ดุจจันทร์ดั้นเมฆ: หอมดึก (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
‘ตรีเมฆ’ ไม่ได้เกิดมามีชีวิตเลวร้าย เขาไม่ได้มีปมด้อยจนต้องสร้างจุดเด่น ตรงกันข้ามเขามีพร้อมทุกอย่าง แต่ความ ‘พร้อม’ นั้นทำให้ชายหนุ่มใช้ชีวิตอย่างประมาทจนสุดท้ายต้องถูกตราหน้าว่าเป็น ‘ไอ้ขี้คุก’ เขาผลาญทำลายชีวิตทุกคนที่รักเขา และในวันที่เขาได้รับอิสรภาพทางกาย จิตใจเขากลับถูกความรู้สึกผิดพันธนาการแน่นหนา
‘จันทน์กะพ้อ’ หล่อนมองโลกใบนี้สวยงามไปเสียหมด มองทุกอย่างเป็นบวกจนบางครั้งพลาดพลั้งกลายเป็นเหยื่อได้ง่ายๆ แต่หล่อนกลับไม่สิ้นหวังที่จะมองแต่แง่งามของชีวิต เมื่อก้าวเข้ามาในครอบครัวที่เว้าแหว่งของตรีเมฆ หล่อนกล้าๆ กลัวๆ ชายหนุ่มห่าม ดิบ เถื่อนที่พ่วงมากับป้าชราและเด็กน้อยผู้น่าสงสาร
เขามันต้องตำราผู้ชายที่พ่อสอนนักหนาว่าให้อยู่ห่างๆ เข้าไว้
ใจหนึ่งหล่อนก็อยากทำอย่างนั้น แต่อีกใจก็อยากเอาชนะความหยาบกระด้างของเขา อยากให้คนที่เอาแต่มองโลกตาขวาง หันมาเห็นแง่งามของชีวิตเสียบ้าง
แต่โดยที่หล่อนไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ดวงตาคมดุคู่นั้นกลับเอาแต่จับจ้องหล่อนไม่วาง ในเมื่อหล่อนกล้ามาส่องแสงวับๆ แวมๆ ในหัวใจที่มืดดำของเขา เมฆร้ายก้อนนี้ก็จะโอบล้อม ตีประชิด กักกั้นไว้ไม่ให้หล่อนเคลื่อนคล้อยหนีหายไปทางไหนได้อีกเลย
*********************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" (ผู้แต่ง พนาพร่ำรัก และฝนเมษา ดอกไม้พฤษภา) และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เป็นแนวโรแมนติกดราม่า พาฟิน และอบอวลในหัวใจมากๆ ค่ะ นอกจากนี้ยังมีความน่ารักของครอบครัวที่มาพร้อมกับปัญหาสังคมในแง่มุมต่างๆ ด้วย หอมดึกบอกเล่าชีวิตคนรากหญ้าผ่านตัวละครได้มีมิติมากๆ #รับประกันความสนุกเช่นเคย!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก ร้านbooksforfun ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง) ร้าน Banniyayindy(Budsara Thongrussamee) ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช และร้านBestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า (พร้อมตอนพิเศษ)
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
‘จันทน์กะพ้อ’ หล่อนมองโลกใบนี้สวยงามไปเสียหมด มองทุกอย่างเป็นบวกจนบางครั้งพลาดพลั้งกลายเป็นเหยื่อได้ง่ายๆ แต่หล่อนกลับไม่สิ้นหวังที่จะมองแต่แง่งามของชีวิต เมื่อก้าวเข้ามาในครอบครัวที่เว้าแหว่งของตรีเมฆ หล่อนกล้าๆ กลัวๆ ชายหนุ่มห่าม ดิบ เถื่อนที่พ่วงมากับป้าชราและเด็กน้อยผู้น่าสงสาร
