ทัณฑ์ทวงรัก: หอมดึก (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ
'ศมา' เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนา เขาเป็นวิศวกรหนุ่มที่ทั้งเก่ง ฉลาด จริงใจ และจริงจังไปเสียทุกเรื่อง แต่ว่าชีวิตกลับเล่นตลกกับผู้ชายสายบุญอย่างเขาที่ไม่ว่าจะรักจะชอบใคร ศมาก็เป็นได้แค่พี่ชายที่แสนดีคนหนึ่งเท่านั้น แถมสวรรค์ยังใจร้ายส่งผู้หญิงที่เป็นทุกอย่างที่เขาไม่ชอบ มาเป็นลูกหนี้เขา!
'ตวงทอง' หล่อนสวย หรู เพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา การศึกษา และฐานะหน้าที่การงาน หญิงสาวใช้ชีวิตแบบวัตถุนิยมสุดเหวี่ยง จนวันหนึ่งชีวิตได้ให้บทเรียนกับหล่อน จากคุณหนูไฮโซ ตวงทองกลายเป็นลูกหนี้ที่ต้องหนีหนี้ หาเงินมาใช้หนี้ไปวันๆ สุดท้ายเมื่อเริ่มจนตรอกหล่อนกัดฟันสู้ หันหน้ามาขอเกาะเจ้าหนี้กินเสียดื้อๆ
“ด้านได้ อายอด และฉันจะไม่ยอมอดตาย แค่งานกรรมกรก่อสร้างทำไมฉันจะทำไม่ได้!”
*********************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" (ผู้แต่ง ดุจจันทร์ดั้นเมฆ พนาพร่ำรัก และฝนเมษา ดอกไม้พฤษภา) และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า พ่อแง่แม่งอน อบอุ่น ละมุนในหัวใจแน่นอน ใครที่เคยฟิน ตรีเมฆ และจันทน์กะพ้อ ใน "ดุจจันทร์ดั้นเมฆ" มาแล้ว ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง #รับประกันความสนุกเช่นเคย!
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก ร้าน booksforfun ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง) ร้าน Banniyayindy(Budsara Thongrussamee) ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช ร้านBestbookSmile และร้าน Julee July
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 476 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 319฿ จากราคาปก 355฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 364฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann**
'ศมา' เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนา เขาเป็นวิศวกรหนุ่มที่ทั้งเก่ง ฉลาด จริงใจ และจริงจังไปเสียทุกเรื่อง แต่ว่าชีวิตกลับเล่นตลกกับผู้ชายสายบุญอย่างเขาที่ไม่ว่าจะรักจะชอบใคร ศมาก็เป็นได้แค่พี่ชายที่แสนดีคนหนึ่งเท่านั้น แถมสวรรค์ยังใจร้ายส่งผู้หญิงที่เป็นทุกอย่างที่เขาไม่ชอบ มาเป็นลูกหนี้เขา!
'ตวงทอง' หล่อนสวย หรู เพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา การศึกษา และฐานะหน้าที่การงาน หญิงสาวใช้ชีวิตแบบวัตถุนิยมสุดเหวี่ยง จนวันหนึ่งชีวิตได้ให้บทเรียนกับหล่อน จากคุณหนูไฮโซ ตวงทองกลายเป็นลูกหนี้ที่ต้องหนีหนี้ หาเงินมาใช้หนี้ไปวันๆ สุดท้ายเมื่อเริ่มจนตรอกหล่อนกัดฟันสู้ หันหน้ามาขอเกาะเจ้าหนี้กินเสียดื้อๆ
“ด้านได้ อายอด และฉันจะไม่ยอมอดตาย แค่งานกรรมกรก่อสร้างทำไมฉันจะทำไม่ได้!”
*********************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" (ผู้แต่ง ดุจจันทร์ดั้นเมฆ พนาพร่ำรัก และฝนเมษา ดอกไม้พฤษภา) และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า พ่อแง่แม่งอน อบอุ่น ละมุนในหัวใจแน่นอน ใครที่เคยฟิน ตรีเมฆ และจันทน์กะพ้อ ใน "ดุจจันทร์ดั้นเมฆ" มาแล้ว ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง #รับประกันความสนุกเช่นเคย!
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก ร้าน booksforfun ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง) ร้าน Banniyayindy(Budsara Thongrussamee) ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช ร้านBestbookSmile และร้าน Julee July
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 476 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 319฿ จากราคาปก 355฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 364฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann**
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 6 -100%
รุ่งเช้าของวันถัดมา...
