ทัณฑ์ทวงรัก: หอมดึก (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ
'ศมา' เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนา เขาเป็นวิศวกรหนุ่มที่ทั้งเก่ง ฉลาด จริงใจ และจริงจังไปเสียทุกเรื่อง แต่ว่าชีวิตกลับเล่นตลกกับผู้ชายสายบุญอย่างเขาที่ไม่ว่าจะรักจะชอบใคร ศมาก็เป็นได้แค่พี่ชายที่แสนดีคนหนึ่งเท่านั้น แถมสวรรค์ยังใจร้ายส่งผู้หญิงที่เป็นทุกอย่างที่เขาไม่ชอบ มาเป็นลูกหนี้เขา!
'ตวงทอง' หล่อนสวย หรู เพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา การศึกษา และฐานะหน้าที่การงาน หญิงสาวใช้ชีวิตแบบวัตถุนิยมสุดเหวี่ยง จนวันหนึ่งชีวิตได้ให้บทเรียนกับหล่อน จากคุณหนูไฮโซ ตวงทองกลายเป็นลูกหนี้ที่ต้องหนีหนี้ หาเงินมาใช้หนี้ไปวันๆ สุดท้ายเมื่อเริ่มจนตรอกหล่อนกัดฟันสู้ หันหน้ามาขอเกาะเจ้าหนี้กินเสียดื้อๆ
“ด้านได้ อายอด และฉันจะไม่ยอมอดตาย แค่งานกรรมกรก่อสร้างทำไมฉันจะทำไม่ได้!”
*********************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" (ผู้แต่ง ดุจจันทร์ดั้นเมฆ พนาพร่ำรัก และฝนเมษา ดอกไม้พฤษภา) และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า พ่อแง่แม่งอน อบอุ่น ละมุนในหัวใจแน่นอน ใครที่เคยฟิน ตรีเมฆ และจันทน์กะพ้อ ใน "ดุจจันทร์ดั้นเมฆ" มาแล้ว ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง #รับประกันความสนุกเช่นเคย!
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก ร้าน booksforfun ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง) ร้าน Banniyayindy(Budsara Thongrussamee) ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช ร้านBestbookSmile และร้าน Julee July
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 476 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 319฿ จากราคาปก 355฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 364฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann**
'ศมา' เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนา เขาเป็นวิศวกรหนุ่มที่ทั้งเก่ง ฉลาด จริงใจ และจริงจังไปเสียทุกเรื่อง แต่ว่าชีวิตกลับเล่นตลกกับผู้ชายสายบุญอย่างเขาที่ไม่ว่าจะรักจะชอบใคร ศมาก็เป็นได้แค่พี่ชายที่แสนดีคนหนึ่งเท่านั้น แถมสวรรค์ยังใจร้ายส่งผู้หญิงที่เป็นทุกอย่างที่เขาไม่ชอบ มาเป็นลูกหนี้เขา!
'ตวงทอง' หล่อนสวย หรู เพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา การศึกษา และฐานะหน้าที่การงาน หญิงสาวใช้ชีวิตแบบวัตถุนิยมสุดเหวี่ยง จนวันหนึ่งชีวิตได้ให้บทเรียนกับหล่อน จากคุณหนูไฮโซ ตวงทองกลายเป็นลูกหนี้ที่ต้องหนีหนี้ หาเงินมาใช้หนี้ไปวันๆ สุดท้ายเมื่อเริ่มจนตรอกหล่อนกัดฟันสู้ หันหน้ามาขอเกาะเจ้าหนี้กินเสียดื้อๆ
“ด้านได้ อายอด และฉันจะไม่ยอมอดตาย แค่งานกรรมกรก่อสร้างทำไมฉันจะทำไม่ได้!”
*********************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" (ผู้แต่ง ดุจจันทร์ดั้นเมฆ พนาพร่ำรัก และฝนเมษา ดอกไม้พฤษภา) และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า พ่อแง่แม่งอน อบอุ่น ละมุนในหัวใจแน่นอน ใครที่เคยฟิน ตรีเมฆ และจันทน์กะพ้อ ใน "ดุจจันทร์ดั้นเมฆ" มาแล้ว ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง #รับประกันความสนุกเช่นเคย!