เขามันต้องตำราผู้ชายที่พ่อสอนนักหนาว่าให้อยู่ห่างๆ เข้าไว้
ใจหนึ่งหล่อนก็อยากทำอย่างนั้น แต่อีกใจก็อยากเอาชนะความหยาบกระด้างของเขา อยากให้คนที่เอาแต่มองโลกตาขวาง หันมาเห็นแง่งามของชีวิตเสียบ้าง
แต่โดยที่หล่อนไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ดวงตาคมดุคู่นั้นกลับเอาแต่จับจ้องหล่อนไม่วาง ในเมื่อหล่อนกล้ามาส่องแสงวับๆ แวมๆ ในหัวใจที่มืดดำของเขา เมฆร้ายก้อนนี้ก็จะโอบล้อม ตีประชิด กักกั้นไว้ไม่ให้หล่อนเคลื่อนคล้อยหนีหายไปทางไหนได้อีกเลย
*********************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" (ผู้แต่ง พนาพร่ำรัก และฝนเมษา ดอกไม้พฤษภา) และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เป็นแนวโรแมนติกดราม่า พาฟิน และอบอวลในหัวใจมากๆ ค่ะ นอกจากนี้ยังมีความน่ารักของครอบครัวที่มาพร้อมกับปัญหาสังคมในแง่มุมต่างๆ ด้วย หอมดึกบอกเล่าชีวิตคนรากหญ้าผ่านตัวละครได้มีมิติมากๆ #รับประกันความสนุกเช่นเคย!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก ร้านbooksforfun ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง) ร้าน Banniyayindy(Budsara Thongrussamee) ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช และร้านBestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า (พร้อมตอนพิเศษ)
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 14 -25%
ภายในห้องอาหารอันโอ่อ่าของคฤหาสน์สุขธนศาล ในช่วงค่ำวันหนึ่ง นายศรัณย์ได้มีโอกาสต้อนรับแขกถึงสองคนด้วยกัน ผู้อำนวยการสุปราณีนั่นเอง นั่งละเลียดมื้อค่ำที่ปรุงมาอย่างประณีตอยู่ข้างๆ ลูกสาวผู้บอบบางที่กำลังบรรจงตักอาหารใส่จานให้เจ้าของคฤหาสน์พลางชวนคุย
“คุณลุงไม่เหงาบ้างเหรอคะ บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ต้องอยู่คนเดียว”
คำถามนั้น ทำให้สีหน้าของนายศรัณย์เปลี่ยนไปจนสังเกตได้ นางสุปราณีอยากจะหยิกลูกสาวนัก
“ก็ มีเหงาบ้างละหลานตวง แต่งานการมันก็มาก ไม่ค่อยมีเวลาเหงา”
“พูดถึงงานก็เสียดายนะคะพี่ศรัณย์ที่ยายหนูตวงเรียนมาทางการสอน ไม่อย่างนั้นก็คงมาช่วยงานพี่ศรัณย์ได้”
“ขอบใจนะ แต่ไม่เป็นไรหรอก สอนหนังสืออยู่กับแม่น่ะดีแล้ว”
นายศรัณย์พูดเอื่อยๆ ตวงทองเม้มปากบางเสไปจิบน้ำผลไม้ในแก้วใบสวย สำหรับศรัณย์แล้วแค่เพียงน้องเมียคนนี้โทร.มาหา นัดแนะว่าจะแวะมาเยี่ยมให้คลายเหงา เขาก็เดาทางออกจนหมดแล้ว รออยู่แต่ว่าเมื่อไรหล่อนจะออกปากออกมาก็เท่านั้น และเห็นทีก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเงินๆ ทองๆ เพราะสองแม่ลูกนี้ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยกว่ารายได้อยู่มากโข หนี้สินที่อดีตภรรยาของเขาเคยสะสางให้ก็ไม่รู้ว่ากี่ล้านเข้าไปแล้ว
