stop bad time หยุดเรื่องร้ายแล้วเรามารักกัน
ชีวิตที่ผ่านมาของหญิงสาวช่างน่าสงสาร แต่แม่เลี้ยงของเธอก็ไม่หยุดปั่นป่วนชีวิตเธอโดนทำร้ายร่างกายมิหน่ำซ้ำยังจะขายเธอให้กับพวกมาเฟีย
Tags: รัก ดราม่า
ตอน: พบเจอ
ในวันแรกของการย่างเท้าเข้าสู่มหาลัยในฐานะที่เป็นนักศึกษาของมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศไทย หญิงสาวหน้าตาที่แสนธรรมด๊าธรรมดา ใบหน้ารูปไข่ที่บนใบหน้าไม่ได้แต่งแต้มอะไรมากมีเพียงแค่แป้งกับลิปมันที่มันถูกเจ้าของใบหน้าเอามาแต่งเติมซึ่งมันก็ยังดูเหมือนหน้าปรกติทั่วไป ในแววตาฉายถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจ สำหรับเธอแล้วเธอไม่คิดที่จะห่วงเรื่องสวยเรื่องงามเธอสนอย่างเดียวคืออนาคตของตัวเอง ครอบครัว คนที่เธอรัก เธอไม่ค่อยสนใจเรื่องการแต่งตัวขอแค่ดูดีใส่แล้วแสดงถึงตัวตนของเธอเอง เธอเป็นคนกล้าแสดงออกกล้าแสดงในสิ่งที่ดี เธอไม่เคยอายใครสำหรับเธอแล้วการกระทำในสิ่งที่ไม่มีดีมันน่าอายที่สุด " นิตา " คือชื่อของเธอ เธอเติบโตมาท่ามกลางความขัดแย้ง สังคมที่วุ่นวาย ครอบครัวที่ไม่เหมือนครอบครัว เธออาศัยอยู่กับพ่อของเธอเอง แต่พ่อของเธอนั้นไม่เคยปฎิบัติต่อเธอเหมือนลูกแท้ๆ พ่อเธอเกลียดเธอมาก และยังคงคิดว่าเธอเป็นคนฆ่าแม่แท้ๆของตัวเอง แม่ของเธอตายตอนที่คลอดเธอ ทำให้พ่อคิดมาตลอดว่าเธอคือคนที่พรากคนรักไปจากเขา นับจากวันที่แม่ตายพ่อก็มีแม่เลี้ยง พ่อเริ่มกินเหล้าเมามายทุกวัน อาชีพของพ่อคือการเป็นตำรวจ พ่อของเธอไม่เคยสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของเธอ เธอมีพี่ชายอยู่คนหนึ่งแต่พี่ชายของเธอก็จากไป พี่ชายของเธอนั้นไม่พอใจกับการที่พ่อของเธอไปแต่งงานกับแม่เลี้ยง พี่ชายเลยทำประชดด้วยการฆ่าตัวตาย เธอต้องเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ในสายตาพ่อคือฆาตกร แม่เลี้ยงก็เกลียดชังใช้เธอทำงานต่างๆเยี่ยงทาส พ่อของเธอนั้นลุ่มหลงในตัวของแม่เลี้ยงเป็นอย่างมากตามใจทุกอย่างอยากได้อะไรก็ให้เงินเกือบทุกบาทของพ่อไม่เคยได้เฉียดมาถึงมือของฉัน แม่เลี้ยงเอาไปใช้คนเดียวหมด เธอต้องทำงานพิเศษเลี้ยงส่งเสียตัวเองเรียนมาจนถึงทุกวันนี้ เธอมีเพื่อสนิทอยู่ 2 คน ชื่อ " คีตา " กับ " เฟื่องฟ้า " เพื่อนทั้งสองคนนี้รู้จักกับเธอมาตั้งแต่มัธยมต้น พวกเราสนิทกันมาก พวกเราได้เรียนห้องเดียวกันมาตลอดและพวกเราก็ได้เรียนมหาลัยเดียวกันด้วย เพื่อนของฉันรู้จักนิสัยของแม่เลี้ยงดี จริงๆแล้วแม่เลี้ยงของฉันไม่ได้รักพ่อของฉันจริงๆหรอก แม่เลี้ยงเอาเงินที่พ่อให้ไปเปย์ไปเลี้ยงผู้ชายบ้าง ไปเที่ยวเล่นบ้าง ฉันเคยเห็นแม่เลี้ยงไปเข้ารีสอรทกับผู้ชายที่อายุน้อยกว่าและตอนนั้นฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อ พ่อไม่เชื่อไปถามแม่เลี้ยง แม่เลี้ยงก็ปฎิเสธว่าไม่ได้เล่นชู้กับใคร ตอนนั้นฉันบอกพ่อไปแต่ไม่มีหลักฐานพ่อเลยเชื่อเมียมากกว่าลูกทำให้วันนั้นฉันโดนพ่อตีไปหลายสิบทีจนต้องหยุดเรียนเป็นอาทิตย์ แม่เลี้ยงได้ขู่ฉันไว้ว่าอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่ออีกไม่อย่างนั้นเธอจะไม่ปล่อยฉันเอาไว้แน่ นับจากนั้นฉันก็ไม่ได้เอาเรื่องนี้ไปบอกใครนอกจากเพื่อนสองคนนี้ ฉันเกิดมาในครอบครัวที่โหดร้ายแต่ก็โชคดีที่มีเพื่อนสองคนนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวไม่ได้โดดเดี่ยวเสมอไป ฉันยังมีเพื่อนสองคนที่คอยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาคือเฟื่องฟ้ากับคีตา หลายครั้งที่ฉันมักจะไปค้างที่บ้านของเฟื่องฟ้า และพ่อก็ไม่ว่าอะไรเพราะเราเป็นเพื่อสนิทกันเฟื่องฟ้าก็มาบ้านฉันบ่อยๆทำให้พ่อไว้วางใจ พ่อไม่ยอมให้ฉันเรียนไกลจากบ้านเพราะกลัวฉันจะออกนอกกรอบ ฉันไม่เคยขออะไรจากพ่อหรือคนในคนครอบครัวเลย ฉันไม่เคยได้รับความรักจากคนที่ได้อยู่ในครอบครัว ทุกวันอาทิตย์ฉันจะไปเยี่ยมกับพี่ชายที่สุสาน ในหมู่บ้าน มันเป็นที่ที่ฉันไปบ่อยๆเมื่อยามมีความทุกข์ ฉันจะไประบายให้แม่กับพี่ชายฟังตลอด
ในอาทิตย์นี้จะมีกิจกรรมรับน้องที่ต่างจังหวัด โดยจะมีกิจกรรมให้รุ่นน้องปี 1 ที่เข้ามาใหม่จับสลากตามหาพี่รหัสด้วยและฉับแอบได้ยินรุ่นพี่พูดว่าปรกติพวกเขาจะไปทะเลกันแต่ปีนี้เปลี่ยนสถานที่น่าจะไปแถวๆภาคเหนือ ฉันเลือกที่จะเรียนนิติศาสตร์ คีตาเรียนวิศวะ เฟื้องฟ้าเรียนบริหารธุระกิจ พวกเราเรียนมหาลัยเดียวกันเพียงแค่อยู่คนละคณะทำให้เราเจอกันน้อยลง ฉันเรียมมีเพื่อนใหม่ชื่อ "แก้วตา" เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากๆ เธอมีรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ ฉันแอบอิจฉาความ
สดใสของตัวเธอเอง เธอสามารถเข้ากับคนอื่นได้ดี ผิดกับตัวฉันที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครสักเท่าไหร่ ฉันชอบอยู่เงียบๆ แต่เพื่อนของฉันแต่ละคนไม่มีใครเงียบเลยสักคน ฮ่า ฮ่า
"นี่นิตา วันอาทิตย์นี้เราจะต้องไปทำกินกรรมรับน้องที่เชียงใหม่ด้วย พวกพี่ๆบอกว่าปรกติจะพาไปทะเลแต่ปีนี้เปลี่ยนเป็นภูเขา ฉันตื่นเต้นจัง และก็รอไม่ไหวที่จะเห็นโฉมหน้าของรุ่นพี่รหัสจะแย่แล้วอิอิ" เสียงร่าของหญิงสาวข้างกายทำเอาตัวเธอเองก็อดยิ้มกับพฤติกรรมของเพื่อนสาวไม่ได้ดูท่าทางเธอแล้วต้องตื่นเต้นมากๆแน่
"ใช่ ก็ดีนะเปลี่ยนทะเลเป็นภูเขา เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันในการเตรียมตัว"
"ไม่ต้องเตรียมตัวถึง 2 วันหรอก ฉันเตรียมตัวเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ฮ่า ฮ่า" ฉันส่ายหน้าให้กับอาการที่แสนตื่นเต้นของเพื่อนตัวดีอย่างเอือมระอา เธอแบจะหยุดพูดไม่ได้และฉันก็ไม่เคยที่จะรำคาญเธอด้วยแต่กับตรงกันข้ามฉันกลับชอบเวลาที่เธอชวนฉันพูดบ่อยๆ
"จริงหรอจ๊ะ! แก้วตาสุดสวยย" อยู่ๆก็มีเสียงบุคคลที่สามโผล่ขึ้นข้างหลังของแก้วตาทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
เพี๊ยะ "นี่แนะอีตาบ้า มาไม่ให้สุ่มให้เสียงถ้าฉันหัวใจวายขึ้นมาจะทำไง" เสียงโวยวายของเพื่อนสาวเธอหลังจากที่เจ้าตัวเอามือฟาดไปที่ต้นแขนของชายหนุ่ม ว่าแต่เขาชื่อไรนะ ฉันจำชื่อเขาไม่ได้แต่น่าจะอยู่คณะเดียวกันกับฉัน
"โอ้!! นี่เธอมาตบแขนฉันทำไมเนี่ยเจ็บนะ ว่าแต่" อยู่ๆชายหนุ่มก็เลื่อนสายตามาหยุดที่ตัวของนิตา "สาวสวยนี่ใครหรอ"
"อ่อ นี่นิตาเพื่อนฉัน นิตานี่นายไวไวควิกเพื่อนสนิทของฉันอีกคน" แก้วตาแนะนำเพื่อนของเธอให้ฉันรู้จัก ว่าแต่เขาไม่ได้ชื่อไวไวควิกนี่น่า เขาชื่อไนนะ อื้อชื่อ ไว..
