ปั้นรักจนเต็มหัวใจ
"สิรวิชญ์" ได้ถูกจ้างให้ไปดูแล "ชสุดา" น้องสาวของพี่สะใภ้ ที่เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง (มาก)

โดยเขาเองไม่รู้ตัวเลยว่าความใกล้ชิดค่อย ๆ ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "ความรัก"
Tags: ปั้นรักจนเต็มหัวใจ น่ารัก กุ๊กกิ๊ก แอบรัก แอบชอบ ละมุน ฟิน หวานๆ

ตอน: ตอนที่ 4 น้องตัวหอม

ตอนที่ 4
น้องตัวหอม


“อรุณสวัสดิ์” สิรวิชญ์เอ่ยทักทายเมื่อชสุดาเดินมาหาเขาที่หน้าบ้าน เขากดกริ่งเพื่อให้เธอเปิดประตูให้หน่อย วันนี้เขาตั้งใจว่าจะมานั่งอ่านนิยายเรื่องที่ชสุดาเขียน

“มีอะไรเหรอ มาแต่เช้า” หญิงสาวถามขึ้น เขามาหาเธอแต่เช้าเลยนี่เพิ่งจะแปดโมง เธอเพิ่งได้นอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมงเอง น้ำก็ยังไม่ได้อาบ หน้าก็ยังไม่ได้ล้าง ฟันก็ยังไม่ได้แปลง ผมก็ยังไม่ได้หวี สภาพเน่า ๆ หน้าสดแบบนี้นอกจากปณิธิแล้ว เธอก็ไม่เคยให้ใครเห็นเธอในสภาพแบบนี้เลย

แค่นี้มันก็น่าอายมากแล้ว

ต่างกับเขาเลย ทรงผมที่ถูกเซ็ทมาอย่างดี สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนรีดอย่างเนี๊ยบ นุ่งทับด้วยกางเกงยีนส์สีขาว ดูสุภาพเรียบร้อย ผู้ดี๊ ผู้ดี แถมกลิ่นตัวของเขายังหอมเตะจมูกเธอด้วย

“มีอะไรเหรอคะ พูดคะด้วย พูดไม่เพราะเลย”

“มีอะไรเหรอคะ” ชสุดาทำหน้าล้อเลียนเขา

“วันนี้พี่จะมาอ่านนิยายด้วย นิยายของชาไง”

“อ่านนิยาย?”

“ใช่”

“แต่ชาโหลดแอพใส่มือถือให้พี่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”

“ก็ใช่...แต่มันตัวเล็กมองไม่ถนัด”

“อ๋อ คนแก่ก็งี้หูตาฝ้าฟาง สายตาไม่ดีแล้ว”

“ใครแก่ ยังไม่แก่สักหน่อย พี่แค่ไม่ชอบมองหน้าจอนาน ๆ ก็เท่านั้น”

“แล้วจะอ่านยังไงคะ” หญิงสาวยืนกอดอกถามเขา โน่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ได้

“พี่เอาปริ้นท์เตอร์มาด้วย ช่วยยกหน่อยสิอยู่หลังรถ”

“ให้ชายกเหรอ”

“ใช่”

“พี่เอามาทำไมไม่ยกเองล่ะ”

“ก็ซื้อมาให้ใช้งาน ถ้าอยากได้ก็ยก ถ้าไม่อยากได้ก็ไม่ต้องยก”

“ชาไม่มีเงินหรอกนะ” ประโยคที่เธอพูดบ่อยมาก ๆ เธอเองก็อยากได้เงินเยอะ ๆ เหมือนกัน ใครจะอยากลำบากไปตลอดชีวิตกันเล่า

“พี่จะออกให้ก่อน ถ้าขายงานได้แล้วค่อยเอามาคืนก็ได้เพราะพี่ไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน”

“ค่ะ”

“ค่ะ แล้วจะเอาไหม” เขารู้ว่าถ้าซื้อให้ฟรีหญิงสาวอาจจะไม่รับ เลยต้องอ้างเรื่องงาน

“เอา” ชสุดาเดินมาที่หลังรถอย่างเร่งรีบ สิรวิญช์จึงกดรีโมทช่วยเปิดท้ายรถให้ ถุงกระดาษสีขาวใบเล็กวางอยู่ข้าง ๆ กับกล่องของเครื่องปริ้นท์