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก ร้าน booksforfun ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง) ร้าน Banniyayindy(Budsara Thongrussamee) ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช ร้านBestbookSmile และร้าน Julee July
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 476 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 319฿ จากราคาปก 355฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 364฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann**
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 3 -100%
ค่ำมากแล้ว คนงานเริ่มทยอยเดินกลับเพิงที่พักของตน ส่วนน้อยที่จะเป็นคนในพื้นที่ขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปจากไซต์งานเพื่อกลับบ้าน คนงานชายต่างถิ่นทั้งไทยและต่างด้าวเริ่มตั้งวงกันในแสงแดดโรยรา รถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อคันใหญ่ทะยานออกไปจากไซต์ก่อสร้างหลังจากเจ้าของพูดคุยสรุปงานกับหัวหน้าช่างทั้งสองเรียบร้อยแล้ว
ตวงทองรีบปรี่ไปใช้ห้องน้ำก่อนที่บรรดาคนงานหญิงจะกรูกันเข้ามาต่อคิวอาบน้ำกันเป็นสาย ยังดีที่คนงานหญิงส่วนใหญ่ติดสอยห้อยตามครอบครัวมาทำงาน พวกหล่อนยังมีหน้าที่หุงหาอาหาร ดูแลลูกผัวอีกมาก กว่าจะได้พักมาชำระล้างร่างกายจากงานการที่หนักหนามาทั้งวัน
“ตวงทอง”
“ตูซา แหม...เราสองคนนี้ใจตรงกันจริงนะ” ตวงทองเผยยิ้ม มองหญิงสาววัยอ่อนใสที่หอบเสื้อผ้าและขันสบู่เดินเลี้ยวเข้ามาที่ห้องน้ำฝั่งหญิงเช่นกัน “เธอไม่ต้องหุงหาอาหารเหมือนคนอื่นๆ หรอกหรือ”
“ป้าทำแล้ว”
“อ้อ เธออยู่ที่นี่กับป้าเหรอ”
“ป้ากับลุงพาฉันมาทำงานด้วย แล้วก็น้องๆ ลูกของป้า” ตูซาบุ้ยใบ้ไปทางเพิงพักหลังหนึ่ง “คนนั้นลุงกับเพื่อนๆ”
“หือ ตั้งวงกันตั้งแต่วันแรกเลยเรอะ อย่างนี้เงินจะเหลือเรอะ”
“แก้เมื่อย” เด็กสาวบอกพลางอมยิ้ม “เธออาบก่อนสิ ฉันจะเฝ้าให้” ตูซาบอกอย่างมีน้ำใจ เพราะเห็นว่าตวงทองระแวดระวังตัวเหลือเกินเวลาใช้ห้องน้ำห้องท่า
“นี่แน่ะสาวน้อย ฉันอายุยี่สิบหกแล้วจ้ะ เธอเองไม่น่าจะเกินยี่สิบ เรียกฉันว่าพี่ตวงนะจ๊ะ” หล่อนจิ้มนิ้วลงที่แก้มเนียนนุ่มแม้กรำแดดมาทั้งวัน
ผิวพม่าของแท้ เนียนนุ่มเหลืองยวนตา
เด็กสาวยิ้มเขิน พยักหน้ารับ ตวงทองจึงได้หายเข้าไปในห้องน้ำ หล่อนอาบน้ำสระผมอย่างสบายใจมากขึ้น เพราะรู้ว่ามีตูซาคอยเฝ้าให้อยู่ด้านนอก หากเป็นเมื่อก่อนยามใดที่สาวใช้ในบ้านทำงานได้ถูกใจ หล่อนมักจะมีของกำนัลมอบให้เสมอ หญิงสาวรู้สึกพอใจที่เห็นเด็กสาวเหล่านั้นตื่นเต้นดีใจที่ได้ของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ที่หล่อนเองไม่ต้องการมันอีกต่อไป
บางครั้งหล่อนก็แปลกใจว่าทำไมพวกสาวๆ เหล่านั้นถึงได้ดีอกดีใจนักหนากับของเล็กๆ น้อยๆ อย่างรองเท้าใช้แล้ว หรือกระเป๋าเก่าๆ สักใบที่หล่อนหยิบยื่นให้เพราะมีมากจนล้น ไม่มีที่จะเก็บ
ตูซาเองก็น่ารัก ทั้งยังดีกับหล่อนจนตวงทองนึกอยากตบรางวัลสักชิ้น แต่ตวงทองในวันนี้ไม่ได้อยู่ในฐานะที่มีเหลือกินเหลือใช้อีกต่อไปแล้ว หล่อนไม่มีของเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยมีมาเจือจานคนอื่น ไม่มีแม้กระทั่งของจำเป็นส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ
ชีวิตช่างน่าขัน ใครมันจะไปนึกว่าคุณหนูร้อยล้านอย่างหล่อนจะมีวันอับจนจนต้องกลายเป็นกรรมกรคนหนึ่งในไซต์ก่อสร้างไปได้
*******************
ในยามหัวค่ำบนท้องถนนที่มีรถราหนาแน่น และผู้คนที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันกำลังเบียดเสียดแก่งแย่งกันกลับบ้านเพื่อใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงกับคนที่ตนรักก่อนจะหวนคืนกลับมาสู้งานหนักอีกครั้ง ศมาตัดสินใจหักพวงมาลัยเลี้ยวออกไปชานเมืองในวินาทีสุดท้ายแทนที่จะตรงเข้าเมืองหลวง ระหว่างกลับไปบ้านเหงาๆ ของตนเอง ทาวน์เฮาส์หลังงามที่ซื้อไว้ให้ครอบครัว และเรือนไม้เก่าแก่ชานเมืองของสหายรัก...เขาเลือกที่พักใจสุดท้าย
อย่างน้อยที่เรือนตรีเนตรเขาก็จะได้ใช้เวลายามที่เหงาหงอยที่สุดของวัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างมีชีวิตชีวาของสมาชิกในครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้ มันย่อมดีกว่าการไปนั่งฟังมารดาบ่นจมหูเรื่องที่เขาทำตัวเหินห่างจากครอบครัวราวกับไม่ใช่คนบ้านเดียวกัน ดีกว่าการกลับไปแกร่วอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่ว่างเปล่าเพียงลำพัง
น่าแปลกที่ตั้งแต่ตรีเมฆแต่งงานมีลูกมีเมียไป ศมารู้สึกว่าเขาเหงาลึกมากขึ้นทุกที
“ลุงศมามาแล้ว เย่ๆ ลุงยักษ์ครับ ลุงศมามาแล้ว”
เสียงของเด็กชายตรีเพชรวัยย่างเจ็ดขวบเจื้อยแจ้ว สลับมากับเสียงร้องโยเยของเด็กหญิงตรีรติตัวน้อยๆ
“จุๆ เพชรเบาๆ น้องร้องใหญ่แล้ว” ศมาจุปาก
“ไม่ต้องไปห้ามมันหรอก ต่อให้เจ้าเพชรมันเสียงเบายังไง ยายหนูก็ร้องลั่นอยู่ดี ไม่รู้หรือว่าเวลาพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ละเวลาโปรดของคุณเธอละ ต้องแสดงพลังเสียหน่อย จริงไหมลูก” ตรีเมฆพยักพเยิดกับลูกสาวที่อ้าปากแผดเสียงร้องดังขึ้นไปอีก “เอาเลยลูก เต็มที่เลยค่ะ”
“คุณเมฆนี่” มือนุ่มนิ่มฟาดเข้าที่ต้นแขนแกร่งของคนที่กำลังยุลูกสาวตัวอวบอ้วน “ทำไมไปให้ท้ายลูกล่ะคะ ดูซิ ร้องใหญ่แล้ว คุณศมาหนวกหูแย่เลย มาเหนื่อยๆ ขึ้นบ้านก่อนค่ะ คุณเมฆพาลูกไปเดินเล่นทางโน้นไปค่ะ ให้เงียบก่อนค่อยขึ้นมานะคะ”
“แหม...เมียจ๋า พอผู้ชายหล่อๆ มาหน่อย ไล่ลูกไล่ผัวเชียวนะ”
เพียะ!
“โอ๊ย มือหนัก” คุณพ่อแบกลูกสาวลงเรือนไปพลางบ่นอุบอิบ
ศมายิ้มขัน เดินตามจันทน์กะพ้อภรรยารักของอีกฝ่ายเข้าไปในครัว นางมาลีมารดาของตรีเมฆกำลังจัดสำรับอาหารอยู่ในครัว ที่มุมห้องตรีเพชรกำลังทำการบ้านอยู่ข้างๆ เด็กหญิงอีกคนชื่อ จำปี หลานของตาเกิดคนสวนของครอบครัวไตรลักษณ์
“สวัสดีครับป้า”
“ไหว้พระเถอะพ่อศมา เป็นยังไง เห็นเมฆว่าขับรถมาจากชลบุรีเชียวรึ เหนื่อยไหมลูก”
น้ำเสียงอ่อนโยนบนใบหน้าที่แสดงความห่วงใยอย่างจริงใจอยู่เป็นนิจนั้น ทำให้ศมาหลุบตาลงต่ำ ซุกซ่อนความขมขื่นบางอย่างลึกล้ำ
“ไม่เหนื่อยหรอกครับ พอคิดว่าจะได้กินอาหารอร่อยๆ ผมก็มีแรงขับรถขึ้นมาทันที”
“แหม...ปากหวานนะ แบบนี้ต้องเพิ่มสำรับอาหาร กินกันให้ท้องแตกไปเลยนะหนูจันทน์”
