ปั้นรักจนเต็มหัวใจ
"สิรวิชญ์" ได้ถูกจ้างให้ไปดูแล "ชสุดา" น้องสาวของพี่สะใภ้ ที่เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง (มาก)
โดยเขาเองไม่รู้ตัวเลยว่าความใกล้ชิดค่อย ๆ ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "ความรัก"
โดยเขาเองไม่รู้ตัวเลยว่าความใกล้ชิดค่อย ๆ ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "ความรัก"
Tags: ปั้นรักจนเต็มหัวใจ น่ารัก กุ๊กกิ๊ก แอบรัก แอบชอบ ละมุน ฟิน หวานๆ
ตอน: ตอนที่ 2 โลกของชา
ตอนที่ 2 โลกของชา
หญิงสาวเดินร้องไห้มาตลอดทางหลังออกมาจากบ้านของพี่สาว เธอเองก็ไม่รู้จะทำยังไง จะกลับบ้านยังไงดี เพราะเงินที่มีก็จ่ายค่าแท็กซี่หมดแล้ว ไม่น่าหลงเชื่อพี่สาวเลยบอกให้นั่งแท็กซี่มาแต่ตอนกลับไม่ได้เงินกลับมาด้วย เธอเหลือเงินเพียงไม่กี่บาทก็คงต้องหารถเมล์ฟรีกลับบ้านแล้วเดินเข้าซอยละมั้ง
โชคดีที่เธอได้เจอกับสิรวิชญ์ หรือพี่วิชญ์น้องชายของพี่สาร เขากำลังจะกลับบ้านพอดี เขาบอกเธอว่าเป็นทางผ่านก็เลยจะแวะไปส่ง เธอตัดสินใจไปกับเขา อย่างน้อยมันก็ไปฟรี ถ้านั่งรถเมล์กว่าจะถึงบ้านก็คงดึกแน่นอน
เธอต้องมาบ้านพี่สาวเพราะเธอแค่โทรไปยืมเงินจะเอาไปจ่ายค่าไฟ แต่พี่สาวของเธอกลับให้ไปหาที่บ้าน ไม่โอนมาให้เหมือนที่เคยทำ เธอจึงต้องฝืนใจไป เพราะเธอชอบอยู่บ้านมากกว่า แต่ระหว่างที่กำลังกินสุกี้กันอร่อย ๆ อยู่ดีดี บรรยากาศก็เสียหมด เธอกับพี่สาวดันทะเลาะกันซะก่อน
คำพูดต่าง ๆ ของพี่สาวมันทำร้ายจิตใจเธอมาก มันทำให้เธอรู้สึกแย่ ทำไมพี่ของเธอต้องว่าเธอด้วย เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย
แกลองเปลี่ยนงานไหม ลองไปทำอย่างอื่นที่มันได้เงินเยอะกว่านี้น่ะ
แล้วแกจะเป็นนักเขียนไส้แห้งอย่างนี้ไปตลอดเลยเหรอ แกจะสามสิบแล้วนะ เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเป็นเด็กสักที
งั้นแกก็ทำให้ชีวิตแกมันดีกว่านี้สิ แกดูคนอื่น ๆ สิ เขามีบ้านมีรถ มีหน้าที่การงานดีกันหมดแล้ว มีแต่แกนั่นแหละที่ทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้
ชีวิตของแกเหรอ ทุกวันนี้แกเอาตัวเองรอดโดยที่ไม่พึ่งคนอื่นได้หรือยัง แล้ววันนี้แกมาทำอะไร แกมายืมเงินฉันไง ถ้าแกไม่มีเงินแกก็อยู่บนโลกนี้ไม่ได้ โลกนี้มันต้องใช้เงิน แต่แกไม่มี
แกเอาไปเถอะ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะหาว่าฉันดูแลแกไม่ดี
เธอรู้ว่าอาชีพที่เธอทำอยู่นี้มันได้เงินไม่เยอะ เพราะเธอก็ยังเขียนไม่ค่อยเก่งก็เลยทำให้ขายไม่ค่อยได้ ถ้าเขียนเก่ง คนอ่านเยอะ คนซื้อเยอะ รายได้มันก็มหาศาล แต่จะทำยังไงได้ล่ะ เธอไม่เก่งเลย แต่เธอก็มีความฝัน เธอชอบอ่านนิยายมาก ให้อ่านทั้งวันไม่ต้องทำอะไรก็ยังได้ การได้หลุดเข้าไปในโลกของนิยายมันเหมือนได้ลืมเรื่องจริงไปชั่วขณะ เธอเคยคิดเล่น ๆ ว่าถ้าเธอได้หลุดเขาไปในโลกนิยายจริง ๆ มันก็อาจจะดี เธออาจจะมีความสุขกว่าการที่ได้อยู่ในโลกนี้
เธอรักในอาชีพนักเขียน เธอจะไม่เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นเด็ดขาด
อาชีพนักเขียนนิยายเนี่ย อิสระที่สุดแล้ว ไม่ต้องร่วมงานกับใคร ไม่ต้องเจอใคร ไม่ต้องออกจากบ้าน ไม่ต้องหงุดหงิดกับลูกค้า ไม่ต้องทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน ไม่ต้องโดนไล่ออก แค่คิดเนื้อเรื่อง คิดเอง เขียนเอง ขายเอง อิสระกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
