ม่านมนตกานต์: รางนาก (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
‘ญาตาวี เสน่ห์จันทน์’ ดาราเจ้าบทบาทแถวหน้าของเมืองไทย
เธอประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน
แต่! กลับล้มเหลวในชีวิตรักอย่างยับเยิน
เธอหอบร่างกายบอบช้ำและหัวใจที่แหลกสลายกลับมายัง ‘เรือนเสน่ห์จันทน์’
ที่นี่เธอได้พบกับ ‘นางฟ้าน้อย’ พรายกุมารที่คอยช่วยเหลือ และปลอบโยนเธอจากความเศร้า
หัวใจของเธอได้รับการเยียวยาจนได้พบกับ ‘สารวัตรเขมินทร์’
ผู้ชายที่เปลี่ยนโลกทั้งใบของหญิงสาวไปตลอดกาล
ทว่า...เงื่อนงำในเรือนเสน่ห์จันทน์ยังคงเป็นปริศนา!!!
ชีวิตของเธอแขวนอยู่บนเส้นด้าย
รอวันร่วงหล่นลงขุม ‘อวิชชา’ เลวร้าย
เธอและเขาจะก้าวผ่านมันไปได้หรือไม่...
**************
นิยายเรื่องนี้แต่งโดย รางนาก(สะมะเรีย) และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เรื่องนี้เป็นนิยายรัก สยองขวัญ เล่มจบของซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์ค่ะ เปิดเปลือยชีวิตของทุกตัวละคร เฉลยทุกปมฆาตกรรมที่ยังค้างคา และจุดจบของยายเจิมจันทร์กับเรือนเสน่ห์จันทน์ที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ห้ามพลาดเด็ดขาด!
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก, ร้านBestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
สั่งซื้อม่านมนตกานต์ ราคา 308฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 348฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 368฿)
ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (ม่านมนตกานต์ ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ และเลื่อมลายพรายจันทร์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
**************
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)
*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้าแต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป
(ม่านมนตกานต์ เป็นเรื่องราวของหนึ่งในหลานสาวบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
เธอประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน
แต่! กลับล้มเหลวในชีวิตรักอย่างยับเยิน
เธอหอบร่างกายบอบช้ำและหัวใจที่แหลกสลายกลับมายัง ‘เรือนเสน่ห์จันทน์’
ที่นี่เธอได้พบกับ ‘นางฟ้าน้อย’ พรายกุมารที่คอยช่วยเหลือ และปลอบโยนเธอจากความเศร้า
หัวใจของเธอได้รับการเยียวยาจนได้พบกับ ‘สารวัตรเขมินทร์’
ผู้ชายที่เปลี่ยนโลกทั้งใบของหญิงสาวไปตลอดกาล
ทว่า...เงื่อนงำในเรือนเสน่ห์จันทน์ยังคงเป็นปริศนา!!!
ชีวิตของเธอแขวนอยู่บนเส้นด้าย
รอวันร่วงหล่นลงขุม ‘อวิชชา’ เลวร้าย
เธอและเขาจะก้าวผ่านมันไปได้หรือไม่...
**************
นิยายเรื่องนี้แต่งโดย รางนาก(สะมะเรีย) และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เรื่องนี้เป็นนิยายรัก สยองขวัญ เล่มจบของซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์ค่ะ เปิดเปลือยชีวิตของทุกตัวละคร เฉลยทุกปมฆาตกรรมที่ยังค้างคา และจุดจบของยายเจิมจันทร์กับเรือนเสน่ห์จันทน์ที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ห้ามพลาดเด็ดขาด!
