เหลี่ยมรักมัดใจ
ในความคิดเขา... เธอเป็นเด็กหัวรั้น ทำตามใจตัวเอง
ใครได้ไปเป็นภรรยาถือว่าทำบุญมาไม่ดี
ในความคิดเธอ... เขาช่างน่าเบื่อ ทื่อมะลื่อ
เป็นก้อนหิน ใครได้ไปเป็นสามีคงชีช้ำตาย
คำโบราณว่าไว้ไม่ผิด เกลียดอย่างไหน
มักได้อย่างนั้น สองคนที่เข้ากันไม่ได้เอาซะเลยจึงต้อง
มาลงเอยด้วยการแต่งงาน
นิยายเรื่องนี้แต่งด้วยอารมณ์เมามันมากๆ รู้สึกสนุก
ปนเครียดเพราะแต่งตาม concept แต่ก็ผ่านมาได้ในที่สุด
ใครได้ไปเป็นภรรยาถือว่าทำบุญมาไม่ดี
ในความคิดเธอ... เขาช่างน่าเบื่อ ทื่อมะลื่อ
เป็นก้อนหิน ใครได้ไปเป็นสามีคงชีช้ำตาย
คำโบราณว่าไว้ไม่ผิด เกลียดอย่างไหน
มักได้อย่างนั้น สองคนที่เข้ากันไม่ได้เอาซะเลยจึงต้อง
มาลงเอยด้วยการแต่งงาน
นิยายเรื่องนี้แต่งด้วยอารมณ์เมามันมากๆ รู้สึกสนุก
ปนเครียดเพราะแต่งตาม concept แต่ก็ผ่านมาได้ในที่สุด
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 11
“สวัสดีครับพี่อัญ มาได้ยังไงครับเนี่ย”
“เข้ม ดีใจจังที่เจอตัวได้เสียที เอ้า พี่เอาขนมมาฝาก รับรองไม่มีส่วนผสมของถั่ว ผ่านมาทางนี้เลยแวะมาเยี่ยม พี่นพบ่นๆ อยู่ว่าพักนี้ เข้มหายหน้าหายตาไปนะ ยังคิดเลยว่าจะได้เจอกันหรือเปล่า โทรมาทีไรเราก็ยุ่งทุกที” เจ้าของร้านเบเกอรี่ทักทายดร.หนุ่มซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องอย่างดีใจ
“วันนี้ว่างครับ มีประชุมที่ตึกข้างๆ เสร็จแล้วเลยกลับมานั่งทำงาน บ่ายไม่มีสอน”
“เอ้างั้นเลี้ยงกาแฟพี่สักถ้วยได้ไหม เราไปหาที่เงียบๆ คุยกัน เอาแบบไม่ใช่ห้องทำงานสี่เหลี่ยมเครียดๆ แบบนี้น่ะ” คนพูดมองไปรอบห้องที่มีแต่ชั้นหนังสือ คอมพิวเตอร์ และโต๊ะประชุมขนาดเล็ก ถึงแม้จะทันสมัย แต่มันก็แฝงความเอาจริงเอาจังของเจ้าของสถานที่ไว้อยู่ดี
“ก็ได้ครับ”
ทั้งคู่เดินมาที่ร้านกาแฟเล็กๆ ริมรั้วมหาวิทยาลัย อัญชลีจงใจเลือกโต๊ะที่มีความเป็นส่วนตัว ทั้งคู่สั่งกาแฟ มานั่งดื่มด้วยกันเงียบๆ
“หลานผมเป็นยังไงบ้างครับ”
“ต้นข้าวสบายดีจ้ะ พักนี้แกมีคู่ซี้ใหม่แล้ว ว่างเมื่อไหร่ต้องพากันไปช็อปปิ้ง”
“พี่อัญหาพี่เลี้ยงใหม่ให้ต้นข้าวหรือครับ”
“เปล่า ยัยใหม่น่ะ เพิ่งรู้จักกัน แกไปเล่นด้วยบ่อยๆ วันไหนที่ว่างจากการดูแลคุณปู่ของแกน่ะ”
ชื่อนั้นทำให้พิชญ์ชะงัก ขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าอัญชลีจะรู้จักกับณิชา
“ณิชาหรือครับ”
อัญชลีพยักหน้า เรื่องบังเอิญเหลือเกินที่อัญชลีและพิชญ์เป็นญาติห่างๆ กัน ช่วงที่ยังเรียนอยู่เมืองไทยพิชญ์เคยไปอาศัยบ้านของอัญชลีอยู่พักหนึ่ง นั่นทำให้เธอรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้แพ้ถั่ว เมื่อณิชาเอ่ยถึงดร.หินแพ้ถั่วก็ทำให้เอะใจ และสงสัยว่าจะเป็นคนคนเดียวกันหรือเปล่า
จนกระทั่งณิชาเผลอพูดชื่อจริงของเขา ทำให้หญิงสาวเจ้าของร้านเบเกอรี่ยิ่งมั่นใจว่าตนเองเดาไม่ผิด
อัญชลีรู้เรื่องการแต่งงานของพิชญ์เมื่อหลายปีก่อน แต่ไม่เคยพบภรรยาของเขา ช่วงที่พิชญ์แต่งงานเธอไปเยี่ยมสามีซึ่งไปทำงานต่างประเทศระยะหนึ่งจึงไม่มีโอกาสได้รู้จัก ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าณิชามาก่อน
พบกับพิชญ์ครั้งนี้อัญชลีตัดสินใจเล่าเรื่องการพบกันของเธอและณิชา ความดีของเด็กคนนั้นที่ใส่ใจพาต้นข้าวมารอจนพบเธอ ไม่ทิ้งไว้เฉยๆ กลางห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น
“นั่นเหมือนคนละคนกับที่ผมรู้จักเลยนะ” เขาพูดตามที่รู้สึกอย่างตรงไปตรงมา ผู้หญิงที่อัญชลีเล่าถึงเหมือนจะเป็นน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่ง ซึ่งหากเอาภาพมาซ้อนกับท่าทางดื้อเอาแต่ใจและชอบหนีเที่ยวกลางคืนของณิชาแล้วมันดูไม่ลงตัวเลย
“ใหม่ไม่ได้มีกำแพงที่จะต้องสร้างเพื่อกีดกันความรู้สึกดีๆ ต่อกันเหมือนที่ต้องทำกับพิชญ์นี่ แกไม่รู้ว่าพี่เป็นใคร พี่พบว่าตัวจริงแล้วแกเป็นเด็กที่ใช้ได้ทีเดียวล่ะ”
“แสดงว่า พี่รู้เรื่องของผมกับเธอ...”
อัญชลีพยักหน้า ไม่อยากบอกต่อว่ารู้มากกว่าที่คนตรงข้ามรู้ในบางเรื่องเสียด้วย
“ถ้าอย่างนั้น พี่ก็คงรู้ว่าผมกลับไปอยู่กับณิชาแล้ว”
“ใช่ พี่เป็นคนยุใหม่เองว่าควรจะกลับไปอยู่กับเข้ม เพราะรู้อยู่ว่าเข้มเป็นคนดี เหมาะที่จะดูแลเด็กขี้เหงาอย่างใหม่” เรื่องนี้อัญชลีรู้เรื่องจากอีกฝ่ายแล้วเช่นกัน “แต่พี่รู้สึกว่าพักนี้ใหม่เขาเงียบๆ นะ เข้มไปทำอะไรให้แกไม่สบายใจหรือเปล่า”
ณิชาเปลี่ยนไปนับแต่ พิชญ์ย้ายเข้าไปอยู่บ้านคุณปู่ แน่นอน ต่อหน้าผู้สูงวัย ทั้งคู่ทำตัวสนิทสนมกันเพื่อให้คุณปู่สบายใจว่าการบังคับให้มาอยู่ด้วยกันอีกครั้งเป็นเรื่องที่ท่านคิดถูกแล้ว
เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคนในบ้าน แม้กระทั่งแม่บ้านและพยาบาลที่จ้างมาเฝ้าคนป่วย พิชญ์จะโอบกอด หรือไม่ก็แตะเนื้อต้องตัวภรรยาเล็กๆ น้อยๆ เพื่อแสดงความใกล้ชิดเสมอ แต่เมื่อขึ้นห้องเขาจะหมกตัวเงียบอยู่ในมุมส่วนตัวของเขาและหันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์ ในขณะที่ณิชาเองก็เลือกที่จะดูโทรทัศน์หรือคุยโทรศัพท์จนดึก
เขาห้ามเธอเที่ยวกลางคืนอีกโดยเด็ดขาด บังคับให้ตื่นเช้าเพื่อมาทานอาหารเช้าและดูแลปู่อย่างใกล้ชิดทุกวัน หากไม่ทำตามคำสั่ง ก็จะถูกทำโทษแบบถึงเนื้อถึงตัวเสมอๆ
“เปล่าครับ ยัยนั่นไปฟ้องอะไรพี่อัญหรือไง”
“เปล๊า” อีกฝ่ายรีบปฏิเสธ “บอกแล้วไงว่าใหม่ไม่รู้ว่าพี่รู้จักเข้ม ถ้ารู้แกคงโกรธพี่แย่เหมือนกันเพราะไปยุให้ทำอะไรเพื่อง้อเข้มไว้หลายอย่าง”
คนฟังเลิกคิ้ว
“ง้อ?”
