอ่ยออกตัว

“นั่งสิหวาน เขาแอบตามฉันมา ฉันไม่ได้ชวนนะ”

นรินทร์ฟังแล้วเอียงหน้ามองคนนั่งข้างแวบหนึ่งก่อนหันกลับไปหามธุริน

“ผมไม่ได้แอบ ก็แค่ขับรถตามมาเฉยๆ แต่คุณหวานอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ ผมไม่มีเจตนาร้ายอะไรแอบแฝงนอกจากอยากเจอคุณเท่านั้นเอง”

กังสดาลฟังแล้วแอบทำหน้าเบ้...ถ้าไม่มีเจตนาร้ายแอบแฝงทำไมต้องอยากมาเจอด้วย ทำได้เพียงแค่คิดไม่กล้าเอ่ยออกไป เพราะอย่างไรเขาก็คือเจ้านาย

“คุณนรินทร์มีอะไรจะคุยกับฉันหรือคะถึงต้องตามยายแก้มมา” ท่าทีของมธุรินบอกชัดถึงความระแวงแคลงใจ วินาทีนี้เธอไม่อาจไว้ใจเพื่อนสนิทของบริภัตได้เลย ในเมื่อผู้ชายคนนั้นกำลังตามหาตัวเธออยู่

“สั่งอาหารก่อนดีกว่านะครับ แล้วผมจะอธิบายให้ฟัง” เจ้านายเก่าบอกด้วยรอยยิ้มไม่หวั่นเกรงใดๆ เพราะเจตนาเขาบริสุทธิ์จริงๆ

แล้วทั้งสามคนก็สั่งอาหาร รอจนทุกอย่างเสิร์ฟเสร็จบทสนทนาที่เงียบมาตลอดจึงเริ่มขึ้น โดยคนที่บอกว่าจะอธิบายนั่นเอง

“ผมทราบเรื่องของคุณกับเอ่อ...เพื่อนผมทั้งหมดแล้วนะครับ” แม้จะระมัดระวังคำพูดสักเพียงใด มือของมธุรินและกังสดาลก็ชะงัก หยุดการตักอาหารเข้าปากพร้อมกัน สองสาวสบตาแล้วหันไปหาผู้ชายคนเดียวในที่นั้นอย่างรอเขาขยายความ “ผมไม่ได้เห็นด้วยกับเขาเลยนะครับ ค้านไปด้วยซ้ำ แต่เขายืนยันว่า...รักคุณ”

“หึ! รักเหรอคะ คนรักกันเขาทำกันแบบนี้เหรอคะ สุดยอดจริงๆ เลย เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก คนรักกันเขาต้องหลอกลวงกัน เยี่ยม!” ฟังอย่างไรก็เหมือนนรินทร์กำลังจะมาเกลี้ยกล่อมมธุริน กังสดาลจึงฉุนขาดกระแทกช้อนลงกับจานเสียงดัง พูดจาประชดประชันเจ้านายอย่างลืมตำแหน่งไปเสียสนิท

“ใจเย็นๆ สิคุณ ผมยังพูดไม่หมดเลยนะ ผมรู้นะว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ ผมไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอกน่า” นรินทร์แค่ปรามแต่เขาไม่ถือสา ด้วยพอรู้นิสัยกันอยู่บ้างว่าลูกน้องเขาคนนี้เห็นท่าทางร่าเริง บทจะดื้อรั้นใจร้อนก็ใช่ย่อยเลย

“แหม...ช่างเป็นเจ้านายที่เอาใจใส่ลูกน้องนะคะ รู้ใจไปซะหมด!” กังสดาลไม่วายประชด ฝ่ายมธุรินนั้นไม่ใช่เธอไม่รู้สึกอะไร แต่ยังเก็บอาการอยู่ และก่อนนรินทร์จะโต้ตอบกังสดาลกลับไป หญิงสาวรีบดึงทั้งสองเข้าสู่ประเด็นหลักเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้

“ใจเย็นน่าแก้ม ฟังเขาให้จบก่อน เชิญคุณนรินทร์พูดต่อเถอะค่ะ ฉันต้องรีบกลับไปทำงาน วันนี้ไม่ได้เอารถมาด้วย”

“อ้าว แล้วแกมายังไงล่ะ” กังสดาลรีบถามด้วยความเป็นห่วง

“แท็กซี่น่ะ พอดีอีแก่มันทรยศบ่อยช่วงนี้ แต่ช่างเถอะ ไม่ลำบากอะไร ว่าไงคะคุณนรินทร์” มธุรินตอบเพื่อนแบบผ่านๆ แล้วหันมาทางเจ้านายเก่า

“ครับ นายภัตเขามาหาผม มาขอที่อยู่ของคุณ เบอร์ติดต่อคุณ แต่ผมไม่ได้บอกอะไรไปเพราะผมไม่รู้อะไร” ชายหนุ่มหยุดนิดหนึ่งเหลือบมองลูกน้องข้างกายก่อนพูดต่อ “แต่ถึงรู้ ผมก็ไม่บอกเขาหรอกครับ คุณไว้ใจผมได้ เพราะถึงผมจะไม่ใช่คนดีอะไรนักหนา แต่ผมก็มีคุณธรรมมากพอที่จะไม่ทำร้ายหรือก้าวก่ายเรื่องคนอื่นแน่ๆ และที่ผมมาวันนี้เพียงเพื่อจะบอกให้คุณระวังตัว นายภัตคงไม่ยอมปล่อยคุณไปง่ายๆ แน่ ผมรู้จักเขาดี”

