ม่านมนตกานต์: รางนาก (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
‘ญาตาวี เสน่ห์จันทน์’ ดาราเจ้าบทบาทแถวหน้าของเมืองไทย
เธอประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน
แต่! กลับล้มเหลวในชีวิตรักอย่างยับเยิน
เธอหอบร่างกายบอบช้ำและหัวใจที่แหลกสลายกลับมายัง ‘เรือนเสน่ห์จันทน์’
ที่นี่เธอได้พบกับ ‘นางฟ้าน้อย’ พรายกุมารที่คอยช่วยเหลือ และปลอบโยนเธอจากความเศร้า
หัวใจของเธอได้รับการเยียวยาจนได้พบกับ ‘สารวัตรเขมินทร์’
ผู้ชายที่เปลี่ยนโลกทั้งใบของหญิงสาวไปตลอดกาล
ทว่า...เงื่อนงำในเรือนเสน่ห์จันทน์ยังคงเป็นปริศนา!!!
ชีวิตของเธอแขวนอยู่บนเส้นด้าย
รอวันร่วงหล่นลงขุม ‘อวิชชา’ เลวร้าย
เธอและเขาจะก้าวผ่านมันไปได้หรือไม่...
**************
นิยายเรื่องนี้แต่งโดย รางนาก(สะมะเรีย) และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เรื่องนี้เป็นนิยายรัก สยองขวัญ เล่มจบของซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์ค่ะ เปิดเปลือยชีวิตของทุกตัวละคร เฉลยทุกปมฆาตกรรมที่ยังค้างคา และจุดจบของยายเจิมจันทร์กับเรือนเสน่ห์จันทน์ที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ห้ามพลาดเด็ดขาด!
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก, ร้านBestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
สั่งซื้อม่านมนตกานต์ ราคา 308฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 348฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 368฿)
ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (ม่านมนตกานต์ ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ และเลื่อมลายพรายจันทร์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
**************
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)
*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้าแต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป
(ม่านมนตกานต์ เป็นเรื่องราวของหนึ่งในหลานสาวบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
เธอประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน
แต่! กลับล้มเหลวในชีวิตรักอย่างยับเยิน
เธอหอบร่างกายบอบช้ำและหัวใจที่แหลกสลายกลับมายัง ‘เรือนเสน่ห์จันทน์’
ที่นี่เธอได้พบกับ ‘นางฟ้าน้อย’ พรายกุมารที่คอยช่วยเหลือ และปลอบโยนเธอจากความเศร้า
หัวใจของเธอได้รับการเยียวยาจนได้พบกับ ‘สารวัตรเขมินทร์’
ผู้ชายที่เปลี่ยนโลกทั้งใบของหญิงสาวไปตลอดกาล
ทว่า...เงื่อนงำในเรือนเสน่ห์จันทน์ยังคงเป็นปริศนา!!!
ชีวิตของเธอแขวนอยู่บนเส้นด้าย
รอวันร่วงหล่นลงขุม ‘อวิชชา’ เลวร้าย
เธอและเขาจะก้าวผ่านมันไปได้หรือไม่...
**************
นิยายเรื่องนี้แต่งโดย รางนาก(สะมะเรีย) และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เรื่องนี้เป็นนิยายรัก สยองขวัญ เล่มจบของซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์ค่ะ เปิดเปลือยชีวิตของทุกตัวละคร เฉลยทุกปมฆาตกรรมที่ยังค้างคา และจุดจบของยายเจิมจันทร์กับเรือนเสน่ห์จันทน์ที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ห้ามพลาดเด็ดขาด!
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก, ร้านBestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
สั่งซื้อม่านมนตกานต์ ราคา 308฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 348฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 368฿)
ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (ม่านมนตกานต์ ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ และเลื่อมลายพรายจันทร์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
**************
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)
*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้าแต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป
(ม่านมนตกานต์ เป็นเรื่องราวของหนึ่งในหลานสาวบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 7 -60%
“ผมชื่อเขมินทร์ พลายพานิชครับ เรียกผมสั้นๆ ว่าเขมก็ได้ครับ”
“ค่ะคุณเขม เรียกดิฉันว่ายาหยีก็ได้ค่ะ”
“ครับ”
ชายหนุ่มยิ้มให้เธอก่อนจะขอตัวกลับอย่างสุภาพ ญาตาวียืนมองจนชายหนุ่มขับรถออกไปพ้นซอย เธอจึงปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้าบ้าน
ลมเย็นพัดผมยาวสยายปลิวสะบัด เธอห่อไหล่กอดตัวเองเอาไว้แน่น เวลานี้ไม่ใช่เวลามาเดินชมวิว เพราะรอบกายเธอเต็มไปด้วยความมืดมิด ให้ตายสิ! ป่าประดู่ตอนเที่ยงคืนช่างไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย
หญิงสาวรีบก้าวยาวๆ จนถึงประตูรั้วชั้นที่สอง เธอรีบไขกุญแจดอกใหญ่เข้าไป เดินกึ่งวิ่งไปถึงบันไดเรือน
“ใคร!”
