ห้วงเสน่หา ปรารถนาแห่งหัวใจ
ความรักได้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าและความปรารถนาของหัวใจย่อมมาก่อน เสน่หา
และนั่นอาจจะเป้นการพลาดเมื่อเขา และเธอรู้จักรักที่แท้จริง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 12 สัจจะ กับ ประพันธ์

คณะกรรมการพากันปรบมือเมื่อโฆษณาจบลง ป่านแก้วสบตากับขิมยิ้มให้แก่กัน ลึกลงไปนั้นทั้งสองต่างรู้ดีแก่ใจ รู้จักกันอย่างลึกซึ้งเพียงใดกับเหตุการณ์เมื่อคืนนี้
“คุณป่านตาถึงดีนะ”ปกรณ์กล่าวชม
“บริษัทเขาเก่งมากกว่าค่ะ ทำงานให้คนสิบคนมีความคิดเห็นเดียวกันได้”
“โอ เค คุณติดต่อไปที่ฝ่ายผลิตเลยนะป่าน”
“ค่ะ” ป่านแก้วทำงานรวดเร็วถูกใจท่านประธานบริษัทนัก
กรรมการผู้บริหารกระซิบกระซาบกัน เมื่อเห็นว่าท่านประธานโปรดลูกน้องคนนี่อยู่ไม่น้อย
“สวยทำงานเก่งท่านน่าจะจีบไว้เป็นคุณนายเสียเอง”
“นั่นสิยังโสดอยู่ ผู้หญิงสมัยนี้เขาไม่สนเรื่องอายุหรอก”
ขิมแสร้งเดินกระแทกไหล่คนที่พูดคนสุดท้าย ทำให้เขาเสียหลักไปเหมือนกัน
“ระวังหน่อยสิคุณ”ชายผู้นั้นหันไปดุขิม ซึ่งหงุดหงิดต่อคำพูดของอีกฝ่ายจึงหาเรื่องชนให้หยุดปากพูดชั่วขณะ
“ขอโทษครับผมรีบไปหน่อย”
เขากล่าวแก้แค่นั้น แล้วจากไปทันที เพื่อให้ทันป่านแก้วที่เดินนำลิ่วๆ ขิมตามมาทันคนร่างอรชรบาดใจ
“จะไปไหนป่าน”
ป่านแก้วหันขวับไปตามเสียงที่ทักทาย หญิงสาวแก้มระเรื่อแดงอย่างอดถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ไม่ได้ ส่งยิ้มให้ชายหนุ่มก่อนบอกเต็มเสียง
“ไปโรงงานจ้ะ”
“ต้องไปเองหรือป่าน ทำไมต้องไปเองล่ะไม่มีลูกน้องเลยหรือ
“ไปเองเห็นเองสะดวกดี”
“ทำงานคุ้มเงินเดือนเลยนะ”
“ถ้าว่างก็ตามไปสิเดี๋ยวจะได้ทานข้าวกลางวันพร้อมกัน”
ขิมทำท่าเสียดาย แต่มีความหวังอยู่บ้างจึงเอ่ยว่า
“กลางวันไม่ว่าง แต่เปลี่ยนเป็นข้าวเย็นได้มั้ย”
“ป่านก็ไม่ว่างเย็น ป่านต้องไปหาพ่อ เมื่อวานพ่อมาหาแล้วไม่เจอ ขืนไม่รอพบเดี๋ยวริบบ้านคืน ผ่านไปก่อนนะขิม” ป่านทิ้งไปดื้อ
ขิมโบกมือให้ทำท่าเหมือนถูกทิ้งกระนั้น เขารู้สึกอยากอยู่ใกล้ ได้เห็นหน้า และพูดคุยด้วยตลอด เขาอยากใกล้ชิด ไม่ใช่ความรู้สึกครั้งยังไร้เดียงสา แต่เป็นความรู้สึกที่เข้ามาเป็นห้วงๆในใจ ...ป่านแก้ว เขาชอบป่านแก้วเป็นพิเศษหรือนี่ ชายหนุ่มถามตัวเอง แล้วรีบถอนความรู้สึกโดยเร็ว
“บ้าแล้วขิม ผู้หญิงเขายังทำเฉยได้เลยนะ”
เขาต่อว่าตัวเอง โดยไม่รู้ว่า ป่านแก้วมีความรู้สึกเดียวกันกับชายหนุ่ม เพียงแต่...เธอคิดแยกแยะออกมาได้ว่า หากใกล้จะกลายเป็นผูกมัด ขิมเจ้าชู้ เธอไม่อยากใช้ความเป็นเพื่อนสนิทเอาเปรียบชายหนุ่ม ซึ่งเธอคิดอย่างผู้ชาย สมกับที่ประนาทเคยถามลูกสาวอย่างลังเลว่า เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จึงใจกว้างไม่คิดเล็กคิดน้อย บางทีป่านแก้วอาจเข้าใจขิมได้จริงๆก็เป็นได้
ผู้ชายเหมือนสายน้ำ ลื่นไหลล้ำไปตามภาชนะใส่
เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่างทันใด เป็นไปตามใจปรารถนาแห่งตน!!
