วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา
ตอน: ทักทาย + บทนำ
สวัสดีค่ะนักอ่านเว็บเลิฟ ^O^
ห่างหายจากการลงนิยายในเว็บไปสักพักเลย ตอนนี้กลับมาลงให้ได้อ่านกันแล้วนะคะ เลยนำเรื่องที่ทำเป็นละครของช่องวันจบไป มาให้ได้อ่านกันค่ะ แต่งโดย "ร่มเกศ" ตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์" นำมาลงให้อ่านได้ประมาณ 50-60% ของเรื่องนะคะ หรือสามารถตามได้ในเล่มนิยายน้าาา มีวางจำหน่ายแล้วทุกช่องทางค่ะ
ด้วยรัก
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
..................................
บทนำ
“พิม ไปปิดหน้าต่างบานนั้นให้ซิสเตอร์หน่อยสิจ๊ะ ฝนสาดมาเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” ซิสเตอร์เซ็นต์มารีในชุดสีเทาบอกกับลูกศิษย์ตัวน้อยด้วยความห่วงใยต่อสุขภาพของเด็กๆ ที่นั่งอยู่ใกล้หน้าต่างสองสามบานนั้น
“ค่ะซิสเตอร์” เด็กสาวขานรับแล้ววิ่งไปปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว พอเสร็จแล้วก็รีบกลับมานั่งที่เดิม
ในโบสถ์ไม่มีเก้าอี้ให้เด็กๆ ได้นั่งเรียน มีเพียงกระดานดำบานใหญ่ให้เด็กๆ ไว้เล่าเรียนเท่านั้น... ในเวลานี้ฝนตกหนัก ท้องฟ้าที่ว่าสดใสในช่วงบ่ายพลันน่ากลัวขึ้นมาภายในชั่วพริบตา แสงในโบสถ์ก็ลดน้อยลงเพราะปิดหน้าต่างจนเกือบหมด จนซิสเตอร์ต้องรีบจุดเทียนทั่วโบสถ์เพื่อให้แสงสว่าง และเด็กๆ ก็สามารถเรียนต่อได้
เด็กสาวทอดมองออกไปนอกหน้าต่างที่ยังเปิดกว้างอยู่อีกฝั่ง ไม่มีฝูงนกโบยบินกลางท้องฟ้าสีหม่นนั้นเลยสักตัว ด้วยความเป็นเด็กพลางคิดในใจอย่างไร้เดียงสาว่าข้างนอกคงจะหนาวมาก เพราะขนาดนกกาที่ว่าบินกลางแดดร้อนๆ มันยังต้องหลบฝน แล้วคนอย่างเราๆ นี้จะไปอยู่ท่ามกลางฝนฟ้าได้อย่างไร
ทว่าในเวลาเดียวกันนั้นบริเวณชานหน้าโบสถ์ที่ยื่นออกมาเพียงเล็กน้อย มีเด็กชายวัยสิบกว่านั่งกอดกระดานชนวนอย่างมาดมั่น หลังพิงผนังใกล้กับประตูโบสถ์ หูคอยฟังคำซิสเตอร์สอนอย่างตั้งใจ พอเห็นคนอื่นเขียน ตาก็หันไปมองกระดานดำบานใหญ่ แล้วกลับมาก้มหน้าก้มตาเลียนเขียนอย่างเขาบ้าง ถึงแม้จะมีเม็ดฝนสาดกระเซ็นใส่ทำให้ตัวเริ่มเปียก แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อหัวใจที่มุ่งมั่นอยากจะได้วิชาความรู้มากกว่าสิ่งใด
เวลาล่วงเลยไปจนบ่ายสอง ฝนเริ่มซาลงบ้างแล้ว จนถึงเวลาเลิกเรียน เสียงเพื่อนคนหนึ่งสั่งทุกคนทำความเคารพ เด็กชายที่นั่งอยู่ด้านนอกรีบหยิบกระดานชนวนและวิ่งไปหลบที่ข้างโบสถ์เช่นทุกครั้งที่แอบมาเรียนหนังสือ เขาเฝ้ามองทุกคนทยอยออกมาจากโบสถ์ จนกระทั่งเห็นพิมเดินออกมาเป็นคนสุดท้าย เด็กชายก็รีบวิ่งรี่เข้าไปหาด้วยความตื่นเต้น
“พี่ใบ้!” พิมอุทานขึ้นเมื่อเห็นเด็กชายคนนั้น เด็กสาวอมยิ้มดวงตาเป็นประกาย เพราะรู้ดีว่าเขามาทำอะไร