“ใช่ ใหม่เขาอยากคืนดีถึงได้ไปที่มหาวิทยาลัย ไปทำงานใกล้ๆ เอาขนมไปฝาก”
อีกฝ่ายหัวเราะ “พี่อัญเข้าใจผิดหรือเปล่า เธออยากหย่ากับผมใจจะขาดมากกว่า” เขาคิดถึงอาการสะดุ้งราวกับรังเกียจเขามากทุกๆ ครั้งที่เขาสัมผัสแตะต้องร่างกายของเธอแม้นิดหน่อย และสิ่งที่คุณปฐมบอกก่อนจะกลับมาอยู่ด้วยกัน “หน้าผมเขายังไม่อยากจะมอง”
“แกอยากคืนดี แต่เหตุผลหลักก็เพราะอยากเอาใจปู่ จริงๆ นะ จะว่าไปใหม่ก็ไม่ผิด แกไม่เคยใกล้ชิดกับเข้มมาก่อน จะให้มาทำจี๋จ๋ารักกันหวานแหววได้ยังไงล่ะ เข้าใจเขาบ้างสิ”
ชายหนุ่มแปลกใจ ไม่คิดว่าญาติผู้พี่ของตนเองจะใส่ใจกับความรู้สึกของภรรยาของเขา และแสดงตัวแบบเข้าข้างอีกฝ่ายมากมายขนาดนี้ ไม่รู้ไปทำเสน่ห์กันท่าไหน
“โธ่ เราก็นึกว่าห่วงเรา ที่แท้ก็ห่วงเขา คนไร้ความรับผิดชอบนั่น”
“ทำไมว่าใหม่แบบนั้นล่ะ”
ชายหนุ่มเล่าเรื่องที่ณิชาลาออกจากการเป็นผู้ช่วยในทีมเชียร์ลีดเดอร์ให้ญาติผู้พี่ฟัง “คนอะไร อยากทำอะไรก็ทำ พอเห็นว่ามันเหนื่อยมันเครียดก็เลิกทำซะง่ายๆ พอรู้ว่าใหม่เป็นเมียผม ผมเลยโดนอาจารย์ที่เป็นผู้จัดการทีมเชียร์ด่าเสียผู้เสียคนไปเลย”
อัญชลีถอนหายใจ เธอคิดว่าเธอเข้าใจว่าทำไมณิชาจึงตัดสินใจลาออก ชายหนุ่มตรงหน้ายังมองภรรยาของตัวเองในมุมมองแบบเดิมๆ ประจวบเหมาะกับเหตุการณ์หลายๆ อย่างมันสนับสนุนให้เขาเชื่อแบบนั้นด้วย เธอยากแก้ตัวให้ณิชาอีก แต่ยั้งปากไว้ คิดว่าปล่อยให้เวลามันพิสูจน์ดีกว่าว่าทุกอย่างมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่ชายหนุ่มปักใจเชื่อเสียทั้งหมด
“ใหม่ยังเด็กนะ เขาอ่อนกว่าเข้มตั้งหลายปี จะให้คิดอะไรรอบคอบแบบเราได้ยังไง” คนพูดแตะมือบนต้นแขนของอีกฝ่าย “แต่พี่อยากให้เข้มใส่ใจแกหน่อย อย่างน้อยแกก็ควรจะร่าเริงในแบบที่คนวัยนี้ควรจะเป็นไม่ใช่ทำหน้าเศร้า คิดอะไรไม่รู้ตอนเผลอๆ ทุกครั้งน่ะ”
คนฟังถอนหายใจ เขาเองก็รู้สึกแบบนั้น พักหลังณิชาจะพยายามปลีกตัวหนีเขาทุกครั้งที่พ้นสายตาของคนรอบข้าง
“ผมจะพยายามครับ” เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเธอนี่นา แค่จูบนิดๆ หน่อยๆ ตอนที่เห็นว่าแม่บ้านแอบมองอยู่ แกล้งจับมือ หรือไม่ก็ดึงเข้ามากอด เท่านั้นไม่น่าจะทำให้ยัยนั่นต้องมาซีเรียสอะไร ถ้าเขาเข้าไปปล้ำขืนใจสิค่อยน่าเสียใจหน่อย
หรือว่าเขาจูบไม่ได้เรื่องเลย
หรือว่าเขาน่าเบื่อ
หรืออาจจะทั้งสองอย่าง
อัญชลีกลับไปแล้ว พิชญ์กลับมาที่ห้อง แต่ยังนั่งเหม่อคิดเรื่องที่อัญชลีมาพูดกับตนอยู่ เขาลุกขึ้น เอามือล้วงกระเป๋า ยืนพิงกระจกด้านที่เห็นวิวของสนามกีฬา แต่ภายในใจกับคิดถึงเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ภาพตรงหน้า
เมื่อได้รับคำขอร้องจากคุณปฐมให้กลับมาอยู่กับณิชา สมองของเขาก็คำนวณความเป็นไปได้ที่จะครอบครองเธอไว้ตลอดกาลทันที
เขาแต่งงานแล้ว และคิดว่าจะแต่งงานครั้งเดียว จึงคิดว่าจะต้องรักษาชีวิตแต่งงานครั้งนี้ไว้ อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่กล้าบอกตัวเองตรงๆ ก็คือ เขาติดใจใบหน้าและท่าทางของภรรยาตัวเองตั้งแต่แรกที่พบกันแล้ว
นั่นทำให้พิชญ์รับปากคุณปฐม และวางแผนที่จะทำให้ภรรยากลับมาหาเขาทั้งตัวและหัวใจ เธอจะต้องหลงเขา ทุ่มเทให้เขา และไม่สามารถไปจากเขาได้อีกเป็นครั้งที่สอง
เฮ้อ แผนขั้นที่หนึ่ง มัดให้เธอต้องอยู่กับเขาสำเร็จ แผนขั้นที่สอง ต้องทำให้ภรรยาคุ้นเคยกับเขามากขึ้นดูเหมือนจะล้มเหลวไม่เป็นท่ากลับเป็นตรงข้ามเสียมากกว่า แล้วนี่แผนต่อไป ทำให้หลงเสน่ห์ และพิชิตใจนี่เขาจะไปรอดเหรอนี่ อาจารย์กู (เกิ้ล) ไม่ได้บอกไว้ด้วยสิว่าหากทำไม่สำเร็จในแต่ละขั้นตอนควรจะแก้สถานการณ์อย่างไร
แค่จูบนิดๆ หน่อยๆ ณิชายังกระเจิง ถ้ามากกว่านั้นคงกระเจิงไปไกลแน่ๆ ใครจะไปคิดว่าผู้หญิงที่ทำท่าทางซ่า ก๋ากั่น แบบนั้นจะอ่อนประสบการณ์เรื่องพวกนี้ขนาดนี้
ลองหาที่ปรึกษาเพิ่มดีกว่า…คิดแล้วก็กดโทรศัพท์มือถือ เรื่องแบบนี้บอกใครไม่ได้เสียด้วย แต่กับนรุธ น่าจะพอเข้าใจกันได้ ได้ข่าวว่ารายนั้นกำลังอยู่ในห้วงแห่งความรักเหมือนกัน
“ว่าไง” เสียงคนรับโทรศัพท์มือถือห้วนสั้นอย่างที่พิชญ์คุ้นเคย
“มีเรื่องปรึกษา” คนพูดกลั้นใจอยู่หลายวินาทีกว่าจะเอ่ยประโยคนั้นออกมาได้
“อะไร โปรแกรมมีปัญหารึ จำไม่ได้รึไงว่าฉันลาพักร้อน ถ้ามีปัญหาให้ติดต่อเจ้ากฤษณ์” ดร.นรุธหมายถึงโปรแกรมเมอร์อีกคนที่เป็นมือขวาของเขา
“เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้น” คนพูดอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะเอ่ยสิ่งที่อยากรู้ และต้องการที่ปรึกษาพิเศษยังไงดี
“มีอะไรวะ ไม่มีธุระก็วางสายซะ ฉันอยู่กับแฟน เสียเวลาเว้ย”
แฟนสาวของ ดร.นรุธเป็นเด็กอายุยี่สิบต้นๆ เหมือนกัน พิชญ์ไม่เคยเห็นหน้า แต่เพื่อนของเขาเคยเล่าให้ฟังว่าเป็นนักสืบสาวชาวเนดาห์ที่เก่งเอาการ ทั้งคู่ไปผจญภัยด้วยกันมาที่ต่างประเทศ และเกือบไม่ได้ลงเอยกันเพราะความเข้าใจผิด
“คือว่า”
“หาวิธีคืนดีกับเมียไม่ได้งั้นสิ”
“เฮ้ย”
ปลายสายหัวเราะ “จี้ใจดำสิ คิดมากน่ะ เมียตัวเอง ปล้ำซะก็หมดเรื่อง” นรุธเป็นคนแบบนี้ พูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา
“ไม่ได้…ฉันเสียผู้ใหญ่หมด”
“เรื่องความรักมันไม่มีผู้ใหญ่ไม่มีเด็กหรอกโว้ย รักเขาก็บอกเขาตรงๆ คิดมาก อ้อมค้อมเสียเวลา อย่าท่ามาก เรื่องมากนัก หัดคิดอะไรแบบเด็กๆ ทำอะไรแบบใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลซะมั่ง แค่นี้นะ”
คนพูดตัดสาย จบบทสนทนาเพียงเท่านั้น
เฮ้อ จะปรึกษาปัญหาหัวใจเสียหน่อย เจ้านี่ก็ไม่มีเวลาเสียอีก คงต้องช่วยตัวเองต่อไปแล้วเรา
….ทำอะไรแบบใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลเสียบ้าง…เพื่อนของเขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้น อยากถามต่อนักว่า แล้วที่เป็นเรื่องไม่ใช้เหตุผลนี้มันเรื่องอะไรละ (วะ)