ขิมแยกกันกับป่านแก้ว ชายหนุ่มกลับไปที่ทำงานจนหมดเวลาจึงออกไปหอศิลป์ ซึ่งยังจัดนิทรรศการเดิมอยู่ เขาดินเตร่เข้าไปหาประชาสัมพันธ์สาว สอบถามเสียงอ่อน
“ภาพเขียนยังแสดงอยู่ใช่มั้ยครับ”
“แสดงวันนี้เป็นวันสุดท้ายค่ะ”
“จิตรกรที่วาดภาพ เขามามั้ยครับ”
“ไม่ทราบค่ะติดต่อไปไม่ได้เลย นามบัตรของคุณก็ยังอยู่นะคะ” เธอดันมาส่งคืนขิมรับมามองก่อนเก็บใส่กระเป๋า
“ขอบคุณนะครับที่เป็นธุระให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ขิมส่งยิ้มทิ้งท้ายให้สาวประชาสัมพันธ์ ก่อนเดินไปดูภาพเขียน ‘ท้องทุ่ง’อีกครั้ง
ภาพวาดอบอุ่น และดูงดงาม หากคนมีความหลังกับงานที่สื่อออกมาจากใจ คล้ายกับกำลังไล่ตามอดีตให้หวนคืน...ความสุขที่บริสุทธิ์สดใสของวัยเยาว์ ไม่ว่าใครย่อมมีช่วงวัยเด็กที่ร่าเริงแจ่มใส แม้บางคนมีไม่มากนัก แต่ต้องมีสักช่วงหนึ่งให้คิดถึงอย่างดื่มด่ำ!!
รองเท้าแตะหนังธรรมดาถูกใส่จนสึก ย่ามทอลายสะพายป่าร่างผอมสูดดูเซอ สมอาชีพที่คนมองพอจะเดาได้ว่า เขาน่าจะเป็นศิลปินสาขาใดสาขาหนึ่ง จะแลปกตรงที่ศิลปินคนนี้ มีริมฝีปากระเรื่อแดง บอกถึงว่าเขาไม่ติดสารเสพติดยี่ห้องใดทั้งสิ้น
เขาก้มลงมองถาดแกงหลายถาด อดย้อนคิดอย่างคนมีอดีตให้จดจำมากมายหลายเรื่องเสียไม่ได้ว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อนเมื่อก่อน กว่าจะได้กับข้าวสักถุง เขาต้องแอบล้วงกระเป๋านับเงินแล้วถามแม่ค้าว่าตักขายเท่าไหร่ หากมากเกินที่จะซ้อได้เขาจะส่งเพียงยิ้มหวานให้ จากนั้นสองวันเขาจึงจะได้หิ้วถุงแกงที่อยากกินกลับไปได้ ชีวิตที่แร้นแค้นนั้นได้ผ่านมาแล้วหลายปี
วันนี้เขาไม่ต้องไปเสียเวลานับอีก อยากกินอาหารต่างชาติที่มาเปิดแข่งกันทั่วทุกหัวระแหงทั่วเมือง แต่เขานิยมไทยมากกว่า
“แกงอะไรดีคะ”ป้าผันถาม อย่างเอาใจใส่มากกว่ารำคาญ ที่ชายร่างสูงมองกับข้าวราวกับจะแยกให้ออกว่ามีอะไรใส่ไปบ้างกระนั้น