“ค่ะ” นางสุปราณีออกจะหน้าเจื่อนๆ พี่เขยคนนี้ก็ร่ำรวยดีอยู่หรอกแต่ขี้เหนียวนักในสายตานาง ไม่รู้ว่าจะเก็บไว้ให้ใครใช้ ในเมื่อกุลธิดาลูกสาวคนเล็กก็หนีไปอยู่เมืองนอกมานานหลายปีแล้ว
“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอคุณสุปราณี” นายศรัณย์เอ่ยถามเมื่อมื้อค่ำผ่านไป นางสุปราณียิ้มเจื่อน แต่วันนี้นางไม่ได้มาหยิบยืมเงินหรอกนะ นางมาเสนอโครงการร้อยล้านให้เขาพิจารณาต่างหาก
นักธุรกิจหน้าเลือดอย่างศรัณย์มีหรือจะไม่สนใจ
“คือว่า มีที่อยู่แปลงนึงสวยมาก อยู่หลังวิทยาลัยที่ณีสอนน่ะค่ะ ที่กว้างน่าสร้างอพาร์ตเมนต์หรือคอนโดฯ สวยๆ”
ศรัณย์หรี่ตามองคนพูด “สำหรับนักศึกษาน่ะเหรอ จะเก็บค่าเช่าได้เดือนละเท่าไรกัน”
“หรือถ้าพี่ศรัณย์มีโครงการดีๆ กว่านั้นณีก็ยินดีติดต่อเจ้าของที่ให้นะคะ เจ้าของเก่าเขาตายไปแล้ว ตอนนี้ลูกชายขี้คุกขี้ยาคนนึงกับแม่แก่ๆ ดูแลอยู่ ณีว่าไม่น่าจะเรื่องมาก เสนอราคาไปขี้คร้านจะรีบตะครุบ”
ศรัณย์สะดุดหูกับคำบอกเล่านั้น
“ที่แถวไหน ของใคร”
นางสุปราณีรีบบอกโดยละเอียดเมื่อสังเกตเห็นว่านายศรัณย์ดูสนใจขึ้นมาอย่างมาก
“เป็นยังไงคะ ที่ทั้งหมดคงราวๆ สามสิบสี่สิบไร่ เดี๋ยวนี้หาไม่ได้แล้วนะคะที่ผืนเดียวกว้างขนาดนั้น”
“อืม ไม่เลว ไปติดต่อมา ผมจะซื้อไว้ทั้งหมด”
“ทั้งแปลงเลยเหรอคะ คุณลุง” ดวงตาโตของตวงทองเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นแกมประหลาดใจ
“ใช่ เอามาทั้งหมด ถ้าเป็นไปได้ซื้อทุกอย่างที่ครอบครัวนี้เป็นเจ้าของ”
สุปราณีหูผึ่งใจเต้นด้วยความปิติ
“เห็นว่าครอบครัวนี้กำลังสร้างอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ที่บ้านตรีเนตรอะไรนั่นด้วยค่ะ พอดีวิศวกรที่คุมการก่อสร้างอาคารที่วิทยาลัยเขารับเหมางานให้บ้านนี้ด้วย ณีก็เลยรู้”
“อย่างนั้นรึ ดี ดีจริงๆ คุณณีไปติดต่อมาก็แล้วกัน ผมจะออกทุนให้ ขอให้ได้ที่มาก็พอ”
ดวงตาอันเจิดจ้าของศรัณย์มีประกายรุ่มร้อนบางอย่างที่นางสุปราณีสังเกตได้ นางคิดว่ามันเป็นความโลภของเศรษฐีหน้าเลือดกระมัง เหอะ ช่างโง่นักที่ก้มหน้าก้มตาหาเงิน แต่ไม่รู้จักใช้เงินหาความสุข เหมือนพี่สาวของหล่อน กานต์มณีที่ตายไปก่อนที่จะได้เสวยสุข เรื่องอะไรจะไปโง่อย่างนั้น เงินทองของนอกกาย หามาได้ก็ต้องใช้จ่ายซื้อความสุขสบายเข้าตัวไว้มากๆ สิถึงจะถูก