โป๊ก "นี่แนะบ้า ฉันไม่ได้ชื่อไวไวควิกซะหน่อย"
"นี่ฉันก็เจ็บเป็นนะ แหะๆ นิตานี่ไวกิ้งเพื่อนสนิทของฉันนะ" อ่อที่แท้ก็คือไวกิ้งนี่เอง ฉันจำหน้าของเต้นเจอกันวันปฐมนิเทศได้ แต่แค่จำชื่อไม่ได้เฉยๆ
"อ่อ สวัสดีค่ะไวกิ้ง"
"เอ่อ...ไม่ต้องพูดด้วยท่าทีห่างเหินก็ได้เรียกว่าไวสั้นๆก็ได้และไม่ต้องพูดจาสุภาพขนาดนั้นกับฉันหรอก ได้ยินแล้วเหมือนตัวเองแก่ยังไงก็ไม่รู้" ไวพูดออกมาด้วยสีหน้าดูตกใจนิดหน่อยที่ฉันพูดจาดูเหินห่างขนาดนั้นเขาเกาหัวตัวเองแกร๊กๆเพื่อแก้อาการเก้อ
วันนี้ทั้งวันเราสามคนอยู่ด้วยกันตลอดเวลาฉันพึ่งรู้ว่าจริงๆแล้วบ้านของแก้วตาและไวกิ้งอยู่ซอยเดียวกันกับฉัน ไวกิ้งบอกว่าเขากับแก้วตาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็กๆพวกเขาเกิดวันเดียวกันด้วยทำให้พวกเขาสนิกันเป็นพอเศษและพ่อแม่ของ
เขาทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนสนิทกันทำให้พวกเขาสนิทกันเป็นพอเศษ นอกจากนี้แก้วตาก็เล่าเรื่องตอนเด็กๆที่ไวกิ้งกินไข่เข้าไปทั้งเปลือกให้ฟังด้วย พวกเขาสองคนก็เล่าถึงเหตุการณ์ตอนยังเด็กยันโตให้เธอฟังด้วย แก้วตากับไวกิ้งมักจะโดนเพื่อนในห้องจับจิ้นกันตลอด เพราะพวกเขาสองนชอบกัดกันเป็นว่าเล่น พวกแกล้งกันบ่อยๆคนส่วนใหญ่คิดว่าพวกเขาเป็นแฟนกัน
พวกเราต่างตื่นเต้นอดรอไม่ไหวที่จะได้ไปเชียงใหม่ วันนี้ไวกิ้งอาสาขับรถไปส่งพวกเราที่บ้านด้วยความที่ว่าพวกเราอยู่ในซอยเดียวกัน ก่อนกลับไวกิ้งชวนกินข้าวที่บ้านของเขาทำให้วันนี้ฉันกลับค่อนข้างดึกเพราะคุยกับแม่ของไวกิ้งจนเพลินถึงบ้านอีกทีก็ สี่ทุ้มกว่าๆแล้ว
"บ๊าย บาย นะแก้วตาไว้กิ้งกลับบ้านกันดีๆละ"
"จ๊ะ เจอกันพรุ่งนี้นะบาย"
หลังจากที่รถของไวกิ้งเคลื่อนตัวไปแล้วฉันก็หันหลังเตรียมตัวจะกลับเข้าบ้านแต่เมื่อยังไม่ทันได้หันหน้ากลับเข้าบ้านก็มีเสียงผู้ชายวัยกลางคนโผลขึ้นที่ด้านหลังของเธอทำเอาเธอสดุ้งตกใจ
"ไปไหนมา" เสียงทุ้มต่ำนั้นทำให้เธอรู้เลยว่าคือพ่อของเธอ ปรกติพ่อของเธอไม่อนุญาติให้กลับ้านค่ำ ถ้าวันไหนกลับบ้านค่ำแล้วไม่โทรไปบอกแม่เลี้ยงก่อนล่วงหน้า ฉันก็จะโดนพ่อตี "นี่มันสี่ทุ้มกว่าๆแล้วทำไมไม่กลับพรุ่งนี้เช้าเลยละห่ะ! รู้ไหมว่าวิภารอกินข้าว" ฉันรีบถอยหลังและก้มหน้าทันที ฉันได้กลิ่นเหล้าจางๆที่โชยออกมาจากตัวของพ่อ เดาได้ว่าพ่อกินเหล้าอีกแล้ว
"หนูขอโทษค่ะ ที่ไม่ได้โทรบอกคุณน้าว่าจะกลับดึก พอดีวันนี้เพื่อนหนูชวนไปกินข้าวที่บ้านของเขานะคะ" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดปนความกลัว
เพี๊ยะ "อีลูกธรพีกูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่าให้เมียกูว่าแม่ ทำไมมึงยังเรียกน้า" เมื่อฝ่ามือของพ่อกระทบลงที่ใบหน้าของหญิงสาวทำให้เกิดรอยฝ่ามือข้นอย่างชัดเจน วิภา หรือแม่เลี้ยงของเธอที่ยืนอยู่ข้างหลังพ่อเธอแสยะยิ้มออกมาอย่างสะใจที่เห็นเธอโดนพ่อของเธอทำร้ายลูกแท้ๆของตัวเอง
"คุณคะ ใจเย็นก่อนนะคะ อย่าพึ่งใช้กำลัง นิตาก็แค่กินข้าวกับเพื่อนๆ" เมื่อเธอยิ้มจนพอใจแล้วเธอก็บีบน้ำตาพูดเสียงอ่อย ตีบทเป็นแม่เลี้ยงแสนดี แต่จริงๆในใจของเธออยากให้สามีตีลูกหนักกว่านี้ ให้ตายไปได้ยิ่งดี เพราะเธอแอบรู้มาว่า สามีของเธอแอบเขียนพินัยกรรมยกสมบัติบางส่วนให้กับลูกสาวคนนี้ ต่อให้สามีของเธอจะเกลียดลูกขนาดไหนแต่ก็เป็นลูกในไส้แถมยัยเด็กนี่ดันเรียนดี เกรดออกมาดีเยี่ยม ทำไมผัวแก่ๆของเธอจะไม่มอบสมบัติให้ละ แต่มีรึที่เธอจะปล่อยให้สมบัติพวกนั้นตกเป็นของเด็กที่เกิดเมื่อวานซืนมาเอาสมบัติพวกนี้ไป สมบัติของตาแก่นี่ต้องตกเป็นของเธอเพียงผู้เดียว
"ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว อีลูกไม่รักดีมึงมานี่ " พูดจบพ่อก็เดินไปหยิบไม้เรียวมาส่วนฉันก็รู้ชะตาของตัวเองดีว่าต้องโดนพ่อตีอีก "มานี่เลย แหมเดี่ยวนี้เริ่มปล่อยเนื้อปล่อยตัวหรอห๊ะ ทีหลังจงจำไว้ว่าอย่ากลับบ้านดึก" หลังจากพูดจบก็ตามมาด้วยเสียงไม้เรียวที่กระทบกับผิวของร่างบาง พ่อของเธอกระหน่ำตีเธอไปหลายทีจนเธอทรุดลงไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
"คุณคะ หยุดตีลูกได้แล้วนะ เรากลับขึ้นห้องเถอะคะ นี่นิตาทีหลังก็อย่ากลับบ้านดึกรู้ไหม" พูดจบแม่เลี้ยงของเธอก็พาพ่อของเธอขึ้นไปบนห้อง เธอยิ้มอย่างพึงพอใจกับผลงานที่ตาแก่นี่ทำกับลูกสาวตัวเอง แต่เธอก็ต้องเล่นบทเป็นแม่เลี้ยงแสนดีให้สามีเธอคิดว่าเธอนั้นรักลูกเลี้ยงคนนี้มากขนาดไหน ถึงแม้ในใจเธออยากให้เขาตีลูกจนตายก็ตาม
หลังจากที่เธอพาสามีเข้ามาในห้องเธอก็ปลดเปลืองเสื้อผ้าของตัวเองทันที "คุณคะ วันนี้เหนื่อยไหมคะ" เธอถามสามีของเธอด้วยน้ำเสียงที่เย้ายวน สามีที่เมาด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอลก็เริ่มเกิดอารมณ์ขึ้นมา "คุณอย่าไปสนใจลูกมากหรอกค่ะเดี่ยวฉันจะดูแลแกเอง แกคงอยากใช้ชีวิตกับเพื่อนๆบ้าง ฉันสงสารแกนะคะ ที่ไม่ค่อยไปออกไปไหนมาไหนกับเพื่อน" หญิงสาวตีหน้าเศร้า แกล้งบีบน้ำตา สามีของเธอเองก็หลงเชื่อในคำพูดของภรรยาจนไม่รับฟังคำพูดของคนที่เขาหวังดี
เสียงครางของหญิงสาววัยกลางคนแต่ทว่ากลับยังสาวเหมือนสาววัยยี่สิบต้นๆ เสียงนั้นดังระงมแข่งกับเสียงสายฝนที่โปรยปรายลงมา นิตาพยายามข่มตานอนหลับให้ได้ แต่ก็มีบาดแผลกับเสียงครางของแม่เลี้ยงที่ทำให้เธอไม่สามารถที่จะนอนหลับ ตอนเด็กๆเธอไม่เคยว่าเสียงนี้มันคือเสียงอะไรเธอจึงกลัวมันมากทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเธอจะร้องไห้ แต่ตอนนี้เธอได้รู้มันแล้ว แต่เมื่อเธอรู้เธอก็ต้องทนฟังเสียงนี้มาตลอด ในบ้านที่เธอโตมานี้เธอโตมาด้วยความเจ็บปวดแทบจะไม่เคยมีความสุขเลย น้อยครั้งที่มันจะทำให้เธอรู้สึกว่านี่คือบ้านของตัวเอง
เฮ้อในเมื่อมันนอนไม่หลับฉันคงต้องหาอะไรทำแล้ว ฉันเปิดไฟที่หัวเตียงแล้วเดินไปยังมุมหนังสือเล็กๆ หยิบหนังสืออ่านเล่นที่ยังไม่ได้แกะออกจากซองพลาสติกออกมาแล้วเดินกลับมายังเตียงนอนของตัวเอง " หวังว่ามันจะทำให้ฉันหลับลงนะ " ฉันพึมพำพูดคนเดียวล้มตัวนอนลงบนเตียงอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ จนฉันหลับไปตอนไม่รู้
เช้าวันต่อมาฉันลุกขึ้นจากเตียงด้วยความยากลำบาก เพราะแผลที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้ฉันรู้สึกเจ็บบริเวณที่เป็นรอยไม้เรียวก็มาจากพ่อที่ตีฉันเมื่อคืนนี่แหละ สองขาค่อยๆก้าวลงจากเตียงแล้วเดินหน้าไปยังห้องน้ำเมื่อเข้ามาในห้องน้ำฉันก็ไม่รอช้ารีบจัดการอาบน้ำทันที " โอ้ย " เธอร้องเสียหลงเมื่อน้ำเย็นๆสัมผัสผิวกายที่ขาวเนียนละเอียดที่มีรอยแผลตามร่างกายของเธอ " แสบชะมัด " ถึงแม้เธอจะทรมานมากเมื่อน้ำมากระทบผิวกายแต่เธอก็ต้องกัดฟันทนอาบน้ำต่อไป 20นาทีต่อมาร่างของเธอก็ค่อยๆเดินออกจากห้องนอนเธอใช้เวลาในการอาบน้ำแต่งตัวไม่นานเธอก็พร้อมก้าวเท้าออกจากบ้าน