ชายร่างสูงโปร่ง ผิวขาวชี้บอกไม่มองหน้าคนขาย จากนั้นไปนั่งรอคนเสิร์ฟ เวลาเดียวกันนั้น รถมอเตอร์ไซค์จอดตรงที่ว่างด้านข้าง ไม่ห่างจากเก้าอี้ที่สัจจะนั่ง ๆร่างผู้ชายผมสั้นเกรียนชุดครึ่งท่อนเดินเข้าไป เขามองสัจจะแวบหนึ่งสารรูปนอกอาชีพว่าเป็นศิลปินน้องๆ ไปโรงเรียนกันหมด เหลือป้าผันกับลุงสมพรช่วยกันขายข้าวราดแกงกันตามลำพัง
ประพันธ์เดินมาเสิร์ฟ สัจจะเงยขึ้นมองอย่างนึกแปลกใจ เพราะผิดวิสัยที่คนในเครื่องแบบจะทำงานแบบนี้เขาเงยขึ้นมองขณะอีกฝ่ายก็สบตาเช่นกัน
“ผมรู้จักคุณหรือเปล่า” ประพันธ์เป็นฝ่ายเอ่ยปาก สายสัมพันธ์ที่เคยแนบแน่นไม่เคยถูกตัดขายไปจากใจ หากแต่สัจจะเข้าใจว่าตำรวจหนุ่มผู้นี้คิดมาอวดเบ่งเพราะท่าทางไม่สนใจโลกของเขาอาจจะสะดุดตาก็เป็นได้
“ผมไม่เคยมาแถวนี้” สัจจะตอบ มองหน้าคนถาม ผู้ชายหน้าหวานร่างสูงสันทัดคลับคล้ายใครบางคนที่ยังฝังใจในวัยเยาว์ หากว่าเขาอยู่ในเครื่องแบบจึงทำให้ลังเลไม่แน่ใจ ส่วนประพันธ์ เขาเลื่อนเก้าอี้นั่งร่วมโต๊ะ ลุงสมพรคิดว่ามีปัญหาจึงออกมาดู ป้าผันเป็นผู้หญิงจึงได้แต่ชะเง้อดูห่างๆ
“ผมว่าผู้จักคุณนะ”
“มีอะไรหรือลูก” ลุงสมพรเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง ไม่ใช่หาเรื่องอย่างนักเลงโต
สัจจะเงยขึ้นมองลุงสมพร อย่างคลับคล้ายคลับคลาว่ารู้จัก ซึ่งผู้ใหญ่มักจะจำเด็กไม่ได้ แต่เด็กจำได้แน่นอน ชายหนุ่มร่างสูงยกมือไหว้ท่วมหัวอย่างที่อาเนื่องเคยติง ว่าไหว้เป็นหนุมายถวายแหวน
“ลุงพร ผมเองครับจำผมได้มั้ยจ๊ะไง”
“จ๊ะ” ประพันธ์อุทาน “เราว่าแล้วว่ารู้จักแต่นึกไม่ออก”
“พัน ใช่พันจริงๆด้วยสิ” สัจจะอุทานตื่นเต้น เลื่อนสายตามองตำรวจผู้ร่วมโต๊ะ จากนั้นทั้งสองผุดลุกจากเก้าอี้นั่ง โผเข้าโอบกอดกันแน่น ไม่ต้องบอกเลยว่าทั้งสองมีความยินดีมากมายเพียงใด
ประพันธ์ตบหลังเพื่อนหัวเราะอย่างตื้นตันใจ ป้าผันรีบเข้ามาร่วมวงสนทนาทันทีนาง รับไหว้ชายหนุ่มแล้วทักทายสนิทสนม
“จ๊ะหรือนี่ เป็นหนุ่มจนจำไม่ได้เลย ไปอยู่ไหนมาละลูก กินข้าวกินปลากันก่อน พันบ่นถึงอยู่เรื่อย” ป้าผันพูดอย่างห่วงใยแท้จริง “ไปอยู่ไหน ลำบากมั้ยลูก”
“อยู่ไกลครับป้า แต่ก็ทำงานสบายมาหลายปีแล้วครับ”
“ดูแกแต่งตัวเข้าสิจ๊ะ ทำเป็นพวกศิลปินเพื่อชีวิต”