“ยกมาสิ” เจ้าของรถเดินมาข้างเธอ เธอคิดว่าเขาจะยกเอง แต่เขากลับหยิบถุงกระดาษนั้นออกไป ปล่อยให้เธอยืนงงอยู่ตรงนั้น “ไปรอในบ้านนะ แดดเริ่มร้อนแล้ว”

“ซื้อมาได้แต่ยกให้หน่อยก็ไม่ได้ ใจร้าย”


“ตั้งตรงนี้แหละ คนที่ไม่ใช่เจ้าของบ้านสั่งเธอ” เขาจัดการเสร็จสรรพ เธอยังไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าจะวางตรงไหนดี แต่เธอก็ทำตามอย่างว่าง่าย

“ติดตั้งเป็นไหม” เขาถามพลางมองหน้าเธอสลับกับกล่องเครื่องพิมพ์

“เป็นค่ะ”

“ดี งั้นทำเลย เดี๋ยวนั่งรอ”

“อะไรนะ” หญิงสาวถามซ้ำเพราะคิดว่าตัวเองหูฝาด เขาบอกให้เธอทำเองงั้นเหรอ ไม่มีน้ำใจที่จะช่วยเลยเหรอ เชอะ ต่อเองก็ได้ไม่ง้อหรอก

“มีน้ำกินไหมอะ หิวน้ำ” เขาถามขึ้นขณะที่ชสุดากำลังอ่านคู่มือการติดตั้ง

“มีแต่น้ำเปล่านะ”

“อยากกินน้ำส้มอะ ไปซื้อให้หน่อยได้ไหม” ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วหยิบแบงค์ห้าร้อยยื่นให้เธอ “ฉันอยากกินน้ำส้มกับแซนวิซทูน่า เธออยากกินอะไรก็ซื้อมาละกัน ที่เหลือทิป”

“แล้วตอนก่อนเข้ามาทำไมไม่ซื้อมาเองล่ะ” เจ้าของบ้านเริ่มโมโห เขาเป็นแขกที่เรื่องมากเสียจริง มีน้ำเปล่าไม่กิน จะกินน้ำส้มเธอก็ไม่มีน้ำส้มให้เขากินสะด้วย

“ลืม” เขาพูดอย่างสั้น ๆ ง่าย ๆ หน้าตาเฉย

“ก็ได้” นี่เห็นแกเงินทอนหรอกนะ อย่างน้อยเธอก็จะมีเงินเหลือประทังชีวิตไปได้อีกหลายมื้อ

“ค่ะด้วย”

“ก็ได้ค่ะ พี่วิชญ์ขาาา” เธอลากเสียงยาว

“ดีมากค่ะ น้องชาาา” เขานั่งไขว่ห้างที่โซฟา พลางมองไปรอบบ้าน หลังจากที่ช่วยกันทำความสะอาดวันนั้น เขายังรู้สึกว่าบ้านยังเป็นระเบียบเหมือนวันก่อน ไม่ได้รกเหมือนวันแรกที่เจอ


เวลาผ่านไปสักพักแล้ว สิรวิชญ์เองก็คอยดูเวลาอยู่ตลอด นี่มันผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ทำไมน้องชาถึงไปนานเหลือเกินก็ไม่รู้ ปากซอยแค่นี้ก็ไม่ได้ไกลมาก เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่า เขาคิดไปเรื่อยเปื่อย

เท่าที่รู้มาจากพี่สารคือเธอไม่ค่อยได้ออกไปไหน เขาจึงพยายามหาเหตุการณ์ให้เธอได้ออกไปข้างนอกบ้างอยู่ในบ้านมันอุดอู้ เดี๋ยวจะเกิดอารมณ์ซึมเศร้าอีก ตั้งแต่ครั้งก่อนเขายังไม่ได้ถามเธอเรื่องแผลที่ข้อมือว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่เขาก็เห็นเธอติดผ้าพันแผลอยู่เหมือนกัน อีกไม่กี่วันมันก็คงหายเองละมั้งนะ

แผลภายนอกมันรักษาง่ายกว่าแผลภายใน

เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า แผลที่อยู่ภายในใจเธอมันคืออะไรกันแน่ จะได้แก้ปัญหาได้ตรงจุด รีบ ๆ ปิดจ็อบ เงินค่าจ้างจะได้โอนเข้าบัญชีของเขาสักที



“ทำไมไปนานจัง” เขาถามเมื่อเห็นหญิงสาวเดินเข้าบ้านมา เขาสังเกตว่าเธอดูเหนื่อยมาก เหงื่อเต็มหน้า เต็มตัวเลย