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก, ร้านBestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
สั่งซื้อม่านมนตกานต์ ราคา 308฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 348฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 368฿)
ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (ม่านมนตกานต์ ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ และเลื่อมลายพรายจันทร์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
**************
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)
*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้าแต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป
(ม่านมนตกานต์ เป็นเรื่องราวของหนึ่งในหลานสาวบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 4 -100%
หลังจากข่าวฉาวแพร่สะพัดไปในโลกไซเบอร์รวดเร็วเสียยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ดาราสาวก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องนอน นอนซมแทบไม่ยอมแตะต้องอาหาร จนแม่บ้านสายพิณอดเป็นห่วงไม่ได้กลัวว่าเมื่อจิตใจป่วย ร่างกายจะพานล้มป่วยลงไปด้วยอีก จึงขอร้องแกมบังคับให้คุณหนูของเธอออกมาเดินสูดอากาศบริสุทธิ์นอกห้องบ้าง ญาตาวีจำต้องออกมาจากเรือนนอนของตนอย่างเสียไม่ได้ และทันทีที่ออกมาเธอก็พบยายเจิมจันทร์กำลังนั่งกึ่งนอนเอนกายอยู่ที่ศาลากลางเรือน ดวงตาคมดุตวัดมองมายังหลานสาวแค่เพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเสมองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ
ถ้าเป็นคนอื่นอาจรู้สึกเสียใจเมื่อเห็นยายซึ่งเป็นผู้ปกครองที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กแสดงกิริยาเช่นนั้น แต่สำหรับญาตาวีจะเรียกว่าไม่เสียใจก็คงไม่ ใช่ แต่เพราะเธอชาชินกับความรู้สึกนี้จนหัวใจด้านชาเสียแล้ว ยายเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยสนใจไยดีหลานสาว หากหลานทั้งสี่คนเดินขึ้นเรือนมาพร้อมๆ กัน ยายจะทักทายเพียงหลานชายคนโตเท่านั้น ส่วนหลานสาวอีกสามคนก็มองผ่านราวกับเป็นอากาศไปเสียอย่างนั้น
ดาราสาวตั้งใจจะเดินอ้อมลงบันไดเรือน ทว่าหางตากลับเหลือบไปเห็นเงาดำตะคุ่มๆ นั่งอยู่ข้างยาย ญาตาวีชะงักฝีเท้าพลันหันกลับไปมองเต็มตา แต่ทว่าเงาดำคล้ายผู้หญิงผมยาวกลับเลือนหายไปแล้ว
“แกจะจ้องหน้าฉันอีกนานไหมนังยาหยี” ยายเจิมจันทร์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“เอ่อ...” ญาตาวีกำลังจะพูดว่าเธอเห็นเงาดำคล้ายผู้หญิงผมยาวนั่งอยู่ข้างๆ ยาย แต่กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเบาราวกระซิบข้างหู
‘อย่าให้ใครรู้ว่าเธอเห็นมันเด็ดขาด ระวังภัยจะมาเยือน’
ในพลันนั้นขนอ่อนที่ต้นคอพร้อมใจกันลุกชัน หนาวยะเยือกไปถึงกลางแผ่นหลัง หญิงสาวค่อยๆ เหลือบตาไปมองยังจุดที่มีเงาดำนั่งอยู่อีกครั้ง และคราวนี้เธอถึงกับเข่าอ่อนแทบทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น เมื่อแน่ใจว่าเธอไม่ได้ตาฝาด! มีผู้หญิงผมยาวลากพื้นห่มผ้าแถบและนุ่งซิ่นสีดำสนิท ร่างกายซูบผอม ผิวกายคล้ำจัดราวกับไม่ใช่มนุษย์นั่งอยู่ข้างยายจริงๆ หากเจ้าของเสียงกระซิบเมื่อครู่สำทับขึ้นอีก
‘ระวังภัยมาเยือน ระวัง...’
“ว่ายังไงล่ะนังยาหยี แกมายืนจ้องหน้าฉันทำไม เสียมารยาท!”
“ขะ...ขอโทษค่ะคุณยาย คือหนู เอ่อ แค่จะถามว่าคุณยายอยากกินขนมอะไรไหมคะ เอ่อ...หนู” ญาตาวีรีบคิดหาคำแก้ตัวอย่างรวดเร็ว “หนูจะลงไปหาแม่พิณในครัวค่ะ จะได้ยกขนมขึ้นมาเสิร์ฟให้คุณยายเลย” เมื่อพูดออกไปแล้วก็ถึงกับลอบถอนหายใจ อดไม่ได้ที่จะเหลือบตาไปมองข้างๆ ผู้เป็นยายอีกครั้ง
หญิงสาวผมยาวลากพื้นในชุดสีดำยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แรกทีเดียวหญิงสาวคนนั้นนั่งก้มหน้าคล้ายหมอบกราบอยู่บนพื้น แต่จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น มาราวกับรับรู้ได้ว่าเธอกำลังมองอยู่
