ม่านมนตกานต์: รางนาก (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
‘ญาตาวี เสน่ห์จันทน์’ ดาราเจ้าบทบาทแถวหน้าของเมืองไทย
เธอประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน
แต่! กลับล้มเหลวในชีวิตรักอย่างยับเยิน

เธอหอบร่างกายบอบช้ำและหัวใจที่แหลกสลายกลับมายัง ‘เรือนเสน่ห์จันทน์’
ที่นี่เธอได้พบกับ ‘นางฟ้าน้อย’ พรายกุมารที่คอยช่วยเหลือ และปลอบโยนเธอจากความเศร้า
หัวใจของเธอได้รับการเยียวยาจนได้พบกับ ‘สารวัตรเขมินทร์’ 
ผู้ชายที่เปลี่ยนโลกทั้งใบของหญิงสาวไปตลอดกาล

ทว่า...เงื่อนงำในเรือนเสน่ห์จันทน์ยังคงเป็นปริศนา!!!

ชีวิตของเธอแขวนอยู่บนเส้นด้าย 
รอวันร่วงหล่นลงขุม ‘อวิชชา’ เลวร้าย

เธอและเขาจะก้าวผ่านมันไปได้หรือไม่...

**************

นิยายเรื่องนี้แต่งโดย รางนาก(สะมะเรีย) และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เรื่องนี้เป็นนิยายรัก สยองขวัญ เล่มจบของซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์ค่ะ เปิดเปลือยชีวิตของทุกตัวละคร เฉลยทุกปมฆาตกรรมที่ยังค้างคา และจุดจบของยายเจิมจันทร์กับเรือนเสน่ห์จันทน์ที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ห้ามพลาดเด็ดขาด!

*******************

นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ

***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***

1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก, ร้านBestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee

หนังสือพร้อมส่ง

สั่งซื้อม่านมนตกานต์ ราคา 308฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 348฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 368฿)

ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (ม่านมนตกานต์ ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ และเลื่อมลายพรายจันทร์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***

**************

หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)

*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้าแต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป

(ม่านมนตกานต์ เป็นเรื่องราวของหนึ่งในหลานสาวบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 2 -60%

ดาราสาวหน้าถอดสี เธอไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับอ้อมกอดอบอุ่น หรือคำปลอบโยนด้วยความห่วงใยจากผู้เป็นยาย เธอรู้...ว่าท่านจะต้องด่าว่าเธออย่างสาดเสียเทเสีย ซ้ำร้ายท่านอาจลงไม้ลงมือทำร้ายเธออย่างที่ท่านเคยทำมาตลอด แต่เธอไม่คิดว่าท่านจะไล่เธอออกจากบ้าน ซึ่งเปรียบดั่งที่พักพิงสุดท้าย สถานที่ที่เธอซมซานกลับมาเพื่อรักษาแผลกายและใจ

“ไป! ฉันไม่อยากเห็นหน้าแกอีก!” เจิมจันทร์ตวาดไล่ซ้ำอย่างไม่อนาทร

ญาตาวีไม่ได้ร้องไห้ แต่ดวงตาแดงก่ำราวกับว่าน้ำตาพร้อมจะหยาดหยดลงรดแก้มอิ่มทุกขณะ เธอค่อยๆ เผยอริมฝีปากที่สั่นระริกเอื้อนเอ่ยออกไปอย่างหมดสิ้นหนทาง “ถ้าคุณยายไล่... ยาหยีก็จะไปค่ะ!”

ดาราสาวประนมมือไหว้ลายาย ก่อนจะก้มลงเก็บแว่นตาและหมวกเดินจากไป

‘นักข่าวตามมาที่หน้าบ้านเต็มเลยเจ้าค่ะแม่นาย ให้คุณหนูออกไปตอนนี้มีหวังเป็นข่าวฉาวกว่าเดิมแน่เลยเจ้าค่ะ’ ผีพวงรีบกระซิบบอกอย่างรวดเร็ว หลังจากที่คอยืดคอยาวมองออกไปนอกรั้ว เพราะได้ยินเสียงคนซุบซิบคุยกันดังแว่วมาตามสายลม

“เดี๋ยวก่อน!”