ระหว่างที่เจ้านายผู้ควบตำแหน่งเจ้าหนี้ของหล่อนกำลังจิบกาแฟและอ่านเอกสารทั้งหลายทั้งปวงที่สั่งให้หล่อนพิมพ์อยู่โดยใช้สมาธิอย่างหนัก จู่ๆ ประตูสำนักงานก็ถูกเปิดผลัวะออกโดยแรง ตามมาด้วยเสียงแหบห้าวระคายแก้วหูและกลิ่นสุราฉุนกึก
“ไหน นายช่างใหญ่ที่ว่าอยู่ไหนวะ ออกมาคุยกับผู้การเติมศักดิ์หน่อยสิ มุดหัวอยู่ที่ไหนวะ” ปลายนิ้วที่ชี้กราดไปมาสั่นน้อยๆ ตวงทองผงะถอยหลบ มองประตูสำนักงานที่เปิดโร่อยู่อย่างหาทางรอด ขณะที่ศมาเขม้นมองไปที่ร่างผอมสูง เขาดันเอกสารออกแล้วลุกขึ้นยืน
“ผมเองครับ ศมา”
“เออ อยู่ก็ดีแล้ว นึกว่าจะมุดหัวเหมือนไอ้พวกกรรมกรหัวขโมยลูกน้องต่างด้าวของเอ็ง”
“หัวขโมย?” ศมาทวนคำ พอดีกับที่ช่างเอกวิ่งเข้ามาทัน เขาหน้าเสีย ทำปากพะงาบๆ ได้ความว่ากำลังจัดการอยู่
“เอก ว่าไง”
“ครับ คนงานของเราสองคนแอบไปขโมยสับปะรดจากไร่ลุงเติมครับ”
“ผู้การเว้ย ผู้การเติมศักดิ์ กูไม่มีลูกหลานเหลนโหลนที่ไหน ไม่ต้องมานับญาติ”
“ครับผม คนงานของเราไปขโมยสับปะรดมาจากไร่ผู้การเติมศักดิ์ครับ”
“ใคร มีพยานรู้เห็นไหม”
“ชิชะๆ ไอ้นายช่างหญ่าย กล่าวหาว่าข้ากุเรื่องขึ้นมาเรอะ นี่ไง นังหนูเป็นพยานได้” ผู้การเติมศักดิ์ถลาเข้าไปคว้าข้อมือบางของคนที่พยายามทำตัวลีบเล็กไว้ได้ ตวงทองหน้าซีดเผือด ศมาถอนหายใจแรง
“ลุงปล่อยมือคนของผมก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะโดนข้อหาบุกรุก ทำร้ายร่างกาย”
“เหอะ หัวหมอนักนะ ปล่อยก็ได้ แต่เอ็งห้ามหนีไปไหนนะนังหนู บอกเจ้านายของเอ็งไปสิว่าเอ็งเห็นไอ้พวกนั้นขโมยสับปะรดของข้าจริง”
“ค่ะๆ คนงานพม่าสองคน เมื่อวานวิ่งหนีลุง เอ๊ย ผู้การออกมาจากไร่สับปะรดทางฝั่งบ้านพักของฉันจริงๆ ค่ะ” ตวงทองละล่ำละลักบอก หวังจะให้พ้นตัว
ศมามีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น เขาหันมามองช่างเอกแล้วสั่งให้ไปตามตัวมา ทำเอานายช่างหนุ่มใหญ่อึกอัก จนเจ้านายขมวดคิ้วเข้ม กัดกรามกรอด
“มีอะไรเอก”
“ไม่รู้ว่าคนไหนน่ะสิครับ”
“อุบ๊ะ จะเล่นลูกไม้หรือไง เรียกมันมาให้หมดแล้วให้นังหนูชี้ตัวสิ”
คราวนี้ ‘นังหนู’ สะดุ้งโหยง หน้าเสีย
หล่อนจำได้เสียที่ไหนเล่า คนงานชายพวกนี้ตัวผอมๆ ดำๆ ผมเผ้าตัดทรงเดียวกันทั้งนั้น ขนาดจะแยกคนไทยกับคนต่างด้าวหล่อนยังแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ใครจะไปเพ่งพิจารณาผู้ชายพวกนี้จนจำได้กันเล่า ใช่หนุ่มหล่อโพรไฟล์ดีเสียก็เปล่า