“ทำนองนั้น แต่เป็นชีวิตตัวเอง” เขาบอกอารมณ์แจ่มใสเป็นกันเอง
“อยู่ที่ไหนคืนนี้ว่างมั้ยจะไปนอนคุยด้วย”
“ว่างทุกวันแต่เราอยู่ไกลจากที่นี่มาก”
แขกเริ่มเข้ามาทานอาหารกันมากหน้า ประพันธ์ต้องลุกไปช่วย สัจจะเลยช่วยอีกแรง
“แหมป้าผันมีลูกชายหล่อทั้งนั้นเลยนะ” ลูกค้าสาวแก่นๆ แซวสัจจะเมื่อไปเสิร์ฟอาหารตามสั่งให้ สัจจะยิ้มนิดๆ สาวสมัยใจกล้า ยิ้มส่งให้ชายรูปงาม จีบอย่างล้ำสมัย
“รอยยิ้มของพี่ทำให้หนูอิ่มข้าวเลยนะเนี่ย พี่หัดยิ้มเข้าไว้นะ รู้มั้ยว่าพี่ยิ้มสวย โคตร โคตรเลย”
“เล่นถึงโคตรเลยหรือครับ ครับผมจะจำไว้”
สาวหัวเราะคิกคัก สัจจะเดินไปภายใน บอกเพื่อนว่าจะไปธุระ ประพันธ์บอกให้รอเขาจะไปส่ง ไม่นานนักประพันธ์ขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งเพื่อนตามที่เขาสั่ง
“ไปหอศิลป์มาทำอะไรวะจ๊ะ”
“เออน่าจะพาไปดูอดีตไง”สัจจะตอบสั้น ไม่ช่างพูดเหมือนยามเยาว์
สองหนุ่มเดินเข้าไปในหอศิลป์ สวนทางกับร่างสูงใหญ่ของขิมทั้งหมดหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนจะต่างคนต่างไป
สัจจะเดินนำเพื่อนเข้าไปภายใน ประพันธ์ยังใส่ชุดเครื่องแบบครึ่งท่อนตามไปติดประชาสัมพันธ์สาวออกจากเคาน์เตอร์มาเรียกหนุ่มร่างสูงหล่ออย่างที่พระเอกหนังยังอาย ด้วยท่าทางตื่นเต้น
“อ้าวคุณสัจจะธรรมเชิญทางนี้ค่ะ แหมไม่นึกว่าคุณจะมามีคนมารอพบคุณตั้งนานค่ะ พึ่งออกไปสักครู่นี้เขาชอบภาพเขียนของคุณมากค่ะ”
ประกายตาประพันธ์ลุกวาว เพื่อนเป็นจิตรกรสมความตั้งใจแล้วหรือนี่ท่าทางมีชื่อเสียงไม่เบาฟังจากการพูดจาที่ได้ยิน
“เขาเคยให้นามบัตรไว้ค่ะชื่อขิม แต่ฉันคืนเขาไปเสียแล้ว”
“ฮะ” สองหนุ่มตื่นเต้นหนัก เพื่อนอีกคนมาตามหาถึงที่นี่แล้ว แต่คาดกัน
“คนนั้นหรือเปล่าที่สวนกับเรา” สัจจะหันมาขอความเห็นประพันธ์
“จะใช่หรือจ๊ะ ท่าทางหมอนั่นโก้หรูขนาดนั้น” ประพันธ์ ไม่แน่ใจ เพราะเขานึกถึงแต่ภาพเด็กชายตัวโตลูกทุ่งเต็มตัว แต่ชายหนุ่มที่สวนทางเมื่อสักครู่ ต่างกันราวกับนักเรียนนอก กับท้องนา…เข้ากันไม่ได้เลย!!