สองขาก้าวลงบันไดไปทีละขั้นจนมาถึงชั้นล่างเธอพบกับพ่อและแม่เลี้ยงที่เหมือนจะนั่งรอเธอ ฉันหวังแบบนั้นคิ้วของเธอขมวดเข้าหากันทันทีเพราะโดยปรกติแล้วพวกเราไม่ค่อยได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ฉันเดินเบาๆแต่ก็ต้องก้าวขาไปไวๆ เผื่อฉันเดินช้าจะโดนสองคนนี้ต่อว่า เมื่อก้นของเธอหย่อนลงเก้าอี้ชายวัยกลางคนก็เริ่มเปิดประเด็นทันที
" วันนี้ลูกคงจะแปลกใจไม่น้อยนะ ว่าทำไมเราสองคนถึงมานั่งรอลูกที่โต๊ะอาหาร " พ่อของเธอพูดออกมาด้วยน้ำเยงที่ราบเรียบแต่ปนไปด้วยความอ่อนโยน จนหลายครั้งฉันสัมผัสได้ว่าถึงแม้ปรเมศจะเกลียดชังลูกสาวมากขนาดไหนแต่เขาก็เอ็นดูลูกคนนี้มากเพราะด้วยการเรียนของเธอทำให้เธอเอาชนะใจพ่อของตัวเองขึ้นมานิดหน่อย แรกๆเขาก็เกลียดลูกคนนี้
เข้าไส้ ทำให้เขาตัดสินใจแต่งงานกับผู้หญิงที่เขารู้รักขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ลูกคนแรกของเขาตัดสินใจฆ่าตัวตาย การจากไปของภรรยาคนแรกและลูกชายทำให้เขาเสียใจมากๆ แต่ด้วยความที่ภรรยาคนที่สองดูแลเขาจึงทำให้เขาคลายความโศกเศร้าลงได้ นับวันที่ลูกของเขาโตขึ้น เขาก็เอ็นดูเธอมากขึ้นด้วย
"ค่ะ พ่อมีอะไรรึเปล่าคะ" ฉันชักจะเริ่มสงสัยแล้วว่าวันนี้พ่อมีไรจะพูดรึเปล่า เพราะปรกติพ่อไม่เคยพูดจาดีๆด้วยเลย
"กินข้าวก่อนสิ กินเสร็จค่อยคุยกัน" หลังจากที่พ่อไม่ยอมบอกแต่ให้ฉันกินข้าวก่อนฉันก็กินข้าวได้นิดเดียวเพราะกำลังสนใจกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปมากกว่า และในที่สุดฉันรวบช้อนและส่งสายตาไปทางพ่อเพื่อรอบคำตอบ
"อิ่มแล้วหรอ" ฉันพยักหน้าให้แทนคำตอบ
ในอาทิตย์นี้จะมีกิจกรรมรับน้องที่ต่างจังหวัด โดยจะมีกิจกรรมให้รุ่นน้องปี 1 ที่เข้ามาใหม่จับสลากตามหาพี่รหัสด้วยและฉับแอบได้ยินรุ่นพี่พูดว่าปรกติพวกเขาจะไปทะเลกันแต่ปีนี้เปลี่ยนสถานที่น่าจะไปแถวๆภาคเหนือ ฉันเลือกที่จะเรียนนิติศาสตร์ คีตาเรียนวิศวะ เฟื้องฟ้าเรียนบริหารธุระกิจ พวกเราเรียนมหาลัยเดียวกันเพียงแค่อยู่คนละคณะทำให้เราเจอกันน้อยลง ฉันเรียมมีเพื่อนใหม่ชื่อ "แก้วตา" เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากๆ เธอมีรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ ฉันแอบอิจฉาความ
สดใสของตัวเธอเอง เธอสามารถเข้ากับคนอื่นได้ดี ผิดกับตัวฉันที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครสักเท่าไหร่ ฉันชอบอยู่เงียบๆ แต่เพื่อนของฉันแต่ละคนไม่มีใครเงียบเลยสักคน ฮ่า ฮ่า
"นี่นิตา วันอาทิตย์นี้เราจะต้องไปทำกินกรรมรับน้องที่เชียงใหม่ด้วย พวกพี่ๆบอกว่าปรกติจะพาไปทะเลแต่ปีนี้เปลี่ยนเป็นภูเขา ฉันตื่นเต้นจัง และก็รอไม่ไหวที่จะเห็นโฉมหน้าของรุ่นพี่รหัสจะแย่แล้วอิอิ" เสียงร่าของหญิงสาวข้างกายทำเอาตัวเธอเองก็อดยิ้มกับพฤติกรรมของเพื่อนสาวไม่ได้ดูท่าทางเธอแล้วต้องตื่นเต้นมากๆแน่
"ใช่ ก็ดีนะเปลี่ยนทะเลเป็นภูเขา เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันในการเตรียมตัว"