เจิมจันทร์จำต้องเรียกหลานสาวไว้อย่างเสียไม่ได้

“ฉันอารมณ์ไม่ดีนิดหน่อย ไม่ได้ตั้งใจจะไล่แกจริงๆ หรอก แกเสียใจมาขนาดนี้ฉันจะใจร้ายใจดำไล่แกออกไปให้นักข่าวจิกทึ้งได้ยังไง ไปเถอะไปล้างหน้าล้างตานอนพักซะ เดี๋ยวเย็นนี้จะให้นังพิณยกสำรับอาหารไปให้ที่ห้อง ไม่ต้องออกมากินข้างนอกกับยายหรอก”

ญาตาวีชะงักก่อนที่หยาดน้ำตาจะร่วงเผาะด้วยความดีใจ “ขอบคุณค่ะคุณยาย”

เจิมจันทร์มองไล่หลังญาตาวีไปแล้วก็แบะปากอย่างจนปัญญา

ชื่อเสียงที่นางสั่งสมมาเป็นอันต้องป่นปี้ เพราะเรื่องฉาวคาวโลกีย์ของญาตาวี แล้วไหนจะยังหลานไม่รักดีอย่างดมิสาอีก นางอุตส่าห์สอนสั่งวิชาหวังให้เป็นทายาทสืบทอดมนตร์ดำ แต่มันกลับคิดล้างมนตร์ของนางด้วยอำนาจแห่งสัจจะวาจา เดาได้เลยว่าคนที่สอนให้ดมิสาคิดทำเช่นนี้ไม่พ้นพระดิน ขันติสุโภ

เห็นทีความคิดที่จะจัดการดมิสากับคนรักของมันคงต้องพักไว้ก่อน ...อย่างน้อยตอนนี้นางก็พอเบาใจไปได้บ้าง เพราะนังหลานตัวแสบเป็นใบ้ไปเสียได้!

‘แม่นายเจ้าขา ทำไมแม่นายถึงไม่ให้คุณหนูยาหยีเป็นทายาทสืบทอดล่ะเจ้าคะ คุณหนูยาหยีเธอดูหัวอ่อนกว่าคุณหนูมิ้งค์เป็นไหนๆ’ ผีอีพวงเงยหน้าขึ้นเสนอด้วยท่าทางประจบประแจง

พวงทั้งเชื่อฟังและอ่อนน้อมกับเจิมจันทร์ นั่นเพราะหวาดกลัวว่าเจิมจันทร์จะลงโทษตนด้วยการเฆี่ยนตีทรมานแล้วขังไว้ในที่แคบๆ อีก อย่างคราวนั้นที่มันประมาท ปล่อยให้บัวบุษบาขโมยตะกรุดไปทำลายได้ ยังผลให้ดีเลิศย้ายออกจากบ้านไป พวงเลยถูกเจิมจันทร์ขังไว้ในไหอย่างทรมาน เมื่อถูกปล่อยออกมาได้พวงจึงต้องพยายามทำผลงานให้แม่นายของมันไว้วางใจ

“หึ หัวอ่อนแต่โง่ ให้ฉันสอนควายเสียดีกว่าสอนนังหลานคนนี้ วันๆ คิดแต่เรื่องผู้ชาย วิ่งร้องเร่หาความรักจอมปลอม มีผัวกี่คนๆ ก็ไปไม่รอด แค่ให้มันประคองชีวิตอยู่ไม่ฆ่าตัวตายตามแม่มันไปก็ดีถมเถแล้ว” เจิมจันทร์ส่ายหน้า คิดตัดญาตาวีออกจากตัวเลือกอย่างไม่ลังเล

‘เจ้าค่ะแม่นาย’

พวงรับคำอย่างว่าง่าย ไม่แปลกที่จะเห็นเจ้านายด่าสาดเสียเทเสียหลานสาวคนนี้ยังกับจงเกลียดจงชังกันมาแต่ชาติปางไหน เจิมจันทร์ไม่เคยรักใครนอกจากตัวเอง ที่ดูจะทั้งรักทั้งหวงก็เห็นมีแต่หลานชายคนโต เพราะหน้าตาเหมือนเดชสิทธิ์สามีที่เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนหลานสาวอีกสามคนนั้นเจิมจันทร์ไม่เคยดูดำดูดี ใครทำเรื่องฉาวน้อยก็เกลียดน้อย ใครทำเรื่องฉาวมากก็เกลียดมาก แต่สรุปแล้วก็คือเกลียดหมดทุกคน