ก่อนหน้าที่เธอจะมาเขียนนิยายเธอก็เคยลองทำมาหลายที่ แต่ว่าเธอไม่ชอบมันเลยสักงาน เธอเบื่อเพื่อนร่วมงานที่คอยแต่อิจฉาบ้าง คอยจิกกัด นินทาลับหลัง ไม่มีความจริงใจให้กันเลย บางที่ก็มีเพื่อนร่วมงานดีแต่เจ้านายไม่ถูกใจมันก็อยู่ยาก สวัสดิการก็ไม่มี เข้างานก็เช้า เลิกงานก็ดึก เงินเดือนก็ไม่เยอะ แต่งานเยอะท่วมโต๊ะ
จนสุดท้ายเธอก็ตัดสินใจลาออกจากงานแล้วก็จะไม่กลับไปทำงานประจำอีก เธอมีเพียงคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะตัวเก่าอยู่ตัวหนึ่งที่พอใช้พิมพ์งานได้ เธอจึงเริ่มเขียนนิยายมาตั้งแต่ตอนนั้น
ตอนแรกมันก็จะแย่หน่อยตรงที่ต้องใช้เงินเดือนเดือนสุดท้ายให้ประหยัดมากที่สุด ตกงานก็ว่าแย่แล้ว แต่เธอยังต้องเลิกกับแฟนอีก เธอจับได้ว่าแฟนของเธอมีคนอื่น ถ้าผู้หญิงคนนั้นคือคนไม่รู้จักเธอจะไม่โกรธเท่านี้เลย ชู้ของแฟนเธอเป็นเพื่อนสาวคนสนิทของเธอนั่นเอง เธอเสียใจมาก
เธอเสียแฟนและเพื่อนสนิทไปพร้อม ๆ กัน เธอไม่เหลือใครที่สามารถไว้ใจได้อีกแล้ว
โลกนี้เราไว้ใจใครไม่ได้เลยสักคน มันมีแต่คนที่โกหก หลอกลวง
คำพูดติเตียนของพี่สาวยังคงวนเวียนอยู่ในหูของเธอ เธอจดจำมันได้ทุกคำพูด เธอมันเป็นภาระ เป็นตัวถ่วงของพี่สาว ถ้าเธอเป็นภาระหล่อนมากนะละก็ เธอจะไม่ไปให้หล่อนเห็นหน้าอีก ขนาดพี่สาวยังไม่รักเธอเลย ไม่มีใครรักเธอ ชสุดาคิดแบบนั้น เธอคิดว่าเธอมันส่วนเกินของโลกนี้ โลกนี้ไม่ควรมีเธอ ถึงโลกนี้ไม่มีเธอไปสักคน มันก็ไม่มีผลกระทบอะไร เธอไม่น่าเกิดมาด้วยซ้ำ
ความน้อยเนื้อต่ำใจทำให้เธอร้องไห้ขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศในรถเงียบกริบมีเพียงเสียงร้องสะอื้นของเธอ คนขับมาส่งก็ยังขับต่อไป เขาทำอะไรไม่ถูกเลย ได้แต่สังเกตคนข้าง ๆ เป็นระยะ ๆ
นึกถึงวันเก่า ๆ ภาพในวัยเยาว์ของเธอฉายขึ้นมาในหัว พี่สาวคนเก่งของเธอกำลังได้รับรางวัล รับบ่อยเหลือเกิน ไม่ว่าจะประกวดงานไหน ก็ได้รางวัลแทบทุกครั้ง พี่สาวของเธอเรียนเก่ง กิจกรรมก็เก่ง หน้าตาก็ดี หุ่นดี เรียนโรงเรียนดีดี สอบเข้ามหาวิทยาลัยดังได้ เป็นหน้าเป็นตาของพ่อแม่ พี่สาวตรงข้ามกับเธอทุกข้อ เธอมันเป็นเพียงแค่เด็กหลังห้อง ถ้าผลสอบนับจากคะแนนน้อยสุด เธอก็คงได้อันดับที่สองหรืออันดับที่สาม
พ่อแม่ภูมิใจในตัวพี่สาวมาก ไม่ว่าจะไปไหนก็สามารถอวดลูกสาวได้อย่างไม่อายใคร จนบางคนเขาก็คิดว่าพ่อกับแม่มีลูกสาวแค่คนเดียว เพราะหลาย ๆ คนเขาก็ไม่รู้จักชสุดาด้วยซ้ำ
“ใครมันจะไปเก่งเหมือนพี่กันเล่า ทำอะไรก็สำเร็จไปหมด” หญิงสาวพูดออกมาขณะที่นั่งอยู่ในรถของสิรวิชญ์ ทำให้คนเจ้าของรถตกใจเล็กน้อย
“พูดกับพี่เหรอ” เขาถามเธอเพราะตั้งแต่ขึ้นรถมาเธอก็นั่งร้องไห้เป็นพัก ๆ สลับกับความเงียบ เขาเองก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับเธอดี สภาพของเธอตอนที่รับขึ้นรถมาเธอก็เอาแต่ร้องไห้จนไม่พูดอะไร เขาเดาอารมณ์เธอไม่ได้เลยจริง ๆ
“…” เธอไม่ตอบ เธอส่ายหน้าเบา ๆ เธอไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ
“บอกทางพี่ด้วยนะ จำไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยแน่ใจ” คนที่มาส่งเธอเคยมาที่นี่ครั้งสุดท้ายก็เมื่อหลายปีก่อน เขาเคยมากับพี่ชายก็คือพี่สารสามีของพี่ญา