“ตูซา...ตูซาจำได้ค่ะ” หล่อนโพล่งออกไป
“ดี เอกพาคนงานหญิงคนนั้นไปชี้ตัวหัวขโมย แล้วพามาที่นี่ทั้งสามคน ชัยไปคอยคุมคนงานอย่าให้เกิดเรื่องวุ่นวาย ใครไม่เชื่อฟังจ่ายค่าแรงตามจริงแล้วให้ออกได้เลย”
“ครับนายช่างใหญ่” ช่างชัยเดินตามหลังช่างเอกไปติดๆ เสียงพูดคุยจอแจด้านนอกทำให้ศมารู้ว่างานคงไม่เดินเท่าที่ควรจะเป็นนัก
ตัวต้นเหตุหันซ้ายแลขวาแล้วก็บ่นเสียงดัง “จะให้เจ้าทุกข์นั่งที่ไหนได้บ้างนี่ น้ำท่าไม่มีกินเรอะ แหม...บริษัทออกใหญ่โต โครงการร้อยล้านพันล้านไม่ใช่รึ”
“ตวงทอง” ศมาเรียกให้เลขาจำเป็นจัดการหาน้ำมาบริการเจ้าทุกข์ตัวเขื่อง แกรับน้ำจากมือที่สั่นน้อยๆ แล้วพิศมองใบหน้าหล่อน ถามเสียงขรึม
“นังหนูเอ็งชื่ออะไรนะ”
“ตวงทองค่ะ” หญิงสาวตอบพร้อมถอยห่างออกไปยืนหลังโต๊ะ
“ตวงทองรึ ชื่อเพราะดี” ผู้การเติมศักดิ์พยักหน้าหงึกๆ “ลูกเต้าเหล่าใครล่ะ”
“เอ่อ...” หญิงสาวอึกอัก ไม่สะดวกใจจะสนทนานัก โชคดีที่ประตูสำนักงานเปิดออกพอดี ชายร่างผอมสองคนถูกผลักให้เดินเข้ามาด้านใน ตามมาด้วยตูซา ช่างเอก และช่างชัย
“ได้ตัวมาแล้วครับนาย ทั้งคนชี้ตัวและหัวขโมย”
“ใช่สองคนนี้จริงๆ ด้วย ตูซาจำได้จริงๆ เห็นไหมคะ ถ้าเป็นฉันไม่มีทางแยกออกหรอก หน้าตาท่าทางเหมือนๆ กันทั้งนั้น” ตวงทองรุดเข้ามายืนข้างตูซาท่าทางลิงโลดดีใจ จับคนร้ายได้แบบนี้อย่างไรเสียก็น่าจะมีรางวัลกันบ้างละ มือบางเกาะแขนเล็กนิ่มของเด็กสาวที่ยืนตัวแข็ง ก้มหน้าไม่พูดไม่จา หนึ่งในสองชายพม่าพูดอะไรออกมาคำหนึ่งทำให้เด็กสาวหน้าซีดเซียว ปลดมือบางของตวงทองออกจากต้นแขนตนเอง พร้อมขยับออกห่าง
“ตูซา มีอะไร นี่นายคนนี้กำลังข่มขู่เธอใช่ไหม แน่จริงใช้ภาษาไทยสิ นี่จงใจข่มขู่พยานชัดๆ”
“เงียบ!” เสียงห้าวเฉียบขาดดังขึ้น ตวงทองเม้มปากนิ่ง มองอาการเย็นชาของตูซาอย่างไม่เข้าใจ
“เอกไต่สวนได้”
“ครับนายช่างใหญ่ นายสองคนลักลอบเข้าไปในไร่ของลุง เอ๊ย ผู้การเติมศักดิ์แล้วขโมยสับปะรดมาใช่ไหม”
“ครับ” ทั้งสองพยักหน้าอย่างง่ายดาย คาดว่าช่างเอกคงดำเนินการ ‘ง้างปาก’ กันมาก่อนจากด้านนอกแล้ว
“ทำมากี่ครั้งแล้ว”
“ครั้งเดียวครับ”
“โกหก ตูซาบอกว่าพวกนายเคยขโมยมาเป็นเข่ง แล้วเอามาแบ่งกันกินในแคมป์คนงาน”
“พี่ตวง”
“อีตูซา!”
กรรมกรหนุ่มทั้งสองเข่นเขี้ยว มองเด็กสาวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เดือดร้อนศมาเดินเข้ามาขวาง ก่อนจะเอ่ยช้าๆ
“โทษของคนขโมยคือไล่ออก ไปเก็บของรับค่าแรงแล้วออกไปได้แล้ว”
“นาย!”
