ห้วงเสน่หา ปรารถนาแห่งหัวใจ
ความรักได้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าและความปรารถนาของหัวใจย่อมมาก่อน เสน่หา
และนั่นอาจจะเป้นการพลาดเมื่อเขา และเธอรู้จักรักที่แท้จริง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 11 คนหนึ่งรอ คนหนึ่งรับ


อีกมุมเมืองหนึ่งสัจจะสะบัดปลายพู่กันจรดลงบนผืนผ้าใบปรากฏภาพจิตใต้สำนึกของความโหยหาความอบอุ่นของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ความโหดร้ายเห็นแก่ตัวรายล้อมรอบ
ผู้ชายร่างผอมสูงผมยาวเหยียดตรงปล่อยสยายเต็มหลัง ดวงหน้าขาวคมดังรูปปั้นหินอ่อน ลักษณะขิมไร้ความรู้สึกยินร้ายใดๆ ภายในห้องไม้ยกพื้นสูงกลางสอนเต็มไปด้วยอุปกรณ์การวาดภาพมีภาพที่เขียนเสร็จแล้วหลายภาพ ขาดไมใหญ่นัก เป็นภาพธรรมชาติทั้งสิ้นทุกภาพจะมีภาพเด็กหญิงร่างเล็กในอิริยาบถต่างๆ กันอยู่ทุกภาพ
จะมีใครรู้บ้างผู้ชายคนนี้มีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ด้วยความรักความอบอุ่นจากเด็กหญิงตัวน้อยในอดีต เขาถูกพรากความสุขโดยสิ้นเชิงเมื่อบิดาตาย มารดามีสามีใหม่เข้ากันไม่ได้เลย
“ป่วยเป็นโรคอะไรจ๊ะ” เด็กหญิงป่านแก้วชะโงกหน้าภาม สัจจะรีบคลุมโปง
“ไปที่อื่นก่อนไป”
“ก็เองเป็นอะไรล่ะ”
“อีสุกอีใสไปไกลๆเดี๋ยวติด”
“ติดก็ช่างมัน เอ้ากินขนมก่อน”
“ไปก่อนป่าน เราหายแล้วเธอค่อยมา”
“เอ๊ะ...คนป่วยมาไล่คนเยี่ยมได้ไง” คนเยี่ยมเขกหัวคนป่วยลงท้ายเลยนั่งป้อนข้าวป้อนน้ำกันทุกวัน พอสัจจะหายไข้ป่านแก้วก็ติดเชื้อกันต่อๆกัน
“บอกแล้วอย่าใกล้” สัจจะบ่นเมื่อมาเยี่ยมไข้ เพื่อนคนอื่นๆ ถูกอย่าปรางห้ามเขามาใกล้เพราะยังไม่มีใครออกอีสุกอีใสอาจจะติดได้
“เห็นแกผอมเหลืองกลัวจะอดตายน่ะสิ แม่แกบอกว่าไม่ยอมกินข้าวเราก็อุตส่าห์เอาขนมไปให้”
“เออ ขอบใจในความปรารถนาดีของเธอ ถ้าไม่ได้เธอคงแย่เหมือนกัน”
เด็กชายขี้ไคลหนาคลอดลำคอแขนขานั่งกอดเข่า
“พ่อไปทำไมต่างอำเภอเราเลยลำบากหน่อย แม่เขายิ่งไม่ค่อยรักอยู่ด้วย”
“แม่เขาต้องรักลูกทุกคนแหละวะ”
“เขาไม่ค่อยทำอะไรให้กินเวลาพ่อไม่อยู่บ้าน เขาโยนเงินให้ไปหากินเอง”
“มากินกับเราสิจ๊ะ ย่าไม่ว่าหรอก”
น้ำใจของเด็กหญิงไหลออกจากใจดวงน้อยเผื่อแผ่ให้เพื่อนทั้งกลุ่มเท่าเทียมกัน หากแต่คนที่ขาดความอบอุ่นลึกๆ อย่างเด็กชายสัจจะมันคือ ความรักที่ไร้เดียงสายิ่ง
ร่างผอมสูงวางพู่กันรวบผมยาวด้วยเส้นเชือกเดินไปหยุดยืนที่หน้าต่างเปิดผ้าม่านเก่ามองทิวทัศน์ด้านนอก