นาทีนั้นราวกับหัวใจของเธอกำลังจะหยุดเต้น เมื่อสบตากับดวงตากร้าวปูดโปน ใบหน้าตอบ โหนกแก้มสูง ริมฝีปากสีซีดคล้ายเนื้อเน่า ลักษณะท่าทางของมันน่าสะอิดสะเอียนเสียเหลือเกิน
‘ระวังภัยมาเยือน’
เสียงเย็นกำชับอีกครั้ง ญาตาวีจึงได้สติ
“ให้หนูเอากาน้ำชาไปเปลี่ยนให้ใหม่ไหมคะ” เธอแสร้งชี้ไปที่กาน้ำชาซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังผู้หญิงท่าทางน่ากลัวคนนั้น
“ก็ดีเหมือนกัน วางไว้นานจนมันเย็นชืดหมดแล้ว” ยายเจิมจันทร์พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะหันไปเลื่อนถาดกาน้ำชามาด้านหน้า โดยมือที่ยื่นออกไปนั้นทะลุผ่านผู้หญิงผมยาวไปราวกับไม่มีตัวตน
นาทีนั้นเองที่ญาตาวีสำเหนียกได้ว่าเธอกำลังเห็น ‘ผี’
********************
“คุณหนูยาหยี คุณหนูคะ”
สายพิณเรียกญาตาวีหลายครั้ง แต่หญิงสาวกลับยืนนิ่งราวรูปปั้น จนแม่บ้านสายพิณต้องยื่นมือไปจับที่ไหล่แล้วเขย่าเบาๆ เรียกให้รู้สึกตัว
“คุณหนูยาหยีคะ ได้ยินเสียงพิณไหมคะ”
“คะ?” ญาตาวีตกใจจนสะดุ้ง ด้วยไม่รู้ตัวเลยว่าเธอเดินลงจากเรือนใหญ่แล้วมาหยุดอยู่ที่เรือนครัวด้านหลังได้ยังไง ในมือยังคงถือถาดกาน้ำชาเอาไว้แน่นจนปวดเกร็งที่ข้อมือร้าวมาถึงต้นแขน
จริงอยู่ที่เธอมักเคยเจออะไรแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงกระซิบข้างหู ลมเย็นที่มักพัดมาโอบล้อมตัวเธอไว้ หรือแม้แต่ความฝันแสนหวาน ฝันว่าได้อยู่ในอ้อมกอดของนางฟ้าตัวน้อยๆ เรื่องราวเหล่านี้หากไปเล่าให้ใครฟังก็คงถูกมองว่าเป็นบ้า ฟั่นเฟือน หรือไม่ก็งมงาย แต่ถึงเธอจะคุ้นชินกับการเจออะไรเช่นนี้เธอกลับไม่เคยเห็นผีตัวเป็นๆ เลยสักครั้ง นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เธอเห็นผีสาวผมยาวท่าทางน่ากลัวนั่น!
ถ้าผีมีอยู่จริง นั่นก็แสดงว่านางฟ้าตัวน้อยที่ปรากฏในความฝันของเธอก็ต้องมีจริงน่ะสิ
“ส่งถาดมาให้พิณเถอะค่ะคุณหนู”
“ช่วยเปลี่ยนน้ำชาแล้วนำกลับไปให้คุณยายด้วยนะแม่พิณ เดี๋ยวฉันจะไปนั่งเล่นที่ศาลาบ่อบัว”
เธอไม่คิดจะกลับขึ้นไปบนเรือนตอนนี้แน่ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถระงับอาการยามเห็นสิ่งที่เป็นอมนุษย์ได้หรือไม่
“ค่ะคุณหนู”
“เดี๋ยวจ้ะแม่พิณ ช่วยหยิบโทรศัพท์มือถือในห้องนอนของฉันมาให้ด้วยนะจ๊ะ”
“พูดถึงโทรศัพท์...พิณเพิ่งนึกได้ค่ะ เมื่อวานนี้คุณหนูยิหวาโทร.เข้ามาถามถึงอาการของคุณหนูยาหยีค่ะ บอกว่าติดต่อไม่ได้เลย อยากจะมาหา แต่ว่าตอนนี้คุณหนูยิหวาคงอยู่เมืองนอกกับคุณอัคนีแล้วน่ะค่ะ”
“ยิหวาไปเมืองนอกเหรอ” ญาตาวีมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อรู้ว่าญานีนอยู่ที่ไหน ทีแรกเธอแอบน้อยใจน้องสาวที่ไม่เป็นห่วงเป็นใยมาเยี่ยมเธอบ้างเลย นอกจากคอนโดฯ เธอก็ไม่มีที่ไปนักหรอก นึกว่าจะไม่รักไม่สนใจกันเสียแล้ว
“ใช่ค่ะ เห็นว่าช่วงนี้วุ่นๆ ติดต่อเรื่องซีรีส์ที่จะนำมาฉายที่ไทย นี่ไปด้วยตัวเองก็คงถือโอกาสพักผ่อนด้วยเลย” สายพิณยิ้มเมื่อคิดถึงคุณหนูคนเล็กของบ้าน ที่บัดนี้บริหารสถานีโทรทัศน์ร่วมกับสามีอย่างเต็มตัว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผ่านไปไม่กี่ปี เด็กสาวตัวเล็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ในบ้าน จะโตเป็นสาวแต่งงานออกเหย้าออกเรือนกันไปเกือบหมดแล้ว จะมีก็แต่ญาตาวีที่ถึงแม้จะแต่งออกไปแต่ก็ยังน่าเป็นห่วงเสียเหลือเกิน
“ดีจัง” ญาตาวียิ้มที่เห็นน้องสาวกับน้องเขยมีความสุข เพราะทั้งคู่ผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกัน ได้ร่วมทุกข์และร่วมสุขจนเรียกได้ว่าความรักของทั้งคู่ไม่ใช่ความรักฉาบฉวยที่เต็มไปด้วยความใคร่ แต่เป็นความรักที่เต็มไปด้วยความห่วงใย ผูกพันกันอย่างลึกซึ้งทั้งร่างกายและจิตใจ
เธออยากมีความรักแบบนั้นบ้าง...