ก่อนหน้านี้เธอกับพี่สาวอยู่บ้านเดียวกัน แล้วพี่สาวของเธอก็แต่งงานจึงต้องแยกกับเธอ เพื่อไปอยู่กับสามี เธอเลยต้องอยู่บ้านนี้คนเดียว ส่วนพ่อแม่ของเธอท่านทั้งสองก็ไปซื้อที่ดินที่ต่างจังหวัดแล้วก็ไปทำฟาร์มอยู่ที่นั่น นาน ๆ จะเข้ามาที่กรุงเทพฯ สักครั้ง
“ถึงแล้ว หลังนี้ใช่ไหม” สิรวิชญ์จอดรถที่หน้าบ้าน
ชสุดาพยักหน้าเบา ๆ เธอเตรียมตัวที่จะลงจากรถพร้อมปลดเข็มขัดนิรภัย เธอก็เปิดประตูทันที เจ้าของรถเห็นเธอกำลังจะลงไปแบบไม่ขอบคุณสักคำ จึงรั้งข้อมือข้างขวาไว้
“โอ๊ยยย...” ชสุดาร้องขึ้น สิรวิชญ์ก็งงว่าหญิงสาวร้องทำไม เขาไม่ได้จับข้อมือเธอแรงเลย
“พี่มาส่ง ไม่คิดจะขอบคุณสักหน่อยเหรอ”
“ปล่อยนะ เจ็บ” เธอพยายามจะสบัดแขนออกแต่สิรวิชญ์ดึงแขนหญิงสาวไปใกล้ตัวแล้วถลกแขนเสื้อแขนยาวของหญิงสาวขึ้น แล้วเขาก็ได้เห็นแผลเป็นทางยาวเหมือนกับถูกกรีดซ้ำ ๆ มีทั้งรอยเก่าและรอยใหม่ รอยใหม่ที่เห็นมีเลือดซึมเล็กน้อย แผลยังไม่แห้งเลย
เธอกรีดแขนตัวเองเหรอวะเนี่ย บ้าไปแล้ว...
เธอทำร้ายตัวเอง แล้วมีใครรู้เรื่องนี้บ้างไหม
ทำไมเธอต้องทำแบบนี้ด้วย อาการแบบนี้เค้าเรียกว่าโรคซึมเศร้าหรือเปล่าวะ
“ไปโดนอะไรมา” เขาถามออกไป เผื่อว่าจะได้คำตอบบ้าง ถ้าถามว่ากรีดแขนตัวเองเหรอ เธอก็คงไม่ตอบแน่นอน
“ยุ่ง” เธอสะบัดแขนออก แล้วลุกออกจากรถ เปิดประตูรั้วแล้วเข้าบ้านไปทันที
“งานเข้าแล้วไหม สองแสนที่ตกลงกันไว้ มันจะคุ้มไหมวะ” สิรวิชญ์พึมพำคนเดียว นี่เขาคิดผิดหรือเปล่าที่มารับงานนี้ พอนึกขึ้นได้เขาก็โทรหาผู้ว่าจ้างของเขา
“ฮัลโหลพี่”
(ว่าไง เจอชาไหม ได้ไปส่งบ้านหรือเปล่า)
“เจอสิพี่ มาส่งแล้ว เพิ่งถึงบ้านเนี่ย”
(เออดีแล้ว พี่อดเป็นห่วงไม่ได้เลยว่ะ ญาก็พูดแรงไป ไปจี้ใจดำน้องมันอีก)
“พี่ ถ้าผมขอถอนตัวตอนนี้ทันไหม”
(ทำไมวะ รับงานแล้วแคนเซิลไม่ได้เว้ย)
“งานนี้ยากกว่าที่คิดไว้อีกพี่ สองแสนผมคิดว่าไม่คุ้ม”
(งั้นก็ได้ เดี๋ยวเพิ่มให้แต่งานต้องเรียบร้อยก่อน)
“แล้วถ้าระหว่างทำงานมีค่าใช้จ่ายล่ะ แบบต้องซื้อของอะไรอย่างนี้”
(ก็ซื้อมาก่อนละกัน ค่อยเอาบิลมาเบิกที่ฉัน)
“งบไม่อั้นใช่ปะ”
(แล้วแกจะซื้ออะไรนักหนา แกจะซื้อคอนโด ซื้อบ้านพร้อมที่ดินเหรอไง”
“แหม่ ก็ถามเฉย ๆ”
(เอาเฉพาะที่มันจำเป็นก็พอ ซื้อพวกขนมก็ได้ ชาเขาชอบ)
“พี่รู้ได้ไงว่าชาชอบ นี่เป็นกิ๊กกันปะเนี่ย”
(เห้ย ๆ ไม่ใช่เว้ย ก็ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ชอบกินขนมไม่ใช่เหรอวะ)
“อืม อย่าให้รู้นะว่าคิดอะไรกับน้องเมียน่ะ”
(ไม่มีเว้ย ไม่เคยคิด)
“พี่สาร ถ้าเขาเป็นโรคซึมเศร้าจริง ๆ เราก็ต้องพาเขาไปหาหมอไม่ใช่เหรอพี่”
(เออ แล้วแกจะพาไปยังไง แค่คุยเขายังไม่ยอมคุยกับใครเลย แล้วจะพาไปได้ไง)
“ก็จริง”
(ฉันจ้างแกแล้ว ไปคิดหาทางเอาเอง แค่นี้นะ) พี่ชายเขาวางสายไปแล้ว
ชายหนุ่มคิดว่าเขาคงทำงานนี้คงเดียวไม่ได้แน่นอน เขาต้องมีที่ปรึกษา แล้วเขาก็โทรหาบุคคลนั้น
“เออ อยู่ไหน”
(อยู่ห้อง มีอะไร)
“เจอกันที่เดิมได้ปะวะ มีเรื่องอยากปรึกษา”
(เรื่องสาว ๆ อีกละซิ)
“มึงนี่รู้ดีตลอด”
(ก็กูเพื่อนมึงไม่ใช่เหรอ)
“เออ แต่เคสนี้ไม่เหมือนคนอื่นว่ะ”
(คนนี้เป็นนางฟ้าเหรอ หรือว่านางแบบ)
“กวนทีน ไอ้คิน เดี๋ยว ๆ มึงรอก่อน”
(เออ จะรีบไป วันนี้ฟรีไหม)
“ไอ้งก”
(งกเหมือนมึงแหละ)