“ค่ะแม่” จันทน์กะพ้อหันมายิ้ม หล่อนเป็นคนช่างสังเกตจึงได้เห็นร่องรอยเหนื่อยล้าทางใจบนใบหน้าคมสันของคนที่นับถือเป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง เขานั่งลงช้าๆ ไหล่กว้างลู่ลงเล็กน้อย หากยังไม่ลดความผึ่งผาย
“แม่สมสว่างสบายดีไหมจ๊ะช่วงนี้”
“ครับผม สบายดีครับ”
“เดือนหน้าป้าว่าจะไปไหว้พระที่จันทบุรีกับเพื่อนๆ แวะเที่ยวสวนผลไม้ไปด้วยเลย ไม่รู้ว่าแม่สมว่างไหม บอกนะว่าป้าชวน”
“ครับผม” ศมารับคำ แม้จะรู้คำตอบของมารดาดีอยู่แก่ใจ
‘ไปวัดเรอะ ฉันยังไม่แก่หง่อมขนาดนั้นหรอกย่ะ พูดก็พูดเถอะ คนไปวัดไปวานี่ใช่ว่าจะดีทุกคนนะ บางคนมือถือสาก ปากถือศีล ไปกับวัดกับวา เที่ยวฟรี กินฟรีดีจะตายไป’
นางสมสว่างชอบกระแนะกระแหนมารดาของตรีเมฆเสมอ และเคยคิดดูถูกครอบครัวไตรลักษณ์ว่าจะเอาดีไม่ได้ เพราะมีลูกชายเป็นคนขี้คุกอย่างตรีเมฆที่แม้ภายหลังจะกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีแล้วก็ตาม มีทรัพย์สินมากโข แถมยังมาซื้อหุ้นบริษัทเป็นหุ้นส่วนกับลูกชายของนางอีกต่างหาก แต่นางก็ยังว่า
‘ศมาน่ะมันโง่ บริษัทตัวเองสร้างมากับมือจนมีชื่อเสียงขนาดนี้ ทำไมจะต้องเอาคนแบบนั้นมาเป็นหุ้นส่วนด้วย วิศวกรขี้คุก ใครที่ไหนเขาจะจ้าง ช่างไม่คิดหน้าคิดหลังเอาเสียเลย’
มารดาของเขาก็เป็นเสียอย่างนี้ อะไรที่เขาเห็นว่าดี นางมองว่าร้ายบ้าง งี่เง่าบ้าง จนเขาระอาที่จะโต้แย้ง พอหนักเข้าเขาไม่ไปหาก็ตัดพ้อว่าทอดทิ้ง หรือไม่ก็พานว่าเขาชอบทำตัวเป็นฤๅษีสันโดษจนไม่มีลูกมีเมียเสียที บางทีก็หาว่าเพราะเขาอกหักจากจันทน์กะพ้อภรรยารักของตรีเมฆจนไม่เหลือหัวใจไว้มองผู้หญิงคนไหนอีกแล้ว ซึ่งเรื่องมันก็ผ่านมาแล้วและไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เลย แต่มารดาก็ยังพูดไปเรื่อย
เมื่อไม่มีบิดาเป็นผู้สมานใจสักคน ความสัมพันธ์ของสองแม่ลูกนับวันจะห่างเหินไปเรื่อยๆ ยิ่งมารดาถือหางศรศิลป์ลูกชายคนกลางให้ก่อเรื่องเสียหายไม่เว้นแต่ละวัน ศมายิ่งไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย หากไม่มีสาวน้อยศศิผู้เป็นน้องสุดท้อง เขาก็ไม่อยากย่างเหยียบไปหามารดานักหรอก แม้จะรู้สึกผิดอยู่บ้างที่เหมือนทำหน้าที่ลูกและพี่ชายไปอย่างแกนๆ แต่เขาเหนื่อยเกินกว่าจะไปนั่งฟังคำพูดบั่นทอนจิตใจได้บ่อยๆ
“เป็นยังไงบ้างวะที่ชลบุรี”
ตรีเมฆถามหลังพากันมานั่งยืดเส้นยืดสาย ตั้งโต๊ะดื่มกันเล็กน้อยอยู่ที่ระเบียงกว้างหลังเรือน
“เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ให้เอกกับชัยดูอยู่ ช่วงนี้จะเข้าไปเก็บงานเตรียมส่งมอบที่ศาลายา”
“เออ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้จะลงไปชลบุรีให้”
“ว่างแล้วรึ”
ตรีเมฆยักคิ้วให้
“เออดี นึกว่าเอ็งจะตัวติดกับคุณจันทน์ไม่ห่างเสียอีก”
“ก็...ว่าจะกระเตงไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ”
“กูว่าแล้ว” ศมาเอ่ยพลางกระดกแก้วดื่มรวดเดียวจบ
“เออ มึงลองมีเมียดู แล้วมีลูกน่ารักๆ สักคน แล้วมึงจะเข้าใจว่าห่วงจนไม่อยากห่างมันเป็นยังไง” ตรีเมฆเอ่ย ใบหน้าคมเข้มที่เคยดุดัน เปี่ยมสุข ดวงตาวาววับ
“เออ” ศมาพูดเท่านั้นก็รินเหล้า ยกกระดกอีกครั้ง
ตรีเมฆหรี่ตามองอาการของเพื่อนก่อนจะเอ่ย