เสียงเคาะประตูเบาๆ ปลุกภวังค์ของชายหนุ่ม เลขาฯ ของเขายื่นหน้าเข้ามาเพื่อดูว่าเจ้านายติดพูดโทรศัพท์หรือทำงานยุ่งอยู่หรือเปล่า เมื่อเห็นเขายืนพิงกรอบหน้าต่างอยู่จึงเดินข้ามาพร้อมกับยื่นซองสีขาวส่งให้
“อะไรน่ะคุณผึ้ง” คนที่ยื่นมือไปรับมองซองขาวนั้นอย่างงงๆ
“อาจารย์วิทยาฝากมาให้ค่ะ มีโน้ตในซองด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไร” อรสาอมยิ้ม “พักนี้ทำไมถึงไปสนิทสนมกับอาจารย์วิทยาได้ค่ะ แปลกจัง”
“ภรรยาผมเขาเคยทำงานด้วยกันน่ะ” ชายหนุ่มตอบตามตรง นึกเขินเล็กน้อยที่เอ่ยถึงอีกคนในฐานะภรรยาอย่างเต็มปากเต็มคำ
“พูดถึงด้วยน้ำเสียงแบบนี้ แสดงว่าดีกันแล้วใช่ไหมคะ” เลขาฯ ของเขาถามขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอ่ยถึงอีกคนอย่างกันเอง ไม่ได้ทำมึนตึงเหมือนเมื่อก่อน
เจ้าของห้องไม่ตอบ เพียงแต่พยักหน้า ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มจากอีกฝ่ายกลับคืนมา
“ดีค่ะ ผึ้งจะได้หมดหน้าที่เป็นตัวกันสาวอื่นๆ เสียที”
อรสาออกไปแล้วพิชญ์จึงเปิดซองสีขาวนั้นออกมา ข้างในเป็นตั๋วสองใบเพื่อไปดูการแข่งขันที่จะมีขึ้นอีกสองวัน นอกจากนั้นก็มีกระดาษโน้ตเล็กๆ
ข้อความในนั้นทำให้ชายหนุ่มมีมุมมองต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาต่างไปจากเดิม อาจารย์วิทยาฝากขอโทษที่เคยพูดจาไม่ดีด้วย และขอบคุณณิชาที่หาคนมาแทนให้หลังจากต้องลาออกกะทันหัน
หญิงสาวไม่ได้ทิ้งงานไปเฉยๆ
หรือที่เธอทิ้งไป เป็นเพราะต้องไปดูแลปู่? ซึ่งเขาไม่เคยคิดถึงจุดนี้
บางทีเธออาจไม่ได้เป็นเด็กสาวที่ไม่ได้เรื่องไปเสียทุกอย่างหรอก...บางทีเขาอาจจะต้องเริ่มแผนขั้นที่สองอีกครั้ง ครั้งแรกเขาอาจจะหว่านเสน่ห์ให้เธอน้อยไป
แต่ก่อนอื่นๆ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าจริงๆ แล้วณิชาเป็นคนอย่างไร แน่ละ จากที่ได้ยินจากปากของญาติผู้พี่ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนไม่นิ่งเฉยต่อปัญหาที่อยู่ตรงหน้า และเอาใจใส่ต่อคนรอบข้าง ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ช่วยต้นข้าวไว้ แล้วเรื่องความจริงจังกับการทำงานล่ะ ชายหนุ่มตัดสินใจโทรกลับไปหาอาจารย์วิทยา คนที่เคยทำงานกับเธอได้ไม่กี่วัน ผู้ชายคนนั้นได้ชื่อว่าเป็นคนที่ทำงานจริงจังอีกคนหนึ่งในมหาวิทยาลัย ถึงแม้จะทำงานคนละด้านกับเขา แค่ผลงานของเขา ก็สร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยแห่งนี้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ผ่านไปสองวัน ณิชาได้รับโทรศัพท์จากพิชญ์ให้แต่งตัวรอ เพราะเขาจะพาเธอไปทำธุระนอกบ้าน
“ฉันไม่ว่าง ต้องดูแลปู่” หญิงสาวคิดเพียงเสี้ยววินาทีก่อนตอบ เธออยากอยู่ห่างเขาให้มากที่สุด ไม่อยากใกล้ชิด ไม่อยากติดใจในรสสัมผัสที่ไม่ได้มากไปกว่าการจับมือ หรือจุมพิตเบาๆ แต่มันก็ส่งกระแสความรู้สึกหวั่นไหวให้เธอได้ทุกครั้ง
“บ่ายๆ คุณปู่ของคุณจะนอนพักยาว ฝากพยาบาลดูแลให้ก็ได้” เสียงอีกฝ่ายไม่พอใจนิดๆ ตามแบบฉบับของเขา ที่มักจะเคยชินกับการออกคำสั่ง
“แต่ฉันไม่อยากออกจากบ้านนี่นา” หญิงสาวพบปะผู้คนน้อยลง เบื่อที่จะไปเที่ยวกับเพื่อน เริ่มคุ้นเคยกับการได้ทำอะไรกับคุณปู่ของตนเองเสียแล้ว
“ผมสั่ง อีกครึ่งชั่วโมงผมจะถึงบ้าน แต่งตัวรอไว้ด้วย ไม่ต้องสวยมาก นุ่งกางเกงก็ได้”
“แต่...”
พิชญ์วางสาย ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรต่อ
ณิชาย่นจมูก เชอะ...คนแก่ ชอบเอาแต่ใจตัวเองเหมือนคุณปู่ไม่มีผิด
ดอกเตอร์พิชญ์มาถึงภายในครึ่งชั่วโมงอย่างที่บอกไว้จริงๆ ณิชายังไม่ได้แต่งตัวเพราะคุยโทรศัพท์อยู่กับเพื่อนต่างชาติ เสียงเคาะประตูห้องเบาๆ
“ณิชา เปิดประตูหน่อย คุณแต่งตัวเสร็จหรือยัง”
“ยังค่ะ” เธอตะโกนตอบ ก่อนจะหันไปบอกลากับเพื่อนรักทางโทรศัพท์ พอวางสาย ผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าประตูก็พาตัวเองเข้ามาในห้องแล้ว
“ทำไมแต่งตัวช้านัก แม่บ้านบอกว่าคุณขึ้นมานานแล้วนี่”
“ฉันก็มีธุระส่วนตัวบ้างสิ” คนพูดกระชับเสื้อคลุมให้เข้าที่ เพราะข้างในเธอไม่ได้สวมอะไรเลย “นี่เป็นห้องส่วนตัวของฉันนะ คุณออกไปก่อน ฉันจะแต่งตัว”
“ไม่มีคำว่าส่วนตัวหรอก สำหรับสามีและภรรยา” ร่างสูงผิวเข้มปฏิเสธหน้าตาเฉย กวาดสายตามองร่างบางที่กึ่งเปลือย ณิชาเป็นผู้หญิงร่างเล็กแต่สมส่วน การเรียนเต้นของเธอน่าจะมีส่วนทำให้เธอรูปร่างดี หลังตรง และมีส่วนโค้งส่วนเว้าที่เย้ายวนใจ รูปร่างเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากที่เขาพบเมื่อตอนแต่งงานกัน เธอดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีเสน่ห์มากขึ้น แบบที่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้
คนถูกมองถอยกรูดเข้าห้องน้ำ “ออกไปก่อนสิ นี่ไม่ใช่ต่อหน้าคนอื่น ไม่ต้องมาทำพิศวาสกันหรอก”
คนที่ยืนอยู่กลางห้องเม้มปาก เขาคงทำให้เธอคิดว่าเขาตั้งใจจะใกล้ชิดกับเธอเฉพาะเวลาที่มีคนนอกเห็นเท่านั้น … เธอคิดผิด
แต่เอาเถอะ เขายังไม่อยากทำให้เกิดเรื่องกันตอนนี้ ตามแผนเขาต้องบริหารเสน่ห์ของตัวเอง และทำให้เมียของตนเองไว้วางใจเขาให้ได้ หากทำอะไรตามใจตอนนี้ มีหวังพังตั้งแต่ขั้นตอนแรกๆ
“โอเค ผมไปรอข้างล่างนะ ให้เวลาอีกไม่เกินสิบนาที ถ้าไม่เสร็จ ผมจะขึ้นมาตามจริงๆ ด้วย”
“คุณจะพาฉันไปไหน”
“ถ้าไม่รู้สักเรื่องจะนอนไม่หลับหรือไง” ตอบทั้งๆ ที่ตั้งใจจะพูดดีด้วย แต่อดไม่ได้ที่จะทำเสียงแข็ง
“ก็...เผื่อคุณจะพาฉันไม่ฆาตกรรม ฉันจะได้หาทางหนีที่ไล่” อีกฝ่ายสวนคำตอบทันที
คนขับถรถหัวเราะเบาๆ ไม่ตอบ
“แล้ววันนี้ว่างเหรอ ไม่ต้องทำงาน?”