ชสุดาเข้ามาในบ้านแล้วเธอลองเปิดไฟดู ไฟยังติดเหมือนเดิม เขายังไม่มาตัดแต่ก็คงอีกวันสองวันละมั้ง เธอจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าไฟเนี่ย ถ้าไม่มีไฟเธอก็ทำงานไม่ได้ กำลังเร่งปั่นต้นฉบับอยู่ด้วย
“หิวจังเลย มีอะไรกินบ้างเนี่ย” คนตัวเล็กเดินไปเปิดตู้เย็น ก็เห็นมีแต่น้ำเปล่าขวดสุดท้ายแล้ว อย่าว่าแต่ข้าวเลย น้ำก็ไม่มีจะให้ดื่ม “รู้อย่างนี้กินมาให้อิ่มก่อนดีกว่า”
เวลาที่ชสุดาอยู่บ้านอาหารมื้อหลักของเธอก็จะเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ไก่ทอด กินอยู่แค่ไม่กี่อย่างเพราะว่ามันราคาไม่แพงมาก แต่ผลเสียของมันก็คือเป็นอาหารที่ไม่เหมาะกับสุขภาพเลย เธอไม่ได้ใส่ใจสุขภาพสักเท่าไหร่ เพราะต้องการแค่ให้ท้องอิ่ม
เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ทำให้มีคนดีใจสุด ๆ ชสุดาเธอคิดว่ารอดแล้ว
“ธิ แน่เลย”
หญิงสาวรีบวิ่งไปหน้าบ้านก็พบกับถุงใส่อุปกรณ์ทำแผลกับข้าวหนึ่งห่อถูกแขวนไว้ที่ประตูรั้ว แต่มองไปทางซ้ายหรือทางขวาก็ไม่มีใครเลยสักคน หญิงสาวไม่สนใจเธอถือของจากตรงนั้นเดินเข้าบ้าน
คนที่คอยแอบซุ่มดูอยู่แถวนั้นเมื่อเห็นว่าหญิงสาวรับของนั้นไป เขาก็ดีใจแล้ว
เช้าวันต่อมา
หญิงสาวที่ทำงานทั้งคืนเกือบไม่ได้นอน เพิ่งมาฟุบหลับเมื่อตอนใกล้สางสะดุ้งขึ้นเมื่อมีคนมาเรียกหน้าบ้าน เธอจึงรีบลุกไปดู
“หวัดดี ชา เพิ่งตื่นเหรอ” เขาเอ่ยทักเมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวดูมุ่ยและหัวก็กระเซิงเหมือนไม่เคยเจอหวี
“อ่าวธิ มาแต่เช้าเลย”
“ไม่เช้าแล้วนะ เจ็ดโมงกว่าแล้ว”
“อ่าวเหรอ ขอบคุณนะที่เมื่อวานซื้อข้าวมาให้เราด้วย”
“ข้าว?”
“ก็ข้าวไง ที่เอามาแขวนไว้หน้ารั้วให้เราน่ะ”
“เปล่านะ เมื่อคืนเราไม่ได้มา”
“อ่าว แล้วใครล่ะ”
“ชา คราวหลังชาอย่าไปกินของมั่วซั่วนะ ถ้าเกิดเขาใส่ยาแล้วชากินแล้วหลับจะทำยังไง ยิ่งชาอยู่บ้านคนเดียวด้วยมันอันตรายนะ”
“อือ นั่นสิ เราลืมไปเลย”
“กินเพราะหิวใช่ไหมล่ะ”
“ก็ใช่ ก็มันไม่มีไรกินนี่นา”
“อะนี่ เราซื้อมาฝาก”
“ขอบใจนะ” หญิงสาวรับข้าวเหนียวหมูปิ้งที่เพื่อนซื้อมาให้ “หอมจังเลย”
“แล้วธิกินยัง”
“กินแล้ว งั้นเราไปทำงานก่อนนะ เดี๋ยวสาย”
“เค ๆ ตั้งใจทำงานนะ”
“อื้ม ชาก็เหมือนกันนะ” แค่ได้มาเห็นหน้า แค่เธอส่งยิ้มหวานให้ เขาก็มีกำลังใจทำงานแล้ว
เขาอดสงสารชสุดาไม่ได้ที่ลาออกมาเขียนนิยาย เขารู้ว่ามันเป็นความฝันของเธอ แต่มันก็ลำบากมากเช่นกันที่บางวันหญิงสาวก็ไม่มีเงินกินข้าว เขาให้เงินเธอเธอก็ไม่รับ เขาก็ทำได้เพียงซื้อข้าวมาให้บ้าง ขนมบ้าง
ปณิธิชายหนุ่มที่อยู่หมู่บ้านใกล้ ๆ กัน ทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เพราะเรียนที่เดียวกัน เคยขึ้นรถไปเรียนด้วยกันบ่อย ๆ ตอนกลับก็กลับเวลาไล่เลี่ยกัน ด้วยความที่รู้จักกันมานานความเป็นเพื่อนมันก็แปลเปลี่ยนเป็นความผูกพัน เขาแอบชอบชสุดามานานแล้ว แต่เธอไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสถานะอื่นเลยนอกจากคำว่าเพื่อน
หญิงสาวเดินร้องไห้มาตลอดทางหลังออกมาจากบ้านของพี่สาว เธอเองก็ไม่รู้จะทำยังไง จะกลับบ้านยังไงดี เพราะเงินที่มีก็จ่ายค่าแท็กซี่หมดแล้ว ไม่น่าหลงเชื่อพี่สาวเลยบอกให้นั่งแท็กซี่มาแต่ตอนกลับไม่ได้เงินกลับมาด้วย เธอเหลือเงินเพียงไม่กี่บาทก็คงต้องหารถเมล์ฟรีกลับบ้านแล้วเดินเข้าซอยละมั้ง