“แล้วนี่ฉันจะไปหาใครมาสืบทอดแทนล่ะเนี่ย” เจิมจันทร์ยกมือขึ้นบีบขมับ ท่าทางกลัดกลุ้ม ทรุดตัวลงนั่งบนแท่นไม้หยิบพิมเสนขึ้นมาดม

‘แล้วทำไมต้องหาทายาทด้วยล่ะเจ้าคะ’

“สาระแน!” เจิมจันทร์ตวัดหางตามองพวงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดูแคลน พวงสะดุ้งก่อนจะหมอบตัวก้มกราบกับพื้น

‘ขอประทานโทษเจ้าค่ะแม่นาย พวงผิดไปแล้วเจ้าค่ะ อย่าลงโทษพวงเลยนะเจ้าคะ พวงกลัวแล้ว’ พวงซึ่งมีร่างกายผอมโซ ผิวคล้ำค่อนไปทางดำตัวสั่นงันงก น้ำตาไหลเป็นคราบสีดำเหนียวนองพื้น มันสะอื้นไห้จนตัวโยน หวาดกลัวว่าจะถูกจับขังอีก การถูกขังมันช่างทรมานราวกับตกนรกทั้งเป็น ไหใบเล็กแต่กลับร้อนราวกับไฟบรรลัยกัลป์ บ้างก็หนาวยะเยือกราวกับความหนาวเหน็บของโลกันตนรกซึ่งอยู่สุดขอบจักรวาล ปวดร้าวไปทั้งร่างกายราวกับกระดูกถูกบิดงอจนแตกเป็นเสี่ยงๆ วนเวียนอยู่เช่นนี้ด้วยความทุกข์ทรมาน ไม่ว่าอย่างไรพวงก็จะไม่มีวันกลับเข้าไปในไหใบนั้นอีกเด็ดขาด!

“เรื่องของนาย ขี้ข้าอย่าแส่ จำใส่กะลาหัวแกเอาไว้ด้วยนะนังพวง!”

เจิมจันทร์ลุกขึ้นยืน ใช้หลังมือปัดผ้าถุงสีแดงเลือดหมูให้เข้าที่ก่อนจะสาวเท้าก้าวยาวๆ เข้าไปในเรือนนอนของตน เป็นอันปิดฉากสนทนาแต่เพียงเท่านั้น

‘เจ้าค่ะแม่นาย’

พวงคลานเข่าไปนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องของเจิมจันทร์ด้วยท่าทางเหงาหงอย ยกเข่าขึ้นชิดอกแล้วกอดเอาไว้แน่น ผมสีดำยุ่งเหยิงยาวสยายปกคลุมร่างผอมแห้งของมันเอาไว้ มันทำปากขมุบขมิบคล้ายพึมพำอะไรบางอย่างตลอดเวลา



******************



หญิงสูงวัยหงุดหงิดจนต้องถอนใจออกมาติดกันหลายๆ ครั้ง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนอน แต่เพียงครู่เดียวนางก็ผุดลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าเดินไปมาอย่างครุ่นคิด ความจริงนางไม่อยากปล่อยผีนังพวงออกมาจากไหเลยแม้แต่น้อย เพราะรู้ดีว่าพวงนั้นเป็นผีฉลาด ชอบสาระแนและมีแผนการต่างๆ จนบางครั้งนางก็กลัวที่จะไว้ใจมัน หากว่าพวงมีอำนาจขึ้นมาเมื่อไรคงน่ากลัวเสียยิ่งกว่าอสุรกายในขุมนรก!