“ทำอย่างนี้ไม่ดูเหมือนว่าคุณหักหลังเพื่อนไปหน่อยหรือคะ” คนเงียบฟังได้ครู่ใหญ่อดปากไม่ไหว ต้องเอ่ยถามติดประชดอีกครั้ง และเป็นคำถามที่มธุรินเองก็อยากรู้เช่นกัน

“หักหลังตรงไหนครับ ผมไม่ได้ทำร้ายนายภัตเลย เพียงแค่ทำเพื่อความถูกต้องสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ผมเคยมีภรรยาครับ และผมซื่อสัตย์ต่อเธอสมอ อ้อ อีกอย่าง...ผมมีลูกสาวครับคุณ” นรินทร์กำลังสื่อสารว่าแวดล้อมเขามีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น ไม่แปลกหรอกถ้าเขาจะนึกเห็นใจมธุริน

และประวัติของเขาคร่าวๆ นั้นสองสาวเคยรู้มาบ้าง นรินทร์แต่งงานมีครอบครัวเล็กๆ ที่อบอุ่น เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ไม่เคยนอกลู่นอกทาง ดูแลภรรยาตั้งแต่ตั้งท้องกระทั่งคลอดก็ยังช่วยเลี้ยง ภรรยาของเขาจากไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อสามปีก่อนหลังจากมีลูกได้เพียงสองขวบเท่านั้น

ยิ่งเขาเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง ไม่เคยหาคู่ชีวิตใหม่มาร่วมเลี้ยงลูกสาวด้วย ยิ่งแสดงให้เห็นชัดว่า เขาทั้งซื่อสัตย์ต่อภรรยาและรักลูกมากแค่ไหน ความดีของเขาข้อนี้ทั้งมธุรินและกังสดาลกำลังทบทวนอยู่

สีหน้ากังสดาลม่อยลงเล็กน้อย หญิงสาวเลือกเงียบปากแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวในจานตัวเอง

“ฉันขอบคุณ คุณนรินทร์มากนะคะ ที่เห็นแก่ความถูกต้อง และฉันขอให้คุณปฏิบัติอย่างนี้ให้ตลอด ความผิดพลาดของฉันครั้งนี้ มันทำร้ายคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว อยากให้มันจบๆ ไปเสีย ฉันจะไม่มีวันพบหรือคุยอะไรกับเพื่อนคุณอีกเด็ดขาด ทุกอย่างมันสิ้นสุดแล้วค่ะ” ทุกคำพูดย้ำชัดหนักแน่น

นรินทร์ทอดสายตามองหญิงสาวตรงหน้าแล้วแต้มยิ้มบนริมฝีปาก เขามองไม่ผิดเลยจริงๆ มธุรินเป็นคนดี ทุกอย่างที่เกิดขึ้น สาเหตุมาจากเพื่อนเขาล้วนๆ ชายหนุ่มเอื้อมแตะหลังมือหญิงสาวอย่างสุภาพ เป็นการปลอบใจมากกว่าก้ำเกิน

“ไม่ใช่ความผิดพลาดของคุณหรอกครับ มันเป็นความ ‘ตั้งใจผิด’ ของเพื่อนผมต่างหาก และทุกอย่างจะสิ้นสุด ถ้านายภัตเขาไม่ยอมจบ เขาก็ควรจัดการกับตัวเองเสีย ผมรับรองว่าเขาจะไม่มีวันหาคุณเจอจากผมแน่นอน ด้วยเกียรติครับ”

มธุรินยิ้มและกล่าวขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นบทสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่นๆ โดยมาก ผู้ยึดครองบทสนทนาจะเป็นมธุรินกับนรินทร์เสียมากกว่า ส่วนกังสดาลนั้น เธอพูดน้อยลงราวกับไม่อยากเอ่ยให้ขัดหูขัดใจเจ้านายอีก

ร้านอาหารที่ทั้งสามคนมารับประทานนั้นเป็นร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า ซึ่งกรุกระจกโดยรอบ ดังนั้นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดจึงตกอยู่ในสายตาของใครบางคนที่นั่งอยู่ในร้านอาหารกรุกระจกเช่นกัน ตั้งอยู่ฟากตรงข้าม

คนเฝ้ามองตีสีหน้ายุ่งคิ้วขมวด กำเมนูเดี๋ยวแน่นเดี๋ยวคลาย จับสายตาไม่ให้คลาดจากภาพของเป้าหมายเลยแม้แต่วินาทีเดียว

“เอ่อ คุณครับ ตกลงคุณจะสั่งอะไรไหมครับเนี่ย” บริกรที่ยืนรอจดรายการอาหารนานแล้วเอ่ยถามติดจะหงุดหงิดเล็กน้อย ทำให้คนมาทานอาหารระลึกได้ รีบสั่งๆ ไปอย่างไม่ตั้งใจ

--------------------------------------------

เพราะไม่ได้มารถคันเดียวกับกังสดาล เมื่อออกจากร้านอาหารแห่งนั้น นรินทร์จึงขอแยกตัวกลับบริษัทก่อน นัยว่าให้เพื่อนสองคนได้มีเวลาคุยกันส่วนตัว เขาไม่ได้ถามถึงที่ทำงานใหม่ของมธุริน เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย และย้ำสัญญาอีกครั้งว่าจะไม่บอกอะไรเกี่ยวกับมธุรินให้บริภัตรับรู้เด็ดขาด สองสาวจึงคลายใจมากขึ้น

“แกเป็นไงบ้างหวาน ทำงานกับคุณริศคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”

ฟังผิวเผินเหมือนถามตามปกติ แต่คำว่า ‘คืบหน้า’ สะกิดใจมธุรินว่าไม่น่าจะใช่เรื่องงาน พอหันมองหน้าเพื่อนที่กำลังเดินเคียงกันไปยังลิฟต์เพื่อโดยสารลงชั้นล่างจึงได้เห็นแววตาวิบไหวแปลกๆ ส่งมาพร้อมรอยยิ้มทะเล้น