“ว่าง งานในแล็บก็สั่งเจ้าหน้าที่ดูแลจัดการหมดแล้ว” เขาตอบลดระดับความเข้มของเสียงลงมานิด “งานอื่นๆ เลขาฯ ของผมจัดการแทนได้”
เลขาฯ ของผม...ณิชาเหยียดริมฝีปาก คนรักล่ะไม่ว่า เธอหันหน้าออกนอกหน้าต่าง บอกตัวเองว่ายุติการต่อล้อต่อเถียงกับดอกเตอร์พิชญ์ดีกว่า เพราะตนเองไม่อยู่ในอารมณ์และสติที่จะต่อล้อต่อเถียงเขาในตอนนี้
หญิงสาวมัวแต่คิดถึงเรื่องอื่นๆ เรื่อยเปื่อยจึงไม่ได้สังเกตเห็นว่ารถเลี้ยวเข้าสนามกีฬาขนาดใหญ่ชานเมืองกรุงเทพฯ เธอนั่งตัวตรงเมื่อเขาเอารถไปจอด หันมามองคนข้างตัว
“คุณ...มาที่นี่ทำไม”
“ผมมีธุระน่ะสิ ลงมาจากรถแล้วก็ตามผมมา อย่าให้หลงไปล่ะ” รอบๆ บริเวณตัวอาคารเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งวัยที่น่าจะเป็นนักศึกษา ผู้ปกครอง และประชาชนผู้สนใจเข้าชมทั่วไป เมื่อเห็นว่าณิชายังคงมองไปรอบๆ บริเวณด้วยความแปลกใจ คนขับรถซึ่งตอนนี้จอดรถเรียบร้อย และลงมายืนอยู่ข้างๆ ณิชาแล้วจึงตัดสินใจคว้าข้อมือของเธอลากเข้าตัวอาคารด้านใน
หญิงสาวกัดริมฝีปาก … เขารู้ได้ยังไงว่าวันนี้เป็นวันแข่งขันของทีมเชียร์
อาจจะบังเอิญ เขาอาจมาธุระที่นี่ ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันเชียร์ลีดเดอร์ก็ได้ อย่างผู้ชายคนนี้จะสนใจอะไรกับกีฬาแบบนี้
“จะไปไหนคะ”
“หาอะไรกินก่อน ผมยังไม่ได้กินอะไรเลย” คนพูดมองนาฬิกาข้อมือ “พอมีเวลาก่อนทีมของมหาวิทยาลัยเริ่มแข่ง มาสิ”
หญิงสาวเบิกตากว้าง อดแปลกใจไม่ได้ที่เขาพูดเหมือนกับว่าตั้งใจมาดูการแข่งขัน เธอปล่อยให้ตัวเองถูกลากผ่านกลุ่มเด็กนักศึกษา และผู้เข้าชมที่แออัดอยู่หน้าประตูทางเข้า ผ่านไปยังบริเวณที่เป็นร้านอาหาร ดร.พิชญ์เลือกที่นั่งและสั่งอาหารอย่างรวดเร็ว ก่อนยื่นเมนูมาให้
“กินอะไรไหม”
ณิชายังพูดไม่ออก ไม่เข้าใจ แต่พอขยับปากจะถาม ดร.พิชญ์ก็ยกโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมา โทรหาใครสักคนที่น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ในแล็บ สั่งงานยาวเหยียด ณิชาสั่งเครื่องดื่มร้อนๆ เพราะกินข้าวกลางวันกับปู่ไปแล้ว จนกระทั่งอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะคนตรงข้ามยังไม่วางสาย
เขาวางสายได้ในที่สุด จัดการอาหารของตัวเองอย่างรวดเร็วแต่ก็เรียบร้อย เป็นปกติของเขาที่จะทำอะไรเร็วแต่ก็ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย เป็นอีกเรื่องที่คนเป็นภรรยาแอบชื่นชมอยู่เงียบๆ
ชีวิตของชายหนุ่มตรงหน้ามีระบบ ระเบียบ เธอไม่เคยเห็นเขาดื่มเหล้า ไม่เคยเห็นเขาเที่ยวเตร่ ทำแต่งานและกลับบ้านตรงเวลาจนบางครั้งเธอยังสงสัยว่าเขามีงานอดิเรกทำบ้างหรือเปล่า
“คนเยอะ...อย่างไม่น่าเชื่อ”
“มันเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่มีสีสัน”
“ผู้หญิงแต่งตัวสั้นๆ โป๊ๆ กระโปรงสั้นๆ กระโดดไปกระโดดมา นับว่าเป็นกีฬาได้ยังไงนะ” คนพูดตักอาหารเข้าปาก และวิจารณ์ตรงๆ “แข่งให้ชนะก็ไม่รู้วัดจากอะไร ดูยาก”
ถึงแม้เขาจะมีแผนพิชิตใจภรรยา แต่เขาบอกตัวเองตั้งแต่เริ่มต้นว่าจะไม่ตั้งใจสร้างภาพของตนเองเด็ดขาด
“มันเป็นกีฬา แล้วก็เป็นศิลปะด้วยในความคิดของฉัน”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “มันต้องอาศัยความพยายามมาก ผมยอมรับในเรื่องนั้น แต่ผมดูทีไรก็...”
“คนไร้ความรู้สึก ไม่ชอบแล้วมาดูทำไม”
“เพราะรู้ว่ามีใครอยากดูน่ะสิ” เขาตอบทันควัน ตอบโดยที่จ้องตาคนฟังเสียด้วย
ณิชากำลังจะอ้าปากโต้ตอบ เพราะคิดว่าเขาจะสวนประโยคอะไรที่ร้ายๆ กลับมา พอได้ฟังคำตอบแบบตรงไปตรงมาแบบนั้นก็เลยอึ้ง
แถมตอบเสร็จก็จ้องตากลับมาแบบไม่มีทีท่าว่าจะหลบเสียด้วย คนถูกจ้องก็เลยต้องหลบตาเสไปมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแทน
มาดู…เพราะรู้ว่ามีใครอยากดู ประโยคง่ายๆ ตรงไปตรงมานั่นพุ่งเข้าสู่หัวใจของหญิงสาวอย่างจัง เจ้าตัวไม่ได้ตั้งตัวจะป้องกันความรู้สึกจึงชะงักพูดไม่ออก คนแบบเขา แค่ทำให้เท่านี้ก็เป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะเกิดขึ้น
“ไปกันเถอะ อีกสิบนาทีจะเริ่มแล้ว” ชายหนุ่มวางเงินค่าอาหารไว้ที่โต๊ะ ไม่ได้สังเกตอีกฝ่ายที่มองตนเองเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาดึงศอกคนที่พามาด้วยออกจากร้านอาหาร แต่แทนที่เขาจะพามาบริเวณที่เป็นทางเข้า เขากลับมาไปอีกทาง
“จะไปไหนทางเข้าอยู่ทางโน้นนี่นา”
“ผมมีที่นั่งพิเศษ ตามมาเถอะ” เขาเลี้ยวไปอีกด้านซึ่งมีประตูเล็กๆ และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลอยู่ พิชญ์ส่งบัตรเข้าชมที่นั่งพิเศษซึ่งได้รับจากอาจารย์วิทยาให้เจ้าหน้าที่
“เชิญทางนี้ครับ” เจ้าหน้าที่รับบัตร แล้วส่งให้สตาฟนำทั้งคู่เดินตามทางเดินเล็กๆ ไปที่นั่งที่อยู่โซนด้านหลังกรรมการซึ่งเป็นบริเวณที่เกือบจะดีที่สุดของสนาม ยังไม่ทันที่ณิชาและพิชญ์จะก้าวขึ้นไปบนที่นั่ง เสียงเรียกชื่อณิชาดังๆ ก็ดังมาจากข้างขอบสนาม
“แอรอน” ณิชาโบกมือให้กับชายหนุ่มร่างสูงชาวตะวันตกที่สวมเสื้อทีมเดียวกับมหาวิทยาลัยของเธอ “ฉันขอไปคุยกับเพื่อนหน่อยได้ไหม เดี๋ยวมานะ”
พิชญ์มองตรงไปยังเป้าหมายของภรรยา พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก รู้สึกขวางหูขวางตาเจ้าหนุ่มหุ่นดี หน้าตาดีคนนั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะคนพูดไม่รอบคำตอบวิ่งปรู๊ดไปด้านล่างเวที และกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของผู้ชายร่างสูงกล้ามเป็นมัดๆ คนนั้นเรียบร้อย
ดู ยิ้มให้กันยังกับคิดถึงกันมาซะสิบชาติ แถมกอดกันกลม...มันน่าซัดซะเปรี้ยง ชายหนุ่มเม้มปากแน่น ยัดหมัดของตัวเองลงในกระเป๋ากางเกงก่อนที่จะห้ามใจไม่ได้ บอกตัวเองว่าที่นี่เป็นสาธารณะ คนรู้จักเขาก็หลายคน ยังต้องสร้างภาพพจน์ที่ดีไว้
รอให้กลับบ้านก่อนเถอะ เขาจะจัดการกำราบเธอให้เข้าใจว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เรื่องแบบนี้เขารับไม่ได้จริงๆ แววตาหวานๆ แบบนั้น รอยยิ้มแบบนั้น มันควรจะเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น!