“คุณท่านคะ” สาวใช้วัยกลางคนเดินค้อมกายเข้ามาหาเจ้าของบ้าน
เขาหันไปมองด้วยความแปลกใจระคนหงุดหงิด เวลานี้ไม่น่าจะมีใครมารบกวนเขาถึงบ้าน
“มีอะไร”
ทว่าเสียงถามห้วนสั้นนั้น กลับถูกกลบด้วยเสียงใสกังวานปานระฆังในห้องโถงกว้าง “คุณพ่อขา...โอ้ คุณน้าณีกับพี่ตวงก็มาด้วยเหรอคะ แหม...บ้านเราคึกคักจริง กุลนึกว่าคุณพ่อจะอยู่คนเดียวจนเหงาเสียอีก อุตส่าห์บินกลับมาเยี่ยม”
“ยายกุล”
“กุลธิดา”
นายศรัณย์และนางสุปราณีอุทานขึ้นเกือบพร้อมกัน ส่วนตวงทองได้แต่มองไปทางร่างสูงเปรียวหรูหราตั้งแต่หัวจรดเท้า หล่อนมองกระเป๋าใบเล็กในมือบางกรีดกราย ราคาของมันทำให้หล่อนอยากจะโยนกระเป๋าราคาหลายหมื่นของตนลงถังขยะไปเสีย ยังจะรองเท้าส้นสูงคู่นั้นอีก หล่อนเห็นนางแบบแถวหน้าของโลกใส่มันในรายการแฟชั่นโชว์ในคอลเล็กชันล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง แล้วมันมาอยู่บนเรือนร่างของกุลธิดาได้ยังไงกัน
ไหนว่าพ่อตัดเป็นตัดตายกับหล่อนแล้วยังไงล่ะ แพงระยับทั้งตัวราวกับชุบทองแบบนี้ นายห้างขี้เหนียวนี่คงตัดก้อนเนื้อเน่าๆ ที่เหลืออยู่ก้อนเดียวนี่ไม่ได้สินะ
“มาได้ยังไงกัน” นายศรัณย์เอ่ยถามเสียงเย็น
“แหม...คุณพ่อขา ไม่เจอกันห้าหกปีแล้ว ถามยังกับไม่อยากเจอกุลอย่างนั้นละ กุลมาดูงานแฟชั่นที่สิงคโปร์ค่ะ แล้วเกิดคิดถึงเมืองไทยขึ้นมาเลยแวะมาเยี่ยมเสียหน่อย” หล่อนเดินมาสวมกอดเอวหนา นายศรัณย์เบือนหน้าออกเล็กน้อย หล่อนผละออกไปหาผู้มีศักดิ์เป็นน้า
“น้าณี สบายดีไหมคะ ไม่เจอกันนาน แหม...ดูภูมิฐานขึ้นกว่าเก่าอีกนะคะ” คำพูดบาดหูแบบนี้มีแต่คนอย่างกุลธิดาเท่านั้นแหละที่ทำได้ดีนัก
รูปร่างหน้าตาที่ด้อยกว่าพี่สาวเป็นจุดบอดของสุปราณีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในขณะที่กานต์มณีสวยจนเป็นที่เลื่องลือ หล่อนกลับทั้งอ้วนทั้งดูแก่เกินวัยตั้งแต่ยังสาว สุปราณีจึงต้องกลบจุดด้อยด้วยการเรียนให้เก่ง เรียนให้สูงกว่าพี่สาว แต่กระนั้น กานต์มณีก็ยังโชคดีกว่า ได้ผัวรวยเลี้ยงดูอย่างดีในขณะที่สุปราณีต้องค่อยๆ ไต่เต้าในงานราชการที่อืดเอื่อยเป็นหอยทากจนหล่อนต้องหาตัวเร่งในบางครั้ง ยังดีหน่อยที่ความสวยตั้งแต่รุ่นยายตกทอดมาอยู่ที่ตวงทองลูกสาวคนเดียวไม่น้อย
“สบายดีจ้ะ กุลไปอยู่ไหนมา ปีก่อนน้าไปงานรับปริญญาของพี่ตวงเขาที่อังกฤษ พยายามติดต่อเท่าไรก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะได้มาเจอกันพร้อมหน้า”
“เหรอคะ” กุลธิดาสะบัดผมเบาๆ หล่อนไม่สนใจการพูดจายกตนข่มท่านของน้าสาวหรอก คนอย่างหล่อนเลิกแยแสใดๆ ในโลกมานานแล้ว