“แกอยากรู้ด้วยหรือว่าบริษัทของคุณริศ กำไรเขาคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว” มธุรินวางหน้าเฉย แสร้งไม่รับรู้นัยที่เพื่อนกำลังสื่อสาร กังสดาลหุบหยิบฉับ เหลือกตามองอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยว

“อย่ามาทำไก๋หน่อยเลยน่า แกรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร” กังสดาลเร่งฝีเท้ามายืนดักหน้า อีกคนเลยต้องหยุดเดิน

“ไม่รู้” ใบหน้าเรียวตีหน้าซื่อยืนยัน

“ก็ได้ แกอยากให้ฉันพูดตรงๆ ใช่มะ” ใบหน้ารูปไข่จริงจัง ดวงตาขุ่น มธุรินยักไหล่กวนๆ แล้วจู่ๆ กังสดาลก็ยิ้มกริ่ม เชิดหน้าขึ้น “ฉันอยากรู้ว่าคุณริศน่ะเขาจีบแกไปถึงไหนแล้ว” คำพูดนั้นราวกับฟันแสกหน้าทีเดียว

“บ้า! เขาไม่ได้จีบฉันย่ะ เป็นแค่เจ้านาย”

“นั่นแน่...แล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะ” กังสดาลยื่นหน้าไปใกล้คนที่กำลังทำหน้าเหลอหลา

“หน้าดงหน้าแดงอะไร แกคิดไปเอง คุณริศน่ะเขาเป็นขวัญใจแกไม่ใช่หรือยะ อย่าเอาฉันไปเกี่ยวหน่อยเลย”

คราวนี้หญิงสาวร่างเล็กกว่าหัวเราะคิก ทำหน้าเป็นต่อโดยมธุรินไม่รู้ว่ามีอะไรที่เพื่อนถูกใจนักหนา

“คุณริศเขาอยากเป็นขวัญใจใคร อันนี้คงต้องถามเขาเองแล้วล่ะมั้ง...” คำสุดท้ายลากเสียงยาวล้อๆ เจ้าตัวเดินผ่านมธุรินไปด้านหลังแล้วเอ่ยต่อว่า “ว่าไงคะคุณริศ อยากเป็นขวัญใจใครเอ่ย”

เพียงแค่นั้นมธุรินถึงกับตัวแข็งทื่อ หากยังไม่วางใจเพื่อน

“แกอย่ามาอำฉันเลยยายแก้ม” พูดพลางหันหลังกลับไปหาอีกฝ่ายแล้วต้องเบิกตากว้าง “คุณริศ!”

ภัทริศซึ่งมาหยุดยืนด้านหลังนานพอสมควรแล้ว เหลือบมองเลขาส่วนตัวด้วยรอยยิ้มรื่นรมย์ หากไม่พูดอะไรกับเธอ ก้มมองอีกคนที่กำลังรอคำตอบเขาอยู่

“ผมอยากเป็นขวัญใจใครคงไม่สำคัญเท่ากับว่า...ใครอยากให้ผมเป็นขวัญใจมากกว่ามั้งครับคุณแก้ม”

“โอ๊ย อย่าพูดให้ความหวังกันอย่างนี้สิคะคุณริศ เดี๋ยวแก้มก็ตีหัวพาคุณกลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้หรอก” แล้วทั้งสองก็หัวเราะกันครื้นเครง ไม่นำพาต่อสายตาเคืองขุ่นของใครบางคน ที่กำลังแผ่รังสีอำมหิต “แล้วนี่คุณริศมาทำอะไรที่นี่คะ” พอหยุดหัวเราะได้กังสดาลก็ถามจริงจัง

“ผมมาทานข้าวครับ” พอเขาตอบอย่างนั้นปุ๊บ คนอยู่นอกเหนือความสนใจก็หันมองปั๊บ ชายหนุ่มเสเมินหน้าไปอีกทางรวดเร็วทั้งที่ก่อนหน้านี้ทอดสายตามองมาทางเธออยู่

“เหรอคะ? แล้วทำไมไม่มากับยายหวานละคะ ที่จริงจะได้ทานด้วยกันเสียเลย ยายหวานเองก็ไม่มีรถด้วยวันนี้ โฮ้ย...เสียดาย”

“ก็มีคนใจจืดใจดำแถวนี้สิครับไม่ยอมชวน ปล่อยให้ผมต้องทานข้าวคนเดียว แล้วตัวเองก็มาทานกับหนุ่มๆ บอกผมว่ามาทานกับเพื่อน อีกอย่าง ผมไม่ทราบด้วยว่าเขาไม่มีรถ ไม่เห็นเขาจะบอกผมสักคำ”

คำถามของกังสดาลเข้าทางเสียขนาดนั้น ภัทริศเลยใช้เป็นสะพานต่อว่าอีกคนเสียเลย ทั้งที่ความจริงแล้วเขาขับรถตามแท็กซี่คันที่มธุรินนั่งมาติดๆ นั่นละ

คนถูกพาดพิงซึ่งยืนนิ่งมานานถึงคราวอดไม่ไหวต้องร่วมวงสนทนาจนได้ คราแรกตั้งใจจะไม่ยุ่งด้วยกลัวจะเข้าตัวอีก

“ใครจะกล้าล่ะคะ แค่เลขาต๊อกต๋อยไม่อาจเอื้อมชวนเจ้านายมาทานข้าวร่วมด้วยหรอกค่ะ ส่วนเรื่องรถก็เห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวเลยไม่คิดว่าจำเป็นต้องรายงานให้ ‘เจ้านาย’ ทราบ”