“อย่าไล่พวกผมออกเลยนะครับนาย ลูกเมียผมมาอยู่ด้วยจะทำยังไง นายช่างใหญ่ครับ อย่าไล่พวกผมเลยครับ เราไม่มีที่ไปจริงๆ” ใบหน้าที่เคยถมึงทึงของกรรมกรทั้งสองกลับซีดขาวราวกับกระดาษ น้ำตาไหลลงอาบใบหน้าสกปรก
“ก่อนทำทำไมไม่คิดก่อน ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว เอกจัดการได้”
“ครับนาย”
“ดะ...เดี๋ยวก่อน” ผู้การเติมศักดิ์โบกไม้โบกมือ “สับปะรดเข่งสองเข่ง จ่ายค่าเสียหายมาก็พอ แล้วคาดโทษกันไป คุมคนใช้แต่พระเดชแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนวะ”
ผู้การกลับหัวเรือเสียจนใครๆ ตามไม่ทัน ศมาถึงกับคิ้วกระตุก
“แคมป์คนงานของผมมีกฎระเบียบต้องปฏิบัติ ไม่เกี่ยวกับคนอื่น”
“อ้าว ก็มันลักสับปะรดของข้า ข้าเป็นเจ้าทุกข์นะ ข้าไม่เอาโทษ จะเอาเงิน ให้มันชดใช้มาก็พอแล้ว วุ้ย เรื่องมากจริงนายช่างใหญ่”
“ขอบคุณครับผู้การ”
“ขอบคุณครับผม”
กรรมกรหนุ่มทั้งสองก้มหัวไหว้ปลกๆ น้ำหูน้ำตาไหลด้วยความดีใจ สีหน้าของตูซาดูเหมือนจะดีขึ้นด้วย
“เอกชดใช้ค่าเสียหายแล้วตัดเงินสองคนนี้ครึ่งเดือน งดโอทีทุกอย่าง”
“ครับนาย”
“เออ แบบนี้ค่อยดีหน่อย จ่ายมาเถอะข้าจะได้กลับเสียที แหม...ถ้ารู้ว่าความวุ่นวายจะตามมาขนาดนี้ข้าไม่ขายที่ให้นายทุนมาสร้างหรอกวะบ้านจัดสรรอะไรนี่ คราวนี้เห็นทีต้องไปอยู่เกาะ ดีนะที่ข้าขยักไว้อีกเยอะ ไหนล่ะเงิน” ผู้การเรือหางยาวของตวงทองทำให้ทุกคนนิ่งงันไปครู่หนึ่ง สภาพ กลิ่น และกิริยาท่าทางของแกทำให้สิ่งที่แกพูดมันฟังดูเหลือเชื่อเสียจริงๆ
“ไปละ นังหนูตวงทองอยากกินสับปะรดก็ลอดรั้วไปเก็บเอานะ ถือว่าตอบแทนที่ช่วยจับคนร้ายให้ เอ็งด้วยนะนังหนู ข้าไปละ” ประโยคท้ายผู้การเติมศักดิ์เอ่ยกับตูซา ก่อนจะเดินตามหลังช่างทั้งสองที่คุมคนงานชายที่ก่อเรื่องออกไปจัดการด้านนอกต่อ
ตูซาประนมมือไหว้นายช่างใหญ่ แล้วก็เบี่ยงตัวหลบมือบางที่ทำท่าจะรั้งตัวหล่อนไว้ตามออกไปเช่นกัน ตวงทองมองตามด้วยความงุนงง
“เป็นอะไรของเขานะ” หล่อนพึมพำ
ศมาเหลือบมองเลขาของเขาสายตาคมกริบ คิดว่าจะไม่พูดแต่เขาก็อดไม่ได้
“คนที่ถูกหักหลังเขาจะรู้สึกยังไงล่ะ”
“หักหลัง? ใครหักหลังใครคะ”
“นี่ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ” น้ำเสียงศมาแสดงความระอาใจอย่างไม่ปิดบัง “คุณบังคับให้เด็กคนนั้นต้องชี้ตัวพวกเดียวกัน จนเกือบถูกไล่ออกจากงาน คิดว่าสองคนนั้นกับครอบครัวและคนงานอื่นๆ จะคิดยังไงกับเธอ”
“ก็...แต่มันเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องถูกต้องไม่ใช่เหรอคะ” ใบหน้าชวนมองสลดลงเล็กน้อย หากยังไม่วายแย้งอย่างดื้อดึง