“เก่งนะคะพี่ตวง เรียนจนจบได้ คอลเลจเอกชนแบบนั้นมีแต่พวกลูกหลานเศรษฐีไปเรียนทั้งนั้น คงใช้เงินไม่น้อยเลย คุณพ่อหมดไปกี่ล้านล่ะคะ”
“ยายกุล” นายศรัณย์ปรามลูกสาวคนเล็ก หล่อนโบกไม้โบกมือ ราวกับจะปัดคำพูดแสลงหูนั่นออกไปเสียในขณะที่ตวงทองหน้าแดงก่ำ ปากบางเม้มสนิทเก็บกลั้นถ้อยคำที่อยากโพล่งออกไปเอาไว้แทบไม่ไหว
“โอเคค่ะ กุลขอตัวไปพักก่อนนะคะ ไฟลท์ยาวนานมาก ไม่ไหวค่ะง่วง แต่ดึกๆ คงตื่น เจ็ตแล็กน่ะค่ะ กุลอาจจะออกไปหาเพื่อนๆ นะคะคุณพ่อ ไปละค่ะน้าณี ไว้เจอกันใหม่นะพี่ตวง”
นางสุปราณียิ้มเย็นให้ผู้เป็นหลาน ใจนึกเหยียดหยัน
อยากรู้นักว่าหล่อนไปชุบตัวมาจากไหน แล้วลูกในท้องน่ะ ทำแท้งไปแล้วหรือไปคลอดทิ้งไว้ที่ไหนเสียล่ะ เด็กนิสัยเสีย นี่คงเหลวแหลกจนไม่มีอะไรดีแล้วสิ
“คุณลุงไม่เหงาบ้างเหรอคะ บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ต้องอยู่คนเดียว”
คำถามนั้น ทำให้สีหน้าของนายศรัณย์เปลี่ยนไปจนสังเกตได้ นางสุปราณีอยากจะหยิกลูกสาวนัก
“ก็ มีเหงาบ้างละหลานตวง แต่งานการมันก็มาก ไม่ค่อยมีเวลาเหงา”
“พูดถึงงานก็เสียดายนะคะพี่ศรัณย์ที่ยายหนูตวงเรียนมาทางการสอน ไม่อย่างนั้นก็คงมาช่วยงานพี่ศรัณย์ได้”
“ขอบใจนะ แต่ไม่เป็นไรหรอก สอนหนังสืออยู่กับแม่น่ะดีแล้ว”
นายศรัณย์พูดเอื่อยๆ ตวงทองเม้มปากบางเสไปจิบน้ำผลไม้ในแก้วใบสวย สำหรับศรัณย์แล้วแค่เพียงน้องเมียคนนี้โทร.มาหา นัดแนะว่าจะแวะมาเยี่ยมให้คลายเหงา เขาก็เดาทางออกจนหมดแล้ว รออยู่แต่ว่าเมื่อไรหล่อนจะออกปากออกมาก็เท่านั้น และเห็นทีก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเงินๆ ทองๆ เพราะสองแม่ลูกนี้ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยกว่ารายได้อยู่มากโข หนี้สินที่อดีตภรรยาของเขาเคยสะสางให้ก็ไม่รู้ว่ากี่ล้านเข้าไปแล้ว
“ค่ะ” นางสุปราณีออกจะหน้าเจื่อนๆ พี่เขยคนนี้ก็ร่ำรวยดีอยู่หรอกแต่ขี้เหนียวนักในสายตานาง ไม่รู้ว่าจะเก็บไว้ให้ใครใช้ ในเมื่อกุลธิดาลูกสาวคนเล็กก็หนีไปอยู่เมืองนอกมานานหลายปีแล้ว
“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอคุณสุปราณี” นายศรัณย์เอ่ยถามเมื่อมื้อค่ำผ่านไป นางสุปราณียิ้มเจื่อน แต่วันนี้นางไม่ได้มาหยิบยืมเงินหรอกนะ นางมาเสนอโครงการร้อยล้านให้เขาพิจารณาต่างหาก
นักธุรกิจหน้าเลือดอย่างศรัณย์มีหรือจะไม่สนใจ
“คือว่า มีที่อยู่แปลงนึงสวยมาก อยู่หลังวิทยาลัยที่ณีสอนน่ะค่ะ ที่กว้างน่าสร้างอพาร์ตเมนต์หรือคอนโดฯ สวยๆ”
ศรัณย์หรี่ตามองคนพูด “สำหรับนักศึกษาน่ะเหรอ จะเก็บค่าเช่าได้เดือนละเท่าไรกัน”