…คำก็ส่วนตัว คำก็เลขา อีกคำก็เจ้านาย...ดูเธอพยายามกันเขาออกจากชีวิตเสียเหลือเกิน คงเพราะผู้ชายคนเมื่อกี้สินะ...ภัทริศนึกขุ่นขึ้งในใจ ทว่าสีหน้าและแววตาเผลอแสดงอาการตัดพ้อออกมาให้อีกสองคนได้เห็นโดยไม่รู้ตัว

“ยายหวาน แกก็พูดไปนั่น” กังสดาลเห็นท่าทางไม่ดีจึงรีบแก้ไขสถานการณ์โดยพลัน “เราสองคนนัดทานข้าวกันค่ะ แต่ว่าพอดีเจ้านายของแก้มซึ่งเป็นเจ้านายเก่าของยายหวานด้วย เขาเกิดอยากเจอลูกน้องเก่า แก้มเลยชวนเขามาด้วยเท่านั้นเองค่ะ ไม่มีหนุ่มๆ ที่ไหนหรอกค่ะ ที่สำคัญเพื่อนแก้มคนนี้เธอเป็นหญิงเหล็กค่ะ ไม่ชอบพึ่งพาใคร มีอะไรก็ชอบปกปิด ยากที่ยอมรับความช่วยเหลือจากใคร”

“จริงหรือครับ?” คราวนี้คนแอบน้อยใจเล็กๆ ถึงกับยิ้มกว้างเสียจนกังสดาลพยักหน้ารับไปหัวเราะไป จะไม่ให้ขำได้อย่างไร ท่าทางชายหนุ่มบอกชัดขนาดนั้นว่าสนใจเพื่อนเธอ

“ดีแล้วล่ะค่ะ ที่เจอคุณริศ ถ้าไม่รบกวนจนเกินไปแก้มฝากเพื่อนกลับบริษัทด้วยนะคะ แก้มต้องรีบกลับไปทำงานแล้วล่ะค่ะ” ได้ทีก็จัดการเสร็จสรรพเสียเลย

“ด้วยความเต็มใจครับผม” ไม่พูดเปล่าร่างสูงค้อมศีรษะลงต่ำจนโอเวอร์ เรียกเสียงหัวเราะจากกังสดาลได้อีกครั้ง ผิดกับหญิงสาวอีกคนที่ยืนทำหน้ามุ่ย ดูท่าไม่ว่าภัทริศจะทำอะไรก็ถูกใจกังสดาลไปเสียหมด

“ฉันมาเองได้ก็กลับเองได้ย่ะยายแก้ม อย่าไปรบกวนคุณริศเขาเลย”

“รบกวนตรงไหนครับ ในเมื่อเราต้องไปที่เดียวกันอยู่แล้ว น่า...คุณไม่ต้องเกรงใจผมหรอก ผมบอกแล้วว่าเต็มใจ...อย่างยิ่ง”

“ตกลงตามนั้นนะยายหวาน ฉันไปก่อนนะ เอ้อ ถ้าแกอยากจ่ายค่าแท็กซี่มากนักละก็ จ่ายให้คุณริศเขาไปละกัน” ก่อนจะเดินจากไปกังสดาลเฉียดไปใกล้ภัทริศแล้วบอก “ดีใจมากๆ เลยค่ะที่ได้เจอคุณริศวันนี้ หวังว่าเราจะได้เจอกันบ่อยขึ้น และครั้งต่อไปคงได้ทานข้าวร่วมกันนะคะ”

ชายหนุ่มเข้าใจความนัยของกังสดาลได้เป็นอย่างดี นอกจากความดีใจจนล้นอกแล้วคราวนี้เขาแอบเขินเล็กๆ บ้างเหมือนกัน แต่ก็ตอบรับไปอย่างไม่ให้เธอผิดหวัง

“แน่นอนครับ”

ทั้งสองโบกมือลากันโดยไม่สนใจว่าใครอีกคนจะมีความเห็นหรือรู้สึกยังไง เมื่อร่างของกังสดาลลับตาภัทริศก็หันมาทางหญิงสาวคนที่เหลือ ผายมือข้างหนึ่งเป็นการเชื้อเชิญ

“เชิญครับ รถผมจอดทางนี้” ร่างโปร่งยืนนิ่ง อ้าปากจะทักท้วงแต่เขายกนิ้วชี้ขึ้นระดับอกแล้วกระดิกไปมาเป็นเชิงห้าม “อย่าคิดปฏิเสธให้เสียเวลาเลยครับ ผมไม่ยอมให้คุณกลับแท็กซี่แน่ๆ ทางเดียวกันไปด้วยกัน ช่วยชาติประหยัดน้ำมัน เชิญครับ...”

ดูจากท่าทางจริงจังของเขาแล้ว มธุรินรู้ในทันที่ว่าเธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธจริงๆ อย่างเขาว่านั่นละ เหลือบมองเขาแวบหนึ่งเธอจึงจำต้องออกเดินนำ ไม่เห็นว่าคนข้างหลังยิ้มพอใจก่อนเดินตาม

-------------------------------------

ภายในรถค่อนข้างเงียบเพราะมธุรินเองมีความคิดเรื่องบริภัตเข้ามารบกวนจิตใจอีกครั้ง รวมถึงเรื่องของผู้ชายที่กำลังขับรถคนนี้ด้วย เธอไม่รู้หรอกว่าการแสดงออกของเขาทุกวันนี้มีความหมายว่าอย่างไร เป็นการหยอกล้อเล่นๆ หรือคิดอะไรจริงจังมากกว่านั้นหรือเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่เธอต้องระมัดระวัง นั่นคือการไว้ใจใครสักคนที่เข้ามาในรูปแบบนอกเหนือจากเพื่อน บทเรียนที่ยังค้างๆ คาๆ ทำให้หญิงสาวสร้างเกราะสำหรับตัวเองพอควร