จากปลายสายตา พิชญ์รู้สึกเหมือนใครสักคนโบกมือให้ เขาหันไปมอง อาจารย์วิทยานั่นเอง เขาโบกมือตอบ แล้วชี้ไปที่ที่นั่งของตัวเองและณิชาก่อนจะเอ่ยขอบคุณเบาๆ รู้ว่าอาจารย์วิทยาคงไม่ได้ยิน แต่น่าจะเดาได้ เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ณิชาก็กลับมานั่งที่ พิธีกรเริ่มกล่าวต้อนรับผู้ชม และเริ่มเปิดการแข่งขันอย่างเป็นทางการ
ตลอดเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง พิชญ์ไม่ได้สนุกกับการแสดงในสนามนัก เขาดูการแสดงบ้างไม่ดูบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเปิดมือถือของตนเองและพิมพ์ข้อความสั่งงาน หรือไม่ก็อ่านข้อมูลผลการทดลองล่าสุดจากระบบที่ ดร.นรุธสร้างขึ้นมาให้อ่านรายละเอียดบางอย่างบนมือถือได้ ส่วนคนข้างๆ ตัว ส่งเสียงกรี๊ดตลอดเวลาราวกับเด็กวัยรุ่นดูคอนเสิร์ต แถมเสียงดังขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อทีมมหาวิทยาลัยของเขาลงแข่งขัน
“คุณดูไปก่อนได้ไหม เดี๋ยวอีกสองชั่วโมงผมมารับ” งานเข้า ผลการทดลองที่ออกจากระบบมีปัญหา ดร.นรุธส่งข้อความมาว่าให้เข้าไปตรวจสอบผลเพิ่มเติม
ณิชาคิดว่าคนพูดคงเบื่อเต็มที่ “คุณจะไปเลยก็ได้นะคะ ฉันกลับเองก็ได้ ทีมของมหาวิทยาลัยน่าจะแข่งเสร็จไม่เกินหกโมงเย็น”
“ได้ยังไงล่ะ เรากำลังอยู่ช่วงสร้างภาพให้คุณปู่เห็นไม่ใช่รึ ท่านรู้ว่าคุณกลับเองค่ำๆ แบบนี้ล่ะโกรธผมแย่ ผมจะแวะไปแล็บ เช็คผลทางมือถือแล้วมีอะไรจะทำเพิ่มเติมนิดหน่อย”
ปล่อยให้กลับเอง ก็จะได้หาโอกาสไปทำหวานกับเจ้าหนุ่มฝรั่งนั่นอีกน่ะสิ
“ก็ได้ค่ะ อีกสองชั่วโมงเจอกัน ฉันจะรออยู่ที่นี่ ทีมคงแข่งเสร็จแล้ว” ณิชาลอบถอนหายใจ พยายามไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนเองรู้สึกเสียใจนิดๆ
…ไม่รู้จะเสียใจไปทำไม ไม่อยู่ก็ดีนี่นา จะได้กรี๊ดลั่นสนามอย่างสบายใจ…
“เข้ม ดีใจจังที่เจอตัวได้เสียที เอ้า พี่เอาขนมมาฝาก รับรองไม่มีส่วนผสมของถั่ว ผ่านมาทางนี้เลยแวะมาเยี่ยม พี่นพบ่นๆ อยู่ว่าพักนี้ เข้มหายหน้าหายตาไปนะ ยังคิดเลยว่าจะได้เจอกันหรือเปล่า โทรมาทีไรเราก็ยุ่งทุกที” เจ้าของร้านเบเกอรี่ทักทายดร.หนุ่มซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องอย่างดีใจ
“วันนี้ว่างครับ มีประชุมที่ตึกข้างๆ เสร็จแล้วเลยกลับมานั่งทำงาน บ่ายไม่มีสอน”
“เอ้างั้นเลี้ยงกาแฟพี่สักถ้วยได้ไหม เราไปหาที่เงียบๆ คุยกัน เอาแบบไม่ใช่ห้องทำงานสี่เหลี่ยมเครียดๆ แบบนี้น่ะ” คนพูดมองไปรอบห้องที่มีแต่ชั้นหนังสือ คอมพิวเตอร์ และโต๊ะประชุมขนาดเล็ก ถึงแม้จะทันสมัย แต่มันก็แฝงความเอาจริงเอาจังของเจ้าของสถานที่ไว้อยู่ดี
“ก็ได้ครับ”
ทั้งคู่เดินมาที่ร้านกาแฟเล็กๆ ริมรั้วมหาวิทยาลัย อัญชลีจงใจเลือกโต๊ะที่มีความเป็นส่วนตัว ทั้งคู่สั่งกาแฟ มานั่งดื่มด้วยกันเงียบๆ
“หลานผมเป็นยังไงบ้างครับ”
“ต้นข้าวสบายดีจ้ะ พักนี้แกมีคู่ซี้ใหม่แล้ว ว่างเมื่อไหร่ต้องพากันไปช็อปปิ้ง”
“พี่อัญหาพี่เลี้ยงใหม่ให้ต้นข้าวหรือครับ”
“เปล่า ยัยใหม่น่ะ เพิ่งรู้จักกัน แกไปเล่นด้วยบ่อยๆ วันไหนที่ว่างจากการดูแลคุณปู่ของแกน่ะ”
ชื่อนั้นทำให้พิชญ์ชะงัก ขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าอัญชลีจะรู้จักกับณิชา
“ณิชาหรือครับ”
อัญชลีพยักหน้า เรื่องบังเอิญเหลือเกินที่อัญชลีและพิชญ์เป็นญาติห่างๆ กัน ช่วงที่ยังเรียนอยู่เมืองไทยพิชญ์เคยไปอาศัยบ้านของอัญชลีอยู่พักหนึ่ง นั่นทำให้เธอรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้แพ้ถั่ว เมื่อณิชาเอ่ยถึงดร.หินแพ้ถั่วก็ทำให้เอะใจ และสงสัยว่าจะเป็นคนคนเดียวกันหรือเปล่า
จนกระทั่งณิชาเผลอพูดชื่อจริงของเขา ทำให้หญิงสาวเจ้าของร้านเบเกอรี่ยิ่งมั่นใจว่าตนเองเดาไม่ผิด
อัญชลีรู้เรื่องการแต่งงานของพิชญ์เมื่อหลายปีก่อน แต่ไม่เคยพบภรรยาของเขา ช่วงที่พิชญ์แต่งงานเธอไปเยี่ยมสามีซึ่งไปทำงานต่างประเทศระยะหนึ่งจึงไม่มีโอกาสได้รู้จัก ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าณิชามาก่อน
พบกับพิชญ์ครั้งนี้อัญชลีตัดสินใจเล่าเรื่องการพบกันของเธอและณิชา ความดีของเด็กคนนั้นที่ใส่ใจพาต้นข้าวมารอจนพบเธอ ไม่ทิ้งไว้เฉยๆ กลางห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น
“นั่นเหมือนคนละคนกับที่ผมรู้จักเลยนะ” เขาพูดตามที่รู้สึกอย่างตรงไปตรงมา ผู้หญิงที่อัญชลีเล่าถึงเหมือนจะเป็นน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่ง ซึ่งหากเอาภาพมาซ้อนกับท่าทางดื้อเอาแต่ใจและชอบหนีเที่ยวกลางคืนของณิชาแล้วมันดูไม่ลงตัวเลย
“ใหม่ไม่ได้มีกำแพงที่จะต้องสร้างเพื่อกีดกันความรู้สึกดีๆ ต่อกันเหมือนที่ต้องทำกับพิชญ์นี่ แกไม่รู้ว่าพี่เป็นใคร พี่พบว่าตัวจริงแล้วแกเป็นเด็กที่ใช้ได้ทีเดียวล่ะ”
“แสดงว่า พี่รู้เรื่องของผมกับเธอ...”
อัญชลีพยักหน้า ไม่อยากบอกต่อว่ารู้มากกว่าที่คนตรงข้ามรู้ในบางเรื่องเสียด้วย
“ถ้าอย่างนั้น พี่ก็คงรู้ว่าผมกลับไปอยู่กับณิชาแล้ว”
“ใช่ พี่เป็นคนยุใหม่เองว่าควรจะกลับไปอยู่กับเข้ม เพราะรู้อยู่ว่าเข้มเป็นคนดี เหมาะที่จะดูแลเด็กขี้เหงาอย่างใหม่” เรื่องนี้อัญชลีรู้เรื่องจากอีกฝ่ายแล้วเช่นกัน “แต่พี่รู้สึกว่าพักนี้ใหม่เขาเงียบๆ นะ เข้มไปทำอะไรให้แกไม่สบายใจหรือเปล่า”
ณิชาเปลี่ยนไปนับแต่ พิชญ์ย้ายเข้าไปอยู่บ้านคุณปู่ แน่นอน ต่อหน้าผู้สูงวัย ทั้งคู่ทำตัวสนิทสนมกันเพื่อให้คุณปู่สบายใจว่าการบังคับให้มาอยู่ด้วยกันอีกครั้งเป็นเรื่องที่ท่านคิดถูกแล้ว
เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคนในบ้าน แม้กระทั่งแม่บ้านและพยาบาลที่จ้างมาเฝ้าคนป่วย พิชญ์จะโอบกอด หรือไม่ก็แตะเนื้อต้องตัวภรรยาเล็กๆ น้อยๆ เพื่อแสดงความใกล้ชิดเสมอ แต่เมื่อขึ้นห้องเขาจะหมกตัวเงียบอยู่ในมุมส่วนตัวของเขาและหันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์ ในขณะที่ณิชาเองก็เลือกที่จะดูโทรทัศน์หรือคุยโทรศัพท์จนดึก
เขาห้ามเธอเที่ยวกลางคืนอีกโดยเด็ดขาด บังคับให้ตื่นเช้าเพื่อมาทานอาหารเช้าและดูแลปู่อย่างใกล้ชิดทุกวัน หากไม่ทำตามคำสั่ง ก็จะถูกทำโทษแบบถึงเนื้อถึงตัวเสมอๆ
“เปล่าครับ ยัยนั่นไปฟ้องอะไรพี่อัญหรือไง”
“เปล๊า” อีกฝ่ายรีบปฏิเสธ “บอกแล้วไงว่าใหม่ไม่รู้ว่าพี่รู้จักเข้ม ถ้ารู้แกคงโกรธพี่แย่เหมือนกันเพราะไปยุให้ทำอะไรเพื่อง้อเข้มไว้หลายอย่าง”
คนฟังเลิกคิ้ว
“ง้อ?”