ญาตาวีร้องถามเมื่อเห็นผู้หญิงยืนอยู่ใต้บันได แต่เมื่อเพ่งมองดีๆ กลับไม่เห็นใครเลยสักคน เธอหมุนมองไปรอบๆ กลัวว่าจะเป็นขโมย เรือนเสน่ห์จันทน์มีเพียงเธอกับยายอาศัยอยู่ แม้ว่าที่เรือนคนใช้จะมีลุงถนอมและสมคิดแต่ก็ใช่ว่าจะจัดการกับโจรผู้ร้ายได้ ในเมื่อลุงถนอมอายุมากแล้วไขข้อไม่ค่อยดี จะเดินจะเหินก็ลำบาก ส่วนสมคิดแม้จะหนุ่มแน่นกำยำ ทว่าสติปัญญาไม่ค่อยสมประกอบนัก
‘ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย’
เสียงแผ่วร้องโหยหวนลอยมาตามลม ทำให้ขนอ่อนบริเวณต้นคอลุกชัน บัดนี้เธอสำเหนียกแล้วว่าผู้หญิงที่เธอเห็นเมื่อสักครู่คงไม่ใช่หัวขโมยที่ไหน เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็รีบก้าวยาวๆ ขึ้นเรือนทันที เธอมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพร้อมกับอาการหอบหายใจแทบไม่ทัน
‘ทำไมกลับดึกนักล่ะยายหนู’
ญาตาวีหันไปตามเสียงทุ้มด้วยความแปลกใจ เพราะเป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน ทันทีที่เห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใครหญิงสาวก็ยืนอึ้งราวกับถูกสาปให้แข็งเป็นหิน กระเป๋าใบละหลายแสนในมือตกลงบนพื้น
“คุณตา!”
เธอไม่เคยพบตามาก่อน นั่นเพราะท่านเสียชีวิตไปตั้งแต่มารดาของเธอยังเด็กๆ แต่ในห้องนอนของยายจะมีรูปตาใบใหญ่แขวนอยู่ ในห้องนอนของมารดาเองก็มีรูปตาตั้งไว้ที่โต๊ะทำงานเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงจำหน้าตาเดชสิทธิ์ได้อย่างแม่นยำ
‘หนูเห็นตาด้วยหรือ’
“คุณตาขา อย่ามาหลอกมาหลอนยาหยีเลยนะคะ ยาหยีขอโทษ ต่อไปนี้ยาหยีจะไม่เที่ยวกลางคืนอีกแล้วค่ะ พรุ่งนี้ยาหยีจะไปถวายสังฆทานให้คุณตา คุณตาอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ บอกหนูได้เลยไม่ต้องเกรงใจค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้ปลกๆ ด้วยความหวาดกลัว ตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบเจ็ดปี ก็มีครั้งนี้แหละที่เธอเห็นผีชัดเจนเต็มสองตา!