“แล้วทำไมคุณไม่ชี้ตัวพวกนั้นเอง” เขาย่างสามขุมเข้ามาหาด้วยท่าทีคุกคาม
“ฉันจำพวกเขาไม่ได้” เสียงหวานแหลมขึ้น เพราะรู้สึกว่ากำลังโดนต้อนให้จนมุม
“ทำไมจำไม่ได้”
“ก็ใครมันจะไปจำกรรมกรพวกนั้นได้เล่า หน้าตาเหมือนๆ กันทั้งนั้น ฉันไม่เคยคุยไม่เคยคลุกคลีด้วยเหมือนตูซา จะไปจำได้ได้ยังไงกัน”
“คนละชั้นกับคุณสินะ” ปากเขาว่าเยาะหยัน ยังไม่เท่าดวงตารู้ทันคู่นั้น
“เอ๊ะ!” ตวงทองร้องเสียงแหลม ฉุนขาดที่ถูกไล่เบี้ยในเรื่องไม่เป็นเรื่อง “ฉันเองก็มีส่วนช่วยให้เรื่องนี้มันคลี่คลายลงไปไม่ใช่เหรอ แล้วคุณจะมาเอาอะไรกับฉันอีก”
“ผมไม่ต้องการอะไรจากคุณแม้สักอย่างเดียว อ้อ ยกเว้นหนี้สินที่ติดค้างไว้นั่น” เขายกยิ้มมุมปากแต่ใบหน้าเรียบเฉยแบบที่หล่อนเกลียดนัก “แต่คุณควรจะรู้ตัวบ้างว่าทำเรื่องแย่ขนาดไหน แล้วใครจะต้องเดือดร้อนยังไงบ้าง”
“ไม่ต้องย้ำนักหรอกค่ะ ฉันรู้ว่าคุณคือเจ้าหนี้ ส่วนเรื่องตูซาจะเดือดร้อนคุณก็ปกป้องเธอสิคะ ออกคำสั่งห้ามใครข่มเหงเธอก็ได้ไม่ใช่หรือ ใครจะกล้า พวกคนงานกลัวคุณจะตายไป”
ศมาถึงกับส่ายหัว สรุปว่าที่เขาพยายามพูดไปทั้งหมดมันสูญเปล่า
ตวงทองอ้าปากจะพูดต่อ แต่เขาไหวมือแล้วหมุนตัวกลับโต๊ะทำงานจัดเก็บเอกสารแล้วออกจากห้องไปเงียบๆ ตวงทองหน้าร้อนชา
เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไงกันนะ ตกลงหล่อนเป็นคนผิดหรือยังไงกัน!
ระหว่างที่เจ้านายผู้ควบตำแหน่งเจ้าหนี้ของหล่อนกำลังจิบกาแฟและอ่านเอกสารทั้งหลายทั้งปวงที่สั่งให้หล่อนพิมพ์อยู่โดยใช้สมาธิอย่างหนัก จู่ๆ ประตูสำนักงานก็ถูกเปิดผลัวะออกโดยแรง ตามมาด้วยเสียงแหบห้าวระคายแก้วหูและกลิ่นสุราฉุนกึก
“ไหน นายช่างใหญ่ที่ว่าอยู่ไหนวะ ออกมาคุยกับผู้การเติมศักดิ์หน่อยสิ มุดหัวอยู่ที่ไหนวะ” ปลายนิ้วที่ชี้กราดไปมาสั่นน้อยๆ ตวงทองผงะถอยหลบ มองประตูสำนักงานที่เปิดโร่อยู่อย่างหาทางรอด ขณะที่ศมาเขม้นมองไปที่ร่างผอมสูง เขาดันเอกสารออกแล้วลุกขึ้นยืน
“ผมเองครับ ศมา”
“เออ อยู่ก็ดีแล้ว นึกว่าจะมุดหัวเหมือนไอ้พวกกรรมกรหัวขโมยลูกน้องต่างด้าวของเอ็ง”
“หัวขโมย?” ศมาทวนคำ พอดีกับที่ช่างเอกวิ่งเข้ามาทัน เขาหน้าเสีย ทำปากพะงาบๆ ได้ความว่ากำลังจัดการอยู่
“เอก ว่าไง”
“ครับ คนงานของเราสองคนแอบไปขโมยสับปะรดจากไร่ลุงเติมครับ”
“ผู้การเว้ย ผู้การเติมศักดิ์ กูไม่มีลูกหลานเหลนโหลนที่ไหน ไม่ต้องมานับญาติ”
“ครับผม คนงานของเราไปขโมยสับปะรดมาจากไร่ผู้การเติมศักดิ์ครับ”
“ใคร มีพยานรู้เห็นไหม”
“ชิชะๆ ไอ้นายช่างหญ่าย กล่าวหาว่าข้ากุเรื่องขึ้นมาเรอะ นี่ไง นังหนูเป็นพยานได้” ผู้การเติมศักดิ์ถลาเข้าไปคว้าข้อมือบางของคนที่พยายามทำตัวลีบเล็กไว้ได้ ตวงทองหน้าซีดเผือด ศมาถอนหายใจแรง