ความมืดโรยตัวรอบอาณาบริเวณ “จิตรกรไส้แห้ง” เขาตั้งฉายาให้ตัวเองบางครั้งเงินที่มีอยู่ก็เสียไปกับอุปกรณ์จนไม่เหลือไว้ซื้ออาหารกิน น้ำจึงเป็นอาหารสำหรับเขาอยู่บ่อยๆ วันนี้คงเป็นวันของเขาแล้วกระมังเมื่อภาพได้รับรางวัลภาพอื่นๆ ของเขาเริ่มทยอยขายได้ มีแกลอรี่มาติดต่อภาพของเขาไปโชว์เพื่อขายแล้วหักเปอร์เซ็นต์
“มูลนิธิเพื่อเด็กขอลิขสิทธิ์ภาพท้องทุ่งของคุณไปพิมพ์การ์ดขาย”
“ผมให้ครับ” สัจจะตกลงทันที่โดยไม่ลังเล
“ภาพพวกนี้สวยมากทำไมไม่ขายล่ะคุณธรรม” เขาดูภาพธรรมชาติต่างๆกัน
“ผมเอาไว้เป็นเพื่อนครับ” ผู้จัดการแกลอรี่มองภาพแล้วหันมองชายหนุ่ม
“เด็กผู้หญิงคนนี้คงมีชีวิตจริงๆใช่มั้ย”
“ครับที่ไหนสักแห่ง”
“มองปุ๊บรู้เลยนะครับว่าต้องวาดขึ้นจากความรัก”
“เธอเป็นเทพธิดา” ขณะเอ่ยถึงดวงตาพราวพรายระยิบระยับ
“ถ้าเกินจากมโนภาพในวัยเด็กป่านนี้เธอคงเป็นสาวแล้วสิ”
เขาไม่ตอบ ผู้จัดจากแกลอรี่ชวนพูดคุยเรื่องภาพและความต้องการของตลาดแม้จะไม่ชอบที่ต้องวาดเพื่อธุรกิจ แต่เขาจะมีชีวิตโดยไม่กินไม่ใช้คงไม่ได้
“ภาพท้องทุ่งผมจะไปรับไว้ที่ร้านเองตกลงตามนี้นะคุณธรรม”
“ครับภาพเสร็จผมจะไปที่แกลอรี่”
“คุณโทรไปดีกว่า แล้วผมจะนำรถมารับจะได้ดูแลไม่ให้ภาพเสียหาย”
ผู้จักการบริการดีด้วยตัวเอง บอกให้รู้ว่าสัจจะเป็นคนสำคัญแล้วในเวลานี้ ต่างจากเมื่อก่อนที่ตัวเองไม่มีชื่อเสียง ภาพเขียนถูกกดราคาอย่างมาก กว่าจะหาที่วาง-ภาพได้แทบจะกราบเจ้าของร้านก็เคย
“บ้านหลังนี้เช่าหรือครับ” เขาถาม
“ใช่ ราคาถูกเพราะเก่ามากและอยู่ห่างถนน เกือบจะเป็นบ้านร้างอยู่แล้ว”
“ย้ายใหม่ดีกว่า เผื่อว่าลูกค้าอยากจะมาดูคุณวาดหรือต้องการติดต่อให้คุณไปวาดให้”
“ผมชอบที่นี่เพราะเงียบสงบมันทำให้ผมมีสมาธิ เสียงนกร้องใบไม้ไหวทำให้ได้อารมณ์” ขณะเอ่ยดูท่าทางเย็นชาของเขาเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาได้อย่างคนละคน
ผู้จัดการไม่เสนอความคิดเห็นอะไรอีก เขาทำรูปเพื่อการค้า ส่วนจิตรกรแตกต่างกัน สัจจะยึดถือคติที่ว่า
อยากมีชีวิตที่เรียบง่ายวิเวก อยากใช้ชีวิตที่เหลืออย่างคนสันโดษพวกจิตนิยมบางครั้งก็ทำอะไรไม่ได้ และมีความคิดอ่านไม่ประสานกับความเป็นจริงแห่งชีวิต
“ดูแล้วอยากซื้อเลยนะเนี่ย”
ป่านแก้วชมงานที่กลุ่มครีเอทีฟนำเสนอมาให้คำพูดของหญิงสาวทำให้กลุ่มคนทำงานพากันถอนใจอย่างโล่อก ขิมโอบไหล่หญิงสาวเข้ามาชิดตัวเขาพูดกับคนที่ตัวเล็กกว่า
“ถ้าเธอบอกว่า โอ เค ก็เป็นอันว่างานเราผ่านแน่”
“พรุ่งนี้นำเข้าบริษัทเลยนะขิม”