โชคดีที่เธอได้เจอกับสิรวิชญ์ หรือพี่วิชญ์น้องชายของพี่สาร เขากำลังจะกลับบ้านพอดี เขาบอกเธอว่าเป็นทางผ่านก็เลยจะแวะไปส่ง เธอตัดสินใจไปกับเขา อย่างน้อยมันก็ไปฟรี ถ้านั่งรถเมล์กว่าจะถึงบ้านก็คงดึกแน่นอน
เธอต้องมาบ้านพี่สาวเพราะเธอแค่โทรไปยืมเงินจะเอาไปจ่ายค่าไฟ แต่พี่สาวของเธอกลับให้ไปหาที่บ้าน ไม่โอนมาให้เหมือนที่เคยทำ เธอจึงต้องฝืนใจไป เพราะเธอชอบอยู่บ้านมากกว่า แต่ระหว่างที่กำลังกินสุกี้กันอร่อย ๆ อยู่ดีดี บรรยากาศก็เสียหมด เธอกับพี่สาวดันทะเลาะกันซะก่อน
คำพูดต่าง ๆ ของพี่สาวมันทำร้ายจิตใจเธอมาก มันทำให้เธอรู้สึกแย่ ทำไมพี่ของเธอต้องว่าเธอด้วย เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย
แกลองเปลี่ยนงานไหม ลองไปทำอย่างอื่นที่มันได้เงินเยอะกว่านี้น่ะ
แล้วแกจะเป็นนักเขียนไส้แห้งอย่างนี้ไปตลอดเลยเหรอ แกจะสามสิบแล้วนะ เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเป็นเด็กสักที
งั้นแกก็ทำให้ชีวิตแกมันดีกว่านี้สิ แกดูคนอื่น ๆ สิ เขามีบ้านมีรถ มีหน้าที่การงานดีกันหมดแล้ว มีแต่แกนั่นแหละที่ทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้
ชีวิตของแกเหรอ ทุกวันนี้แกเอาตัวเองรอดโดยที่ไม่พึ่งคนอื่นได้หรือยัง แล้ววันนี้แกมาทำอะไร แกมายืมเงินฉันไง ถ้าแกไม่มีเงินแกก็อยู่บนโลกนี้ไม่ได้ โลกนี้มันต้องใช้เงิน แต่แกไม่มี
แกเอาไปเถอะ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะหาว่าฉันดูแลแกไม่ดี
เธอรู้ว่าอาชีพที่เธอทำอยู่นี้มันได้เงินไม่เยอะ เพราะเธอก็ยังเขียนไม่ค่อยเก่งก็เลยทำให้ขายไม่ค่อยได้ ถ้าเขียนเก่ง คนอ่านเยอะ คนซื้อเยอะ รายได้มันก็มหาศาล แต่จะทำยังไงได้ล่ะ เธอไม่เก่งเลย แต่เธอก็มีความฝัน เธอชอบอ่านนิยายมาก ให้อ่านทั้งวันไม่ต้องทำอะไรก็ยังได้ การได้หลุดเข้าไปในโลกของนิยายมันเหมือนได้ลืมเรื่องจริงไปชั่วขณะ เธอเคยคิดเล่น ๆ ว่าถ้าเธอได้หลุดเขาไปในโลกนิยายจริง ๆ มันก็อาจจะดี เธออาจจะมีความสุขกว่าการที่ได้อยู่ในโลกนี้
เธอรักในอาชีพนักเขียน เธอจะไม่เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นเด็ดขาด
อาชีพนักเขียนนิยายเนี่ย อิสระที่สุดแล้ว ไม่ต้องร่วมงานกับใคร ไม่ต้องเจอใคร ไม่ต้องออกจากบ้าน ไม่ต้องหงุดหงิดกับลูกค้า ไม่ต้องทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน ไม่ต้องโดนไล่ออก แค่คิดเนื้อเรื่อง คิดเอง เขียนเอง ขายเอง อิสระกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
ก่อนหน้าที่เธอจะมาเขียนนิยายเธอก็เคยลองทำมาหลายที่ แต่ว่าเธอไม่ชอบมันเลยสักงาน เธอเบื่อเพื่อนร่วมงานที่คอยแต่อิจฉาบ้าง คอยจิกกัด นินทาลับหลัง ไม่มีความจริงใจให้กันเลย บางที่ก็มีเพื่อนร่วมงานดีแต่เจ้านายไม่ถูกใจมันก็อยู่ยาก สวัสดิการก็ไม่มี เข้างานก็เช้า เลิกงานก็ดึก เงินเดือนก็ไม่เยอะ แต่งานเยอะท่วมโต๊ะ
จนสุดท้ายเธอก็ตัดสินใจลาออกจากงานแล้วก็จะไม่กลับไปทำงานประจำอีก เธอมีเพียงคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะตัวเก่าอยู่ตัวหนึ่งที่พอใช้พิมพ์งานได้ เธอจึงเริ่มเขียนนิยายมาตั้งแต่ตอนนั้น
ตอนแรกมันก็จะแย่หน่อยตรงที่ต้องใช้เงินเดือนเดือนสุดท้ายให้ประหยัดมากที่สุด ตกงานก็ว่าแย่แล้ว แต่เธอยังต้องเลิกกับแฟนอีก เธอจับได้ว่าแฟนของเธอมีคนอื่น ถ้าผู้หญิงคนนั้นคือคนไม่รู้จักเธอจะไม่โกรธเท่านี้เลย ชู้ของแฟนเธอเป็นเพื่อนสาวคนสนิทของเธอนั่นเอง เธอเสียใจมาก