“เป็นอะไรวะ ทำซังกะตายยังกับหมาโดนยาเบื่อ”
“ก็เบื่อไง”
“เบื่ออะไร งาน ครอบครัว คน”
“คนกับครอบครัวมั้ง แต่พอเบื่อสองอย่างนี้ มันก็ทำให้กูเฉยๆ กับงานไปด้วย”
“ไม่รู้จะทำงานหาเงินไปทำหอกอะไรใช่ไหม”
คำพูดของตรีเมฆประหนึ่งหอกคมๆ ที่พุ่งแทงทะลุหัวใจ ศมาชะงักมือที่รินเหล้าแล้วก็กระดกรวดเดียวอีกครั้ง
“ไอ้ศมา ไอ้ฤๅษี มึงเป็นโรคขาดรัก”
“ขาดอะไร” ศมาทำหน้ายุ่ง
“ขาดรักไง มึงต้องมีเมียแล้วโว้ย ไม่งั้นฝ่อแน่ๆ”
“ปาก”
“เรื่องจริง นี่ถ้าหากว่ากูยังโสดเหมือนเมื่อก่อนนะ ก็จะพามึงไปรีดพิษ มันจะได้หายเซ็งยังไงล่ะ”
“รีดพิษห่าอะไรของมึง” ศมาถามกลับแต่หน้าแดงถึงใบหู ที่เพื่อนพูดก็ไม่ผิดนักหรอก เกือบสองเดือนแล้วกระมังที่เขาไม่ได้ไประบายอารมณ์ตามประสาชายหนุ่มพึงกระทำ ถึงศมาจะได้ฉายาฤๅษีแต่เขาก็ไม่ได้กามตายด้าน บรรดาช่างและวิศวกรที่ร่วมงานกันต่างรู้กันดี
แต่หลังจากที่เขาไปพบร่างบอบบางที่นอนหมดสติจมกองเลือดอยู่ในห้องหรูของอาบอบนวดแห่งนั้น ศมาก็ไม่เหยียบย่างไปสถานเริงรมย์แบบนั้นอีกเลย
“เออ ทำเป็นไก๋ ประเดี๋ยวก็จุกอกตายกันพอดี คนโสดอย่างมึงจะหาความสุขบ้างเป็นไรไป มีคนตามไปขอเอาตัวขัดดอกจนถึงที่อยู่ไม่ใช่รึ”
“ไอ้ปากเสีย พูดแบบนี้ผู้หญิงเขาเสียหาย”
“อ๊ะๆ มีปกป้อง ถามจริง มีซัมติงกันหรือยังวะ ไหนว่าสวยแต่รูปจูบไม่หอมยังไงล่ะ”
“ไอ้เมฆ!”
“เออ ไม่ต้องมาทำตาขวางกลบเกลื่อนใส่กูเลย มึงนี่ทำธุรกิจเสียเปล่า ไม่รู้จัก วิน-วิน หรือไง ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ มึงจะมาคอยหักเงินเดือน เดือนละพันสองพันแบบนี้ไปจนลูกโตเลยหรือไง”
“ไอ้ยักษ์ปากเสีย!”
“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะก้องกังวานของตรีเมฆดังมาอีกหลายระลอก ความอึมครึมหม่นหมองภายในจิตใจของศมาก็พลอยพลัดพรายไปกับเสียงหัวเราะเคล้าฤทธิ์สุราที่ทำให้เมาหลับจนต้องลากกันไปนอนห้องรับแขกที่เรือนตรีเนตรนั่นเอง
ตวงทองรีบปรี่ไปใช้ห้องน้ำก่อนที่บรรดาคนงานหญิงจะกรูกันเข้ามาต่อคิวอาบน้ำกันเป็นสาย ยังดีที่คนงานหญิงส่วนใหญ่ติดสอยห้อยตามครอบครัวมาทำงาน พวกหล่อนยังมีหน้าที่หุงหาอาหาร ดูแลลูกผัวอีกมาก กว่าจะได้พักมาชำระล้างร่างกายจากงานการที่หนักหนามาทั้งวัน
“ตวงทอง”
“ตูซา แหม...เราสองคนนี้ใจตรงกันจริงนะ” ตวงทองเผยยิ้ม มองหญิงสาววัยอ่อนใสที่หอบเสื้อผ้าและขันสบู่เดินเลี้ยวเข้ามาที่ห้องน้ำฝั่งหญิงเช่นกัน “เธอไม่ต้องหุงหาอาหารเหมือนคนอื่นๆ หรอกหรือ”
“ป้าทำแล้ว”
“อ้อ เธออยู่ที่นี่กับป้าเหรอ”
“ป้ากับลุงพาฉันมาทำงานด้วย แล้วก็น้องๆ ลูกของป้า” ตูซาบุ้ยใบ้ไปทางเพิงพักหลังหนึ่ง “คนนั้นลุงกับเพื่อนๆ”
“หือ ตั้งวงกันตั้งแต่วันแรกเลยเรอะ อย่างนี้เงินจะเหลือเรอะ”
“แก้เมื่อย” เด็กสาวบอกพลางอมยิ้ม “เธออาบก่อนสิ ฉันจะเฝ้าให้” ตูซาบอกอย่างมีน้ำใจ เพราะเห็นว่าตวงทองระแวดระวังตัวเหลือเกินเวลาใช้ห้องน้ำห้องท่า
“นี่แน่ะสาวน้อย ฉันอายุยี่สิบหกแล้วจ้ะ เธอเองไม่น่าจะเกินยี่สิบ เรียกฉันว่าพี่ตวงนะจ๊ะ” หล่อนจิ้มนิ้วลงที่แก้มเนียนนุ่มแม้กรำแดดมาทั้งวัน
ผิวพม่าของแท้ เนียนนุ่มเหลืองยวนตา