“ไปฉลองล่วงหน้ากันหน่อยดีกว่า” เขาชวนอีกฝ่ายก็ไม่ปฏิเสธ
“ดูท่าจะเป็นปลาท่องโก๋ดูใหม่”
“เลิฟ อีส ไลค์ อะพายแอ๊บเปิ้ล สวีต บัมท อันดิสฟินิชส์” หนุ่มในกลุ่มเอ่ยตามหลัง
“อะไรวะ” สาวคนเดินสงสัย
“รักเหมือนสับปะรด หวานหมดจดแต่ไม่ยั่งยืน” เขาอธิบาย
คำนินทาว่าอย่างไรคนทั้งสองไม่ได้ยิน แต่ในเวลานี้ ทั้งคู่กำลังนั่งดื่ม และกินอยู่ที่คอนโดหรูหราของขิม
“เอ้า ทานให้มันเยอะ อุตส่าห์ลงมือทำเองแล้วนี่” ขิมจิ้มชิ้นเนื้อแลบางๆยื่นส่งให้ “บอกว่าพามาฉลอง ดันให้เราทำครัวหลอกใช้ซะงั้น”
ป่านแก้วบ่นแต่อ้าปากรับ ขิมรินไวน์แดงใส่แก้วเพื่อนสาว ป่านแก้วยกขึ้นจิบ เมื่อจากจิบเป็นกระดก หลายแก้วเข้า หน้าขาวจึงเริ่มมีเลือดสูบฉีดแดงซ่านตามฤทธิ์ ขณะที่เพื่อนชายดูครึ้มอกครึ้มใจ กระดกบรั่นดีหลายแก้ว ทั้งสองป้อนกันไปป้อนกันมา แต่ป่านแก้วคออ่อนสู้ไม่ได้เลยโผเผไปโก่งคออาเจียน
“เฮ้ย” ขิมร้องลั่นรีบประคองเพื่อนไปจัดการในห้องน้ำ
“คอแป๊บก็ไม่บอก” เขาตักน้ำให้อีกฝ่ายบ้วนปาก
“กินเป็นเสียที่ไหนเล่า” ป่านแก้วสารภาพอ้อแอ้อย่างเริ่มคุมสติไม่อยู่
“ถึงว่าแป๊บเดียวไง เดินไหวมั้ย”
“หวาย” คนสวยอวดเก่ง เกาะผนังเดินเหมือนจิ้งจกไต่ฝา ขิมหัวเราะในคอ ก่อนช้อนร่างอีกฝ่ายสู่วงแขน
“เฮ้ย” เธอร้องแทบไม่ออก แต่หลับผล็อยไปกับอ้อมแขนของเพื่อน
ขิมอุ้มร่างบางวางไว้บนเตียงหนานุ่มในห้องนอน ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะผมยาวดูรุ่ยร่าย เขาเกลี่ยให้พ้นดวงหน้าอ่อนละมุน
“ป่าน” กระซิบเรียกใกล้ชิด หากหญิงสาวหลับนิ่ง “เธอทำให้เราลำบากใจจัง”ชายหนุ่มบ่น แล้วเดินออกจากห้อง
ทำท่าจะรินบรั่นดีใส่แก้วอีก แต่แล้วเปลี่ยนใจไม่เตะต้องทั้งยังจัดการทำความสะอาดห้องรับแขกด้วยตัวเอง เวลาผ่านไปเที่ยงคืนเขาเริ่มสร่างเมา จึงค่อยย่องไปเปิดห้องนอนเพื่อไปหยิบผ้าผลัดเปลี่ยน
ป่านแก้วผุดลุกอย่างงัวเงียบนที่นอน แต่ประคองตัวไม่อยู่ล้มแผละลงไปนอนต่อ ขิมส่ายหน้าไปมาเอาผ้าเช็ดตัวพาดบ่าเดินออกมา ปล่อยน้ำฝอยจากฝักบัวราดรดบนหัวโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากยืนนิ่งๆ
ใครเลยจะรู้ว่าขิมกำลังต่อสู้กับความรู้สึกบางอย่างในใจอย่างยากลำบาก หลับตาก็เห็นดวงหน้าใสของป่านแก้ว
“เกินขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันหนอ” เขาถามตัวเอง“รักเหรอ มันเร็วเกินไป” เขาสลัดศีรษะไปมาไม่อยากยอมรับความโหยหาของหัวใจตนเอง
หลังจากผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแล้ว ขิมกลับมายืนมองร่างบาง ป่านแก้วนอนขดเป็นตัวนิ่มด้วยความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ขิมคลี่ผ้าห่มคลุมให้อีกฝ่าย จากนั้นเขาหอบหมอนลงไปนอนบนพื้นพรม หันหลังให้ พักเดียวก็หันกลับมามองก่อนขยับลุกมานั่งข้างเตียง
ปลายนิ้วเกลี่ยพวงแก้มสีชมพูระเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ป่านแก้วส่ายหน้าหนี คล้ายรำคาญในความรู้สึกเหมือนถูกแมลงไต่ตอมกระนั้น มือเรียวปัดถูกมือของขิมจึงเริ่มรู้สึกตัว เบิกตามองเงาสลัวจากแสงไปจากโคมบนโต๊ะใกล้หัวเตียง
“ขิม”
“หลับเถอะ สร่างเมาค่อยกลับ” ขิมบอกเสียงเบา
“ป่านอยากอาบน้ำ “คนเมายังรู้สึกตัวอยู่บ้าง จากนั้นเผลอลืมว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตน เธอสะลึมสะลือ เข้าไปอาบน้ำจนได้
ขิมถอนใจยาว ใจหนุ่มเต้นแรง เมื่อป่านแก้วเข้าไปอาบน้ำโดยไม่ได้เอาผ้าเช็ดตัวติดมือเข้าไป หญิงสาวเปลื้องผ้าออกจากตัวอย่างรำคาญ หงุดหงิด เพราะเดี๋ยวจับผิดจับถูก สุดท้ายเธอถอดออกจนเปลือยเปล่า เดินตุปัดตุเป๋ไปเปิดน้ำจากฝักบัวราดรดจากศีรษะตนเอง
ความเย็นของสายน้ำเหมือนจะเรียกสติกลับคืนได้บางส่วน แต่ไม่มากนัก เธอยังคงรู้สึกว่าอยู่บ้านมากกว่าจะจำได้ว่าอยู่กับขิม
“ป่าน...เป็นอะไรหรือเปล่า”เสียงทุ้มนุ่มดังมาจากหน้าห้องน้ำ ป่านแก้วสะดุ้ง สร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง
ตาย ตาย...หญิงสาวอุทานจำได้ในทันทีว่ามาดื่มกินอยู่กับเพื่อนชาย แล้วนี่...เธอก้มมองร่างเปียก และหอมด้วยสบู่เหลว กลิ่นคุ้นเคย ป่านเอ๋ย นี่เธออ่อยเพื่อนเธอแล้วหรือนี่ หญิงสาวคิดไกลเพราะผ้าปิดกายจะออกจากห้องไม่มีสักผืน
“ป่าน ยังอยู่มั้ย”
อยากแทรกพื้นหนีใจจะขาดแล้วขิม อายจังเลย
“ป่าน เราเอาผ้าวางไว้หน้าห้องน้ำนะ”
ป่านแก้วได้แต่ขานรับ
“ค่ะ ขอบคุณ”จากนั้นเธอรอสักครู่จึงได้เปิดประตูออกมานิด เอื้อมมือมาฉวยผ้าเข้าไปซับร่างกาย และพันออกมา ด้วยความรู้สึกร้อนผ่าวด้วยความอาย
ขิมนั่งที่โซฟา พยายามไม่ให้ตนเองหันไปมองร่างอรชร ที่เขารู้ว่ามีผ้าผืนเดียวพันอยู่ ชายหนุ่มใจเต้นรัวแรง และแรงมากจนกระแสเลือดวิ่งซ่านไปทั่ว ลุกผู้ชายเต้ฒตัวอย่างเขาไม่อาจฝืนข่มใจ
“เอ่อใส่เสื้อนอนเราก่อนได้มั้ย ไม่มีผ้าผู้หญิง”
“แย่จัง ป่านทำเสื้อผ้าเปียกหมดเลย เอ่อทำไงดี”