ภาพท้องทุ่งมีคนสนใจมาดูไม่ขาดสาย วันนี้มีนักเรียนกลุ่มใหญ่มาดูวิพากษ์วิจารณ์แต่สิ่งที่ดีๆ จนประพันธ์รู้สึกปลื้มใจกับความฝันที่เป็นจริงไปกับเพื่อน จากนั้นทั้งสัจจะและประพันธ์กลับเข้าไปที่ประชาสัมพันธ์อีกครั้ง ถามหาที่อยู่ของขิม
“คุณไม่มีเบอร์โทรติดต่อกับขิมหรือ”
“ฉันจดไว้ค่ะ”
“ขอจดหน่อยสิ” สัจจะจดด้วยตัวหนังสือหวัดแต่สวย
ประพันธ์นึกถึงยามเด็ก เพื่อนในกลุ่มรู้ว่า หากจะลอกการบ้านต้องลอกขิม แต่ถ้าอยากได้ภาพสวยๆ ก็ต้องทาบภาพของสัจจะ จะให้ท้องอิ่มก็ปิ่นโตยายป่าน เพราะป่านแก้วใส่กับข้าวแห้ง ตัวปิ่นโตเปล่านำมาใส่ข้าวจากใบตองห่อของประพันธ์มาใส่อย่างดี น้ำตาของลูกผู้ชายไหลรินออกมาด้วยความรู้สึกเต็มตื้นกับความหลังที่ทำให้เขามีความสุขทุกครั้งที่คิดถึง
สัจจะบีบไหลเพื่อนรัก อย่างเข้าใจถึงความในใจ เพราะเขาเองเวลาเหงาหรือท้อใจ ความสุขเล็กๆที่เคยมีเป็นยาบำรุงที่ทำให้เขายืนหยัด และมีความปรารถนาแรงกล้าในการใฝ่ดี ประพันธ์มองภาพวาดของเพื่อนอีกครั้ง ความอบอุ่นจากสีที่ใช้ อาบรินใจผู้ชายคนนี้ได้อย่างดื่มด่ำ
“ภาพของนายบอกความสุขได้ชัดเลยนะจ๊ะ มันคือตัวเราจริงๆ ท้องหิวเสื้อผ้าขาดแต่เรามีความสุข ทุกๆวันของเราเมื่ออยู่กับพวกนายมันมีค่ากว่าอะไรทั้งหมด ไม่มีสักวันที่เราจะไม่คิดถึงวันเก่าๆ อดีตคือกำลังใจที่ทำให้เราไม่ท้อถอยเราหวังว่าชีวิตนี้โลกมันจะกลมสำหรับเรา
“ชีวิตของพวกเรา เป็นเส้นวงกลมไกลแค่ไหนต้องมาบรรจบกันได้”
ประพันธ์ปาดน้ำตาทิ้ง หากแล้วมันกลับรินไหลลงมาใหม่ เขาคือเด็กอ่อนประจำกลุ่ม เพื่อนฝูงช่วยเหลือเจือจุนมิได้ขาด
บ้านเช่าในสวนของสัจจะอยู่ลึกจนดูเปลี่ยวมาก รอบบ้านถูกถากถางจนเตียน โอ่งล้างเท้ามีน้ำใส่ครึ่งตุ่มรอบบ้านมีโอ่งน้ำร่วมสิบใบบางทีก็อาศัยดื่มน้ำนั้น”
สัจจะชี้ให้ดูคูน้ำสีสนิมไม้กระดานยื่นลงไปแผ่นเดียวมีที่วางกล่องสบู่บออกให้รู้ว่าคนอาศัยไว้อาบด้วย ชีวิตของเพื่อนดูใกล้กับอดีตมากว่าคนอื่นๆ เพราะถึงยามกลางคือเขาจะตะเกียงใบใหญ่ให้แสงสว่าง