“ลุงปล่อยมือคนของผมก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะโดนข้อหาบุกรุก ทำร้ายร่างกาย”
“เหอะ หัวหมอนักนะ ปล่อยก็ได้ แต่เอ็งห้ามหนีไปไหนนะนังหนู บอกเจ้านายของเอ็งไปสิว่าเอ็งเห็นไอ้พวกนั้นขโมยสับปะรดของข้าจริง”
“ค่ะๆ คนงานพม่าสองคน เมื่อวานวิ่งหนีลุง เอ๊ย ผู้การออกมาจากไร่สับปะรดทางฝั่งบ้านพักของฉันจริงๆ ค่ะ” ตวงทองละล่ำละลักบอก หวังจะให้พ้นตัว
ศมามีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น เขาหันมามองช่างเอกแล้วสั่งให้ไปตามตัวมา ทำเอานายช่างหนุ่มใหญ่อึกอัก จนเจ้านายขมวดคิ้วเข้ม กัดกรามกรอด
“มีอะไรเอก”
“ไม่รู้ว่าคนไหนน่ะสิครับ”
“อุบ๊ะ จะเล่นลูกไม้หรือไง เรียกมันมาให้หมดแล้วให้นังหนูชี้ตัวสิ”
คราวนี้ ‘นังหนู’ สะดุ้งโหยง หน้าเสีย
หล่อนจำได้เสียที่ไหนเล่า คนงานชายพวกนี้ตัวผอมๆ ดำๆ ผมเผ้าตัดทรงเดียวกันทั้งนั้น ขนาดจะแยกคนไทยกับคนต่างด้าวหล่อนยังแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ใครจะไปเพ่งพิจารณาผู้ชายพวกนี้จนจำได้กันเล่า ใช่หนุ่มหล่อโพรไฟล์ดีเสียก็เปล่า
“ตูซา...ตูซาจำได้ค่ะ” หล่อนโพล่งออกไป
“ดี เอกพาคนงานหญิงคนนั้นไปชี้ตัวหัวขโมย แล้วพามาที่นี่ทั้งสามคน ชัยไปคอยคุมคนงานอย่าให้เกิดเรื่องวุ่นวาย ใครไม่เชื่อฟังจ่ายค่าแรงตามจริงแล้วให้ออกได้เลย”
“ครับนายช่างใหญ่” ช่างชัยเดินตามหลังช่างเอกไปติดๆ เสียงพูดคุยจอแจด้านนอกทำให้ศมารู้ว่างานคงไม่เดินเท่าที่ควรจะเป็นนัก
ตัวต้นเหตุหันซ้ายแลขวาแล้วก็บ่นเสียงดัง “จะให้เจ้าทุกข์นั่งที่ไหนได้บ้างนี่ น้ำท่าไม่มีกินเรอะ แหม...บริษัทออกใหญ่โต โครงการร้อยล้านพันล้านไม่ใช่รึ”
“ตวงทอง” ศมาเรียกให้เลขาจำเป็นจัดการหาน้ำมาบริการเจ้าทุกข์ตัวเขื่อง แกรับน้ำจากมือที่สั่นน้อยๆ แล้วพิศมองใบหน้าหล่อน ถามเสียงขรึม
“นังหนูเอ็งชื่ออะไรนะ”
“ตวงทองค่ะ” หญิงสาวตอบพร้อมถอยห่างออกไปยืนหลังโต๊ะ
“ตวงทองรึ ชื่อเพราะดี” ผู้การเติมศักดิ์พยักหน้าหงึกๆ “ลูกเต้าเหล่าใครล่ะ”
“เอ่อ...” หญิงสาวอึกอัก ไม่สะดวกใจจะสนทนานัก โชคดีที่ประตูสำนักงานเปิดออกพอดี ชายร่างผอมสองคนถูกผลักให้เดินเข้ามาด้านใน ตามมาด้วยตูซา ช่างเอก และช่างชัย
“ได้ตัวมาแล้วครับนาย ทั้งคนชี้ตัวและหัวขโมย”
“ใช่สองคนนี้จริงๆ ด้วย ตูซาจำได้จริงๆ เห็นไหมคะ ถ้าเป็นฉันไม่มีทางแยกออกหรอก หน้าตาท่าทางเหมือนๆ กันทั้งนั้น” ตวงทองรุดเข้ามายืนข้างตูซาท่าทางลิงโลดดีใจ จับคนร้ายได้แบบนี้อย่างไรเสียก็น่าจะมีรางวัลกันบ้างละ มือบางเกาะแขนเล็กนิ่มของเด็กสาวที่ยืนตัวแข็ง ก้มหน้าไม่พูดไม่จา หนึ่งในสองชายพม่าพูดอะไรออกมาคำหนึ่งทำให้เด็กสาวหน้าซีดเซียว ปลดมือบางของตวงทองออกจากต้นแขนตนเอง พร้อมขยับออกห่าง