“ใช่ ใหม่เขาอยากคืนดีถึงได้ไปที่มหาวิทยาลัย ไปทำงานใกล้ๆ เอาขนมไปฝาก”
อีกฝ่ายหัวเราะ “พี่อัญเข้าใจผิดหรือเปล่า เธออยากหย่ากับผมใจจะขาดมากกว่า” เขาคิดถึงอาการสะดุ้งราวกับรังเกียจเขามากทุกๆ ครั้งที่เขาสัมผัสแตะต้องร่างกายของเธอแม้นิดหน่อย และสิ่งที่คุณปฐมบอกก่อนจะกลับมาอยู่ด้วยกัน “หน้าผมเขายังไม่อยากจะมอง”
“แกอยากคืนดี แต่เหตุผลหลักก็เพราะอยากเอาใจปู่ จริงๆ นะ จะว่าไปใหม่ก็ไม่ผิด แกไม่เคยใกล้ชิดกับเข้มมาก่อน จะให้มาทำจี๋จ๋ารักกันหวานแหววได้ยังไงล่ะ เข้าใจเขาบ้างสิ”
ชายหนุ่มแปลกใจ ไม่คิดว่าญาติผู้พี่ของตนเองจะใส่ใจกับความรู้สึกของภรรยาของเขา และแสดงตัวแบบเข้าข้างอีกฝ่ายมากมายขนาดนี้ ไม่รู้ไปทำเสน่ห์กันท่าไหน
“โธ่ เราก็นึกว่าห่วงเรา ที่แท้ก็ห่วงเขา คนไร้ความรับผิดชอบนั่น”
“ทำไมว่าใหม่แบบนั้นล่ะ”
ชายหนุ่มเล่าเรื่องที่ณิชาลาออกจากการเป็นผู้ช่วยในทีมเชียร์ลีดเดอร์ให้ญาติผู้พี่ฟัง “คนอะไร อยากทำอะไรก็ทำ พอเห็นว่ามันเหนื่อยมันเครียดก็เลิกทำซะง่ายๆ พอรู้ว่าใหม่เป็นเมียผม ผมเลยโดนอาจารย์ที่เป็นผู้จัดการทีมเชียร์ด่าเสียผู้เสียคนไปเลย”
อัญชลีถอนหายใจ เธอคิดว่าเธอเข้าใจว่าทำไมณิชาจึงตัดสินใจลาออก ชายหนุ่มตรงหน้ายังมองภรรยาของตัวเองในมุมมองแบบเดิมๆ ประจวบเหมาะกับเหตุการณ์หลายๆ อย่างมันสนับสนุนให้เขาเชื่อแบบนั้นด้วย เธอยากแก้ตัวให้ณิชาอีก แต่ยั้งปากไว้ คิดว่าปล่อยให้เวลามันพิสูจน์ดีกว่าว่าทุกอย่างมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่ชายหนุ่มปักใจเชื่อเสียทั้งหมด
“ใหม่ยังเด็กนะ เขาอ่อนกว่าเข้มตั้งหลายปี จะให้คิดอะไรรอบคอบแบบเราได้ยังไง” คนพูดแตะมือบนต้นแขนของอีกฝ่าย “แต่พี่อยากให้เข้มใส่ใจแกหน่อย อย่างน้อยแกก็ควรจะร่าเริงในแบบที่คนวัยนี้ควรจะเป็นไม่ใช่ทำหน้าเศร้า คิดอะไรไม่รู้ตอนเผลอๆ ทุกครั้งน่ะ”
คนฟังถอนหายใจ เขาเองก็รู้สึกแบบนั้น พักหลังณิชาจะพยายามปลีกตัวหนีเขาทุกครั้งที่พ้นสายตาของคนรอบข้าง
“ผมจะพยายามครับ” เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเธอนี่นา แค่จูบนิดๆ หน่อยๆ ตอนที่เห็นว่าแม่บ้านแอบมองอยู่ แกล้งจับมือ หรือไม่ก็ดึงเข้ามากอด เท่านั้นไม่น่าจะทำให้ยัยนั่นต้องมาซีเรียสอะไร ถ้าเขาเข้าไปปล้ำขืนใจสิค่อยน่าเสียใจหน่อย
หรือว่าเขาจูบไม่ได้เรื่องเลย
หรือว่าเขาน่าเบื่อ
หรืออาจจะทั้งสองอย่าง
อัญชลีกลับไปแล้ว พิชญ์กลับมาที่ห้อง แต่ยังนั่งเหม่อคิดเรื่องที่อัญชลีมาพูดกับตนอยู่ เขาลุกขึ้น เอามือล้วงกระเป๋า ยืนพิงกระจกด้านที่เห็นวิวของสนามกีฬา แต่ภายในใจกับคิดถึงเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ภาพตรงหน้า
เมื่อได้รับคำขอร้องจากคุณปฐมให้กลับมาอยู่กับณิชา สมองของเขาก็คำนวณความเป็นไปได้ที่จะครอบครองเธอไว้ตลอดกาลทันที
เขาแต่งงานแล้ว และคิดว่าจะแต่งงานครั้งเดียว จึงคิดว่าจะต้องรักษาชีวิตแต่งงานครั้งนี้ไว้ อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่กล้าบอกตัวเองตรงๆ ก็คือ เขาติดใจใบหน้าและท่าทางของภรรยาตัวเองตั้งแต่แรกที่พบกันแล้ว
นั่นทำให้พิชญ์รับปากคุณปฐม และวางแผนที่จะทำให้ภรรยากลับมาหาเขาทั้งตัวและหัวใจ เธอจะต้องหลงเขา ทุ่มเทให้เขา และไม่สามารถไปจากเขาได้อีกเป็นครั้งที่สอง
เฮ้อ แผนขั้นที่หนึ่ง มัดให้เธอต้องอยู่กับเขาสำเร็จ แผนขั้นที่สอง ต้องทำให้ภรรยาคุ้นเคยกับเขามากขึ้นดูเหมือนจะล้มเหลวไม่เป็นท่ากลับเป็นตรงข้ามเสียมากกว่า แล้วนี่แผนต่อไป ทำให้หลงเสน่ห์ และพิชิตใจนี่เขาจะไปรอดเหรอนี่ อาจารย์กู (เกิ้ล) ไม่ได้บอกไว้ด้วยสิว่าหากทำไม่สำเร็จในแต่ละขั้นตอนควรจะแก้สถานการณ์อย่างไร
แค่จูบนิดๆ หน่อยๆ ณิชายังกระเจิง ถ้ามากกว่านั้นคงกระเจิงไปไกลแน่ๆ ใครจะไปคิดว่าผู้หญิงที่ทำท่าทางซ่า ก๋ากั่น แบบนั้นจะอ่อนประสบการณ์เรื่องพวกนี้ขนาดนี้
ลองหาที่ปรึกษาเพิ่มดีกว่า…คิดแล้วก็กดโทรศัพท์มือถือ เรื่องแบบนี้บอกใครไม่ได้เสียด้วย แต่กับนรุธ น่าจะพอเข้าใจกันได้ ได้ข่าวว่ารายนั้นกำลังอยู่ในห้วงแห่งความรักเหมือนกัน
“ว่าไง” เสียงคนรับโทรศัพท์มือถือห้วนสั้นอย่างที่พิชญ์คุ้นเคย
“มีเรื่องปรึกษา” คนพูดกลั้นใจอยู่หลายวินาทีกว่าจะเอ่ยประโยคนั้นออกมาได้
“อะไร โปรแกรมมีปัญหารึ จำไม่ได้รึไงว่าฉันลาพักร้อน ถ้ามีปัญหาให้ติดต่อเจ้ากฤษณ์” ดร.นรุธหมายถึงโปรแกรมเมอร์อีกคนที่เป็นมือขวาของเขา
“เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้น” คนพูดอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะเอ่ยสิ่งที่อยากรู้ และต้องการที่ปรึกษาพิเศษยังไงดี
“มีอะไรวะ ไม่มีธุระก็วางสายซะ ฉันอยู่กับแฟน เสียเวลาเว้ย”
แฟนสาวของ ดร.นรุธเป็นเด็กอายุยี่สิบต้นๆ เหมือนกัน พิชญ์ไม่เคยเห็นหน้า แต่เพื่อนของเขาเคยเล่าให้ฟังว่าเป็นนักสืบสาวชาวเนดาห์ที่เก่งเอาการ ทั้งคู่ไปผจญภัยด้วยกันมาที่ต่างประเทศ และเกือบไม่ได้ลงเอยกันเพราะความเข้าใจผิด
“คือว่า”
“หาวิธีคืนดีกับเมียไม่ได้งั้นสิ”
“เฮ้ย”
ปลายสายหัวเราะ “จี้ใจดำสิ คิดมากน่ะ เมียตัวเอง ปล้ำซะก็หมดเรื่อง” นรุธเป็นคนแบบนี้ พูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา
“ไม่ได้…ฉันเสียผู้ใหญ่หมด”
“เรื่องความรักมันไม่มีผู้ใหญ่ไม่มีเด็กหรอกโว้ย รักเขาก็บอกเขาตรงๆ คิดมาก อ้อมค้อมเสียเวลา อย่าท่ามาก เรื่องมากนัก หัดคิดอะไรแบบเด็กๆ ทำอะไรแบบใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลซะมั่ง แค่นี้นะ”
คนพูดตัดสาย จบบทสนทนาเพียงเท่านั้น
เฮ้อ จะปรึกษาปัญหาหัวใจเสียหน่อย เจ้านี่ก็ไม่มีเวลาเสียอีก คงต้องช่วยตัวเองต่อไปแล้วเรา
….ทำอะไรแบบใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลเสียบ้าง…เพื่อนของเขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้น อยากถามต่อนักว่า แล้วที่เป็นเรื่องไม่ใช้เหตุผลนี้มันเรื่องอะไรละ (วะ)