“ว่าจะขอต่อไฟจากบ้านข้างนอก แต่พอผ่านไปเจ้าของรีบปิดบ้านหนีคงกลัวเราจะไปปล้นเขากระมัง” สัจจะเอ่ยกลั้วหัวเราะเมื่อก้มองสภาพหัวเอง ผมเหยียดยาว ร่างผอมสูงกับเสื้อผ้ารุ่มร่าม หากดวงหน้ากับงามราวแกะจากหินอ่อนสีงาช้าง
ทั้งสองยึดระเบียงบ้านเป็นที่คุยกัน สัจจะพิงหลับกับข้างฝา ประพันธ์ นั่งไม่ห่าง สองหนุ่มหน้าตาดียังคงพูดคุยถึงความหลัง ราวกับเป็นเรื่องของวันวาน
“บางวันอดข้าวจนแสบท้องเพราะต้องเอาเงินไปลงทะเบียน น้ำดื่มในวิทยาลัยนั่นคืออาหารของเราเลย รับจ้างเขาทุกอย่างตั้งแต่เสิร์ฟยันล้างจาน บางที่เศษอาหารที่เขากินเหลือก็ห่อกลับมาบ้านเก็บเอาไว้กิน” เขาเล่าความทุกข์ยากให้เพื่อนฟังด้วย สีหน้าเรียบเฉย
“ฉันว่าชีวิตเด็กวัดของฉันต้องแก่งแย่งกันกินเพราะมีเกือบครึ่งร้อยมาเรียนบ้างตกงานบ้าง ฉันว่ามันแย่แล้วแต่ก็ยังมีกินทุกมื้อแต่นาย”
“ความทุกข์ยากของฉันมันหายหมด เวลาฉันนึกถึงท้องทุ่งบ้านเรา นึกถึงลิเกหลงโรงบนโคกใต้ร่มทองกวาว” ขณะพูดเรื่องนี้เขาดูมีความสุขลึกล้ำจริงอย่างปากว่า
“เฮ่ย” ประพันธ์หน้าแดงจัดเก้อไปมาก เมื่อนึกถึงความบ้ายอไร้เดียงสาของตนเองเขาเอ่ยกล้วหัวเราะ ชนไหล่เพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ “เด็กมันก็บ้าๆไปอย่างนั้นแหละ”
“หลังจากหนีออกจากบ้าน ชีวิตฉันแย่มาก แต่เพราะพวกเรา ทำให้ฉันคิด ฉันจะทำตัวให้แย่ไม่ได้ จะคิดแค่ตัวเองไม่ได้ ฉันไม่ประชดชีวิตของฉันด้วยความอ่อนแอเด็ดขาด ฉันยังมีสิ่งดีๆรออยู่ ฉันคิดอย่างนี้ เสียงหัวเราะของพวกเราไม่เคยขาดเลยนะพัน”
“อยากเจอ เราคิดแต่ว่าอยากเจอทุกคน อยากเห็นความสุข เราหวังว่าทุกคนยังเหมือนเดิม มีน้ำใจให้แก่กัน คิดว่าวันเวลาไม่สามารถพรากความดีของพวกเราให้หายไปจากหัวใจ อายุสามสิบแล้วนะพวกเรา”