“คุณหนูยิหวายังกำชับอีกนะคะว่า ถ้าเธอและสามีเดินทางกลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่จะขอให้คุณหนูยาหยีไปพักกับเธอที่บ้านค่ะ” สายพิณลอบถอนหายใจอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้ญาตาวีอดที่จะแปลกใจไม่ได้ ดูเหมือนไม่มีใครอยากให้เธอกลับมาที่บ้านหลังนี้ เพราะอะไรกันนะ...
********************
สายที่ไม่ได้รับ ‘ที่รัก ๗๐ สาย’
ทันทีที่เปิดโทรศัพท์มือถือ ข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้นรัวๆ มีข้อความถามไถ่และสายที่ไม่ได้รับมากมาย แต่สายที่ทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้จนแทบจะอาเจียนออกมาด้วยความสะอิดสะเอียนคือสายของธนวัชร์ สามีที่ทำร้ายเธอทั้งร่างกายและจิตใจจนบอบช้ำ
น่าแปลก...ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าเธอรักผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน รักจนยอมแลกได้ทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต แต่ ณ เวลานี้ ความรู้สึกเหล่านั้นกลับไม่หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย นี่สินะที่เรียกว่า...ความหลง...เธอคิดว่ามันคือความรักทั้งที่จริงแล้วมันก็แค่ความใคร่เท่านั้นเอง
ดาราสาวกดแก้ไขชื่อ จาก ‘ที่รัก’ เป็น ‘ผัวเฮงซวย’ ก่อนจะจัดการกดบล็อกเบอร์โทรศัพท์นั้นอย่างไร้เยื่อใย
“พบกันในศาลนะคะคุณธนวัชร์ ระหว่างคุณกับฉัน...เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ฉันจะไม่ยอมเป็นควายอย่างที่คุณยายพร่ำด่าฉันอีกต่อไปแล้ว” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ บังคับไม่ให้น้ำตาไหลรินออกมา
เธอกดไล่ดูข้อความต่อไป ข้อความจากมิ้งค์ ‘เธอเป็นยังไงบ้าง’ ข้อความถามไถ่สั้นๆ จากลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าใดนักทำให้ญาตาวีถึงกับน้ำตารื้น
ข้อความจากพี่โต ‘ยาหยีเป็นยังไงบ้าง พี่กับพี่บัวเป็นห่วงมากนะ’ ข้อความจากญาติผู้พี่และพี่สะใภ้ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจ
ข้อความจากยิหวา ‘ยิหวาจะรีบเดินทางกลับให้ไวที่สุด เข้มแข็งไว้นะคะพี่ยาหยี รัก...’
เมื่ออ่านข้อความจากน้องสาวและลูกพี่ลูกน้องจนหมด น้ำตาที่เธอพยายามกลั้นเอาไว้ก็พรั่งพรูออกมาอีกจนได้ กว่าสัปดาห์ที่ญาตาวีทิ้งตัวเองลงไปในหุบเหวแห่งความโศกเศร้า เธอกล่าวโทษทุกคนบนโลกนี้โดยไม่เคยโทษตัวเองเลย ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นหาใช่ใครที่ไหนยัดเยียดให้ เธอเองต่างหากล่ะที่โอบกอดปัญหาเหล่านั้นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
หญิงสาวมองออกไปในสระบัว เห็นดอกบัวฉัตรขาวและชมพูบานอยู่เต็มสระ แล้วก็ไพล่คิดไปถึงคำสอนของหลวงลุง หรือพระดิน ขันติสุโภ ท่านเป็นพระสงฆ์สุปฏิปันโน ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าอิสราภรณ์
‘หลวงลุงดูสิคะ ยาหยีพับดอกบัวได้ด้วยค่ะ’
เด็กหญิงตัวน้อยตามมารดามาที่วัดเกือบทุกวันพระ เพราะจิรัญญาและดาราวลีจะมาถวายเพล และนั่งสนทนาธรรมกับพระดิน ซึ่งทุกครั้งที่มาเด็กน้อยมักจะเห็นมารดากับป้าดาราวลีร้องไห้ปรับทุกข์กันเอง ไม่ค่อยจะเห็นสนทนาธรรมกับพระดินสักเท่าไร เด็กหญิงจึงได้อานิสงส์พูดคุยกับหลวงลุง บางครั้งท่านก็จะสอนธรรมะง่ายๆ ให้เด็กหญิงฟัง เธอฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือความรักความเมตตาที่หลวงลุงมีให้แก่เธอ ซึ่งเธอไม่เคยได้รับจากผู้ใหญ่คนไหนเลย
‘เก่งมาก’
‘ยาหยีจะพับถวายพระค่ะ’ เมื่อได้รับคำชมเด็กหญิงก็ยืดอกด้วยความภูมิใจ
พระดินมองหลานสาวซึ่งนับว่าเป็นญาติห่างๆ ด้วยความสงสาร...