ส่วนภัทริศซึ่งปกติคุยเก่ง ช่างสรรหาเรื่องมาชวนคุย หยอกล้อได้ไม่หยุด วันนี้กลับเงียบไปเช่นกัน ความจริงคือเขากำลังครุ่นคิดหาคำพูด หรือประโยคดีๆ สักประโยคเพื่อเริ่มต้นเรื่องที่พี่สาวไหว้วาน หากไม่ว่าอย่างไร ชายหนุ่มยังมองไม่เห็นว่าจะมีคำพูดใดชักชวนให้ผู้หญิงคนหนึ่งมาเสียสละทั้งชีวิตเพื่ออีกหนึ่งชีวิตที่แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันได้เลย

“คุณริศ”

“คุณหวาน”

จู่ๆ ทั้งสองคนก็เอ่ยขึ้นพร้อมกัน คล้ายว่าตัดสินใจได้แล้วว่าจะพูดอะไรต่อกัน พอหันสบตาต่างฝ่ายต่างยิ้มแล้วเงียบไปอีกอย่างเก้อกระดาก

“คุณมีเรื่องจะคุยกับฉันไม่ใช่หรือคะ หรือต้องรอไปคุยที่ออฟฟิศ?” เป็นฝ่ายมธุรินที่เอ่ยขึ้น และนั่นถือเป็นการเปิดประเด็นให้ภัทริศเข้าเรื่องง่ายขึ้น...กระมัง

“ขอโทษนะครับ อย่าหาว่าผมก้าวก่ายเลย แต่ผมว่าคุณน่าจะลองดูรถใหม่สักคัน คือผมยินดีไปรับไปส่งคุณนะ แต่คุณสิคงไม่ชอบ ผมแค่คิดว่าผู้หญิงขับรถที่ต้องซ่อมบ่อยๆ เผื่อเสียกลางดึกในซอยเปลี่ยวอาจจะอันตรายได้นะครับ”

ท่าทางการพูดเป็นการเป็นงาน ระแวดระวังติดไปทางอึดอัด ผิดจากภัทริศที่คุ้นเคยทำให้มธุรินซึ่งกำลังจะกวนเขากลับเปลี่ยนใจพูดดีๆ แทน

“ฉันก็กำลังคิดๆ อยู่เหมือนกันค่ะ อีแก่คันนี้มันเก่ามากแล้ว แต่สำหรับฐานเงินเดือนอย่างฉันคงต้องรอไปอีกสักพักใหญ่ๆ อ้อ ไม่ใช่ว่าบริษัทคุณจ่ายเงินเดือนน้อยนะคะ มากเกินกว่าที่ฉันควรได้รับแล้ว เพียงแต่ฉันต้องผ่อนบ้าน และค่าใช้จ่ายอีกหลายอย่าง ยายเองก็ไม่ค่อยสบายด้วยตอนนี้ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ คิดจะซื้ออะไรสักอย่างฉันควรรอบคอบ ขอบคุณนะคะที่คุณมีน้ำใจต่อพนักงานเล็กๆ อย่างฉัน”

ภัทริศอยากค้านออกไปเหลือเกินว่า นี่ไม่ใช่น้ำใจต่อพนักงานเล็กๆ มันคือ ‘ความห่วงใย’ จากผู้ชายคนหนึ่งที่พึงมีให้เธอต่างหาก และไม่ใช่เขาไม่กล้า หากเวลานี้เรื่องพี่สาวควรมาก่อน

“แล้วคุณไม่ลองคิดเพิ่มรายได้เพื่อให้มีเงินมาหนุนในส่วนต่างๆ รวมถึงการซื้อรถได้ด้วยหรือครับ”

เท่านั้นเองใบหน้าเรียวก็หันขวับไปมองเขาด้วยสายตาประหลาด คิ้วเรียวขยับมาชนกันจนยับย่น เมื่อรู้สึกถึงบางอย่างแปลกๆ ภัทริศก็ละสายตาจากเบื้องหน้ามามอง และได้เห็นแววตาบางอย่าง แต่ยังคงไม่สำเหนียก

“นี่คุณหมายความว่ายังไง คิดว่าฉันต้องทำงานอะไรเพิ่ม!” คราวนี้น้ำเสียงห้วนกระด้างทำให้ชายหนุ่มนึกเดาอะไรออกมากขึ้น เขารีบชะลอความเร็วรถลงแล้วหันมาทางเธอ เพื่อรีบอธิบายแก้ความเข้าใจผิด

“เดี๋ยวๆ คุณอย่าเพิ่งคิดไปไกล ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นครับ” เขาทั้งตกใจทั้งขำไปพร้อมๆ กัน และดูท่าว่าจะหยุดหัวเราะยากเสียด้วย ยิ่งเห็นใบหน้าเธอแสดงอาการขุ่นขึ้ง ยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม

“ขำอะไรคะ ไม่เห็นมีอะไรน่าขำเลย คุณมองว่าฉันเป็นยังไง” ดูท่าทางเหมือนเธออยากซัดเขาหนักๆ สักหลายที แต่ยังพยายามยั้งไว้

คราวนี้ภัทริศถึงกับตบไฟเลี้ยวและค่อยหาจังหวะหักพวงมาลัยรถเข้าจอดข้างทาง นึกกลัวตัวเองหัวเราะจนเสียสมาธิ ไม่ก็โดนเธอทำร้ายจนแขนหักขับต่อไม่ไหว