“ใช่ ความดีไม่เคยตาย” คนเล่าเริ่มสะเทือนใจ เมื่อนึกถึงครอบครัวพ่อถูกรถชนตาย ทำบุญร้อยวันเสร็จแม่ก็มีผัวใหม่ มันร้ายกาจตบตีแม่พอสัจจะเข้าช่วยก็ถูกทำโทษจากพ่อเลี้ยงพอทน แต่จากแม่ตัวนี่สิไม่ยุติธรรม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอจ๊ะ แม่เล่าให้ฟังแต่ว่า แกหนีออกจากบ้าน”
“ใช่ เราต้องหนี ไม่อย่างนั้นทั้งเราคงทำให้ขิมเป็นฆาตกรแน่”
“ขิมหรือ”
“ใช่ ขิมทนไม่ได้...มันเอามีดโต้ไปจะฟันหัวพ่อเลี้ยงฉัน แต่ว่า ฉันห้ามไว้ ก่อนจะหนีออกมา”
“มันร้ายมากเลยเหรอพ่อเลี้ยงห่า ห่าคนนี้”
สัจจะยิ้มหยันชีวิตที่ผ่านมา ก่อนย้อนนึกถึงอดีตที่ขมขื่นของตนเอง ซึ่งหลังจากแม่ของเขามีคนรักใหม่ ทั้งสัจจะและแม่ห่างเหินจนแทบไม่ได้คุยกัน ส่วนพ่อเลี้ยงและชานหนุ่มนั้นเข้ากันไม่ได้สักนิดเดียว พ่อเลี้ยงมาอย่างตัวเปล่า และเริ่มทำตัวเป็นข้าวของล้าน ด่าทอมารดาของเขาเป็นว่าเล่น ทำให้สัจจะเหลือทน แต่เขาไม่อาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้ จึงตกเป็นขี้ปากชายผู้นั้นทุกวัน
“มึงมันระยำขี้เกียจตัวเป็นขนไอ้จ๊ะ” มันด่าว่าเขา “เลี้ยงทำไมให้เสียข้าวสุกออกจากบ้านกูไป๊” มันครอบครองสมบัติของพ่อจนหมดสิ้น ทั้งที่เข้ามาอยู่ไม่กี่เดือน
“พี่อย่าไปดุมันเลย จ๊ะมันก็เป็นอย่างนี้ล่ะ อีกหน่อยมันโตกว่านี้มีเมียก็ออกไปเอง”
“เออถ้ารอถึงวันนั้นมึงก็เลือกเสียแต่วันนี้ก็แล้วกัน ว่าเอากูหรือลูกเหลือขอของมึง”
มันประกาศิตสั่งแม่ เขาแอบได้ยินแม่เลือกพ่อเลี้ยง น้ำตาเด็กหนุ่มรินไหล เขาตัดสินใจออกจากบ้าน ก่อนจากเขาก้มลงกราบลงหน้าห้องแม่ พร้อมปฏิญาณตนว่า แม้จะต้องอดตายข้างถนนเขาจะไม่มีวันกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนอย่างเด็ดขาด
“จ๊ะ”ประพันธ์ตบบ่าเพื่อนอย่างปลอบใจให้ลืมเรื่องร้าย สัจจะพยักหน้า ดวงตาคู่สวยทอดยาวไกล เอ่ยออกมาเบาๆ
“วันที่เลวร้ายมันจบแล้วล่ะ เราได้เบอร์โทรของขิมแล้ว มันถามหาเราก็หมายความว่าความผูกพันของเรายังอยู่”
“โทรไปทำไมวะ” สัจจะสบตาตรงประพันธ์เปิดยิ้มกว้าง เมื่อคิดเหมือนกันว่า
ต้องไปสร้างความประหลาดใจให้กับเพื่อน ถึงจะสะใจ!!!