ป่านแก้วบ่นงึมงำ นึกในใจ บรั่นดีเฮงซวย! หญิงสาวเดินไปที่ตู้ผ้าของชายหนุ่ม เปิดตู้ออก หากแล้วมืออบอุ่นของขิม กุมทับมือของเธอ ร่างใหญ่ทาบสนิทที่แผ่นหลังหญิงสาว ก่อนปัด ปลายผมเปียกของอีกฝ่ายพ้นท้ายทอย ก้มลงจุมพิตแผ่วเบา ป่านแก้วสูดลมหายใจอุ่นเข้าสู่ร่างกาย
เธอชื่นชอบรอยจูบนี้หรือ...หญิงสาวถามขณะที่ร่างอรชรถูกพลิกกลับมาหาคนร่างใหญ่ ปมผ้าถูกปลดออกง่ายดาย ป่านแกล้ว หลับตาหนีความจริงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ
ขิมจูบแก้ม และเลื่อนไปที่ริมฝีปากสวย ป่านแก้วจูบตอบอ่อนโยน เอื้อมมือโอบรอบคอชายหนุ่ม ขิมเปลี่ยนเป็นโอบอุ้มร่างหญิงสาวไปที่เตียงนอนอย่างรวดเร็ว ราวกับว่า หากยามนี้เป็นความฝัน เขาอยากจะให้ความสุขเกิดขึ้นเสียก่อนฝันนั้นจะอันตรธานหายไป
ริมฝีปากผ่าวร้อนกดแนบชิดลงมาบนกลีบปากซึ่งเผยอรอรับ อย่างถวิลหารั้งเอวคอดกิ่ว สะโพกกลมกลึง ฝ่ามือนุ่มลูบไล้ไปตามส่วนโค้งเว้า กดจมูกลงที่อกงามแนบแน่นเคล้าคลึงอย่างนุ่มนวลทั้งสองกอดรัดผลัดกันจูบตอบโต้อย่างพึงพอใจ ส่วนฝ่ามือหนุ่มรูปงามลูบไล้อ่อนโยนลงไปละเรื่อย ถึงเนินอูมขนาดของร่างหญิงสาวทำให้เขาละลานใจ อดมิได้ที่จะเกาะกุมอย่างเป็นเจ้าของ สองนิ้วแหวกผ่านม่านไหมนุ่ม ลากนิ้วเกลี่ย หยอกล้อ สร้างความกระสันปั่นป่วนยวนยีใจ และปลุกเร้า อารมณ์ให้เตลิดไปไกลแสนไกล ป่านแก้วถูกร่างเปลือยเปล่า แกร่งเพรียวด้วยกล้ามเนื้อสวย เขาคงเป็นที่ชื่นชอบของหญิงสาวหลายคนที่เข้าในชีวิต รวมทั้ง เธอ ป่านแก้วชะงักไปเล็กน้อย
“ไว้ใจขิมนะป่าน”เสียงอ้อนสั่นพลิ้ว สอดนิ้วนำทาง หญิงสาวแอ่นกายขึ้นรับเมื่อถูกกระตุ้น ขณะที่ริมฝีปากสวยร้อนผ่าวขบทึ้งยอดอกหญิงสาวด้วยความปรารถนา ที่เปิดเผยออกมาถึงความต้องการที่ถูกซ่อนไว้ ชายหนุ่มรุกเร้าร่างขาวโพลน ร่างบางสะท้านยามถูกสำรวจด้วยริมฝีปากร้อนผ่าวและนิ้วหยาบที่ไซ้ซอนร่างสาว
“สวยจังเลยป่าน หอมมากด้วย”ขิมชื่นชม หญิงสาวครวญคราง จากทุกสัมผัสเรียวลิ้นที่เข้าแทรกแซงแทนนิ้วของชายหนุ่ม
ขิมพอใจหญิงสาวจนสามารถปรนเปรอให้ได้ทุกสิ่ง เขาเคล้าคลึงด้วยลิ้นและริมฝีปากละเลงไล้ในความพร้อมของป่านแก้ว จากนั้นจึงเลื่อนกายขึ้นมาเสียดสี ป่านแก้วอยากรู้จักตัวตนของชายหนุ่มที่กำลังก้าวหน้ามากกว่าเพื่อนสนิท เรียวลิ้นชื้นที่สอดลึกและเชิญชวนในริมฝีปากของหญิงสาว เล่นไล้ดูดดุน สลับผลัดเปลี่ยนอย่างรู้ใจ หญิงสาวหลงเพริดลงไปควานหาสิ่งที่อยากรู้จัก ลำกายแกร่งแข็งกร้าว เหยียดยาวเต็มที่เกินมาตรฐานชายไทย
“โอ๊ะ เบาป่าน”ขิมสูดปากร้องครางเมื่อโดนโจมตีด้วยการรูดแรง อย่างบอกให้รู้ว่าหญิงสาวต้องไม่เคยมาก่อนแน่ “ชอบมั้ย”เขามีหน้าถามหญิงสาวซึ่งใบหน้าแดงกล่ำ