เด็กคนนี้จะต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายอีกมากนัก เพราะทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ที่เด็กหญิงได้ก่อขึ้น ล้วนกำหนดโชคชะตาให้เธอต้องพบ ต้องเจอ โดยไม่อาจหลีกเลี่ยง
‘จำไว้นะยาหยี คนเรานี้สามารถที่จะเป็นอย่างดอกบัวได้ คือดอกบัวเกิดจากน้ำ แต่ก็สามารถที่จะเจริญจนพ้นน้ำได้ คนเราเกิดจากกองกิเลสก็จริง แต่ก็สามารถที่จะพัฒนาตนจนพ้นจากกิเลสได้ เราเกิดในโลกแต่สามารถพัฒนาจิตใจ จนพ้นโลกได้’
เด็กหญิงตัวน้อยเอียงคอด้วยความงุนงง แต่เมื่อเห็นว่าหลวงลุงพูดถึงเรื่องดอกบัวที่ตนกำลังพับอยู่ ก็พยายามตั้งใจฟังและจำคำพูดของหลวงลุงเอาไว้
‘เมื่อโตขึ้นเจ้าจะเข้าใจ’
บัดนี้ เธอเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า เธอควรเป็นบัวที่โผล่พ้นจากโคลนตมและผืนน้ำเสียที ชีวิตของเธอไม่ควรต้องมาจมปลักอยู่กับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในเมื่อเธออาภัพไร้วาสนาที่จะมีคู่ครองที่ดี เธอก็จะขอครองตัวเป็นโสด
สิ้นสุดกันทีกับการวิ่งหาความรัก เธอเหนื่อยมามากเกินพอแล้ว!
ถ้าเป็นคนอื่นอาจรู้สึกเสียใจเมื่อเห็นยายซึ่งเป็นผู้ปกครองที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กแสดงกิริยาเช่นนั้น แต่สำหรับญาตาวีจะเรียกว่าไม่เสียใจก็คงไม่ ใช่ แต่เพราะเธอชาชินกับความรู้สึกนี้จนหัวใจด้านชาเสียแล้ว ยายเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยสนใจไยดีหลานสาว หากหลานทั้งสี่คนเดินขึ้นเรือนมาพร้อมๆ กัน ยายจะทักทายเพียงหลานชายคนโตเท่านั้น ส่วนหลานสาวอีกสามคนก็มองผ่านราวกับเป็นอากาศไปเสียอย่างนั้น
ดาราสาวตั้งใจจะเดินอ้อมลงบันไดเรือน ทว่าหางตากลับเหลือบไปเห็นเงาดำตะคุ่มๆ นั่งอยู่ข้างยาย ญาตาวีชะงักฝีเท้าพลันหันกลับไปมองเต็มตา แต่ทว่าเงาดำคล้ายผู้หญิงผมยาวกลับเลือนหายไปแล้ว
“แกจะจ้องหน้าฉันอีกนานไหมนังยาหยี” ยายเจิมจันทร์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“เอ่อ...” ญาตาวีกำลังจะพูดว่าเธอเห็นเงาดำคล้ายผู้หญิงผมยาวนั่งอยู่ข้างๆ ยาย แต่กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเบาราวกระซิบข้างหู
‘อย่าให้ใครรู้ว่าเธอเห็นมันเด็ดขาด ระวังภัยจะมาเยือน’
ในพลันนั้นขนอ่อนที่ต้นคอพร้อมใจกันลุกชัน หนาวยะเยือกไปถึงกลางแผ่นหลัง หญิงสาวค่อยๆ เหลือบตาไปมองยังจุดที่มีเงาดำนั่งอยู่อีกครั้ง และคราวนี้เธอถึงกับเข่าอ่อนแทบทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น เมื่อแน่ใจว่าเธอไม่ได้ตาฝาด! มีผู้หญิงผมยาวลากพื้นห่มผ้าแถบและนุ่งซิ่นสีดำสนิท ร่างกายซูบผอม ผิวกายคล้ำจัดราวกับไม่ใช่มนุษย์นั่งอยู่ข้างยายจริงๆ หากเจ้าของเสียงกระซิบเมื่อครู่สำทับขึ้นอีก
‘ระวังภัยมาเยือน ระวัง...’