เธอเสียแฟนและเพื่อนสนิทไปพร้อม ๆ กัน เธอไม่เหลือใครที่สามารถไว้ใจได้อีกแล้ว
โลกนี้เราไว้ใจใครไม่ได้เลยสักคน มันมีแต่คนที่โกหก หลอกลวง
คำพูดติเตียนของพี่สาวยังคงวนเวียนอยู่ในหูของเธอ เธอจดจำมันได้ทุกคำพูด เธอมันเป็นภาระ เป็นตัวถ่วงของพี่สาว ถ้าเธอเป็นภาระหล่อนมากนะละก็ เธอจะไม่ไปให้หล่อนเห็นหน้าอีก ขนาดพี่สาวยังไม่รักเธอเลย ไม่มีใครรักเธอ ชสุดาคิดแบบนั้น เธอคิดว่าเธอมันส่วนเกินของโลกนี้ โลกนี้ไม่ควรมีเธอ ถึงโลกนี้ไม่มีเธอไปสักคน มันก็ไม่มีผลกระทบอะไร เธอไม่น่าเกิดมาด้วยซ้ำ
ความน้อยเนื้อต่ำใจทำให้เธอร้องไห้ขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศในรถเงียบกริบมีเพียงเสียงร้องสะอื้นของเธอ คนขับมาส่งก็ยังขับต่อไป เขาทำอะไรไม่ถูกเลย ได้แต่สังเกตคนข้าง ๆ เป็นระยะ ๆ
นึกถึงวันเก่า ๆ ภาพในวัยเยาว์ของเธอฉายขึ้นมาในหัว พี่สาวคนเก่งของเธอกำลังได้รับรางวัล รับบ่อยเหลือเกิน ไม่ว่าจะประกวดงานไหน ก็ได้รางวัลแทบทุกครั้ง พี่สาวของเธอเรียนเก่ง กิจกรรมก็เก่ง หน้าตาก็ดี หุ่นดี เรียนโรงเรียนดีดี สอบเข้ามหาวิทยาลัยดังได้ เป็นหน้าเป็นตาของพ่อแม่ พี่สาวตรงข้ามกับเธอทุกข้อ เธอมันเป็นเพียงแค่เด็กหลังห้อง ถ้าผลสอบนับจากคะแนนน้อยสุด เธอก็คงได้อันดับที่สองหรืออันดับที่สาม
พ่อแม่ภูมิใจในตัวพี่สาวมาก ไม่ว่าจะไปไหนก็สามารถอวดลูกสาวได้อย่างไม่อายใคร จนบางคนเขาก็คิดว่าพ่อกับแม่มีลูกสาวแค่คนเดียว เพราะหลาย ๆ คนเขาก็ไม่รู้จักชสุดาด้วยซ้ำ
“ใครมันจะไปเก่งเหมือนพี่กันเล่า ทำอะไรก็สำเร็จไปหมด” หญิงสาวพูดออกมาขณะที่นั่งอยู่ในรถของสิรวิชญ์ ทำให้คนเจ้าของรถตกใจเล็กน้อย
“พูดกับพี่เหรอ” เขาถามเธอเพราะตั้งแต่ขึ้นรถมาเธอก็นั่งร้องไห้เป็นพัก ๆ สลับกับความเงียบ เขาเองก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับเธอดี สภาพของเธอตอนที่รับขึ้นรถมาเธอก็เอาแต่ร้องไห้จนไม่พูดอะไร เขาเดาอารมณ์เธอไม่ได้เลยจริง ๆ
“…” เธอไม่ตอบ เธอส่ายหน้าเบา ๆ เธอไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ
“บอกทางพี่ด้วยนะ จำไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยแน่ใจ” คนที่มาส่งเธอเคยมาที่นี่ครั้งสุดท้ายก็เมื่อหลายปีก่อน เขาเคยมากับพี่ชายก็คือพี่สารสามีของพี่ญา
ก่อนหน้านี้เธอกับพี่สาวอยู่บ้านเดียวกัน แล้วพี่สาวของเธอก็แต่งงานจึงต้องแยกกับเธอ เพื่อไปอยู่กับสามี เธอเลยต้องอยู่บ้านนี้คนเดียว ส่วนพ่อแม่ของเธอท่านทั้งสองก็ไปซื้อที่ดินที่ต่างจังหวัดแล้วก็ไปทำฟาร์มอยู่ที่นั่น นาน ๆ จะเข้ามาที่กรุงเทพฯ สักครั้ง
“ถึงแล้ว หลังนี้ใช่ไหม” สิรวิชญ์จอดรถที่หน้าบ้าน
ชสุดาพยักหน้าเบา ๆ เธอเตรียมตัวที่จะลงจากรถพร้อมปลดเข็มขัดนิรภัย เธอก็เปิดประตูทันที เจ้าของรถเห็นเธอกำลังจะลงไปแบบไม่ขอบคุณสักคำ จึงรั้งข้อมือข้างขวาไว้
“โอ๊ยยย...” ชสุดาร้องขึ้น สิรวิชญ์ก็งงว่าหญิงสาวร้องทำไม เขาไม่ได้จับข้อมือเธอแรงเลย
“พี่มาส่ง ไม่คิดจะขอบคุณสักหน่อยเหรอ”
“ปล่อยนะ เจ็บ” เธอพยายามจะสบัดแขนออกแต่สิรวิชญ์ดึงแขนหญิงสาวไปใกล้ตัวแล้วถลกแขนเสื้อแขนยาวของหญิงสาวขึ้น แล้วเขาก็ได้เห็นแผลเป็นทางยาวเหมือนกับถูกกรีดซ้ำ ๆ มีทั้งรอยเก่าและรอยใหม่ รอยใหม่ที่เห็นมีเลือดซึมเล็กน้อย แผลยังไม่แห้งเลย
เธอกรีดแขนตัวเองเหรอวะเนี่ย บ้าไปแล้ว...