ระหว่างเดินกลับบ้านของพิม ซึ่งก็เป็นทางกลับบ้านของเด็กชายที่เด็กสาวเรียกว่า ‘ใบ้’ เช่นกัน เด็กชายและเด็กสาวเดินไปคุยกันไปอย่างสนิทสนม อันที่จริงเป็นฝ่ายเด็กสาวมากกว่าที่พูดให้ฟังอยู่ฝ่ายเดียว
พิมเป็นสาวน้อยวัยกำลังน่ารัก เธอช่างเจรจา กล้าพูด กล้าโต้ตอบต่างจากเด็กสาวคนอื่นในวัยเดียวกัน ไม่ว่าใครที่ได้อยู่ใกล้ก็ต้องตกหลุมรักเธอกันทั้งนั้น ไม่เหมือน ‘ใบ้’ หรือชื่อที่แท้จริงของเขา คือ ‘น้อย’ ด้วยความที่เด็กชายพูดน้อยสมชื่อ เพราะเขาไม่พูด ทำให้พิมเรียกเขาว่า ‘ใบ้’ ล้อเลียน ซึ่งน้อยก็ไม่เคยโกรธหรือถือสาพิมเลย เพราะใครๆ ต่างก็เรียกเขาแบบนั้นเหมือนกันจนชินไปเสียแล้ว
หมอบอกว่าน้อยเป็นเด็กพัฒนาการช้า พ่อกับแม่คิดว่าเขาหูหนวก พอเริ่มโตจนรู้ความ เด็กชายก็ไม่เคยพูดกับใครยกเว้นคนในครอบครัว แต่ถึงแม้จะเป็นคนในครอบครัว เขาก็ยังพูดด้วยน้อยมากหรือบางครั้งแทบไม่พูดเลย ทำให้ชาวบ้านท่าเตาคิดว่าน้อยพิการเป็นใบ้
ทุกคนต่างมองน้อยเป็นตัวประหลาด จึงไม่มีเพื่อนคบหาอย่างเด็กทั่วไป มีเพียงสาวน้อยที่กำลังเดินเคียงข้างเขาในยามนี้เท่านั้นที่มองข้ามข้อเสียของเขาไป ในเวลาที่น้อยเศร้าและท้อแท้กับการอยู่อย่างไร้สังคม ก็มีแต่พิม เพื่อนคนเดียวที่คอยให้กำลังใจมาโดยตลอด แม้พิมจะอายุน้อยกว่าน้อยอยู่หลายปี แต่เธอกลับมีความคิดที่ฉลาดเกินวัย เธอเก่ง และโดดเด่นกว่าเพื่อนทุกคนในกลุ่ม จึงมักจะเป็นที่นิยมชมชอบของเพื่อนทุกคนอยู่เสมอ หนึ่งในนั้นก็มีน้อยรวมอยู่ด้วยที่เฝ้าชื่นชมพิมไม่ต่างกัน
น้อยมองเด็กสาวเอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียวแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพียงคิดว่าถ้าไม่มีเธอสักคน โลกใบนี้คงจะขาดสีสันลงไปมาก
“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมพี่ไม่เข้าไปเรียนข้างในโบสถ์กับฉัน” เด็กสาวเอ่ยถาม
“พ่อไม่ยอมให้พี่เรียน แล้วพี่จะเข้าไปเรียนได้ยังไงล่ะพิม” เสียงเบาละห้อยนั้นเปล่งออกมาเป็นประโยคแรกของวัน
พิมอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงรู้ดีถึงปัญหาภายในครอบครัวของเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“เฮ้อ! อนาถใจนัก พ่อพี่ก็กระไร ไม่ส่งเสริมให้ลูกเรียนหนังสือเอาแต่ตีเอาๆ ฉันถามจริงเถอะ ลุงช้อนแกใช่พ่อของพี่จริงๆ หรือเปล่า” พิมหน้ามุ่ยบ่นไปเรื่อย เธอเป็นคนพูดตรง ไม่ค่อยคิดถึงจิตใจของคนฟังเท่าไร คิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น จนบางคำอาจจะไม่เหมาะสม นั่นเพราะเธอยังเด็กอยู่มาก