เด็กสาวยิ้มเขิน พยักหน้ารับ ตวงทองจึงได้หายเข้าไปในห้องน้ำ หล่อนอาบน้ำสระผมอย่างสบายใจมากขึ้น เพราะรู้ว่ามีตูซาคอยเฝ้าให้อยู่ด้านนอก หากเป็นเมื่อก่อนยามใดที่สาวใช้ในบ้านทำงานได้ถูกใจ หล่อนมักจะมีของกำนัลมอบให้เสมอ หญิงสาวรู้สึกพอใจที่เห็นเด็กสาวเหล่านั้นตื่นเต้นดีใจที่ได้ของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ที่หล่อนเองไม่ต้องการมันอีกต่อไป
บางครั้งหล่อนก็แปลกใจว่าทำไมพวกสาวๆ เหล่านั้นถึงได้ดีอกดีใจนักหนากับของเล็กๆ น้อยๆ อย่างรองเท้าใช้แล้ว หรือกระเป๋าเก่าๆ สักใบที่หล่อนหยิบยื่นให้เพราะมีมากจนล้น ไม่มีที่จะเก็บ
ตูซาเองก็น่ารัก ทั้งยังดีกับหล่อนจนตวงทองนึกอยากตบรางวัลสักชิ้น แต่ตวงทองในวันนี้ไม่ได้อยู่ในฐานะที่มีเหลือกินเหลือใช้อีกต่อไปแล้ว หล่อนไม่มีของเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยมีมาเจือจานคนอื่น ไม่มีแม้กระทั่งของจำเป็นส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ
ชีวิตช่างน่าขัน ใครมันจะไปนึกว่าคุณหนูร้อยล้านอย่างหล่อนจะมีวันอับจนจนต้องกลายเป็นกรรมกรคนหนึ่งในไซต์ก่อสร้างไปได้
*******************
ในยามหัวค่ำบนท้องถนนที่มีรถราหนาแน่น และผู้คนที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันกำลังเบียดเสียดแก่งแย่งกันกลับบ้านเพื่อใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงกับคนที่ตนรักก่อนจะหวนคืนกลับมาสู้งานหนักอีกครั้ง ศมาตัดสินใจหักพวงมาลัยเลี้ยวออกไปชานเมืองในวินาทีสุดท้ายแทนที่จะตรงเข้าเมืองหลวง ระหว่างกลับไปบ้านเหงาๆ ของตนเอง ทาวน์เฮาส์หลังงามที่ซื้อไว้ให้ครอบครัว และเรือนไม้เก่าแก่ชานเมืองของสหายรัก...เขาเลือกที่พักใจสุดท้าย
อย่างน้อยที่เรือนตรีเนตรเขาก็จะได้ใช้เวลายามที่เหงาหงอยที่สุดของวัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างมีชีวิตชีวาของสมาชิกในครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้ มันย่อมดีกว่าการไปนั่งฟังมารดาบ่นจมหูเรื่องที่เขาทำตัวเหินห่างจากครอบครัวราวกับไม่ใช่คนบ้านเดียวกัน ดีกว่าการกลับไปแกร่วอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่ว่างเปล่าเพียงลำพัง
น่าแปลกที่ตั้งแต่ตรีเมฆแต่งงานมีลูกมีเมียไป ศมารู้สึกว่าเขาเหงาลึกมากขึ้นทุกที
“ลุงศมามาแล้ว เย่ๆ ลุงยักษ์ครับ ลุงศมามาแล้ว”
เสียงของเด็กชายตรีเพชรวัยย่างเจ็ดขวบเจื้อยแจ้ว สลับมากับเสียงร้องโยเยของเด็กหญิงตรีรติตัวน้อยๆ
“จุๆ เพชรเบาๆ น้องร้องใหญ่แล้ว” ศมาจุปาก
“ไม่ต้องไปห้ามมันหรอก ต่อให้เจ้าเพชรมันเสียงเบายังไง ยายหนูก็ร้องลั่นอยู่ดี ไม่รู้หรือว่าเวลาพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ละเวลาโปรดของคุณเธอละ ต้องแสดงพลังเสียหน่อย จริงไหมลูก” ตรีเมฆพยักพเยิดกับลูกสาวที่อ้าปากแผดเสียงร้องดังขึ้นไปอีก “เอาเลยลูก เต็มที่เลยค่ะ”
“คุณเมฆนี่” มือนุ่มนิ่มฟาดเข้าที่ต้นแขนแกร่งของคนที่กำลังยุลูกสาวตัวอวบอ้วน “ทำไมไปให้ท้ายลูกล่ะคะ ดูซิ ร้องใหญ่แล้ว คุณศมาหนวกหูแย่เลย มาเหนื่อยๆ ขึ้นบ้านก่อนค่ะ คุณเมฆพาลูกไปเดินเล่นทางโน้นไปค่ะ ให้เงียบก่อนค่อยขึ้นมานะคะ”
“แหม...เมียจ๋า พอผู้ชายหล่อๆ มาหน่อย ไล่ลูกไล่ผัวเชียวนะ”
เพียะ!