"ไม่ต้องเตรียมตัวถึง 2 วันหรอก ฉันเตรียมตัวเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ฮ่า ฮ่า" ฉันส่ายหน้าให้กับอาการที่แสนตื่นเต้นของเพื่อนตัวดีอย่างเอือมระอา เธอแบจะหยุดพูดไม่ได้และฉันก็ไม่เคยที่จะรำคาญเธอด้วยแต่กับตรงกันข้ามฉันกลับชอบเวลาที่เธอชวนฉันพูดบ่อยๆ
"จริงหรอจ๊ะ! แก้วตาสุดสวยย" อยู่ๆก็มีเสียงบุคคลที่สามโผล่ขึ้นข้างหลังของแก้วตาทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
เพี๊ยะ "นี่แนะอีตาบ้า มาไม่ให้สุ่มให้เสียงถ้าฉันหัวใจวายขึ้นมาจะทำไง" เสียงโวยวายของเพื่อนสาวเธอหลังจากที่เจ้าตัวเอามือฟาดไปที่ต้นแขนของชายหนุ่ม ว่าแต่เขาชื่อไรนะ ฉันจำชื่อเขาไม่ได้แต่น่าจะอยู่คณะเดียวกันกับฉัน
"โอ้!! นี่เธอมาตบแขนฉันทำไมเนี่ยเจ็บนะ ว่าแต่" อยู่ๆชายหนุ่มก็เลื่อนสายตามาหยุดที่ตัวของนิตา "สาวสวยนี่ใครหรอ"
"อ่อ นี่นิตาเพื่อนฉัน นิตานี่นายไวไวควิกเพื่อนสนิทของฉันอีกคน" แก้วตาแนะนำเพื่อนของเธอให้ฉันรู้จัก ว่าแต่เขาไม่ได้ชื่อไวไวควิกนี่น่า เขาชื่อไนนะ อื้อชื่อ ไว..
โป๊ก "นี่แนะบ้า ฉันไม่ได้ชื่อไวไวควิกซะหน่อย"
"นี่ฉันก็เจ็บเป็นนะ แหะๆ นิตานี่ไวกิ้งเพื่อนสนิทของฉันนะ" อ่อที่แท้ก็คือไวกิ้งนี่เอง ฉันจำหน้าของเต้นเจอกันวันปฐมนิเทศได้ แต่แค่จำชื่อไม่ได้เฉยๆ
"อ่อ สวัสดีค่ะไวกิ้ง"
"เอ่อ...ไม่ต้องพูดด้วยท่าทีห่างเหินก็ได้เรียกว่าไวสั้นๆก็ได้และไม่ต้องพูดจาสุภาพขนาดนั้นกับฉันหรอก ได้ยินแล้วเหมือนตัวเองแก่ยังไงก็ไม่รู้" ไวพูดออกมาด้วยสีหน้าดูตกใจนิดหน่อยที่ฉันพูดจาดูเหินห่างขนาดนั้นเขาเกาหัวตัวเองแกร๊กๆเพื่อแก้อาการเก้อ
วันนี้ทั้งวันเราสามคนอยู่ด้วยกันตลอดเวลาฉันพึ่งรู้ว่าจริงๆแล้วบ้านของแก้วตาและไวกิ้งอยู่ซอยเดียวกันกับฉัน ไวกิ้งบอกว่าเขากับแก้วตาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็กๆพวกเขาเกิดวันเดียวกันด้วยทำให้พวกเขาสนิกันเป็นพอเศษและพ่อแม่ของ
เขาทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนสนิทกันทำให้พวกเขาสนิทกันเป็นพอเศษ นอกจากนี้แก้วตาก็เล่าเรื่องตอนเด็กๆที่ไวกิ้งกินไข่เข้าไปทั้งเปลือกให้ฟังด้วย พวกเขาสองคนก็เล่าถึงเหตุการณ์ตอนยังเด็กยันโตให้เธอฟังด้วย แก้วตากับไวกิ้งมักจะโดนเพื่อนในห้องจับจิ้นกันตลอด เพราะพวกเขาสองนชอบกัดกันเป็นว่าเล่น พวกแกล้งกันบ่อยๆคนส่วนใหญ่คิดว่าพวกเขาเป็นแฟนกัน
พวกเราต่างตื่นเต้นอดรอไม่ไหวที่จะได้ไปเชียงใหม่ วันนี้ไวกิ้งอาสาขับรถไปส่งพวกเราที่บ้านด้วยความที่ว่าพวกเราอยู่ในซอยเดียวกัน ก่อนกลับไวกิ้งชวนกินข้าวที่บ้านของเขาทำให้วันนี้ฉันกลับค่อนข้างดึกเพราะคุยกับแม่ของไวกิ้งจนเพลินถึงบ้านอีกทีก็ สี่ทุ้มกว่าๆแล้ว
"บ๊าย บาย นะแก้วตาไว้กิ้งกลับบ้านกันดีๆละ"
"จ๊ะ เจอกันพรุ่งนี้นะบาย"
หลังจากที่รถของไวกิ้งเคลื่อนตัวไปแล้วฉันก็หันหลังเตรียมตัวจะกลับเข้าบ้านแต่เมื่อยังไม่ทันได้หันหน้ากลับเข้าบ้านก็มีเสียงผู้ชายวัยกลางคนโผลขึ้นที่ด้านหลังของเธอทำเอาเธอสดุ้งตกใจ
"ไปไหนมา" เสียงทุ้มต่ำนั้นทำให้เธอรู้เลยว่าคือพ่อของเธอ ปรกติพ่อของเธอไม่อนุญาติให้กลับ้านค่ำ ถ้าวันไหนกลับบ้านค่ำแล้วไม่โทรไปบอกแม่เลี้ยงก่อนล่วงหน้า ฉันก็จะโดนพ่อตี "นี่มันสี่ทุ้มกว่าๆแล้วทำไมไม่กลับพรุ่งนี้เช้าเลยละห่ะ! รู้ไหมว่าวิภารอกินข้าว" ฉันรีบถอยหลังและก้มหน้าทันที ฉันได้กลิ่นเหล้าจางๆที่โชยออกมาจากตัวของพ่อ เดาได้ว่าพ่อกินเหล้าอีกแล้ว