“จักรยานมันจะเสียแล้วไง โซ่หลุดก็บ่อย ยางรั่วอีก เลยต้องเดินเข็นกลับมา”

“อ่าวเหรอ นึกว่านั่งวินไป”

“แถวนี้ไม่มีวินนะ วินอยู่หน้าปากซอย”

เออใช่ เขาลืมไป

“จักรยานของชามันเก่าแล้วไง คงถึงเวลาได้ขายเป็นเศษเหล็กสักที”

“เรื่องนั้นค่อยว่ากัน เหงื่อท่วมตัวเหม็นขนาดนี้ไปอาบน้ำก่อนไหม”

เขาได้กลิ่นด้วยเหรอเนี่ย เธอเองก็เหนียวตัวเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าเขาจะรังเกียจเช่นนี้

“โอเค นี่ของที่พี่ให้ซื้อมานะ” เธอยื่นถุงผ้าให้เขาแล้วเธอก็เดินเข้าไปข้างในบ้านเพื่ออาบน้ำอย่างที่เขาบอก

“ไหนดูสิ” เขาหยิบของในถุงขึ้นมาดู น้ำที่หญิงสาวซื้อมาให้เขาเป็นน้ำส้มแบบที่เขาไม่คุ้นตา ไม่มีเกล็ดส้มแบบที่อยากกิน และแซนวิซหนึ่งอันที่ไม่ใช่ไส้ทูน่าด้วยแต่เป็นไส้หมูหยอง “ซื้ออะไรมาให้เนี่ย” เขาดูสลิปค่าใช้จ่ายก็พบว่าน้ำส้มนี้ขวดละเจ็ดบาทกับแซนวิซสิบสามบาทรวมเป็นยี่สิบบาท แล้วเงินที่เหลืออีกสี่ร้อยแปดสิบบาทล่ะ

ยัยตัวแสบ!

หึ้ยยย…

จะโทษเธอก็ไม่ได้ เขาผิดเองที่ไม่ได้บอกเธอว่าต้องเป็นน้ำส้มยี่ห้อไหน แซนวิซแบบไหน เขาคิดว่าเธอจะรู้ แต่เธอกลับซื้อของที่ถูกที่สุดมาให้เขา และตัวเองก็ไม่ซื้ออะไรมากินเลย เพื่อจะให้เหลือทิปมากที่สุดอย่างนั้นนะเหรอ

เห็นทีคราวหลังเขาคงต้องหาแบงค์ย่อยมาใส่กระเป๋าสตางค์บ้างแล้วล่ะ


“ค่อยยังชั่ว อาบน้ำแล้วแบบนี้ค่อยตัวหอมหน่อย” เขาเอ่ยชมเมื่อหญิงสาวเดินผ่านหน้าเขาไป กลิ่นของเธอมันหอมฟุ้งไปทั่วเลย เขาอยากรู้เหมือนกันว่าเธอใช้น้ำหอมยี่ห้ออะไร

“ถามจริงนะ ชาตัวเหม็นจริงเหรอ” เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองตัวเหม็นเลยด้วยซ้ำ มันไม่จำเป็นต้องอาบน้ำบ่อยก็ได้ อาบบ่อยก็เปลืองน้ำค่าน้ำก็แพง จริงสิ ลืมไปเลยว่าเธอจ่ายค่าน้ำแล้ว แต่ยังไม่ได้จ่ายค่าไฟ

“ก็ไม่ได้เหม็นเท่าไหร่หรอก แต่พี่แค่ไม่ชอบผู้หญิงซกมกน่ะ รักษาความสะอาดมันก็ดีไม่ใช่เหรอ”

“อือ บางทีมันก็ขี้เกียจไง ตื่นมาก็ทำงานเลย เสียเวลาอาบน้ำ”

“อาบแหละดีแล้ว หอมดี”

“พี่วิชญ์ วันก่อนที่เก็บบ้านกัน พี่เห็นใบแจ้งหนี้ค่าไฟปะ ชาไม่รู้ว่ามันหายไปไหน ชายังไม่ได้จ่ายค่าไฟเลย”

“ไม่เห็นนะ ชาเอาไปเก็บไว้ไหนแล้วหาไม่เจอเปล่า” เขาจะไม่เห็นได้อย่างไร ก็เขาเป็นคนเก็บไว้ตอนที่เธอเผลอแล้วก็เอาไปจ่ายแทนแล้วด้วย เพราะถ้าไม่มีไฟ หญิงสาวก็จะทำงานไม่ได้