“ตูซา มีอะไร นี่นายคนนี้กำลังข่มขู่เธอใช่ไหม แน่จริงใช้ภาษาไทยสิ นี่จงใจข่มขู่พยานชัดๆ”
“เงียบ!” เสียงห้าวเฉียบขาดดังขึ้น ตวงทองเม้มปากนิ่ง มองอาการเย็นชาของตูซาอย่างไม่เข้าใจ
“เอกไต่สวนได้”
“ครับนายช่างใหญ่ นายสองคนลักลอบเข้าไปในไร่ของลุง เอ๊ย ผู้การเติมศักดิ์แล้วขโมยสับปะรดมาใช่ไหม”
“ครับ” ทั้งสองพยักหน้าอย่างง่ายดาย คาดว่าช่างเอกคงดำเนินการ ‘ง้างปาก’ กันมาก่อนจากด้านนอกแล้ว
“ทำมากี่ครั้งแล้ว”
“ครั้งเดียวครับ”
“โกหก ตูซาบอกว่าพวกนายเคยขโมยมาเป็นเข่ง แล้วเอามาแบ่งกันกินในแคมป์คนงาน”
“พี่ตวง”
“อีตูซา!”
กรรมกรหนุ่มทั้งสองเข่นเขี้ยว มองเด็กสาวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เดือดร้อนศมาเดินเข้ามาขวาง ก่อนจะเอ่ยช้าๆ
“โทษของคนขโมยคือไล่ออก ไปเก็บของรับค่าแรงแล้วออกไปได้แล้ว”
“นาย!”
“อย่าไล่พวกผมออกเลยนะครับนาย ลูกเมียผมมาอยู่ด้วยจะทำยังไง นายช่างใหญ่ครับ อย่าไล่พวกผมเลยครับ เราไม่มีที่ไปจริงๆ” ใบหน้าที่เคยถมึงทึงของกรรมกรทั้งสองกลับซีดขาวราวกับกระดาษ น้ำตาไหลลงอาบใบหน้าสกปรก
“ก่อนทำทำไมไม่คิดก่อน ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว เอกจัดการได้”
“ครับนาย”
“ดะ...เดี๋ยวก่อน” ผู้การเติมศักดิ์โบกไม้โบกมือ “สับปะรดเข่งสองเข่ง จ่ายค่าเสียหายมาก็พอ แล้วคาดโทษกันไป คุมคนใช้แต่พระเดชแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนวะ”
ผู้การกลับหัวเรือเสียจนใครๆ ตามไม่ทัน ศมาถึงกับคิ้วกระตุก
“แคมป์คนงานของผมมีกฎระเบียบต้องปฏิบัติ ไม่เกี่ยวกับคนอื่น”
“อ้าว ก็มันลักสับปะรดของข้า ข้าเป็นเจ้าทุกข์นะ ข้าไม่เอาโทษ จะเอาเงิน ให้มันชดใช้มาก็พอแล้ว วุ้ย เรื่องมากจริงนายช่างใหญ่”
“ขอบคุณครับผู้การ”
“ขอบคุณครับผม”
กรรมกรหนุ่มทั้งสองก้มหัวไหว้ปลกๆ น้ำหูน้ำตาไหลด้วยความดีใจ สีหน้าของตูซาดูเหมือนจะดีขึ้นด้วย
“เอกชดใช้ค่าเสียหายแล้วตัดเงินสองคนนี้ครึ่งเดือน งดโอทีทุกอย่าง”
“ครับนาย”
“เออ แบบนี้ค่อยดีหน่อย จ่ายมาเถอะข้าจะได้กลับเสียที แหม...ถ้ารู้ว่าความวุ่นวายจะตามมาขนาดนี้ข้าไม่ขายที่ให้นายทุนมาสร้างหรอกวะบ้านจัดสรรอะไรนี่ คราวนี้เห็นทีต้องไปอยู่เกาะ ดีนะที่ข้าขยักไว้อีกเยอะ ไหนล่ะเงิน” ผู้การเรือหางยาวของตวงทองทำให้ทุกคนนิ่งงันไปครู่หนึ่ง สภาพ กลิ่น และกิริยาท่าทางของแกทำให้สิ่งที่แกพูดมันฟังดูเหลือเชื่อเสียจริงๆ