“โอ๊ย มือหนัก” คุณพ่อแบกลูกสาวลงเรือนไปพลางบ่นอุบอิบ
ศมายิ้มขัน เดินตามจันทน์กะพ้อภรรยารักของอีกฝ่ายเข้าไปในครัว นางมาลีมารดาของตรีเมฆกำลังจัดสำรับอาหารอยู่ในครัว ที่มุมห้องตรีเพชรกำลังทำการบ้านอยู่ข้างๆ เด็กหญิงอีกคนชื่อ จำปี หลานของตาเกิดคนสวนของครอบครัวไตรลักษณ์
“สวัสดีครับป้า”
“ไหว้พระเถอะพ่อศมา เป็นยังไง เห็นเมฆว่าขับรถมาจากชลบุรีเชียวรึ เหนื่อยไหมลูก”
น้ำเสียงอ่อนโยนบนใบหน้าที่แสดงความห่วงใยอย่างจริงใจอยู่เป็นนิจนั้น ทำให้ศมาหลุบตาลงต่ำ ซุกซ่อนความขมขื่นบางอย่างลึกล้ำ
“ไม่เหนื่อยหรอกครับ พอคิดว่าจะได้กินอาหารอร่อยๆ ผมก็มีแรงขับรถขึ้นมาทันที”
“แหม...ปากหวานนะ แบบนี้ต้องเพิ่มสำรับอาหาร กินกันให้ท้องแตกไปเลยนะหนูจันทน์”
“ค่ะแม่” จันทน์กะพ้อหันมายิ้ม หล่อนเป็นคนช่างสังเกตจึงได้เห็นร่องรอยเหนื่อยล้าทางใจบนใบหน้าคมสันของคนที่นับถือเป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง เขานั่งลงช้าๆ ไหล่กว้างลู่ลงเล็กน้อย หากยังไม่ลดความผึ่งผาย
“แม่สมสว่างสบายดีไหมจ๊ะช่วงนี้”
“ครับผม สบายดีครับ”
“เดือนหน้าป้าว่าจะไปไหว้พระที่จันทบุรีกับเพื่อนๆ แวะเที่ยวสวนผลไม้ไปด้วยเลย ไม่รู้ว่าแม่สมว่างไหม บอกนะว่าป้าชวน”
“ครับผม” ศมารับคำ แม้จะรู้คำตอบของมารดาดีอยู่แก่ใจ
‘ไปวัดเรอะ ฉันยังไม่แก่หง่อมขนาดนั้นหรอกย่ะ พูดก็พูดเถอะ คนไปวัดไปวานี่ใช่ว่าจะดีทุกคนนะ บางคนมือถือสาก ปากถือศีล ไปกับวัดกับวา เที่ยวฟรี กินฟรีดีจะตายไป’
นางสมสว่างชอบกระแนะกระแหนมารดาของตรีเมฆเสมอ และเคยคิดดูถูกครอบครัวไตรลักษณ์ว่าจะเอาดีไม่ได้ เพราะมีลูกชายเป็นคนขี้คุกอย่างตรีเมฆที่แม้ภายหลังจะกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีแล้วก็ตาม มีทรัพย์สินมากโข แถมยังมาซื้อหุ้นบริษัทเป็นหุ้นส่วนกับลูกชายของนางอีกต่างหาก แต่นางก็ยังว่า
‘ศมาน่ะมันโง่ บริษัทตัวเองสร้างมากับมือจนมีชื่อเสียงขนาดนี้ ทำไมจะต้องเอาคนแบบนั้นมาเป็นหุ้นส่วนด้วย วิศวกรขี้คุก ใครที่ไหนเขาจะจ้าง ช่างไม่คิดหน้าคิดหลังเอาเสียเลย’
มารดาของเขาก็เป็นเสียอย่างนี้ อะไรที่เขาเห็นว่าดี นางมองว่าร้ายบ้าง งี่เง่าบ้าง จนเขาระอาที่จะโต้แย้ง พอหนักเข้าเขาไม่ไปหาก็ตัดพ้อว่าทอดทิ้ง หรือไม่ก็พานว่าเขาชอบทำตัวเป็นฤๅษีสันโดษจนไม่มีลูกมีเมียเสียที บางทีก็หาว่าเพราะเขาอกหักจากจันทน์กะพ้อภรรยารักของตรีเมฆจนไม่เหลือหัวใจไว้มองผู้หญิงคนไหนอีกแล้ว ซึ่งเรื่องมันก็ผ่านมาแล้วและไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เลย แต่มารดาก็ยังพูดไปเรื่อย
เมื่อไม่มีบิดาเป็นผู้สมานใจสักคน ความสัมพันธ์ของสองแม่ลูกนับวันจะห่างเหินไปเรื่อยๆ ยิ่งมารดาถือหางศรศิลป์ลูกชายคนกลางให้ก่อเรื่องเสียหายไม่เว้นแต่ละวัน ศมายิ่งไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย หากไม่มีสาวน้อยศศิผู้เป็นน้องสุดท้อง เขาก็ไม่อยากย่างเหยียบไปหามารดานักหรอก แม้จะรู้สึกผิดอยู่บ้างที่เหมือนทำหน้าที่ลูกและพี่ชายไปอย่างแกนๆ แต่เขาเหนื่อยเกินกว่าจะไปนั่งฟังคำพูดบั่นทอนจิตใจได้บ่อยๆ