“ว่ายังไงล่ะนังยาหยี แกมายืนจ้องหน้าฉันทำไม เสียมารยาท!”
“ขะ...ขอโทษค่ะคุณยาย คือหนู เอ่อ แค่จะถามว่าคุณยายอยากกินขนมอะไรไหมคะ เอ่อ...หนู” ญาตาวีรีบคิดหาคำแก้ตัวอย่างรวดเร็ว “หนูจะลงไปหาแม่พิณในครัวค่ะ จะได้ยกขนมขึ้นมาเสิร์ฟให้คุณยายเลย” เมื่อพูดออกไปแล้วก็ถึงกับลอบถอนหายใจ อดไม่ได้ที่จะเหลือบตาไปมองข้างๆ ผู้เป็นยายอีกครั้ง
หญิงสาวผมยาวลากพื้นในชุดสีดำยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แรกทีเดียวหญิงสาวคนนั้นนั่งก้มหน้าคล้ายหมอบกราบอยู่บนพื้น แต่จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น มาราวกับรับรู้ได้ว่าเธอกำลังมองอยู่
นาทีนั้นราวกับหัวใจของเธอกำลังจะหยุดเต้น เมื่อสบตากับดวงตากร้าวปูดโปน ใบหน้าตอบ โหนกแก้มสูง ริมฝีปากสีซีดคล้ายเนื้อเน่า ลักษณะท่าทางของมันน่าสะอิดสะเอียนเสียเหลือเกิน
‘ระวังภัยมาเยือน’
เสียงเย็นกำชับอีกครั้ง ญาตาวีจึงได้สติ
“ให้หนูเอากาน้ำชาไปเปลี่ยนให้ใหม่ไหมคะ” เธอแสร้งชี้ไปที่กาน้ำชาซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังผู้หญิงท่าทางน่ากลัวคนนั้น
“ก็ดีเหมือนกัน วางไว้นานจนมันเย็นชืดหมดแล้ว” ยายเจิมจันทร์พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะหันไปเลื่อนถาดกาน้ำชามาด้านหน้า โดยมือที่ยื่นออกไปนั้นทะลุผ่านผู้หญิงผมยาวไปราวกับไม่มีตัวตน
นาทีนั้นเองที่ญาตาวีสำเหนียกได้ว่าเธอกำลังเห็น ‘ผี’
********************
“คุณหนูยาหยี คุณหนูคะ”
สายพิณเรียกญาตาวีหลายครั้ง แต่หญิงสาวกลับยืนนิ่งราวรูปปั้น จนแม่บ้านสายพิณต้องยื่นมือไปจับที่ไหล่แล้วเขย่าเบาๆ เรียกให้รู้สึกตัว
“คุณหนูยาหยีคะ ได้ยินเสียงพิณไหมคะ”
“คะ?” ญาตาวีตกใจจนสะดุ้ง ด้วยไม่รู้ตัวเลยว่าเธอเดินลงจากเรือนใหญ่แล้วมาหยุดอยู่ที่เรือนครัวด้านหลังได้ยังไง ในมือยังคงถือถาดกาน้ำชาเอาไว้แน่นจนปวดเกร็งที่ข้อมือร้าวมาถึงต้นแขน
จริงอยู่ที่เธอมักเคยเจออะไรแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงกระซิบข้างหู ลมเย็นที่มักพัดมาโอบล้อมตัวเธอไว้ หรือแม้แต่ความฝันแสนหวาน ฝันว่าได้อยู่ในอ้อมกอดของนางฟ้าตัวน้อยๆ เรื่องราวเหล่านี้หากไปเล่าให้ใครฟังก็คงถูกมองว่าเป็นบ้า ฟั่นเฟือน หรือไม่ก็งมงาย แต่ถึงเธอจะคุ้นชินกับการเจออะไรเช่นนี้เธอกลับไม่เคยเห็นผีตัวเป็นๆ เลยสักครั้ง นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เธอเห็นผีสาวผมยาวท่าทางน่ากลัวนั่น!