“คุณใจเย็นๆ นะ คุณคิดไปไกลแล้ว ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมรู้ว่าคนอย่างคุณน่ะรักศักดิ์ศรีตัวเองสุดๆ แล้วคุณล่ะมองว่าผมเหมือนพวกหื่นกาม ขนาดจะซื้อผู้หญิงเลยเหรอ” คำถามกลั้วหัวเราะของเขาทำเอามธุรินสะอึก และนิ่งงันไป ชายหนุ่มจึงได้ทีรีบเสริม “ผมหมายถึงงานอะไรก็ได้ หรืออาจไม่ใช่งาน แต่เป็น...ภารกิจบางอย่างที่มีค่าตอบแทน”

“แล้วคุณหมายความว่าไง” พอเธอถามตรงๆ สายตาใคร่รู้ ภัทริศก็กลับมาหนักใจอีกครั้ง

“ก็...ยังไม่มีความหมายอะไร แค่ลองถามดูเฉยๆ ว่าคุณคิดยังไงถ้ามีทางเสริมรายได้ โดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม และไม่เสียหายต่อศักดิ์ศรีด้วย” สุดท้ายเขาก็ยังไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ

หญิงสาวมองตอบเขา เธอมั่นใจว่าเขาต้องมีบางเรื่องจะพูด ซึ่งอาจยังไม่พร้อมด้วยเหตุผลใดนั่นสุดรู้ เธอจึงตอบไปตามความคิดของตัวเอง เท่าที่พอจะตอบได้

“ถ้ามันไม่ทำให้งานหลักเสีย ฉันก็อาจจะทำค่ะ แต่ก็ต้องดูก่อนว่ามันคุ้มค่ากับการเสียบางอย่างไปไหม”

“เสียบางอย่าง?” เขาทวนอย่างประหลาดใจต่อคำพูดเธอ

“ค่ะ ก็ในโลกนี้ไม่มีทางเสียหรอก ที่เราจะได้อะไรมาโดยไม่เสียอะไรไป หรือคุณว่าไม่จริงคะ?”

ชายหนุ่มมองเธอทึ่งๆ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่สวย หรือนิสัยน่ารักอย่างเดียว เธอฉลาด และรู้จักคิดเสียด้วย สัจธรรมอีกข้อของมนุษย์ คือ ไม่มีอะไรได้มาโดยไม่เสียอะไร นั่นคือความจริง เขาระบายยิ้มน้อยๆ

“จริงครับ แต่จุดความคุ้มค่าของแต่ละอย่าง หรือแต่ละคนไม่เท่ากัน แล้วความคุ้มค่าของคุณอยู่ตรงไหนครับ”

ริมฝีปากบางสวยยิ้มตอบ

“ความพอใจและเต็มใจค่ะ”

นั่นสินะ...หากเธอจะช่วยพี่สาวเขา ย่อมต้องเกิดจากความพอใจและเต็มใจ ผู้หญิงอย่างมธุรินคงไม่สนเพียงเอาเงินมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน แล้วจะมีทางบ้างไหม ที่จะทำให้เธอทั้งพอใจและเต็มใจกับการเสียสละทั้งชีวิตครั้งนี้...จะใช้สิ่งใดแลกเล่าถึงจะคุ้มค่าสำหรับชีวิตเธอ

หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ต่างคนต่างเงียบกระทั่งมาถึงบริษัท ภัทริศไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็ยังไม่ตัดใจเรื่องนั้น ตราบเท่าที่ยังไม่ได้ถามเธอไปตรงๆ เขายังนึกกังวลกับความสัมพันธ์ที่อาจสะบั้นลงได้ง่ายๆ ถ้าพูดอะไรไปแล้วทำให้เธอหนักใจเกินรับไหว หากเธอไม่ตกลงแล้วยังสะดวกใจกับการเป็นเลขาเขาต่อ ภัทริศไม่หวั่น กลัวแต่เธอจะอึดอัด จนต้องจากลา

ระหว่างเดิน จากหน้าบริษัทไปจนกระทั่งหน้าลิฟต์ของผู้บริหาร มธุรินรู้สึกอึดอัดเล็กๆ กับสายตาจับจ้องของพนักงานที่แม้ไม่มองตรงๆ เธอก็รับรู้ได้ว่าพวกเขากำลังจับสายตามาทางเธอซึ่งกำลังเดินเคียงคู่มากับประธานบริษัทหนุ่ม ที่ใครๆ ก็ให้ความสนใจกันทั้งนั้น

บางทีเธอก็รู้สึกว่ามันเกินไป เธอก็แค่เดินกับเขาในฐานะเลขาส่วนตัวเท่านั้น แต่สายตาหลายคู่เหมือนมีบางอย่างเคลือบแฝงอยู่และหญิงสาวไม่เคยเข้าใจความหมายนั้น

“คุณ...คุณหวาน!”

“คะ...คะ?”

“เข้ามาสิครับ มัวแต่คิดอะไรอยู่ ลิฟต์เปิดนานแล้ว” ภัทริศบอกมือยังค้างที่ปุ่มกดเปิดลิฟต์ มธุรินเผลอคิดจนลืมมอง รีบก้าวเข้าไปยืนเคียงเขา

“แล้วตกลงคุณมีอะไรจะคุยกับฉันคะ หรือจะคุยแค่เรื่องเมื่อกี้”

“เดี๋ยวผมขอกาแฟสักถ้วยในห้องทำงานนะครับ บ่ายนี้รู้สึกเพลียๆ ต้องกระตุ้นตัวเองหน่อย” ลองพูดเลี่ยงๆ อย่างนี้แสดงว่ามีแน่ เธอจึงแค่พยักหน้าและตอบรับสั้นๆ เท่านั้น