ความเชื่อที่ว่าผีไม่มีจริง ถูกพับเก็บโยนทิ้งไปจนหมดสิ้นตั้งแต่ครั้งเห็นผีผู้หญิงผมยาวนั่งหมอบอยู่ข้างยายแล้ว ไม่เห็นต้องมาตอกย้ำกันอย่างกับกลัวว่าเธอจะไม่เชื่อ หรือว่าเธอเมาจึงทำให้เธอเห็นภาพลวงตา หญิงสาวส่ายหน้าแรงๆ หยิกตัวเอง และท้ายที่สุดเธอเลือกที่จะตบหน้าตัวเอง แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไร ชายรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาคล้ายดีเลิศก็ยังคงยืนยิ้มมองเธอด้วยแววตาอ่อนโยนจนหญิงสาวคลายอาการหวาดกลัวไปเอง ตาเดชสิทธิ์ไม่ได้มีท่าทีว่าจะมาหลอกหลอน แลบลิ้น ปลิ้นตา ควักไส้อย่างในภาพยนตร์ที่คนนิยมดูกัน
‘เที่ยวได้ ตาไม่ว่าหรอก แต่ไม่อยากให้กลับมาที่นี่ตอนดึกๆ เข้าใจใช่ไหม’ ผู้เป็นตาไพล่มือไว้ด้านหลัง แค่เพียงตายิ้มโลกก็พลันสดใสขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แบบนี้เองสินะ ยายถึงได้ฝังใจกับตานัก แม้ไม่ได้รับความรักแต่ยายก็ยังตามรักตามหวงไม่เสื่อมคลาย ครองตนเป็นโสดไม่ยอมแต่งงานใหม่ทั้งที่ยายมีพร้อมทุกอย่าง ทั้งทรัพย์สมบัติและรูปสมบัติ
“คุณตา...กลัวหนูจะเจอคุณตาแบบนี้ใช่ไหมคะ”
‘ไม่ใช่ตาหรอก ยังมีแบบตาอีกมาก ต่อไปหนูก็จะเห็นเอง’
“หนูขอไม่เห็นได้ไหมคะ”
‘มันเป็นโชคชะตา หนูหนีมันไม่พ้นหรอก’
“หนูไม่เคยเชื่อเลยว่าโลกนี้จะมีผีจริงๆ” หญิงสาวพึมพำเหมือนพูดกับตนเองเสียมากกว่า หากไปเล่าให้ใครฟัง...คงไม่มีใครเชื่อ
แต่เอ...จะว่าไปมิ้งค์เคยบอกว่าเห็นผีนี่นา เช่นนั้นก็แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ลูกพี่ลูกน้องของเธอเห็นจริงๆ!
‘ตาก็ไม่เชื่อว่าโลกนี้มีผี จนกระทั่งตาตายเป็นผีนี่แหละ’
เดชสิทธิ์พูดติดตลก ทำให้หลานสาวหัวเราะออกมาได้หน่อย ซึ่งนั่นทำให้ผู้เป็นตาใจชื้นขึ้นเหมือนกันที่หลานสาวหายหวาดกลัวเขาแล้ว
“ตาตลกจังเลยค่ะ” ญาตาวียิ้มกว้าง ก่อนจะร้องไห้ออกมาเสียดื้อๆ
‘ร้องไห้ทำไมยายหนู’
“ทำไมตาต้องอายุสั้นด้วยคะ ถ้าตายังมีชีวิตอยู่ หนูกับคุณแม่คงไม่ต้องอ้างว้างแบบนี้” หญิงสาวปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น แค่เพียงได้พูดคุยกับวิญญาณของตาไม่กี่คำเธอก็รับรู้ได้ว่าท่านเป็นคนดี อ่อนโยน และพร้อมจะรับฟังปัญหาของลูกหลานได้อย่างเมตตา...ผิดกับยายเจิมจันทร์ที่นอกจากจะไม่รับฟัง ไม่ช่วยแก้ปัญหา ยายยังตอกย้ำซ้ำเติมให้เจ็บเจียนตายอีกด้วย
‘ตาไม่รู้ว่า ระหว่างตามีชีวิตอยู่กับตาย อย่างไหนทรมานกว่ากัน’
ดวงตาอบอุ่นเมื่อสักครู่หม่นเศร้าลงอย่างน่าใจหาย และนั่นทำให้ ญาตาวีรับรู้ได้ว่าเธอไม่ใช่คนเดียวในโลกที่เป็นทุกข์ แม้แต่ผีตาที่พูดคุยได้ตลกชวนหัว ท่านก็ยังมีความทุกข์เช่นกัน
‘ตาต้องไปแล้ว ยายหนูก็รีบเข้าห้องเถอะ แล้วอย่าออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกจนกว่าจะเช้า เข้าใจไหม’ เดชสิทธิ์ไม่รอให้หลานสาวตอบรับ เขาก็เลือนหายไปดื้อๆ ยังผลให้ญาตาวีถึงกับสะดุ้งจนสุดตัว อาการเมาค้างหายเป็นปลิดทิ้ง เธอรีบกลับเข้าเรือนของตนแล้วทิ้งตัวลงนอนอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง
“ค่ะคุณเขม เรียกดิฉันว่ายาหยีก็ได้ค่ะ”
“ครับ”
ชายหนุ่มยิ้มให้เธอก่อนจะขอตัวกลับอย่างสุภาพ ญาตาวียืนมองจนชายหนุ่มขับรถออกไปพ้นซอย เธอจึงปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้าบ้าน
ลมเย็นพัดผมยาวสยายปลิวสะบัด เธอห่อไหล่กอดตัวเองเอาไว้แน่น เวลานี้ไม่ใช่เวลามาเดินชมวิว เพราะรอบกายเธอเต็มไปด้วยความมืดมิด ให้ตายสิ! ป่าประดู่ตอนเที่ยงคืนช่างไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย
หญิงสาวรีบก้าวยาวๆ จนถึงประตูรั้วชั้นที่สอง เธอรีบไขกุญแจดอกใหญ่เข้าไป เดินกึ่งวิ่งไปถึงบันไดเรือน
“ใคร!”