ผีตนนี้นางได้รับมาจากอาจารย์มอญ...หมอผีผู้ถ่ายทอดวิชาให้นาง ท่านอาจารย์เล่าว่ากว่าจะสะกดวิญญาณพวงได้นั้นต้องใช้เวลาถึงหกเดือน เพราะพวงเป็นผีร้ายที่มีดวงจิตแข็งกร้าวและดำมืด เมื่อสะกดมันได้อาจารย์จึงใส่ห่วงที่คอมันเอาไว้ เมื่อมันคิดแข็งข้อก็จะร่ายมนตร์เพื่อให้ห่วงบีบรัดลำคอสร้างความทุกข์ทรมานจนพวงต้องยอมจำนน

พวงฉลาด และช่างเรียนรู้ ไม่มีใครรู้ว่าพวงเกิดในยุคสมัยใด เพราะพวงจะสามารถเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ตามยุคสมัยนั้นได้อย่างรวดเร็ว จนบางครั้งเจิมจันทร์เองยังนึกหวั่น เมื่อมีเหตุที่พวงทำพลาดนางจึงไม่รอช้าที่จะจับพวงขังลืมไว้ในไห หมายมั่นว่าจะไม่ยอมปล่อยมันออกมาอีก แต่แล้วนางก็จำต้องปล่อยพวงออกมา เพราะหมดปัญญาที่จะคิดอ่านวางแผนต่อไป

เวลาจวนเข้ามาทุกขณะแล้ว นางต้องรีบวางแผนแล้วลงมือทำให้สำเร็จโดยเร็ว และเรื่องนี้จะให้ใครล่วงรู้ไม่ได้เป็นอันขาด!

‘จำไว้นะแม่เจิม ข้ามอบอำนาจมนตร์ดำให้เจ้าไปแล้ว นับจากนี้ไปมนตร์ที่ข้ามีจะจางหายไปจากตัวข้า มันจะไปอยู่กับเจ้าและเมื่อถึงวันที่เจ้าอายุมากขึ้น เจ้าต้องรีบส่งต่อมนตร์ดำให้คนอื่น ไม่อย่างนั้นผีที่เจ้าเลี้ยงไว้มากมายมันจะแข็งข้อและคนแรกที่มันจะฆ่าก็คือเจ้า’

‘ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าดิฉันจะหมดสิ้นอำนาจในวันหนึ่ง หรือคะท่านอาจารย์’

‘ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้และยั่งยืน เจ้าจะกอดอำนาจจนตัวตายอย่างน่าสมเพช หรือจะแก่ตายอย่างสงบก็เลือกเอาแล้วกันแม่เจิม’

เสียงของอาจารย์ยังคงดังก้องอยู่ในห้วงความทรงจำแม้เวลาจะล่วง เลยผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม และนี่คือสาเหตุที่จะให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นผีที่นางเลี้ยงไว้มันจะกระด้างกระเดื่องก่อนเวลาอันควร ณ เวลานี้นางยังจัดการทุกอย่างได้ แต่ในอนาคตไม่รู้ว่านางจะควบคุมผีพวกนี้เอาไว้ได้อีกนานสักแค่ไหน ฉะนั้นการรีบหาทายาทสืบทอดจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ไม่สามารถผัดผ่อนได้อีกต่อไป

“ถ้าลูกหลานมันไม่รักดีสักคน ก็ช่างหัวมัน ฉันยังมีสายเลือดห่างๆ อีกตั้งมากมาย” เจิมจันทร์แสยะยิ้มที่มุมปากอย่างหมายมาด คิดถึง ‘ปานวาด’ หลานสาวของลูกพี่ลูกน้องซึ่งบัดนี้ลาโลกกันไปหมดแล้ว เด็กคนนี้ฐานะครอบครัวยากจน เหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก ต้องทำงานหาเช้ากินค่ำส่งตัวเองเรียนการศึกษานอกโรงเรียน

เพียงแค่นางยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ขี้คร้านเด็กคนนี้จะยอมรับด้วยความเต็มใจ

“นังพวง!”

สิ้นเสียงเรียก ดวงวิญญาณของพวงก็หมอบกราบอยู่เบื้องหน้าเจิมจันทร์อย่างรวดเร็ว ราวกับเฝ้าคอยการเรียกใช้อยู่แทบทุกวินาที

‘เจ้าค่ะแม่นาย มีอะไรให้พวงรับใช้หรือเจ้าคะ’

“ฉันจะไปอยุธยา แกไปกับฉัน”

‘เจ้าค่ะแม่นาย’ พวงเรียนรู้ที่จะน้อมรับแต่ไม่ซักถามให้ผู้เป็นนายรำคาญใจ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ก.ย. 2563, 20:34:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ก.ย. 2563, 20:34:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 373





<< บทที่ 1 -100%   บทที่ 2 -100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account