เสียงเคาะประตูเบาๆ ปลุกภวังค์ของชายหนุ่ม เลขาฯ ของเขายื่นหน้าเข้ามาเพื่อดูว่าเจ้านายติดพูดโทรศัพท์หรือทำงานยุ่งอยู่หรือเปล่า เมื่อเห็นเขายืนพิงกรอบหน้าต่างอยู่จึงเดินข้ามาพร้อมกับยื่นซองสีขาวส่งให้
“อะไรน่ะคุณผึ้ง” คนที่ยื่นมือไปรับมองซองขาวนั้นอย่างงงๆ
“อาจารย์วิทยาฝากมาให้ค่ะ มีโน้ตในซองด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไร” อรสาอมยิ้ม “พักนี้ทำไมถึงไปสนิทสนมกับอาจารย์วิทยาได้ค่ะ แปลกจัง”
“ภรรยาผมเขาเคยทำงานด้วยกันน่ะ” ชายหนุ่มตอบตามตรง นึกเขินเล็กน้อยที่เอ่ยถึงอีกคนในฐานะภรรยาอย่างเต็มปากเต็มคำ
“พูดถึงด้วยน้ำเสียงแบบนี้ แสดงว่าดีกันแล้วใช่ไหมคะ” เลขาฯ ของเขาถามขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอ่ยถึงอีกคนอย่างกันเอง ไม่ได้ทำมึนตึงเหมือนเมื่อก่อน
เจ้าของห้องไม่ตอบ เพียงแต่พยักหน้า ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มจากอีกฝ่ายกลับคืนมา
“ดีค่ะ ผึ้งจะได้หมดหน้าที่เป็นตัวกันสาวอื่นๆ เสียที”
อรสาออกไปแล้วพิชญ์จึงเปิดซองสีขาวนั้นออกมา ข้างในเป็นตั๋วสองใบเพื่อไปดูการแข่งขันที่จะมีขึ้นอีกสองวัน นอกจากนั้นก็มีกระดาษโน้ตเล็กๆ
ข้อความในนั้นทำให้ชายหนุ่มมีมุมมองต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาต่างไปจากเดิม อาจารย์วิทยาฝากขอโทษที่เคยพูดจาไม่ดีด้วย และขอบคุณณิชาที่หาคนมาแทนให้หลังจากต้องลาออกกะทันหัน
หญิงสาวไม่ได้ทิ้งงานไปเฉยๆ
หรือที่เธอทิ้งไป เป็นเพราะต้องไปดูแลปู่? ซึ่งเขาไม่เคยคิดถึงจุดนี้
บางทีเธออาจไม่ได้เป็นเด็กสาวที่ไม่ได้เรื่องไปเสียทุกอย่างหรอก...บางทีเขาอาจจะต้องเริ่มแผนขั้นที่สองอีกครั้ง ครั้งแรกเขาอาจจะหว่านเสน่ห์ให้เธอน้อยไป
แต่ก่อนอื่นๆ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าจริงๆ แล้วณิชาเป็นคนอย่างไร แน่ละ จากที่ได้ยินจากปากของญาติผู้พี่ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนไม่นิ่งเฉยต่อปัญหาที่อยู่ตรงหน้า และเอาใจใส่ต่อคนรอบข้าง ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ช่วยต้นข้าวไว้ แล้วเรื่องความจริงจังกับการทำงานล่ะ ชายหนุ่มตัดสินใจโทรกลับไปหาอาจารย์วิทยา คนที่เคยทำงานกับเธอได้ไม่กี่วัน ผู้ชายคนนั้นได้ชื่อว่าเป็นคนที่ทำงานจริงจังอีกคนหนึ่งในมหาวิทยาลัย ถึงแม้จะทำงานคนละด้านกับเขา แค่ผลงานของเขา ก็สร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยแห่งนี้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ผ่านไปสองวัน ณิชาได้รับโทรศัพท์จากพิชญ์ให้แต่งตัวรอ เพราะเขาจะพาเธอไปทำธุระนอกบ้าน
“ฉันไม่ว่าง ต้องดูแลปู่” หญิงสาวคิดเพียงเสี้ยววินาทีก่อนตอบ เธออยากอยู่ห่างเขาให้มากที่สุด ไม่อยากใกล้ชิด ไม่อยากติดใจในรสสัมผัสที่ไม่ได้มากไปกว่าการจับมือ หรือจุมพิตเบาๆ แต่มันก็ส่งกระแสความรู้สึกหวั่นไหวให้เธอได้ทุกครั้ง
“บ่ายๆ คุณปู่ของคุณจะนอนพักยาว ฝากพยาบาลดูแลให้ก็ได้” เสียงอีกฝ่ายไม่พอใจนิดๆ ตามแบบฉบับของเขา ที่มักจะเคยชินกับการออกคำสั่ง
“แต่ฉันไม่อยากออกจากบ้านนี่นา” หญิงสาวพบปะผู้คนน้อยลง เบื่อที่จะไปเที่ยวกับเพื่อน เริ่มคุ้นเคยกับการได้ทำอะไรกับคุณปู่ของตนเองเสียแล้ว
“ผมสั่ง อีกครึ่งชั่วโมงผมจะถึงบ้าน แต่งตัวรอไว้ด้วย ไม่ต้องสวยมาก นุ่งกางเกงก็ได้”
“แต่...”
พิชญ์วางสาย ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรต่อ
ณิชาย่นจมูก เชอะ...คนแก่ ชอบเอาแต่ใจตัวเองเหมือนคุณปู่ไม่มีผิด
ดอกเตอร์พิชญ์มาถึงภายในครึ่งชั่วโมงอย่างที่บอกไว้จริงๆ ณิชายังไม่ได้แต่งตัวเพราะคุยโทรศัพท์อยู่กับเพื่อนต่างชาติ เสียงเคาะประตูห้องเบาๆ
“ณิชา เปิดประตูหน่อย คุณแต่งตัวเสร็จหรือยัง”
“ยังค่ะ” เธอตะโกนตอบ ก่อนจะหันไปบอกลากับเพื่อนรักทางโทรศัพท์ พอวางสาย ผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าประตูก็พาตัวเองเข้ามาในห้องแล้ว
“ทำไมแต่งตัวช้านัก แม่บ้านบอกว่าคุณขึ้นมานานแล้วนี่”
“ฉันก็มีธุระส่วนตัวบ้างสิ” คนพูดกระชับเสื้อคลุมให้เข้าที่ เพราะข้างในเธอไม่ได้สวมอะไรเลย “นี่เป็นห้องส่วนตัวของฉันนะ คุณออกไปก่อน ฉันจะแต่งตัว”
“ไม่มีคำว่าส่วนตัวหรอก สำหรับสามีและภรรยา” ร่างสูงผิวเข้มปฏิเสธหน้าตาเฉย กวาดสายตามองร่างบางที่กึ่งเปลือย ณิชาเป็นผู้หญิงร่างเล็กแต่สมส่วน การเรียนเต้นของเธอน่าจะมีส่วนทำให้เธอรูปร่างดี หลังตรง และมีส่วนโค้งส่วนเว้าที่เย้ายวนใจ รูปร่างเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากที่เขาพบเมื่อตอนแต่งงานกัน เธอดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีเสน่ห์มากขึ้น แบบที่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้
คนถูกมองถอยกรูดเข้าห้องน้ำ “ออกไปก่อนสิ นี่ไม่ใช่ต่อหน้าคนอื่น ไม่ต้องมาทำพิศวาสกันหรอก”
คนที่ยืนอยู่กลางห้องเม้มปาก เขาคงทำให้เธอคิดว่าเขาตั้งใจจะใกล้ชิดกับเธอเฉพาะเวลาที่มีคนนอกเห็นเท่านั้น … เธอคิดผิด
แต่เอาเถอะ เขายังไม่อยากทำให้เกิดเรื่องกันตอนนี้ ตามแผนเขาต้องบริหารเสน่ห์ของตัวเอง และทำให้เมียของตนเองไว้วางใจเขาให้ได้ หากทำอะไรตามใจตอนนี้ มีหวังพังตั้งแต่ขั้นตอนแรกๆ
“โอเค ผมไปรอข้างล่างนะ ให้เวลาอีกไม่เกินสิบนาที ถ้าไม่เสร็จ ผมจะขึ้นมาตามจริงๆ ด้วย”
“คุณจะพาฉันไปไหน”
“ถ้าไม่รู้สักเรื่องจะนอนไม่หลับหรือไง” ตอบทั้งๆ ที่ตั้งใจจะพูดดีด้วย แต่อดไม่ได้ที่จะทำเสียงแข็ง
“ก็...เผื่อคุณจะพาฉันไม่ฆาตกรรม ฉันจะได้หาทางหนีที่ไล่” อีกฝ่ายสวนคำตอบทันที
คนขับถรถหัวเราะเบาๆ ไม่ตอบ
“แล้ววันนี้ว่างเหรอ ไม่ต้องทำงาน?”