ญาตาวีร้องถามเมื่อเห็นผู้หญิงยืนอยู่ใต้บันได แต่เมื่อเพ่งมองดีๆ กลับไม่เห็นใครเลยสักคน เธอหมุนมองไปรอบๆ กลัวว่าจะเป็นขโมย เรือนเสน่ห์จันทน์มีเพียงเธอกับยายอาศัยอยู่ แม้ว่าที่เรือนคนใช้จะมีลุงถนอมและสมคิดแต่ก็ใช่ว่าจะจัดการกับโจรผู้ร้ายได้ ในเมื่อลุงถนอมอายุมากแล้วไขข้อไม่ค่อยดี จะเดินจะเหินก็ลำบาก ส่วนสมคิดแม้จะหนุ่มแน่นกำยำ ทว่าสติปัญญาไม่ค่อยสมประกอบนัก
‘ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย’
เสียงแผ่วร้องโหยหวนลอยมาตามลม ทำให้ขนอ่อนบริเวณต้นคอลุกชัน บัดนี้เธอสำเหนียกแล้วว่าผู้หญิงที่เธอเห็นเมื่อสักครู่คงไม่ใช่หัวขโมยที่ไหน เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็รีบก้าวยาวๆ ขึ้นเรือนทันที เธอมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพร้อมกับอาการหอบหายใจแทบไม่ทัน
‘ทำไมกลับดึกนักล่ะยายหนู’
ญาตาวีหันไปตามเสียงทุ้มด้วยความแปลกใจ เพราะเป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน ทันทีที่เห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใครหญิงสาวก็ยืนอึ้งราวกับถูกสาปให้แข็งเป็นหิน กระเป๋าใบละหลายแสนในมือตกลงบนพื้น
“คุณตา!”
เธอไม่เคยพบตามาก่อน นั่นเพราะท่านเสียชีวิตไปตั้งแต่มารดาของเธอยังเด็กๆ แต่ในห้องนอนของยายจะมีรูปตาใบใหญ่แขวนอยู่ ในห้องนอนของมารดาเองก็มีรูปตาตั้งไว้ที่โต๊ะทำงานเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงจำหน้าตาเดชสิทธิ์ได้อย่างแม่นยำ
‘หนูเห็นตาด้วยหรือ’
“คุณตาขา อย่ามาหลอกมาหลอนยาหยีเลยนะคะ ยาหยีขอโทษ ต่อไปนี้ยาหยีจะไม่เที่ยวกลางคืนอีกแล้วค่ะ พรุ่งนี้ยาหยีจะไปถวายสังฆทานให้คุณตา คุณตาอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ บอกหนูได้เลยไม่ต้องเกรงใจค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้ปลกๆ ด้วยความหวาดกลัว ตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบเจ็ดปี ก็มีครั้งนี้แหละที่เธอเห็นผีชัดเจนเต็มสองตา!