และเมื่อนำกาแฟมาให้เขาในห้องทำงานก็พบว่าร่างสูงกำลังนั่งก้มหน้าดูเอกสาร พอเธอวางกาแฟลงเขาเชิญให้นั่งโดยไม่เงยหน้ามอง ยังทำราวกับเอกสารตรงหน้าต้องดูเดี๋ยวนี้ห้ามเสียเวลาแม้แต่นิดเดียว

ร่างโปร่งทรุดนั่งเงียบๆ ไม่ถาม แค่รอฟังว่าเขาจะพูดอะไร

“คุณได้เจอพี่มน...พี่สาวผมแล้วสินะครับ” เพียงเหลือบขึ้นมองนิดเดียวแล้วก้มดูเอกสารต่อ

“ค่ะ”

“พี่สาวผมเป็นยังไงบ้าง น่ารักใช่ไหมครับ” ยังถามโดยสายตาอยู่ที่เดิม

“น่ารักมากค่ะ” นึกหมั่นไส้เล็กๆ กับท่าทางนั้นจึงตอบไปสั้นๆ

คราวนี้เอกสารถูกปิดลงพร้อมกับอีกฝ่ายเงยหน้ามาจ้องเธออย่างตั้งใจ ทั้งแววตาทั้งริมฝีปากมีรอยยิ้มจนมธุรินตั้งรับไม่ทัน กะพริบตาปริบๆ แบบงงๆ

“พี่มนก็ถูกใจคุณมาก พูดถึงคุณให้ผมฟังใหญ่ และอยากให้คุณ...” ยัง เขายังไม่หลุดปากเรื่องนั้นไปแม้จะอึดอัดเต็มทีแล้วก็ตาม “เอ้อ...พี่มนเล่าให้คุณฟังหรือเปล่าครับว่า เธอแต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีลูก”

“ไม่นี่คะ เราคุยกันเรื่องทั่วไป เรื่องนั้นคงเป็นเรื่องส่วนตัว ฉันไม่กล้าละลาบละล้วง และพี่สาวคุณก็คงไม่จำเป็นต้องเล่าให้ ‘คนอื่น’ อย่างฉันฟังหรอกค่ะ”

“ไม่นะ ไม่ใช่ความลับอะไรเลย ผมจะเล่าให้คุณฟัง” แล้วเขาก็เริ่มเล่าโดยไม่สนใจถามว่าเธออยากฟังไหม “พี่มนสุขภาพไม่แข็งแรงครับ จากท่าทางเธอคุณน่าจะพอเดาออก นั่นละครับเป็นสาเหตุให้เธอมีลูกยาก แต่พี่มนเป็นคนรักเด็กครับ พี่มนเหงาเวลาสามีไปทำงาน เธออยากมีลูกมาก ก็เลย...ไปปรึกษาหมอ คราวนี้หมอแนะนำให้ใช้วิธีการ ‘อุ้มบุญ’ คุณเคยได้ยินไหมครับวิธีนี้” เขาจบด้วยคำถามแล้วลอบสังเกตปฏิกิริยาอีกฝ่าย

มธุรินนึกถึงใบหน้าซีดเซียว แต่มีรอยยิ้มสดใส และนี่คงเป็นเรื่องที่ทำให้ดวงตาคู่สวยของภัทรมนมีแววทุกข์ทนพาดผ่าน หญิงสาวเคยได้เห็นและได้ยินมาบ้างว่าสำหรับคนอยากมีลูกนี่ คืออยากมีจริงๆ ถึงกับยอมเจ็บตัวหลายๆ ครั้ง เสียเงินจำนวนเยอะเพื่อทำทุกวิถีทางให้ได้ลูก แต่เด็กส่วนใหญ่ก็ยังดันไปเกิดในท้องแม่ที่ยังไม่พร้อมด้วยประการต่างๆ แทนที่จะมาเกิดในท้องคนเพียบพร้อม เช่น ภัทรมนเป็นต้น

และส่วนใหญ่คุณแม่ที่พยายามเหล่านั้น น้อยรายเหลือเกินที่จะประสบความสำเร็จในการมีลูกด้วยวิธีการทางการแพทย์ จนต้องถอยกลับไปอยู่กันสองสามีภรรยาแบบเหงาๆ ส่วนวิธีการอุ้มบุญนั้น มธุรินพอได้ยินมาบ้าง เพียงแต่ไม่รู้รายละเอียดเจาะลึกเท่านั้นเอง

“เคยได้ยินค่ะ แต่ไม่มีข้อมูลมากนัก ใช่วิธีการที่ให้คนอื่นอุ้มท้องแทนเราไหมคะ” พื้นฐานของมธุรินเธอเป็นคนชอบการเรียนรู้อยู่แล้ว คราวนี้เพราะความถูกชะตาต่อพี่สาวของเขาบวกกับอยากได้ความรู้ใหม่ๆ เธอจึงมีทีท่าสนใจ

ภัทริศยิ้มกว้างมองเธออย่างพินิจและมีความหวัง ค่อยๆ เริ่มต้นเล่ารายละเอียดเท่าที่พี่สาวบอกมาและเขาไปศึกษาจากอินเตอร์เน็ตเมื่อคืนนี้ให้เธอฟัง มธุรินฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้ารับเป็นระยะๆ จนกระทั่ง

“แต่ปัญหาของพี่มนคือ...ยังไม่มีคุณแม่อุ้มบุญครับ” อีกครั้งที่เขาบอกและสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาว

“อืม ถ้าไม่เน้นเป็นญาติกันก็น่าจะหาไม่ยากนี่คะ พี่สาวคุณไม่มีเพื่อน คนรู้จัก หรือใครที่เข้าข่ายความต้องการเลยหรือคะ” หญิงสาวพยายามช่วยคิดหลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมด และให้นึกเห็นใจ