"หนูขอโทษค่ะ ที่ไม่ได้โทรบอกคุณน้าว่าจะกลับดึก พอดีวันนี้เพื่อนหนูชวนไปกินข้าวที่บ้านของเขานะคะ" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดปนความกลัว
เพี๊ยะ "อีลูกธรพีกูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่าให้เมียกูว่าแม่ ทำไมมึงยังเรียกน้า" เมื่อฝ่ามือของพ่อกระทบลงที่ใบหน้าของหญิงสาวทำให้เกิดรอยฝ่ามือข้นอย่างชัดเจน วิภา หรือแม่เลี้ยงของเธอที่ยืนอยู่ข้างหลังพ่อเธอแสยะยิ้มออกมาอย่างสะใจที่เห็นเธอโดนพ่อของเธอทำร้ายลูกแท้ๆของตัวเอง
"คุณคะ ใจเย็นก่อนนะคะ อย่าพึ่งใช้กำลัง นิตาก็แค่กินข้าวกับเพื่อนๆ" เมื่อเธอยิ้มจนพอใจแล้วเธอก็บีบน้ำตาพูดเสียงอ่อย ตีบทเป็นแม่เลี้ยงแสนดี แต่จริงๆในใจของเธออยากให้สามีตีลูกหนักกว่านี้ ให้ตายไปได้ยิ่งดี เพราะเธอแอบรู้มาว่า สามีของเธอแอบเขียนพินัยกรรมยกสมบัติบางส่วนให้กับลูกสาวคนนี้ ต่อให้สามีของเธอจะเกลียดลูกขนาดไหนแต่ก็เป็นลูกในไส้แถมยัยเด็กนี่ดันเรียนดี เกรดออกมาดีเยี่ยม ทำไมผัวแก่ๆของเธอจะไม่มอบสมบัติให้ละ แต่มีรึที่เธอจะปล่อยให้สมบัติพวกนั้นตกเป็นของเด็กที่เกิดเมื่อวานซืนมาเอาสมบัติพวกนี้ไป สมบัติของตาแก่นี่ต้องตกเป็นของเธอเพียงผู้เดียว
"ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว อีลูกไม่รักดีมึงมานี่ " พูดจบพ่อก็เดินไปหยิบไม้เรียวมาส่วนฉันก็รู้ชะตาของตัวเองดีว่าต้องโดนพ่อตีอีก "มานี่เลย แหมเดี่ยวนี้เริ่มปล่อยเนื้อปล่อยตัวหรอห๊ะ ทีหลังจงจำไว้ว่าอย่ากลับบ้านดึก" หลังจากพูดจบก็ตามมาด้วยเสียงไม้เรียวที่กระทบกับผิวของร่างบาง พ่อของเธอกระหน่ำตีเธอไปหลายทีจนเธอทรุดลงไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
"คุณคะ หยุดตีลูกได้แล้วนะ เรากลับขึ้นห้องเถอะคะ นี่นิตาทีหลังก็อย่ากลับบ้านดึกรู้ไหม" พูดจบแม่เลี้ยงของเธอก็พาพ่อของเธอขึ้นไปบนห้อง เธอยิ้มอย่างพึงพอใจกับผลงานที่ตาแก่นี่ทำกับลูกสาวตัวเอง แต่เธอก็ต้องเล่นบทเป็นแม่เลี้ยงแสนดีให้สามีเธอคิดว่าเธอนั้นรักลูกเลี้ยงคนนี้มากขนาดไหน ถึงแม้ในใจเธออยากให้เขาตีลูกจนตายก็ตาม
หลังจากที่เธอพาสามีเข้ามาในห้องเธอก็ปลดเปลืองเสื้อผ้าของตัวเองทันที "คุณคะ วันนี้เหนื่อยไหมคะ" เธอถามสามีของเธอด้วยน้ำเสียงที่เย้ายวน สามีที่เมาด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอลก็เริ่มเกิดอารมณ์ขึ้นมา "คุณอย่าไปสนใจลูกมากหรอกค่ะเดี่ยวฉันจะดูแลแกเอง แกคงอยากใช้ชีวิตกับเพื่อนๆบ้าง ฉันสงสารแกนะคะ ที่ไม่ค่อยไปออกไปไหนมาไหนกับเพื่อน" หญิงสาวตีหน้าเศร้า แกล้งบีบน้ำตา สามีของเธอเองก็หลงเชื่อในคำพูดของภรรยาจนไม่รับฟังคำพูดของคนที่เขาหวังดี
เสียงครางของหญิงสาววัยกลางคนแต่ทว่ากลับยังสาวเหมือนสาววัยยี่สิบต้นๆ เสียงนั้นดังระงมแข่งกับเสียงสายฝนที่โปรยปรายลงมา นิตาพยายามข่มตานอนหลับให้ได้ แต่ก็มีบาดแผลกับเสียงครางของแม่เลี้ยงที่ทำให้เธอไม่สามารถที่จะนอนหลับ ตอนเด็กๆเธอไม่เคยว่าเสียงนี้มันคือเสียงอะไรเธอจึงกลัวมันมากทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเธอจะร้องไห้ แต่ตอนนี้เธอได้รู้มันแล้ว แต่เมื่อเธอรู้เธอก็ต้องทนฟังเสียงนี้มาตลอด ในบ้านที่เธอโตมานี้เธอโตมาด้วยความเจ็บปวดแทบจะไม่เคยมีความสุขเลย น้อยครั้งที่มันจะทำให้เธอรู้สึกว่านี่คือบ้านของตัวเอง