ความเชื่อที่ว่าผีไม่มีจริง ถูกพับเก็บโยนทิ้งไปจนหมดสิ้นตั้งแต่ครั้งเห็นผีผู้หญิงผมยาวนั่งหมอบอยู่ข้างยายแล้ว ไม่เห็นต้องมาตอกย้ำกันอย่างกับกลัวว่าเธอจะไม่เชื่อ หรือว่าเธอเมาจึงทำให้เธอเห็นภาพลวงตา หญิงสาวส่ายหน้าแรงๆ หยิกตัวเอง และท้ายที่สุดเธอเลือกที่จะตบหน้าตัวเอง แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไร ชายรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาคล้ายดีเลิศก็ยังคงยืนยิ้มมองเธอด้วยแววตาอ่อนโยนจนหญิงสาวคลายอาการหวาดกลัวไปเอง ตาเดชสิทธิ์ไม่ได้มีท่าทีว่าจะมาหลอกหลอน แลบลิ้น ปลิ้นตา ควักไส้อย่างในภาพยนตร์ที่คนนิยมดูกัน
‘เที่ยวได้ ตาไม่ว่าหรอก แต่ไม่อยากให้กลับมาที่นี่ตอนดึกๆ เข้าใจใช่ไหม’ ผู้เป็นตาไพล่มือไว้ด้านหลัง แค่เพียงตายิ้มโลกก็พลันสดใสขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แบบนี้เองสินะ ยายถึงได้ฝังใจกับตานัก แม้ไม่ได้รับความรักแต่ยายก็ยังตามรักตามหวงไม่เสื่อมคลาย ครองตนเป็นโสดไม่ยอมแต่งงานใหม่ทั้งที่ยายมีพร้อมทุกอย่าง ทั้งทรัพย์สมบัติและรูปสมบัติ
“คุณตา...กลัวหนูจะเจอคุณตาแบบนี้ใช่ไหมคะ”
‘ไม่ใช่ตาหรอก ยังมีแบบตาอีกมาก ต่อไปหนูก็จะเห็นเอง’
“หนูขอไม่เห็นได้ไหมคะ”
‘มันเป็นโชคชะตา หนูหนีมันไม่พ้นหรอก’
“หนูไม่เคยเชื่อเลยว่าโลกนี้จะมีผีจริงๆ” หญิงสาวพึมพำเหมือนพูดกับตนเองเสียมากกว่า หากไปเล่าให้ใครฟัง...คงไม่มีใครเชื่อ
แต่เอ...จะว่าไปมิ้งค์เคยบอกว่าเห็นผีนี่นา เช่นนั้นก็แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ลูกพี่ลูกน้องของเธอเห็นจริงๆ!
‘ตาก็ไม่เชื่อว่าโลกนี้มีผี จนกระทั่งตาตายเป็นผีนี่แหละ’
เดชสิทธิ์พูดติดตลก ทำให้หลานสาวหัวเราะออกมาได้หน่อย ซึ่งนั่นทำให้ผู้เป็นตาใจชื้นขึ้นเหมือนกันที่หลานสาวหายหวาดกลัวเขาแล้ว
“ตาตลกจังเลยค่ะ” ญาตาวียิ้มกว้าง ก่อนจะร้องไห้ออกมาเสียดื้อๆ
‘ร้องไห้ทำไมยายหนู’
“ทำไมตาต้องอายุสั้นด้วยคะ ถ้าตายังมีชีวิตอยู่ หนูกับคุณแม่คงไม่ต้องอ้างว้างแบบนี้” หญิงสาวปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น แค่เพียงได้พูดคุยกับวิญญาณของตาไม่กี่คำเธอก็รับรู้ได้ว่าท่านเป็นคนดี อ่อนโยน และพร้อมจะรับฟังปัญหาของลูกหลานได้อย่างเมตตา...ผิดกับยายเจิมจันทร์ที่นอกจากจะไม่รับฟัง ไม่ช่วยแก้ปัญหา ยายยังตอกย้ำซ้ำเติมให้เจ็บเจียนตายอีกด้วย
‘ตาไม่รู้ว่า ระหว่างตามีชีวิตอยู่กับตาย อย่างไหนทรมานกว่ากัน’
ดวงตาอบอุ่นเมื่อสักครู่หม่นเศร้าลงอย่างน่าใจหาย และนั่นทำให้ ญาตาวีรับรู้ได้ว่าเธอไม่ใช่คนเดียวในโลกที่เป็นทุกข์ แม้แต่ผีตาที่พูดคุยได้ตลกชวนหัว ท่านก็ยังมีความทุกข์เช่นกัน
‘ตาต้องไปแล้ว ยายหนูก็รีบเข้าห้องเถอะ แล้วอย่าออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกจนกว่าจะเช้า เข้าใจไหม’ เดชสิทธิ์ไม่รอให้หลานสาวตอบรับ เขาก็เลือนหายไปดื้อๆ ยังผลให้ญาตาวีถึงกับสะดุ้งจนสุดตัว อาการเมาค้างหายเป็นปลิดทิ้ง เธอรีบกลับเข้าเรือนของตนแล้วทิ้งตัวลงนอนอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 พ.ย. 2563, 17:34:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 พ.ย. 2563, 17:34:14 น.
จำนวนการเข้าชม : 400
<< บทที่ 7 -30% + วางขายศูนย์หนังสือจุฬาฯ | บทที่ 7 -100% >> |