โป๊ะเชะ! นี่ล่ะคำถามที่ภัทริศต้องการให้เธอถาม

“มีครับ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะยอมรับไหม” เขารีบตอบทันควัน โน้มตัวมาด้านหน้าเท้าข้อศอกกับโต๊ะจับสายตากับใบหน้าเรียวนิ่ง

มธุรินรู้สึกแปลกๆ กับอาการคนตรงหน้า ถามออกไปตะกุกตะกัก

“กะ...ก็ต้องลองดูสิคะ เขาอาจจะเห็นใจยอมรับข้อเสนอก็ได้”

“คุณคิดว่างั้นหรือครับ” ชายหนุ่มถามออกอาการตื่นเต้น มธุรินพยักหน้าหงึกหงักๆ จ้องเขาอย่างแคลงใจ “แล้วพี่สาวผมน่ารักพอจะให้คุณเห็นใจยอมรับเป็นคุณแม่อุ้มบุญไหมครับ!”

อึดอัดมากนักภัทริศก็โพล่งมันออกมาเสียเลย ให้รู้กันไปเลยว่าเธอจะตอบอย่างไร ถึงยังไงเขาก็ต้องถามอยู่ดี

มธุรินเบิกตากว้างที่สุดในชีวิต อึ้งเงียบไปหลายวินาที

“หา! คะ...คุณว่าอะไรนะ!”

“คุณฟังไม่ผิดครับ...คุณสมบัติของคุณตรงใจพี่มน เธออยากได้คุณเป็นคุณแม่อุ้มบุญ” ในน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง ไร้แววล้อเล่น

ดวงตาคู่สวยเบิกมองเขาราวกับค้นหาความจริงทั้งหมดในคำพูดนั้น...เขาไม่ได้ล้อเล่น ไม่ได้แกล้งอำ!

จู่ๆ ร่างโปร่งก็ลุกพรวดขึ้นยืน จ้องหน้าคนเป็นเจ้านายนิ่งครู่เดียวแล้วหมุนตัวเดินจากไปเฉยๆ ภัทริศตกใจรีบลุกตามไปคว้าข้อมือเธอไว้ได้ทัน รั้งให้หันมาเผชิญหน้ากัน

“คุณโกรธหรือครับ”

เงียบ...ไม่มีคำตอบ เธอจ้องหน้าเขาด้วยแววตาสับสน น่าจะเป็นอาการช็อกมากกว่าจะโกรธ แต่เหมือนไม่มีคำพูดใดๆ แล่นมาจากสมอง มธุรินรู้สึกมึนคว้าง ทั้งชีวิต...นี่คงเป็นเรื่องแปลกประหลาดสุดเท่าที่เคยเจอ

“ฉันต้องไปทำงานต่อแล้วค่ะ!” เธอบอกพร้อมดึงมือกลับสุดแรงจนหลุด เปิดประตูและก้าวออกไปรวดเร็ว

ชายหนุ่มอยากตามออกไป แต่คิดอีกทีปล่อยให้เธอมีเวลาคิดทบทวนเงียบๆ ก็น่าจะดี ส่วนคำตอบจะตกลงหรือปฏิเสธนั้น ต่อให้เขาคาดคั้นหรือไปนั่งเฝ้า บทสรุปก็อยู่ที่ใจเธอแล้วล่ะ

...โชคชะตาจะเล่นตลกให้อีกสักครั้งไหมหนอ...ภัทริศถามและภาวนาในคราเดียวกัน




โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชมค่ะ ^^








ปลากัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ส.ค. 2554, 09:05:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ส.ค. 2554, 09:05:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 2679





<< บทที่ 6   บทที่ 8 >>
บัวขาว 24 ส.ค. 2554, 09:54:23 น.
ลุ้นค่ะ .. มาต่อไวๆ นะคะ
=^_^=


คิมหันตุ์ 24 ส.ค. 2554, 09:55:28 น.
ให้หวานเป็นแม่อุ้มบุญ คุณริศกดอาสาเป็นพ่ออุ้มแม่ เอ้ยพ่ออุ้มบุญด้วยสิคะ หนูหวานจะได้ไม่ต้องกังวล. คิคิ


innam 24 ส.ค. 2554, 10:32:45 น.
ตามเป็นกำลังใจ


anOO 24 ส.ค. 2554, 11:05:21 น.
อยากให้นายริศเป็นแฟนกับหวานก่อน
พอไปอุ้มบุญให้พี่มน เจอกับนายภัตจะได้มีคนคอยกัน
แต่ก็ยังมียัยแยมเป็นปัญหาอยู่อีกคน


แล่นแต๊ 24 ส.ค. 2554, 15:53:14 น.
นางเอกของเราจะเอายังไงเอ่ย


silverraindrop 24 ส.ค. 2554, 17:23:07 น.
โอ้ย....ลุ้นมากเลยว่าหวานจะตัดสินใจอย่างไร


รอให้เป็นเล่ม 24 ส.ค. 2554, 18:46:18 น.
หวานจะตัดสินใจยังไงหน้ออออออออ


dee_jung 24 ส.ค. 2554, 21:35:35 น.
จะยอมอุ้มบุญหรือเนี่ย รอตอนต่อไปนะค่ะ


แว่นใส 25 ส.ค. 2554, 08:16:04 น.
น่านซิ จะตัดสินใจไงน๊า


แพม 25 ส.ค. 2554, 11:14:17 น.
กรรม!


silverraindrop 31 ส.ค. 2554, 17:24:06 น.
เฮ้อ...จะตัดสินใจยังงัยน๊า แต่คิดว่าคงตกลง แล้วเรื่องระหว่างนายริศ กะ หวานล่ะ จะเป็นยังงัยต่อไป รอติดตามอยู่ค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account