“ชาจะทำไงดี เดี๋ยวเขาต้องมายกหม้อไฟไปแน่เลย ชาไม่มีเงินไปเอาหม้อกลับคืนมาหรอก”
“งั้นก็รีบทำงานสิ เดี๋ยวเขามาตัดแล้วไม่มีไฟนะ”

“เดี๋ยวชารีบปริ้นท์ต้นฉบับให้พี่อ่านก่อนนะ” ชสุดารีบเดินไปนั่งที่ที่ประจำของเธอคือเก้าอี้ทำงานหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็จัดการพิมพ์เอกสารมาให้สิรวิชญ์ช่วยอ่าน

“ขอบใจ” สิรวิชญ์รับเอกสารทั้งหมดนั้นไว้แล้วก็ค่อย ๆ อ่านไปเรื่อย ๆ


“ชา มานี่หน่อย” เขาใช้เวลาไม่นานก็อ่านจบไปหนึ่งเรื่องแล้ว จากผลการสรุปของเขาโดยรวมแล้วเนื้อเรื่องของเธอมันก็พอใช้ได้ไม่ถึงกับแย่ มีจุดบกพร่องอีกหลาย ๆ จุด ถ้าปรับได้มันก็จะดีกว่านี้

“กำลังทำงานอยู่ วุ่นวายจัง” เธอบ่นเล็กน้อย แต่ก็เดินมาหาเขาโดยดี

“เรื่องนี้พี่อ่านจบแล้วนะ”

“จริงเหรอ ตั้งแต่เขียนมาเรื่องนี้ขายดีสุดแล้วนะ” สิรวิชญ์ได้ยินดังนั้น ก็หายสงสัยแล้วว่าทำไมงานของเธอจึงขายไม่ค่อยได้ มันมีเรื่องที่เขียนแล้วแย่กว่านี้อีกเหรอ

“คือพี่คิดว่าเนื้อเรื่อง พล็อตมันก็ดีนะ แต่ยังดีได้มากกว่านี้ ส่วนการเล่าเรื่อง ชาบรรยายได้สับสนมาก ตัดบทตัวละครไปมา เดี๋ยวพระเอก เดี๋ยวนางเอก เดี๋ยวตัวร้าย พี่งง ทำไมต้องตัดไปตัดมา แล้วคือมันไม่ต่อเนื่องไง มันทำให้คนอ่านจะงงตรงนี้นะ ชาเขียนใช้การบรรยายแบบบุรุษที่หนึ่ง เอาตรง ๆ นะ ถ้าชาบรรยายโดยใช้บุรุษที่สามจะดีกว่านะ”

“ชาไม่เข้าใจ”

“คือบรรยายให้เหมือนเราเป็นคนเล่าเรื่อง และเห็นเนื้อเรื่องทั้งหมดทุกตัวละคร เหมือนเราเป็นพระเจ้าที่สร้างโลกนี้ เข้าใจยัง”

“แต่ชาก็เคยอ่านเรื่องที่เขาใช้ตัวพระเอกเล่า นางเอกเล่าเหมือนกันนะ” เธอเถียงเขา

“พี่เข้าใจที่ชากำลังจะอธิบายนะ แต่เขาไม่ได้ตัดไปตัดมาแบบชาไง ของชามันอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องน่ะ”

“ค่ะ ชาคงไม่เหมาะที่จะเป็นนักเขียนใช่ไหม”

“เห้ยยย ไม่ใช่อย่างนั้น” สิรวิชญ์คิดว่าเขาพูดแรงไปหรือเปล่า เขาแค่ต้องการคอมเมนต์เพื่อให้ชสุดาเอาปัญหาพวกนี้ไปแก้ไขต่างหาก “พี่แค่อยากให้ชาเอาคำแนะนำไปปรับปรุงให้มันดีกว่านี้”

“ชาจะพยายามนะ”

“อย่าไปคิดมาก เรื่องนี้ไม่ดีก็แค่เขียนเรื่องใหม่ เขียนบ่อย ๆ เขียนเยอะ ๆ เดี๋ยวมันก็ดีเอง”

“นั่นสินะ แล้วพี่รู้พวกนี้ได้ไงเรียนด้านนี้มาเหรอ”

“เปล่า”

“แล้วทำไงถึงจะรู้ล่ะ ชาอยากรู้มากกว่านี้”

“ก็อ่านหนังสือไง อ่านเยอะ ๆ”