“ถนอมป่านหน่อยนะคะ”เธอวิงวอน ขิมฟังแล้วแทบขาดใจตาย ช่างเพราะเหลือเกินในยามนี้ เพราะแฝงความเต็มใจไม่ใช่เพราะเกิดจากแรงกดดัน ป่านแก้วให้อย่างมีสติเต็มที่และเขาเองปรารถนาเปี่ยมล้นเต็มที่ ชายหนุ่มเลื่อนกายขึ้นมาจูบเด็กสาว แทรกเข่าหว่างกลาง เขาอกก้มมองความงามที่เขาคิดว่าได้รูปสวย และซุกซ่อนสิ่งที่เขาต้องการไว้ภายในมือนุ่มช้อนสะโพกเธอเข้ามาจ่อลำกายชิดค่อยๆแทรกลงไปในร่องกลีบสีเกสรชมพูจัด ความคับแคบรัดรึงมิอาจทำให้ชายหนุ่มเคลื่อนกายได้รวดเร็ว หากเขาพึงพอใจกับความนุ่มนวลที่พร้อมถนอมหญิงสาวให้ได้สมใจต่อครั้งแรกในชีวิต โดยมาจากเขา ซึ่งเป็นเพื่อนที่เธอไว้ใจ
“ขิม...”ป่านแก้วครางแผ่วหวิว
“เจ็บมากหรือเปล่าป่าน”
“เข้ามาเถอะค่ะ”เธอตอบพลางขยับกาย เอาใจชายหนุ่มซึ่งค่อยเคลื่อนเข้าไปที่ละน้อย จนในที่สุดเขาได้แทบแน่นสนิทในกายของหญิงสาว แรงบีบแทบทำให้ขิมป่วนปั่นขาดใจตายด้วยความสุขเสียดแทงทะลุเส้นเลือดเกือบทุกเส้นในร่างกาย
ความเนิบนาบเชื่อช้า เป็นการทะนุถนอมคู่รักอย่างยอดเยี่ยม จนป่านแก้วไม่อาจทนรอได้เอง เธอขยับกายตอบรับเร็วมากขึ้น แม้ว่าส่วนกลางของร่างกายแทบจะปริแตก หากว่าความสุขแหลมลึกที่ได้รับกลับทำให้หญิงสาวใคร่ไห้สูงกว่านั้น สูงอย่างที่เขาเรียกกันว่า สวรรค์ชั้นเจ็ด ซึ่งไม่มีจริง แต่มีในกามรมย์ความสุดยอดเยี่ยมของมนุษย์ที่เวียนว่ายในความรักอันสุขสรรค์นี้เอง
ความแข็งแรงของหนุ่มสาวได้หอบหายใจไม่นาน ความต้องการครั้งใหม่ได้เริ่มอย่างรวดเร็ว เรือนร่างเต็มมือเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เป็นเชื้อเพลิงที่ก่อไฟให้ติดและดับได้ยากยิ่งนัก ป่านแก้วจูบขิมหนักหน่วง ห่วงหา ลิ้นชายหนุ่มแทรกแซงเข้าไปควานหาพบซึ่งรีบเกี่ยวพัน นวดเล่นอยู่ครู่เดียวเธอดูดเขาไว้แน่นหนา ขิมเสียวซ่านซึมเข้สู่ทุกอณูเนื้อราวโดนของแหลมเสียดแทง ความเจ็บรวดร้าวกับที่อยู่ที่เดียวซึ่งแข็งตึง ป่านแก้วราวกับรู้ใจ เธอพลิกกายดันร่างใหญ่ลงนอนหงายบนเตียงกว้าง ขยับกายขึ้นนั่งแนบชิด พรมจูบด้วยริมฝีปากไปทั่วกายของชายหนุ่มอย่างแสนรัก มือแสนซนฉลาดในการเอาใจ นวดคลึงจากส่วนปลายแข็งตระหง่านอย่างไม่ยอมสยบลงตั้งแต่แรก เธอก่อกวนแผ่วเบา ขิมครางอึงในลำคอ ปากสวยสีสดไล้เลียป้านนมวนเข้าไปกัดเม้มปลายยอด ชายหนุ่มกัดฟันกรอดครางเรียก
“ป่าน เก่งจัง”