เสียงโทรเรียกเข้าจากโทรส่วนตัวดังขึ้น ป่านแก้วกรอกเสียงหวานทักออกไป เธอได้รับเสียงอ้อนตอบกลับมา
“ป่านจ๋าป่าน คิดถึงป่านมากนะแม่ทูนหัว”
“จะจ๋าอะไรกันอีตาขิม” ป่านแก้วต่อว่าไม่จริงจัง เมื่อขิมหยอดเสียงหวานทักทายมาตามสาย หญิงสาวไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอย่างที่พูดจริงๆ
“หิวข้าวจังเลยไปทานข้าวด้วยกันนะจะไปรับ”
“มีนัดกับท่านประธานแล้ว”ป่านแก้วบอกอย่างไม่ปิดบัง ขยับจะอธิบายมากกว่านั้นแต่ขิมวางสายไปเสียก่อน ป่านแก้วฉงนใจต่อการกระทำของขิม จนอดเป็นห่วงไม่ได้
ส่วนคนผิดหวังหงุดหงิดหัวใจอย่างบอกไม่ถูก ในเวลาเดียวกันนั้นทีมงานที่ถ่ายโฆษณาได้มาตามขิมอย่างที่เคยเป็น
“บอสคะ ทีมงานรอเทสต์ดาราอยู่ค่ะ”
“รอใคร”
“เออรอบอส”
“ ผมไม่ใช่นักแสดงหน้าที่ใครก็ทำไป”ขิมสั่งเสียงเข้ม
“คะ ค่ะ” เลขาสาวรีบแจ้นออกไปแจ้งกลุ่มคนทำงาน ทำให้ทุกคนแปลกใจ เพราะถ้าขิมว่าง ชายหนุ่มจะลงมาคัดเลือกด้วยตนเอง โดยเฉพาะถ้านางแบบใหม่สวยๆจะไม่ค่อยพลาด แต่วันนี้ ไม่เหมือนวันที่ผ่านมา
ชายผู้เป็นเจ้าของก้าวยาวๆ ออกจากบริษัทขับรถปราดออกไปทันที ไม่มีใครเคยเห็นอารมณ์นี้มาก่อน ต่างพากันแปลกใจ และคาดเดากันไปต่างๆนานา สุดท้ายลงเอยว่าคงไปจีบสาวสักคนแล้วเขาไม่ตอบรับเป็นรายแรกของนาย
ขิมจากไปไม่นานนัก ประพันธ์ กับสัจจะได้พากันมาถึง ทั้งสองฝ่ายจึงคลาดกัน รถมอเตอร์ไซค์ของประพันธ์ถูกให้จอดแค่ประตูป้อมยาม สัจจะลงจากรถลงไปพูดกับยามขี้เก๊กด้วยท่าทางอันนอบน้อม จนคนเป็นตำรวจเบือนหน้าหนีอย่างไม่ชอบใจนัก
“คุณขิมอยู่มั้ย”
“ไปข้างนอกครับ”
“เหรอ ถ้างั้นกลับก่อนดีกว่า”
ยามมองผ่านชายหนุ่มสองคนแต่งกายคนล่ะขั้วอีกคนแต่งตัวเซอๆ อีกคนแต่งกายเรียบร้อยผมสั้นเกรียน ป่สองหนุ่มขับรถป่านรถเก๋งของป่านแก้ว หญิงสาวผู้มีรอยยิ้มประดับเป็นเนืองนิตย์ จึงส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร สองหนุ่มยิ้มตอบด้วยดวงใจที่อุ่นวาบชอบกล
ความเป็นมิตรของมนุษย์ทุกชนชั้น ทุกสีสัน เป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้แก่กันและสังคมเสมอ!!!




นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ส.ค. 2554, 07:38:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ส.ค. 2554, 07:43:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1953





<< 11 คนหนึ่งรอ คนหนึ่งรับ   ตอนที่13 รัก >>
nutcha 25 ส.ค. 2554, 11:10:00 น.
เหลืออีกหนึ่งหนุ่มยังไม่ได้เปิดตัว แล้วใครเป็นพระเอกเนี้ยะจะใช่ขิมหรือเปล่า แง แง แง เดาไม่ออกง่ะ


นางแก้ว 25 ส.ค. 2554, 11:30:56 น.
ตามอ่านชีตาร์ล่าหัวใจด้วยนะจ๊ะ


แพม 25 ส.ค. 2554, 13:31:31 น.
ยังคงไม่รู้ว่าใครเป็นพระเอก สัจธรรมหรือเปล่านะ


Zephyr 25 ส.ค. 2554, 21:44:43 น.
โหย เดาไม่ได้เลยอ่า ใครเป็นพระเอกเนี่ย แง้มๆให้หน่อยไมได้เหรอคะ จะลงแดงด้วยความอยากรู้ เมื่อไรจะเจอกันคะ ลุ้นจะแย่แล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account