ถ้าผีมีอยู่จริง นั่นก็แสดงว่านางฟ้าตัวน้อยที่ปรากฏในความฝันของเธอก็ต้องมีจริงน่ะสิ
“ส่งถาดมาให้พิณเถอะค่ะคุณหนู”
“ช่วยเปลี่ยนน้ำชาแล้วนำกลับไปให้คุณยายด้วยนะแม่พิณ เดี๋ยวฉันจะไปนั่งเล่นที่ศาลาบ่อบัว”
เธอไม่คิดจะกลับขึ้นไปบนเรือนตอนนี้แน่ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถระงับอาการยามเห็นสิ่งที่เป็นอมนุษย์ได้หรือไม่
“ค่ะคุณหนู”
“เดี๋ยวจ้ะแม่พิณ ช่วยหยิบโทรศัพท์มือถือในห้องนอนของฉันมาให้ด้วยนะจ๊ะ”
“พูดถึงโทรศัพท์...พิณเพิ่งนึกได้ค่ะ เมื่อวานนี้คุณหนูยิหวาโทร.เข้ามาถามถึงอาการของคุณหนูยาหยีค่ะ บอกว่าติดต่อไม่ได้เลย อยากจะมาหา แต่ว่าตอนนี้คุณหนูยิหวาคงอยู่เมืองนอกกับคุณอัคนีแล้วน่ะค่ะ”
“ยิหวาไปเมืองนอกเหรอ” ญาตาวีมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อรู้ว่าญานีนอยู่ที่ไหน ทีแรกเธอแอบน้อยใจน้องสาวที่ไม่เป็นห่วงเป็นใยมาเยี่ยมเธอบ้างเลย นอกจากคอนโดฯ เธอก็ไม่มีที่ไปนักหรอก นึกว่าจะไม่รักไม่สนใจกันเสียแล้ว
“ใช่ค่ะ เห็นว่าช่วงนี้วุ่นๆ ติดต่อเรื่องซีรีส์ที่จะนำมาฉายที่ไทย นี่ไปด้วยตัวเองก็คงถือโอกาสพักผ่อนด้วยเลย” สายพิณยิ้มเมื่อคิดถึงคุณหนูคนเล็กของบ้าน ที่บัดนี้บริหารสถานีโทรทัศน์ร่วมกับสามีอย่างเต็มตัว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผ่านไปไม่กี่ปี เด็กสาวตัวเล็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ในบ้าน จะโตเป็นสาวแต่งงานออกเหย้าออกเรือนกันไปเกือบหมดแล้ว จะมีก็แต่ญาตาวีที่ถึงแม้จะแต่งออกไปแต่ก็ยังน่าเป็นห่วงเสียเหลือเกิน
“ดีจัง” ญาตาวียิ้มที่เห็นน้องสาวกับน้องเขยมีความสุข เพราะทั้งคู่ผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกัน ได้ร่วมทุกข์และร่วมสุขจนเรียกได้ว่าความรักของทั้งคู่ไม่ใช่ความรักฉาบฉวยที่เต็มไปด้วยความใคร่ แต่เป็นความรักที่เต็มไปด้วยความห่วงใย ผูกพันกันอย่างลึกซึ้งทั้งร่างกายและจิตใจ
เธออยากมีความรักแบบนั้นบ้าง...
“คุณหนูยิหวายังกำชับอีกนะคะว่า ถ้าเธอและสามีเดินทางกลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่จะขอให้คุณหนูยาหยีไปพักกับเธอที่บ้านค่ะ” สายพิณลอบถอนหายใจอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้ญาตาวีอดที่จะแปลกใจไม่ได้ ดูเหมือนไม่มีใครอยากให้เธอกลับมาที่บ้านหลังนี้ เพราะอะไรกันนะ...
********************
สายที่ไม่ได้รับ ‘ที่รัก ๗๐ สาย’
ทันทีที่เปิดโทรศัพท์มือถือ ข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้นรัวๆ มีข้อความถามไถ่และสายที่ไม่ได้รับมากมาย แต่สายที่ทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้จนแทบจะอาเจียนออกมาด้วยความสะอิดสะเอียนคือสายของธนวัชร์ สามีที่ทำร้ายเธอทั้งร่างกายและจิตใจจนบอบช้ำ
น่าแปลก...ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าเธอรักผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน รักจนยอมแลกได้ทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต แต่ ณ เวลานี้ ความรู้สึกเหล่านั้นกลับไม่หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย นี่สินะที่เรียกว่า...ความหลง...เธอคิดว่ามันคือความรักทั้งที่จริงแล้วมันก็แค่ความใคร่เท่านั้นเอง
ดาราสาวกดแก้ไขชื่อ จาก ‘ที่รัก’ เป็น ‘ผัวเฮงซวย’ ก่อนจะจัดการกดบล็อกเบอร์โทรศัพท์นั้นอย่างไร้เยื่อใย
“พบกันในศาลนะคะคุณธนวัชร์ ระหว่างคุณกับฉัน...เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ฉันจะไม่ยอมเป็นควายอย่างที่คุณยายพร่ำด่าฉันอีกต่อไปแล้ว” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ บังคับไม่ให้น้ำตาไหลรินออกมา
เธอกดไล่ดูข้อความต่อไป ข้อความจากมิ้งค์ ‘เธอเป็นยังไงบ้าง’ ข้อความถามไถ่สั้นๆ จากลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าใดนักทำให้ญาตาวีถึงกับน้ำตารื้น
ข้อความจากพี่โต ‘ยาหยีเป็นยังไงบ้าง พี่กับพี่บัวเป็นห่วงมากนะ’ ข้อความจากญาติผู้พี่และพี่สะใภ้ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจ
ข้อความจากยิหวา ‘ยิหวาจะรีบเดินทางกลับให้ไวที่สุด เข้มแข็งไว้นะคะพี่ยาหยี รัก...’