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปโอบรอบคอหญิงสาวบางเบา หากบังคับให้ขึ้นมาหาตัวเองริมฝีปากจุมพิตลงกลีบปากหนาสวยอย่างนุ่มหนักหน่วง เรียวลิ้นชื้นที่สอดลึกและเชิญชวนในริมฝีปากของหญิงสาว เล่นไล้ดูดดุน สลับผลัดเปลี่ยนอย่างรู้ใจ
มือแข็งแรงของชายหนุ่มจับเอวเล็กไว้แน่นก่อนขยับ ขับเคลื่อนให้มาคร่อมทับเหนือร่างของตนเองตามที่หญิงสาวต้องการ จากนั้นค่อยเอนกายลงนอน โน้มร่างหญิงสาว สอดมือกดที่ท้ายทอยกดอีกฝ่ายลงมาจูบ เกี่ยวกวัดพันพัวไล่เล่นกันไม่หยุดอยู่ในริมฝีปากหอมหวานของกันและกัน ยิ่งจูบยิ่งเพิ่มความซ่านเสียว ส่งให้มือเรียวใหญ่ บีบเคล้น ความเต่งตรึงคัดได้รูปสวยงามก่อนผละจากริมฝีปาก วนเวียนไปซุกไซร้ไม่เลิกอารมณ์เร่าร้อนรุนแรงมาเยือนรวดเร็ว ชายหนุ่มต้องหยัดร่างขึ้นหาหญิงสาว
ชายหนุ่มก็คำรามลึกอยู่ในลำคอ ร่างสูงใหญ่เกร็งสั่นเทิ้มจนต้องโอบรัดร่างน้อยเข้ามาสวมกอดไว้แนบแน่นราวกับว่าเขาเป็นไม้หลักที่ปักอยู่ในเลนและจวนล้มมิล้ม หากหญิงสาวทาบร่างแนบสนิทก่ายกอดรัดร่างใหญ่แน่นหนา เกร็ง.กายสุขล้ำหลายครั้งในคราวเดียว
ความเงียบ เป็นเครื่องบ่งบอกถึงเรื่องราวในอนาคต ที่ทั้งสองไม่ได้วาดหวังว่าจะลงเอยด้วยการแต่งงาน ทั้งสองต่างบรรลุนิติภาวะมานานมากแล้ว การมีความสัมพันธ์เพราะคิดว่าตนเป้นผู้ใหญ่ที่มีความพร้อมในการรับผิดชอบตนเองเพียงพอ
ขิมยังไม่ต้องการผูกมัด และป่านแก้วไม่ต้องการยึดเหนี่ยมอีกฝ่ายไว้ ดังนั้นความเงียบจึงสานสัมพันธ์ไปด้วยความเข้าใจในกันและกัน จนกระทั่งเสน่หาอาวรณ์ได้เริ่มอย่างรุนแรงกว่าทุกครั้ง ก่อนสลาตันลูกสุดท้ายไปจะผ่านไปพร้อมกับการหลับด้วยความอ่อนเพลียของคนทั้งคู่
ป่านแก้วแทบย่องเข้าบ้านตนเองในเวลารุ่งสาง
“คุณป่าน ตายแล้วบัวเป็นห่วงจนนอนไม่หลับทำไมกลับป่านนี้ค่ะ”เสียงทักทำให้ป่านแกวสะดุ้ง ยิ้มเจื่อนราวเด็กไปทำผิด แต่ยังพอมีอำนาจอยู่บ้างจึงกลบเกลื่อนว่า
“อย่าถามเลยจะรีบไปทำงานขอกาแฟแก่ๆสักถ้วยเถอะขนมปังไม่เอา”
ป่านแก้วทบทวนเหตุเมื่อคืนหลังจากตื่นนอนด้วยร่างเปลือยในผ้าห่มผืนเดียวกันกับชายร่างใหญ่ แค่ร่างกระทบกันก็รู้ว่าขิมเองไม่ได้สวมใส่อะไรเช่นเดียวกัน
เกิดขึ้นแล้วความสนิทที่ยิ่งกว่าเพื่อน หรือจะวางในชั้นเพื่อนต่อไป ป่านแก้วคิดอย่างคนใจกว้าง จากนั้นจึงค่อยลุกขึ้นไปหยิบเสื้อชายหนุ่ม ซึ่งตัวโตมาพอจะคลุมร่างจนเลยเข่าลงมา จากนั้นจึงกลับ โดยที่ขิมยังหลับสนิท
“ไปไหนมาคะ ไปเอาเสื้อผู้ชายมาใส่ด้วย”บัวศรีบ่นหน้างอง้ำ ราวกับนายสาวเป็นเด็กซุกซนไม่มีผิด
“ป่านไปอาบน้ำก่อนนะคะพี่บัว”