“ชาก็อ่านนะ แต่ชาก็ยังเขียนไม่ค่อยได้เลย”

“การอ่านมีหลายแบบนะชา อ่านเพื่อสนุก อ่านเพื่อสังเกตการเขียน การใช้คำของนักเขียน การเล่าเรื่องของเขา”

“ที่มาผ่านสงสัยชาจะอ่านเพื่อเอาฟินอย่างเดียว”

“งั้นคราวหน้าพี่จะคัดหนังสือที่บ้านมาให้ชาลองอ่านดู เผื่อว่ามันจะช่วยได้บ้าง”

“ขอบคุณค่ะ”

“อะนี่ เอาไปสิ” เขายื่นถุงกระดาษที่เธอสงสัยตั้งแต่ที่เขามาแล้วว่ามีอะไรอยู่ในนั้น

“อะไรคะ”

“เปิดดูสิ”

“มือถือเหรอ”

“เห็นเป็นสากกระบือหรือไงล่ะ”

“ว้าว สวยมากเลยค่ะ แค่มันคงแพงมากเลยใช่ไหม”

“เขาก็ขายตามคุณภาพนั่นแหละ”

“ให้ชาเหรอ”

“อือ”

“หักเงินในอนาคตอีกแล้วใช่ไหม”

“เปล่า อันนี้ตั้งใจซื้อให้”

“แต่ว่า...”

“รับไปเถอะ จะได้เอาไว้ติดต่อกันไง เครื่องเก่าหน้าจอก็แตกจะอ่านตัวหนังสือออกด้วยเหรอ แล้วก็เอาไว้ทำงานด้วย เผื่อไม่ได้เปิดคอม นึกอะไรออกก็พิมพ์ไว้ในมือถือ อีกอย่างคือถ้าวันไหนว่าง พี่จะนัดเพื่อนคนที่อยากได้บทละครให้ จะได้ไปคุยกัน ต้องสร้างภาพพจน์ให้มันดีหน่อยสิ จะถือมือถือพัง ๆ ไปหาเขาได้ไง” เขาก็พยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาเกลี้ยกล่อมเธอ เอาเรื่องงานมาอ้างนี่แหละดีสุดแล้ว ส่วนเพื่อนเขาคนที่อยากได้บทละครมันก็ไม่ตัวตนจริง ๆ ซะหน่อย คงต้องลำบากไอ้คินเพื่อนรักมาช่วยเล่นละครตบตาหน่อย ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่ได้อยากทำอย่างนี้เลย มันเข้าข่ายหลอกลวงชัด ๆ ไอ้พี่สารนั่นแหละเอาเงินมาล่อ

“จริงเหรอ ขอบคุณมากนะคะ” ชสุดาดีใจมาก เธออยากได้มือถือใหม่มานานแล้วแต่ยังไม่มีเงิน ไม่มีโอกาสได้ซื้อสักที และก็ไม่เคยมีใครซื้อของขวัญให้เธอแบบนี้เลย เธอเผลอไปกอดขอบคุณเขา

กลิ่นตัวของหญิงสาวที่แค่เดินผ่านก็หอม เมื่อพอได้ใกล้ชิดกับชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ มันก็ทำให้อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน ตื่นตัว ชสุดากอดเขาแน่นเกินไปแล้ว เธอรู้หรือบ้างหรือไม่ว่าเธอไม่ควรทำอย่างนี้กับผู้ชาย ครั้งก่อนก็ทีนึงละ ยื่นหน้าไปท้าให้ผู้ชายจูบ น่าจับมาตีก้นซะให้เข็ด สิรวิชญ์คิดในใจ

“ปล่อยก่อน เป็นผู้หญิงมากอดผู้ชายแบบนี้ได้ไง” เขาเตือนสติเธอ

“ขอโทษค่ะ” เธอดีใจมากจนลืมตัวไป จนทำอะไรไม่ได้คิด หญิงสาวหยิบมือถือเตรียมไปเปลี่ยนซิมที่หน้าโต๊ะคอมเหมือนเดิม เธอไม่อยากนั่งใกล้กับเขาอีก


“หิวยัง” เขาถามขึ้นเมื่อเห็นเธอนั่งเงียบมาตลอดไ



ดวงจันทร์ของดาวเสาร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ธ.ค. 2563, 08:17:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ธ.ค. 2563, 08:18:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 307





<< ตอนที่ 3 ไม่ลอง ไม่รู้นะ   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account