“ไปละ นังหนูตวงทองอยากกินสับปะรดก็ลอดรั้วไปเก็บเอานะ ถือว่าตอบแทนที่ช่วยจับคนร้ายให้ เอ็งด้วยนะนังหนู ข้าไปละ” ประโยคท้ายผู้การเติมศักดิ์เอ่ยกับตูซา ก่อนจะเดินตามหลังช่างทั้งสองที่คุมคนงานชายที่ก่อเรื่องออกไปจัดการด้านนอกต่อ
ตูซาประนมมือไหว้นายช่างใหญ่ แล้วก็เบี่ยงตัวหลบมือบางที่ทำท่าจะรั้งตัวหล่อนไว้ตามออกไปเช่นกัน ตวงทองมองตามด้วยความงุนงง
“เป็นอะไรของเขานะ” หล่อนพึมพำ
ศมาเหลือบมองเลขาของเขาสายตาคมกริบ คิดว่าจะไม่พูดแต่เขาก็อดไม่ได้
“คนที่ถูกหักหลังเขาจะรู้สึกยังไงล่ะ”
“หักหลัง? ใครหักหลังใครคะ”
“นี่ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ” น้ำเสียงศมาแสดงความระอาใจอย่างไม่ปิดบัง “คุณบังคับให้เด็กคนนั้นต้องชี้ตัวพวกเดียวกัน จนเกือบถูกไล่ออกจากงาน คิดว่าสองคนนั้นกับครอบครัวและคนงานอื่นๆ จะคิดยังไงกับเธอ”
“ก็...แต่มันเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องถูกต้องไม่ใช่เหรอคะ” ใบหน้าชวนมองสลดลงเล็กน้อย หากยังไม่วายแย้งอย่างดื้อดึง
“แล้วทำไมคุณไม่ชี้ตัวพวกนั้นเอง” เขาย่างสามขุมเข้ามาหาด้วยท่าทีคุกคาม
“ฉันจำพวกเขาไม่ได้” เสียงหวานแหลมขึ้น เพราะรู้สึกว่ากำลังโดนต้อนให้จนมุม
“ทำไมจำไม่ได้”
“ก็ใครมันจะไปจำกรรมกรพวกนั้นได้เล่า หน้าตาเหมือนๆ กันทั้งนั้น ฉันไม่เคยคุยไม่เคยคลุกคลีด้วยเหมือนตูซา จะไปจำได้ได้ยังไงกัน”
“คนละชั้นกับคุณสินะ” ปากเขาว่าเยาะหยัน ยังไม่เท่าดวงตารู้ทันคู่นั้น
“เอ๊ะ!” ตวงทองร้องเสียงแหลม ฉุนขาดที่ถูกไล่เบี้ยในเรื่องไม่เป็นเรื่อง “ฉันเองก็มีส่วนช่วยให้เรื่องนี้มันคลี่คลายลงไปไม่ใช่เหรอ แล้วคุณจะมาเอาอะไรกับฉันอีก”
“ผมไม่ต้องการอะไรจากคุณแม้สักอย่างเดียว อ้อ ยกเว้นหนี้สินที่ติดค้างไว้นั่น” เขายกยิ้มมุมปากแต่ใบหน้าเรียบเฉยแบบที่หล่อนเกลียดนัก “แต่คุณควรจะรู้ตัวบ้างว่าทำเรื่องแย่ขนาดไหน แล้วใครจะต้องเดือดร้อนยังไงบ้าง”
“ไม่ต้องย้ำนักหรอกค่ะ ฉันรู้ว่าคุณคือเจ้าหนี้ ส่วนเรื่องตูซาจะเดือดร้อนคุณก็ปกป้องเธอสิคะ ออกคำสั่งห้ามใครข่มเหงเธอก็ได้ไม่ใช่หรือ ใครจะกล้า พวกคนงานกลัวคุณจะตายไป”
ศมาถึงกับส่ายหัว สรุปว่าที่เขาพยายามพูดไปทั้งหมดมันสูญเปล่า
ตวงทองอ้าปากจะพูดต่อ แต่เขาไหวมือแล้วหมุนตัวกลับโต๊ะทำงานจัดเก็บเอกสารแล้วออกจากห้องไปเงียบๆ ตวงทองหน้าร้อนชา
เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไงกันนะ ตกลงหล่อนเป็นคนผิดหรือยังไงกัน!
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มิ.ย. 2564, 18:50:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มิ.ย. 2564, 18:50:10 น.
จำนวนการเข้าชม : 306
<< บทที่ 6 -60% | บทที่ 7 -15% >> |