เมื่ออ่านข้อความจากน้องสาวและลูกพี่ลูกน้องจนหมด น้ำตาที่เธอพยายามกลั้นเอาไว้ก็พรั่งพรูออกมาอีกจนได้ กว่าสัปดาห์ที่ญาตาวีทิ้งตัวเองลงไปในหุบเหวแห่งความโศกเศร้า เธอกล่าวโทษทุกคนบนโลกนี้โดยไม่เคยโทษตัวเองเลย ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นหาใช่ใครที่ไหนยัดเยียดให้ เธอเองต่างหากล่ะที่โอบกอดปัญหาเหล่านั้นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
หญิงสาวมองออกไปในสระบัว เห็นดอกบัวฉัตรขาวและชมพูบานอยู่เต็มสระ แล้วก็ไพล่คิดไปถึงคำสอนของหลวงลุง หรือพระดิน ขันติสุโภ ท่านเป็นพระสงฆ์สุปฏิปันโน ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าอิสราภรณ์
‘หลวงลุงดูสิคะ ยาหยีพับดอกบัวได้ด้วยค่ะ’
เด็กหญิงตัวน้อยตามมารดามาที่วัดเกือบทุกวันพระ เพราะจิรัญญาและดาราวลีจะมาถวายเพล และนั่งสนทนาธรรมกับพระดิน ซึ่งทุกครั้งที่มาเด็กน้อยมักจะเห็นมารดากับป้าดาราวลีร้องไห้ปรับทุกข์กันเอง ไม่ค่อยจะเห็นสนทนาธรรมกับพระดินสักเท่าไร เด็กหญิงจึงได้อานิสงส์พูดคุยกับหลวงลุง บางครั้งท่านก็จะสอนธรรมะง่ายๆ ให้เด็กหญิงฟัง เธอฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือความรักความเมตตาที่หลวงลุงมีให้แก่เธอ ซึ่งเธอไม่เคยได้รับจากผู้ใหญ่คนไหนเลย
‘เก่งมาก’
‘ยาหยีจะพับถวายพระค่ะ’ เมื่อได้รับคำชมเด็กหญิงก็ยืดอกด้วยความภูมิใจ
พระดินมองหลานสาวซึ่งนับว่าเป็นญาติห่างๆ ด้วยความสงสาร...
เด็กคนนี้จะต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายอีกมากนัก เพราะทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ที่เด็กหญิงได้ก่อขึ้น ล้วนกำหนดโชคชะตาให้เธอต้องพบ ต้องเจอ โดยไม่อาจหลีกเลี่ยง
‘จำไว้นะยาหยี คนเรานี้สามารถที่จะเป็นอย่างดอกบัวได้ คือดอกบัวเกิดจากน้ำ แต่ก็สามารถที่จะเจริญจนพ้นน้ำได้ คนเราเกิดจากกองกิเลสก็จริง แต่ก็สามารถที่จะพัฒนาตนจนพ้นจากกิเลสได้ เราเกิดในโลกแต่สามารถพัฒนาจิตใจ จนพ้นโลกได้’
เด็กหญิงตัวน้อยเอียงคอด้วยความงุนงง แต่เมื่อเห็นว่าหลวงลุงพูดถึงเรื่องดอกบัวที่ตนกำลังพับอยู่ ก็พยายามตั้งใจฟังและจำคำพูดของหลวงลุงเอาไว้
‘เมื่อโตขึ้นเจ้าจะเข้าใจ’
บัดนี้ เธอเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า เธอควรเป็นบัวที่โผล่พ้นจากโคลนตมและผืนน้ำเสียที ชีวิตของเธอไม่ควรต้องมาจมปลักอยู่กับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในเมื่อเธออาภัพไร้วาสนาที่จะมีคู่ครองที่ดี เธอก็จะขอครองตัวเป็นโสด
สิ้นสุดกันทีกับการวิ่งหาความรัก เธอเหนื่อยมามากเกินพอแล้ว!
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ต.ค. 2563, 09:19:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ต.ค. 2563, 09:19:26 น.
จำนวนการเข้าชม : 417
<< บทที่ 4 -40% + เปิดจองถึงสิ้นเดือน | บทที่ 5 -30% >> |