บัวศรีพยักหน้ารับ เดินไปในครัวเตรียมอาหารเช้าไว้ต้อนรับนาย ไม่ช้านัก ป่านแก้วในชุดพร้อมไปทำงาน ออกมานั่งอยู่ที่โต๊ะ บัวถามเมื่อนำกาแฟมาเสิร์ฟ
“ตกลงคุณป่านไปไหนมาเมื่อคืนนี้”
“นอนบ้านเพื่อนขอโทษที่ไม่ได้โทรมาบอก”
“คุณท่านมาหาด้วยค่ะเมื่อคืนนี้”
“ฮ้า” ป่านแก้วตาโตเป็นไข่ห่าน บิดาไม่ค่อยได้มามาทีก็หมายความว่ามีเรื่องสำคัญ
“คุณพ่อมีเรื่องอะไรหรือเปล่าพี่บัว”
“ท่านว่ามาเยี่ยม เพราะคุณไม่เคยไปเยี่ยมท่านเลย”
หญิงสาวถอนใจอย่างโล่งอกที่ไม่ได้ยินข่าวร้ายอะไร
“เหรอ แค่นั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวไปหาท่านเสียหน่อยปล่อยให้โกรธมากปะเดี๋ยวจะริบบ้านคืน” ดูป่านแก้วอารมณ์ดีจนพี่เลี้ยงอดสงสัยไม่ได้
“หน้าตาสดใสยังกับมีความรักเลยนะคะ”
ป่านแก้วชะงักงันไปนิด แล้วจึงรีบสลัดความคิดทิ้งโดยเร็ว แต่ทิ้งไปไม่ได้สักเรื่องเดียว
“พี่บัวพูดอะไรก็ไม่รู้ ป่านไปทำงานดีกว่า”
หญิงสาวสะพายกระเป๋าคล้องไหล่ออกไปใส่รองเท้าข้างนอก รองเท้าส้นสูงถูกขัดเป็นเงา
“บอกว่าอย่าขัดไงเล่าพี่บัว”
“แหมวันๆไม่รู้จะทำอะไรนี่คะ”
“รองเท้าเป็นของต่ำต้องทำเอง”
“ต่ำที่ไหนกันล่ะคะบัวมารับใช้ ไม่ใช้มานอนรอเงินเดือนนะคะ”
สาววัยสี่สิบใช้แรงงานให้เป็นประโยชน์โต้แย้งเจ้านาย ลับหลังเก็บรองเท้าคู่ที่นายสาวใส่เมื่อวานมานั่งเช็ดถูทำความสะอาดอีก
“รักเสียอย่างทำได้ทั้งนั้นแหละ ถ้ายอมล่ะก็จะขัดเท้าให้เลยสิ น่า”
บัวศรี เหงาๆที่มักจะต้องเฝ้าบ้านตามลำพัง เมื่อไม่รู้จะคุยกับใครก็บ่นพึมกับตัวเอง ไม่มีเสียละที่จะไปชวนยายคุณนายข้างบ้านคุยให้เสียเครดิตคนใช้ผู้แสนดี!!



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ส.ค. 2554, 12:17:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ส.ค. 2554, 12:17:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 2364





<< ตอนที่10 ขั้นของคำว่าเพื่อน   ตอนที่ 12 สัจจะ กับ ประพันธ์ >>
Zephyr 24 ส.ค. 2554, 14:39:01 น.
เอ่อ และแล้วก็โดนเพื่อน...รัก จนได้นะป่านจ๋า แต่หัวสมัยใหม่ทั้งคู่เลยอ่ะ ไม่ผูกมัดเหรอ งั้นพระเอกก็ไม่ใช่ขิมเหรอคะ เฮ้อ ยังมีให้ลุ้นอีกหลายคน รอต่อๆ


แพม 24 ส.ค. 2554, 15:31:44 น.
เหตุเกิดเพราะความเมา แล้วพระเอกเป็นใครล่ะเนี่ย


Auuuu 24 ส.ค. 2554, 19:37:58 น.
เอิ่ม... แต่เราว่าพระเอกเป็นขิมอยู่ดีนะเนี่ย
บัวศรีนิสัยดีมากมาย ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account