เธอทำร้ายตัวเอง แล้วมีใครรู้เรื่องนี้บ้างไหม
ทำไมเธอต้องทำแบบนี้ด้วย อาการแบบนี้เค้าเรียกว่าโรคซึมเศร้าหรือเปล่าวะ
“ไปโดนอะไรมา” เขาถามออกไป เผื่อว่าจะได้คำตอบบ้าง ถ้าถามว่ากรีดแขนตัวเองเหรอ เธอก็คงไม่ตอบแน่นอน
“ยุ่ง” เธอสะบัดแขนออก แล้วลุกออกจากรถ เปิดประตูรั้วแล้วเข้าบ้านไปทันที
“งานเข้าแล้วไหม สองแสนที่ตกลงกันไว้ มันจะคุ้มไหมวะ” สิรวิชญ์พึมพำคนเดียว นี่เขาคิดผิดหรือเปล่าที่มารับงานนี้ พอนึกขึ้นได้เขาก็โทรหาผู้ว่าจ้างของเขา
“ฮัลโหลพี่”
(ว่าไง เจอชาไหม ได้ไปส่งบ้านหรือเปล่า)
“เจอสิพี่ มาส่งแล้ว เพิ่งถึงบ้านเนี่ย”
(เออดีแล้ว พี่อดเป็นห่วงไม่ได้เลยว่ะ ญาก็พูดแรงไป ไปจี้ใจดำน้องมันอีก)
“พี่ ถ้าผมขอถอนตัวตอนนี้ทันไหม”
(ทำไมวะ รับงานแล้วแคนเซิลไม่ได้เว้ย)
“งานนี้ยากกว่าที่คิดไว้อีกพี่ สองแสนผมคิดว่าไม่คุ้ม”
(งั้นก็ได้ เดี๋ยวเพิ่มให้แต่งานต้องเรียบร้อยก่อน)
“แล้วถ้าระหว่างทำงานมีค่าใช้จ่ายล่ะ แบบต้องซื้อของอะไรอย่างนี้”
(ก็ซื้อมาก่อนละกัน ค่อยเอาบิลมาเบิกที่ฉัน)
“งบไม่อั้นใช่ปะ”
(แล้วแกจะซื้ออะไรนักหนา แกจะซื้อคอนโด ซื้อบ้านพร้อมที่ดินเหรอไง”
“แหม่ ก็ถามเฉย ๆ”
(เอาเฉพาะที่มันจำเป็นก็พอ ซื้อพวกขนมก็ได้ ชาเขาชอบ)
“พี่รู้ได้ไงว่าชาชอบ นี่เป็นกิ๊กกันปะเนี่ย”
(เห้ย ๆ ไม่ใช่เว้ย ก็ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ชอบกินขนมไม่ใช่เหรอวะ)
“อืม อย่าให้รู้นะว่าคิดอะไรกับน้องเมียน่ะ”
(ไม่มีเว้ย ไม่เคยคิด)
“พี่สาร ถ้าเขาเป็นโรคซึมเศร้าจริง ๆ เราก็ต้องพาเขาไปหาหมอไม่ใช่เหรอพี่”
(เออ แล้วแกจะพาไปยังไง แค่คุยเขายังไม่ยอมคุยกับใครเลย แล้วจะพาไปได้ไง)
“ก็จริง”
(ฉันจ้างแกแล้ว ไปคิดหาทางเอาเอง แค่นี้นะ) พี่ชายเขาวางสายไปแล้ว
ชายหนุ่มคิดว่าเขาคงทำงานนี้คงเดียวไม่ได้แน่นอน เขาต้องมีที่ปรึกษา แล้วเขาก็โทรหาบุคคลนั้น
“เออ อยู่ไหน”
(อยู่ห้อง มีอะไร)
“เจอกันที่เดิมได้ปะวะ มีเรื่องอยากปรึกษา”
(เรื่องสาว ๆ อีกละซิ)
“มึงนี่รู้ดีตลอด”
(ก็กูเพื่อนมึงไม่ใช่เหรอ)
“เออ แต่เคสนี้ไม่เหมือนคนอื่นว่ะ”
(คนนี้เป็นนางฟ้าเหรอ หรือว่านางแบบ)
“กวนทีน ไอ้คิน เดี๋ยว ๆ มึงรอก่อน”
(เออ จะรีบไป วันนี้ฟรีไหม)
“ไอ้งก”
(งกเหมือนมึงแหละ)
ชสุดาเข้ามาในบ้านแล้วเธอลองเปิดไฟดู ไฟยังติดเหมือนเดิม เขายังไม่มาตัดแต่ก็คงอีกวันสองวันละมั้ง เธอจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าไฟเนี่ย ถ้าไม่มีไฟเธอก็ทำงานไม่ได้ กำลังเร่งปั่นต้นฉบับอยู่ด้วย
“หิวจังเลย มีอะไรกินบ้างเนี่ย” คนตัวเล็กเดินไปเปิดตู้เย็น ก็เห็นมีแต่น้ำเปล่าขวดสุดท้ายแล้ว อย่าว่าแต่ข้าวเลย น้ำก็ไม่มีจะให้ดื่ม “รู้อย่างนี้กินมาให้อิ่มก่อนดีกว่า”