“หรือถ้าพี่ศรัณย์มีโครงการดีๆ กว่านั้นณีก็ยินดีติดต่อเจ้าของที่ให้นะคะ เจ้าของเก่าเขาตายไปแล้ว ตอนนี้ลูกชายขี้คุกขี้ยาคนนึงกับแม่แก่ๆ ดูแลอยู่ ณีว่าไม่น่าจะเรื่องมาก เสนอราคาไปขี้คร้านจะรีบตะครุบ”
ศรัณย์สะดุดหูกับคำบอกเล่านั้น
“ที่แถวไหน ของใคร”
นางสุปราณีรีบบอกโดยละเอียดเมื่อสังเกตเห็นว่านายศรัณย์ดูสนใจขึ้นมาอย่างมาก
“เป็นยังไงคะ ที่ทั้งหมดคงราวๆ สามสิบสี่สิบไร่ เดี๋ยวนี้หาไม่ได้แล้วนะคะที่ผืนเดียวกว้างขนาดนั้น”
“อืม ไม่เลว ไปติดต่อมา ผมจะซื้อไว้ทั้งหมด”
“ทั้งแปลงเลยเหรอคะ คุณลุง” ดวงตาโตของตวงทองเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นแกมประหลาดใจ
“ใช่ เอามาทั้งหมด ถ้าเป็นไปได้ซื้อทุกอย่างที่ครอบครัวนี้เป็นเจ้าของ”
สุปราณีหูผึ่งใจเต้นด้วยความปิติ
“เห็นว่าครอบครัวนี้กำลังสร้างอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ที่บ้านตรีเนตรอะไรนั่นด้วยค่ะ พอดีวิศวกรที่คุมการก่อสร้างอาคารที่วิทยาลัยเขารับเหมางานให้บ้านนี้ด้วย ณีก็เลยรู้”
“อย่างนั้นรึ ดี ดีจริงๆ คุณณีไปติดต่อมาก็แล้วกัน ผมจะออกทุนให้ ขอให้ได้ที่มาก็พอ”
ดวงตาอันเจิดจ้าของศรัณย์มีประกายรุ่มร้อนบางอย่างที่นางสุปราณีสังเกตได้ นางคิดว่ามันเป็นความโลภของเศรษฐีหน้าเลือดกระมัง เหอะ ช่างโง่นักที่ก้มหน้าก้มตาหาเงิน แต่ไม่รู้จักใช้เงินหาความสุข เหมือนพี่สาวของหล่อน กานต์มณีที่ตายไปก่อนที่จะได้เสวยสุข เรื่องอะไรจะไปโง่อย่างนั้น เงินทองของนอกกาย หามาได้ก็ต้องใช้จ่ายซื้อความสุขสบายเข้าตัวไว้มากๆ สิถึงจะถูก
“คุณท่านคะ” สาวใช้วัยกลางคนเดินค้อมกายเข้ามาหาเจ้าของบ้าน
เขาหันไปมองด้วยความแปลกใจระคนหงุดหงิด เวลานี้ไม่น่าจะมีใครมารบกวนเขาถึงบ้าน
“มีอะไร”
ทว่าเสียงถามห้วนสั้นนั้น กลับถูกกลบด้วยเสียงใสกังวานปานระฆังในห้องโถงกว้าง “คุณพ่อขา...โอ้ คุณน้าณีกับพี่ตวงก็มาด้วยเหรอคะ แหม...บ้านเราคึกคักจริง กุลนึกว่าคุณพ่อจะอยู่คนเดียวจนเหงาเสียอีก อุตส่าห์บินกลับมาเยี่ยม”
“ยายกุล”
“กุลธิดา”
นายศรัณย์และนางสุปราณีอุทานขึ้นเกือบพร้อมกัน ส่วนตวงทองได้แต่มองไปทางร่างสูงเปรียวหรูหราตั้งแต่หัวจรดเท้า หล่อนมองกระเป๋าใบเล็กในมือบางกรีดกราย ราคาของมันทำให้หล่อนอยากจะโยนกระเป๋าราคาหลายหมื่นของตนลงถังขยะไปเสีย ยังจะรองเท้าส้นสูงคู่นั้นอีก หล่อนเห็นนางแบบแถวหน้าของโลกใส่มันในรายการแฟชั่นโชว์ในคอลเล็กชันล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง แล้วมันมาอยู่บนเรือนร่างของกุลธิดาได้ยังไงกัน