“เป็นยังไงบ้างวะที่ชลบุรี”
ตรีเมฆถามหลังพากันมานั่งยืดเส้นยืดสาย ตั้งโต๊ะดื่มกันเล็กน้อยอยู่ที่ระเบียงกว้างหลังเรือน
“เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ให้เอกกับชัยดูอยู่ ช่วงนี้จะเข้าไปเก็บงานเตรียมส่งมอบที่ศาลายา”
“เออ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้จะลงไปชลบุรีให้”
“ว่างแล้วรึ”
ตรีเมฆยักคิ้วให้
“เออดี นึกว่าเอ็งจะตัวติดกับคุณจันทน์ไม่ห่างเสียอีก”
“ก็...ว่าจะกระเตงไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ”
“กูว่าแล้ว” ศมาเอ่ยพลางกระดกแก้วดื่มรวดเดียวจบ
“เออ มึงลองมีเมียดู แล้วมีลูกน่ารักๆ สักคน แล้วมึงจะเข้าใจว่าห่วงจนไม่อยากห่างมันเป็นยังไง” ตรีเมฆเอ่ย ใบหน้าคมเข้มที่เคยดุดัน เปี่ยมสุข ดวงตาวาววับ
“เออ” ศมาพูดเท่านั้นก็รินเหล้า ยกกระดกอีกครั้ง
ตรีเมฆหรี่ตามองอาการของเพื่อนก่อนจะเอ่ย
“เป็นอะไรวะ ทำซังกะตายยังกับหมาโดนยาเบื่อ”
“ก็เบื่อไง”
“เบื่ออะไร งาน ครอบครัว คน”
“คนกับครอบครัวมั้ง แต่พอเบื่อสองอย่างนี้ มันก็ทำให้กูเฉยๆ กับงานไปด้วย”
“ไม่รู้จะทำงานหาเงินไปทำหอกอะไรใช่ไหม”
คำพูดของตรีเมฆประหนึ่งหอกคมๆ ที่พุ่งแทงทะลุหัวใจ ศมาชะงักมือที่รินเหล้าแล้วก็กระดกรวดเดียวอีกครั้ง
“ไอ้ศมา ไอ้ฤๅษี มึงเป็นโรคขาดรัก”
“ขาดอะไร” ศมาทำหน้ายุ่ง
“ขาดรักไง มึงต้องมีเมียแล้วโว้ย ไม่งั้นฝ่อแน่ๆ”
“ปาก”
“เรื่องจริง นี่ถ้าหากว่ากูยังโสดเหมือนเมื่อก่อนนะ ก็จะพามึงไปรีดพิษ มันจะได้หายเซ็งยังไงล่ะ”
“รีดพิษห่าอะไรของมึง” ศมาถามกลับแต่หน้าแดงถึงใบหู ที่เพื่อนพูดก็ไม่ผิดนักหรอก เกือบสองเดือนแล้วกระมังที่เขาไม่ได้ไประบายอารมณ์ตามประสาชายหนุ่มพึงกระทำ ถึงศมาจะได้ฉายาฤๅษีแต่เขาก็ไม่ได้กามตายด้าน บรรดาช่างและวิศวกรที่ร่วมงานกันต่างรู้กันดี
แต่หลังจากที่เขาไปพบร่างบอบบางที่นอนหมดสติจมกองเลือดอยู่ในห้องหรูของอาบอบนวดแห่งนั้น ศมาก็ไม่เหยียบย่างไปสถานเริงรมย์แบบนั้นอีกเลย
“เออ ทำเป็นไก๋ ประเดี๋ยวก็จุกอกตายกันพอดี คนโสดอย่างมึงจะหาความสุขบ้างเป็นไรไป มีคนตามไปขอเอาตัวขัดดอกจนถึงที่อยู่ไม่ใช่รึ”
“ไอ้ปากเสีย พูดแบบนี้ผู้หญิงเขาเสียหาย”
“อ๊ะๆ มีปกป้อง ถามจริง มีซัมติงกันหรือยังวะ ไหนว่าสวยแต่รูปจูบไม่หอมยังไงล่ะ”
“ไอ้เมฆ!”
“เออ ไม่ต้องมาทำตาขวางกลบเกลื่อนใส่กูเลย มึงนี่ทำธุรกิจเสียเปล่า ไม่รู้จัก วิน-วิน หรือไง ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ มึงจะมาคอยหักเงินเดือน เดือนละพันสองพันแบบนี้ไปจนลูกโตเลยหรือไง”
“ไอ้ยักษ์ปากเสีย!”
“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะก้องกังวานของตรีเมฆดังมาอีกหลายระลอก ความอึมครึมหม่นหมองภายในจิตใจของศมาก็พลอยพลัดพรายไปกับเสียงหัวเราะเคล้าฤทธิ์สุราที่ทำให้เมาหลับจนต้องลากกันไปนอนห้องรับแขกที่เรือนตรีเนตรนั่นเอง
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 พ.ค. 2564, 20:04:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 พ.ค. 2564, 20:04:58 น.
จำนวนการเข้าชม : 333
<< บทที่ 3 -50% | บทที่ 4 -35% >> |