เวลาที่ชสุดาอยู่บ้านอาหารมื้อหลักของเธอก็จะเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ไก่ทอด กินอยู่แค่ไม่กี่อย่างเพราะว่ามันราคาไม่แพงมาก แต่ผลเสียของมันก็คือเป็นอาหารที่ไม่เหมาะกับสุขภาพเลย เธอไม่ได้ใส่ใจสุขภาพสักเท่าไหร่ เพราะต้องการแค่ให้ท้องอิ่ม
เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ทำให้มีคนดีใจสุด ๆ ชสุดาเธอคิดว่ารอดแล้ว
“ธิ แน่เลย”
หญิงสาวรีบวิ่งไปหน้าบ้านก็พบกับถุงใส่อุปกรณ์ทำแผลกับข้าวหนึ่งห่อถูกแขวนไว้ที่ประตูรั้ว แต่มองไปทางซ้ายหรือทางขวาก็ไม่มีใครเลยสักคน หญิงสาวไม่สนใจเธอถือของจากตรงนั้นเดินเข้าบ้าน
คนที่คอยแอบซุ่มดูอยู่แถวนั้นเมื่อเห็นว่าหญิงสาวรับของนั้นไป เขาก็ดีใจแล้ว
เช้าวันต่อมา
หญิงสาวที่ทำงานทั้งคืนเกือบไม่ได้นอน เพิ่งมาฟุบหลับเมื่อตอนใกล้สางสะดุ้งขึ้นเมื่อมีคนมาเรียกหน้าบ้าน เธอจึงรีบลุกไปดู
“หวัดดี ชา เพิ่งตื่นเหรอ” เขาเอ่ยทักเมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวดูมุ่ยและหัวก็กระเซิงเหมือนไม่เคยเจอหวี
“อ่าวธิ มาแต่เช้าเลย”
“ไม่เช้าแล้วนะ เจ็ดโมงกว่าแล้ว”
“อ่าวเหรอ ขอบคุณนะที่เมื่อวานซื้อข้าวมาให้เราด้วย”
“ข้าว?”
“ก็ข้าวไง ที่เอามาแขวนไว้หน้ารั้วให้เราน่ะ”
“เปล่านะ เมื่อคืนเราไม่ได้มา”
“อ่าว แล้วใครล่ะ”
“ชา คราวหลังชาอย่าไปกินของมั่วซั่วนะ ถ้าเกิดเขาใส่ยาแล้วชากินแล้วหลับจะทำยังไง ยิ่งชาอยู่บ้านคนเดียวด้วยมันอันตรายนะ”
“อือ นั่นสิ เราลืมไปเลย”
“กินเพราะหิวใช่ไหมล่ะ”
“ก็ใช่ ก็มันไม่มีไรกินนี่นา”
“อะนี่ เราซื้อมาฝาก”
“ขอบใจนะ” หญิงสาวรับข้าวเหนียวหมูปิ้งที่เพื่อนซื้อมาให้ “หอมจังเลย”
“แล้วธิกินยัง”
“กินแล้ว งั้นเราไปทำงานก่อนนะ เดี๋ยวสาย”
“เค ๆ ตั้งใจทำงานนะ”
“อื้ม ชาก็เหมือนกันนะ” แค่ได้มาเห็นหน้า แค่เธอส่งยิ้มหวานให้ เขาก็มีกำลังใจทำงานแล้ว
เขาอดสงสารชสุดาไม่ได้ที่ลาออกมาเขียนนิยาย เขารู้ว่ามันเป็นความฝันของเธอ แต่มันก็ลำบากมากเช่นกันที่บางวันหญิงสาวก็ไม่มีเงินกินข้าว เขาให้เงินเธอเธอก็ไม่รับ เขาก็ทำได้เพียงซื้อข้าวมาให้บ้าง ขนมบ้าง
ปณิธิชายหนุ่มที่อยู่หมู่บ้านใกล้ ๆ กัน ทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เพราะเรียนที่เดียวกัน เคยขึ้นรถไปเรียนด้วยกันบ่อย ๆ ตอนกลับก็กลับเวลาไล่เลี่ยกัน ด้วยความที่รู้จักกันมานานความเป็นเพื่อนมันก็แปลเปลี่ยนเป็นความผูกพัน เขาแอบชอบชสุดามานานแล้ว แต่เธอไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสถานะอื่นเลยนอกจากคำว่าเพื่อน
ดวงจันทร์ของดาวเสาร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ธ.ค. 2563, 16:18:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ธ.ค. 2563, 16:18:46 น.
จำนวนการเข้าชม : 287
<< ตอนที่ 1 เมื่อไหร่จะโต | ตอนที่ 3 ไม่ลอง ไม่รู้นะ >> |