ไหนว่าพ่อตัดเป็นตัดตายกับหล่อนแล้วยังไงล่ะ แพงระยับทั้งตัวราวกับชุบทองแบบนี้ นายห้างขี้เหนียวนี่คงตัดก้อนเนื้อเน่าๆ ที่เหลืออยู่ก้อนเดียวนี่ไม่ได้สินะ
“มาได้ยังไงกัน” นายศรัณย์เอ่ยถามเสียงเย็น
“แหม...คุณพ่อขา ไม่เจอกันห้าหกปีแล้ว ถามยังกับไม่อยากเจอกุลอย่างนั้นละ กุลมาดูงานแฟชั่นที่สิงคโปร์ค่ะ แล้วเกิดคิดถึงเมืองไทยขึ้นมาเลยแวะมาเยี่ยมเสียหน่อย” หล่อนเดินมาสวมกอดเอวหนา นายศรัณย์เบือนหน้าออกเล็กน้อย หล่อนผละออกไปหาผู้มีศักดิ์เป็นน้า
“น้าณี สบายดีไหมคะ ไม่เจอกันนาน แหม...ดูภูมิฐานขึ้นกว่าเก่าอีกนะคะ” คำพูดบาดหูแบบนี้มีแต่คนอย่างกุลธิดาเท่านั้นแหละที่ทำได้ดีนัก
รูปร่างหน้าตาที่ด้อยกว่าพี่สาวเป็นจุดบอดของสุปราณีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในขณะที่กานต์มณีสวยจนเป็นที่เลื่องลือ หล่อนกลับทั้งอ้วนทั้งดูแก่เกินวัยตั้งแต่ยังสาว สุปราณีจึงต้องกลบจุดด้อยด้วยการเรียนให้เก่ง เรียนให้สูงกว่าพี่สาว แต่กระนั้น กานต์มณีก็ยังโชคดีกว่า ได้ผัวรวยเลี้ยงดูอย่างดีในขณะที่สุปราณีต้องค่อยๆ ไต่เต้าในงานราชการที่อืดเอื่อยเป็นหอยทากจนหล่อนต้องหาตัวเร่งในบางครั้ง ยังดีหน่อยที่ความสวยตั้งแต่รุ่นยายตกทอดมาอยู่ที่ตวงทองลูกสาวคนเดียวไม่น้อย
“สบายดีจ้ะ กุลไปอยู่ไหนมา ปีก่อนน้าไปงานรับปริญญาของพี่ตวงเขาที่อังกฤษ พยายามติดต่อเท่าไรก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะได้มาเจอกันพร้อมหน้า”
“เหรอคะ” กุลธิดาสะบัดผมเบาๆ หล่อนไม่สนใจการพูดจายกตนข่มท่านของน้าสาวหรอก คนอย่างหล่อนเลิกแยแสใดๆ ในโลกมานานแล้ว
“เก่งนะคะพี่ตวง เรียนจนจบได้ คอลเลจเอกชนแบบนั้นมีแต่พวกลูกหลานเศรษฐีไปเรียนทั้งนั้น คงใช้เงินไม่น้อยเลย คุณพ่อหมดไปกี่ล้านล่ะคะ”
“ยายกุล” นายศรัณย์ปรามลูกสาวคนเล็ก หล่อนโบกไม้โบกมือ ราวกับจะปัดคำพูดแสลงหูนั่นออกไปเสียในขณะที่ตวงทองหน้าแดงก่ำ ปากบางเม้มสนิทเก็บกลั้นถ้อยคำที่อยากโพล่งออกไปเอาไว้แทบไม่ไหว
“โอเคค่ะ กุลขอตัวไปพักก่อนนะคะ ไฟลท์ยาวนานมาก ไม่ไหวค่ะง่วง แต่ดึกๆ คงตื่น เจ็ตแล็กน่ะค่ะ กุลอาจจะออกไปหาเพื่อนๆ นะคะคุณพ่อ ไปละค่ะน้าณี ไว้เจอกันใหม่นะพี่ตวง”
นางสุปราณียิ้มเย็นให้ผู้เป็นหลาน ใจนึกเหยียดหยัน
อยากรู้นักว่าหล่อนไปชุบตัวมาจากไหน แล้วลูกในท้องน่ะ ทำแท้งไปแล้วหรือไปคลอดทิ้งไว้ที่ไหนเสียล่ะ เด็กนิสัยเสีย นี่คงเหลวแหลกจนไม่มีอะไรดีแล้วสิ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.ย. 2563, 12:05:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.ย. 2563, 12:05:40 น.
จำนวนการเข้าชม : 442
<< บทที่ 13 -100% | บทที่ 14 -50% >> |