“ว่าง งานในแล็บก็สั่งเจ้าหน้าที่ดูแลจัดการหมดแล้ว” เขาตอบลดระดับความเข้มของเสียงลงมานิด “งานอื่นๆ เลขาฯ ของผมจัดการแทนได้”
เลขาฯ ของผม...ณิชาเหยียดริมฝีปาก คนรักล่ะไม่ว่า เธอหันหน้าออกนอกหน้าต่าง บอกตัวเองว่ายุติการต่อล้อต่อเถียงกับดอกเตอร์พิชญ์ดีกว่า เพราะตนเองไม่อยู่ในอารมณ์และสติที่จะต่อล้อต่อเถียงเขาในตอนนี้
หญิงสาวมัวแต่คิดถึงเรื่องอื่นๆ เรื่อยเปื่อยจึงไม่ได้สังเกตเห็นว่ารถเลี้ยวเข้าสนามกีฬาขนาดใหญ่ชานเมืองกรุงเทพฯ เธอนั่งตัวตรงเมื่อเขาเอารถไปจอด หันมามองคนข้างตัว
“คุณ...มาที่นี่ทำไม”
“ผมมีธุระน่ะสิ ลงมาจากรถแล้วก็ตามผมมา อย่าให้หลงไปล่ะ” รอบๆ บริเวณตัวอาคารเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งวัยที่น่าจะเป็นนักศึกษา ผู้ปกครอง และประชาชนผู้สนใจเข้าชมทั่วไป เมื่อเห็นว่าณิชายังคงมองไปรอบๆ บริเวณด้วยความแปลกใจ คนขับรถซึ่งตอนนี้จอดรถเรียบร้อย และลงมายืนอยู่ข้างๆ ณิชาแล้วจึงตัดสินใจคว้าข้อมือของเธอลากเข้าตัวอาคารด้านใน
หญิงสาวกัดริมฝีปาก … เขารู้ได้ยังไงว่าวันนี้เป็นวันแข่งขันของทีมเชียร์
อาจจะบังเอิญ เขาอาจมาธุระที่นี่ ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันเชียร์ลีดเดอร์ก็ได้ อย่างผู้ชายคนนี้จะสนใจอะไรกับกีฬาแบบนี้
“จะไปไหนคะ”
“หาอะไรกินก่อน ผมยังไม่ได้กินอะไรเลย” คนพูดมองนาฬิกาข้อมือ “พอมีเวลาก่อนทีมของมหาวิทยาลัยเริ่มแข่ง มาสิ”
หญิงสาวเบิกตากว้าง อดแปลกใจไม่ได้ที่เขาพูดเหมือนกับว่าตั้งใจมาดูการแข่งขัน เธอปล่อยให้ตัวเองถูกลากผ่านกลุ่มเด็กนักศึกษา และผู้เข้าชมที่แออัดอยู่หน้าประตูทางเข้า ผ่านไปยังบริเวณที่เป็นร้านอาหาร ดร.พิชญ์เลือกที่นั่งและสั่งอาหารอย่างรวดเร็ว ก่อนยื่นเมนูมาให้
“กินอะไรไหม”
ณิชายังพูดไม่ออก ไม่เข้าใจ แต่พอขยับปากจะถาม ดร.พิชญ์ก็ยกโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมา โทรหาใครสักคนที่น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ในแล็บ สั่งงานยาวเหยียด ณิชาสั่งเครื่องดื่มร้อนๆ เพราะกินข้าวกลางวันกับปู่ไปแล้ว จนกระทั่งอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะคนตรงข้ามยังไม่วางสาย
เขาวางสายได้ในที่สุด จัดการอาหารของตัวเองอย่างรวดเร็วแต่ก็เรียบร้อย เป็นปกติของเขาที่จะทำอะไรเร็วแต่ก็ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย เป็นอีกเรื่องที่คนเป็นภรรยาแอบชื่นชมอยู่เงียบๆ
ชีวิตของชายหนุ่มตรงหน้ามีระบบ ระเบียบ เธอไม่เคยเห็นเขาดื่มเหล้า ไม่เคยเห็นเขาเที่ยวเตร่ ทำแต่งานและกลับบ้านตรงเวลาจนบางครั้งเธอยังสงสัยว่าเขามีงานอดิเรกทำบ้างหรือเปล่า
“คนเยอะ...อย่างไม่น่าเชื่อ”
“มันเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่มีสีสัน”
“ผู้หญิงแต่งตัวสั้นๆ โป๊ๆ กระโปรงสั้นๆ กระโดดไปกระโดดมา นับว่าเป็นกีฬาได้ยังไงนะ” คนพูดตักอาหารเข้าปาก และวิจารณ์ตรงๆ “แข่งให้ชนะก็ไม่รู้วัดจากอะไร ดูยาก”
ถึงแม้เขาจะมีแผนพิชิตใจภรรยา แต่เขาบอกตัวเองตั้งแต่เริ่มต้นว่าจะไม่ตั้งใจสร้างภาพของตนเองเด็ดขาด
“มันเป็นกีฬา แล้วก็เป็นศิลปะด้วยในความคิดของฉัน”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “มันต้องอาศัยความพยายามมาก ผมยอมรับในเรื่องนั้น แต่ผมดูทีไรก็...”
“คนไร้ความรู้สึก ไม่ชอบแล้วมาดูทำไม”
“เพราะรู้ว่ามีใครอยากดูน่ะสิ” เขาตอบทันควัน ตอบโดยที่จ้องตาคนฟังเสียด้วย
ณิชากำลังจะอ้าปากโต้ตอบ เพราะคิดว่าเขาจะสวนประโยคอะไรที่ร้ายๆ กลับมา พอได้ฟังคำตอบแบบตรงไปตรงมาแบบนั้นก็เลยอึ้ง
แถมตอบเสร็จก็จ้องตากลับมาแบบไม่มีทีท่าว่าจะหลบเสียด้วย คนถูกจ้องก็เลยต้องหลบตาเสไปมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแทน
มาดู…เพราะรู้ว่ามีใครอยากดู ประโยคง่ายๆ ตรงไปตรงมานั่นพุ่งเข้าสู่หัวใจของหญิงสาวอย่างจัง เจ้าตัวไม่ได้ตั้งตัวจะป้องกันความรู้สึกจึงชะงักพูดไม่ออก คนแบบเขา แค่ทำให้เท่านี้ก็เป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะเกิดขึ้น
“ไปกันเถอะ อีกสิบนาทีจะเริ่มแล้ว” ชายหนุ่มวางเงินค่าอาหารไว้ที่โต๊ะ ไม่ได้สังเกตอีกฝ่ายที่มองตนเองเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาดึงศอกคนที่พามาด้วยออกจากร้านอาหาร แต่แทนที่เขาจะพามาบริเวณที่เป็นทางเข้า เขากลับมาไปอีกทาง
“จะไปไหนทางเข้าอยู่ทางโน้นนี่นา”
“ผมมีที่นั่งพิเศษ ตามมาเถอะ” เขาเลี้ยวไปอีกด้านซึ่งมีประตูเล็กๆ และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลอยู่ พิชญ์ส่งบัตรเข้าชมที่นั่งพิเศษซึ่งได้รับจากอาจารย์วิทยาให้เจ้าหน้าที่
“เชิญทางนี้ครับ” เจ้าหน้าที่รับบัตร แล้วส่งให้สตาฟนำทั้งคู่เดินตามทางเดินเล็กๆ ไปที่นั่งที่อยู่โซนด้านหลังกรรมการซึ่งเป็นบริเวณที่เกือบจะดีที่สุดของสนาม ยังไม่ทันที่ณิชาและพิชญ์จะก้าวขึ้นไปบนที่นั่ง เสียงเรียกชื่อณิชาดังๆ ก็ดังมาจากข้างขอบสนาม
“แอรอน” ณิชาโบกมือให้กับชายหนุ่มร่างสูงชาวตะวันตกที่สวมเสื้อทีมเดียวกับมหาวิทยาลัยของเธอ “ฉันขอไปคุยกับเพื่อนหน่อยได้ไหม เดี๋ยวมานะ”
พิชญ์มองตรงไปยังเป้าหมายของภรรยา พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก รู้สึกขวางหูขวางตาเจ้าหนุ่มหุ่นดี หน้าตาดีคนนั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะคนพูดไม่รอบคำตอบวิ่งปรู๊ดไปด้านล่างเวที และกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของผู้ชายร่างสูงกล้ามเป็นมัดๆ คนนั้นเรียบร้อย
ดู ยิ้มให้กันยังกับคิดถึงกันมาซะสิบชาติ แถมกอดกันกลม...มันน่าซัดซะเปรี้ยง ชายหนุ่มเม้มปากแน่น ยัดหมัดของตัวเองลงในกระเป๋ากางเกงก่อนที่จะห้ามใจไม่ได้ บอกตัวเองว่าที่นี่เป็นสาธารณะ คนรู้จักเขาก็หลายคน ยังต้องสร้างภาพพจน์ที่ดีไว้
รอให้กลับบ้านก่อนเถอะ เขาจะจัดการกำราบเธอให้เข้าใจว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เรื่องแบบนี้เขารับไม่ได้จริงๆ แววตาหวานๆ แบบนั้น รอยยิ้มแบบนั้น มันควรจะเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น!
จากปลายสายตา พิชญ์รู้สึกเหมือนใครสักคนโบกมือให้ เขาหันไปมอง อาจารย์วิทยานั่นเอง เขาโบกมือตอบ แล้วชี้ไปที่ที่นั่งของตัวเองและณิชาก่อนจะเอ่ยขอบคุณเบาๆ รู้ว่าอาจารย์วิทยาคงไม่ได้ยิน แต่น่าจะเดาได้ เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ณิชาก็กลับมานั่งที่ พิธีกรเริ่มกล่าวต้อนรับผู้ชม และเริ่มเปิดการแข่งขันอย่างเป็นทางการ
ตลอดเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง พิชญ์ไม่ได้สนุกกับการแสดงในสนามนัก เขาดูการแสดงบ้างไม่ดูบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเปิดมือถือของตนเองและพิมพ์ข้อความสั่งงาน หรือไม่ก็อ่านข้อมูลผลการทดลองล่าสุดจากระบบที่ ดร.นรุธสร้างขึ้นมาให้อ่านรายละเอียดบางอย่างบนมือถือได้ ส่วนคนข้างๆ ตัว ส่งเสียงกรี๊ดตลอดเวลาราวกับเด็กวัยรุ่นดูคอนเสิร์ต แถมเสียงดังขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อทีมมหาวิทยาลัยของเขาลงแข่งขัน
“คุณดูไปก่อนได้ไหม เดี๋ยวอีกสองชั่วโมงผมมารับ” งานเข้า ผลการทดลองที่ออกจากระบบมีปัญหา ดร.นรุธส่งข้อความมาว่าให้เข้าไปตรวจสอบผลเพิ่มเติม
ณิชาคิดว่าคนพูดคงเบื่อเต็มที่ “คุณจะไปเลยก็ได้นะคะ ฉันกลับเองก็ได้ ทีมของมหาวิทยาลัยน่าจะแข่งเสร็จไม่เกินหกโมงเย็น”
“ได้ยังไงล่ะ เรากำลังอยู่ช่วงสร้างภาพให้คุณปู่เห็นไม่ใช่รึ ท่านรู้ว่าคุณกลับเองค่ำๆ แบบนี้ล่ะโกรธผมแย่ ผมจะแวะไปแล็บ เช็คผลทางมือถือแล้วมีอะไรจะทำเพิ่มเติมนิดหน่อย”
ปล่อยให้กลับเอง ก็จะได้หาโอกาสไปทำหวานกับเจ้าหนุ่มฝรั่งนั่นอีกน่ะสิ
“ก็ได้ค่ะ อีกสองชั่วโมงเจอกัน ฉันจะรออยู่ที่นี่ ทีมคงแข่งเสร็จแล้ว” ณิชาลอบถอนหายใจ พยายามไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนเองรู้สึกเสียใจนิดๆ
…ไม่รู้จะเสียใจไปทำไม ไม่อยู่ก็ดีนี่นา จะได้กรี๊ดลั่นสนามอย่างสบายใจ…
สิรินดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 พ.ค. 2563, 22:17:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 พ.ค. 2563, 22:17:17 น.
จำนวนการเข้าชม : 649
<< ตอน 10 |