เฮ้อในเมื่อมันนอนไม่หลับฉันคงต้องหาอะไรทำแล้ว ฉันเปิดไฟที่หัวเตียงแล้วเดินไปยังมุมหนังสือเล็กๆ หยิบหนังสืออ่านเล่นที่ยังไม่ได้แกะออกจากซองพลาสติกออกมาแล้วเดินกลับมายังเตียงนอนของตัวเอง " หวังว่ามันจะทำให้ฉันหลับลงนะ " ฉันพึมพำพูดคนเดียวล้มตัวนอนลงบนเตียงอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ จนฉันหลับไปตอนไม่รู้
เช้าวันต่อมาฉันลุกขึ้นจากเตียงด้วยความยากลำบาก เพราะแผลที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้ฉันรู้สึกเจ็บบริเวณที่เป็นรอยไม้เรียวก็มาจากพ่อที่ตีฉันเมื่อคืนนี่แหละ สองขาค่อยๆก้าวลงจากเตียงแล้วเดินหน้าไปยังห้องน้ำเมื่อเข้ามาในห้องน้ำฉันก็ไม่รอช้ารีบจัดการอาบน้ำทันที " โอ้ย " เธอร้องเสียหลงเมื่อน้ำเย็นๆสัมผัสผิวกายที่ขาวเนียนละเอียดที่มีรอยแผลตามร่างกายของเธอ " แสบชะมัด " ถึงแม้เธอจะทรมานมากเมื่อน้ำมากระทบผิวกายแต่เธอก็ต้องกัดฟันทนอาบน้ำต่อไป 20นาทีต่อมาร่างของเธอก็ค่อยๆเดินออกจากห้องนอนเธอใช้เวลาในการอาบน้ำแต่งตัวไม่นานเธอก็พร้อมก้าวเท้าออกจากบ้าน
สองขาก้าวลงบันไดไปทีละขั้นจนมาถึงชั้นล่างเธอพบกับพ่อและแม่เลี้ยงที่เหมือนจะนั่งรอเธอ ฉันหวังแบบนั้นคิ้วของเธอขมวดเข้าหากันทันทีเพราะโดยปรกติแล้วพวกเราไม่ค่อยได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ฉันเดินเบาๆแต่ก็ต้องก้าวขาไปไวๆ เผื่อฉันเดินช้าจะโดนสองคนนี้ต่อว่า เมื่อก้นของเธอหย่อนลงเก้าอี้ชายวัยกลางคนก็เริ่มเปิดประเด็นทันที
" วันนี้ลูกคงจะแปลกใจไม่น้อยนะ ว่าทำไมเราสองคนถึงมานั่งรอลูกที่โต๊ะอาหาร " พ่อของเธอพูดออกมาด้วยน้ำเยงที่ราบเรียบแต่ปนไปด้วยความอ่อนโยน จนหลายครั้งฉันสัมผัสได้ว่าถึงแม้ปรเมศจะเกลียดชังลูกสาวมากขนาดไหนแต่เขาก็เอ็นดูลูกคนนี้มากเพราะด้วยการเรียนของเธอทำให้เธอเอาชนะใจพ่อของตัวเองขึ้นมานิดหน่อย แรกๆเขาก็เกลียดลูกคนนี้
เข้าไส้ ทำให้เขาตัดสินใจแต่งงานกับผู้หญิงที่เขารู้รักขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ลูกคนแรกของเขาตัดสินใจฆ่าตัวตาย การจากไปของภรรยาคนแรกและลูกชายทำให้เขาเสียใจมากๆ แต่ด้วยความที่ภรรยาคนที่สองดูแลเขาจึงทำให้เขาคลายความโศกเศร้าลงได้ นับวันที่ลูกของเขาโตขึ้น เขาก็เอ็นดูเธอมากขึ้นด้วย
"ค่ะ พ่อมีอะไรรึเปล่าคะ" ฉันชักจะเริ่มสงสัยแล้วว่าวันนี้พ่อมีไรจะพูดรึเปล่า เพราะปรกติพ่อไม่เคยพูดจาดีๆด้วยเลย
"กินข้าวก่อนสิ กินเสร็จค่อยคุยกัน" หลังจากที่พ่อไม่ยอมบอกแต่ให้ฉันกินข้าวก่อนฉันก็กินข้าวได้นิดเดียวเพราะกำลังสนใจกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปมากกว่า และในที่สุดฉันรวบช้อนและส่งสายตาไปทางพ่อเพื่อรอบคำตอบ
"อิ่มแล้วหรอ" ฉันพยักหน้าให้แทนคำตอบ
ยัยตัวร้ายในนิยาย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ส.ค. 2564, 11:19:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ส.ค. 2564, 11:19:46 น.
จำนวนการเข้าชม : 178
แค่คนรู้จัก >> |