“พิม...” เด็กชายหน้าสลด นอกจากเหตุผลที่บิดาไม่ชอบให้เขามาเรียนหนังสือแล้ว หลักๆ ก็คือครอบครัวของเขายากจน ไม่มีเงินส่งให้เรียนหนังสือเหมือนอย่างครอบครัวของพิมที่แม้จะไม่ได้ร่ำรวยมาก แต่ก็ถือว่ามีกินมีใช้ไม่เคยขัดสน และบิดาของพิมก็อยากให้ลูกสาวของตัวเองได้เรียนจบสูงๆ จึงได้ส่งพิมมาเรียนที่โบสถ์กับซิสเตอร์มารีเพื่อจะได้รู้ภาษา ถึงแม้จะต้องจ่ายแพงกว่าโรงเรียนวัดใกล้บ้าน บิดาของพิมก็ยอมจ่ายเพื่อการศึกษาที่ดีของลูก
ในส่วนของน้อย รู้ดีว่าไม่ควรมาตั้งแต่ต้น แต่เพราะพิมเรียนอยู่ที่โบสถ์แห่งนี้...เขาก็ตามพิมมาทุกครั้ง จึงแอบเรียนไปกับเธอด้วย แม้ช่วงหลังๆ จะมีบ้างที่พิมเริ่มหนีเที่ยว แต่น้อยก็ยังแอบมาเรียนด้วยตัวเองตลอด ถึงเขาจะไม่มีโอกาสได้เรียนอย่างใครเขา แต่ก็อยากจะรู้หนังสือกับเขาบ้าง
“ก็ฉันพูดจริงนี่” เด็กสาวกอดอก ก่อนจะสะบัดหน้าเดินนำไปไกลลิ่วจนเด็กชายเดินตามแทบไม่ทัน
น้อยเดินไปส่งพิมที่บ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ระหว่างทางเด็กชายก็รีบนำกระดานชนวนไปซ่อนไว้ใต้โพรงรากของต้นโพธิ์ใหญ่ เพื่อไม่ให้ผู้เป็นพ่อรู้ว่าเขาแอบไปเรียนหนังสือ ก่อนจะเดินกลับบ้านของตนเอง
*************************
เด็กชายต้องเดินลึกไปถึงท้ายสวนเป็นระยะทางกว่าห้าร้อยเมตร จึงจะพบกระท่อมหลังไม่เล็กไม่ใหญ่มาก มุงด้วยหญ้าคา มีชานยื่นออกมาเตี้ยๆ ทำบันไดขึ้นลงได้สะดวกสบาย และกระท่อมหลังนี้นี่เองที่เป็นที่คุ้มหัวกันลมกันฝนให้น้อยและบิดามารดามาเกือบทั้งชีวิต
กระท่อมหลังนี้อยู่ในพื้นที่สวนของลุงถนอมซึ่งเป็นบิดาของพิม ลุงถนอมกับป้าภา บิดามารดาของพิมเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา ไม่เคยรังเกียจเขาและครอบครัวเช่นชาวบ้านคนอื่นๆ พอเวลามีผลไม้สุกในสวน ทั้งสองก็มักจะเก็บมาฝากเป็นประจำ ทั้งสองสงสารครอบครัวของน้อยที่ยากจนไม่มีที่พึ่งพา จึงยกกระท่อมเล็กๆ ให้อยู่อาศัย แลกกับการดูแลพื้นที่ท้ายสวน คอยเป็นหูเป็นตา ป้องกันเวลาที่มีคนนอกแอบเข้ามาขโมยผลไม้ในสวนยามกลางค่ำกลางคืน
หากเดินไปข้างหลังกระท่อมจะพบสระบัวขนาดใหญ่ น้ำค่อนข้างลึกพอสมควร ในช่วงหน้าฝนแบบนี้บัวหลวงกำลังออกดอกสีชมพูสลับขาวบานสะพรั่ง ชูก้านดอกอวดความสวยงามบนผิวน้ำเต็มไปหมด ทำให้บรรยากาศรอบๆ บ้านของน้อยเต็มไปด้วยความสดชื่นสวยงาม
น้อยเห็นบิดานอนเมาอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ ข้างๆ กันมีขวดเหล้าเปล่าวางกลิ้งอยู่ ซ้ำยังมีแมลงวันบินวนตอมหน้าตอมหูไปมา จมูกรูปชมพู่อยู่ไม่สุข กระดุกกระดิกไปมาจนเริ่มรำคาญ มือใหญ่ก็ปัดแมลงวันออกตามสัญชาตญาณ สักพักก็คว้าขวดเหล้าที่หมดแล้วขึ้นกรอกปาก พอไม่ได้ลิ้มรสน้ำเมา ตาที่สะลึมสะลือก็เบิกชัดขึ้นอย่างหงุดหงิด น้อยเห็นสภาพได้แต่ยืนส่ายหน้าอนาถใจ เด็กชายกำลังจะก้าวเท้าเหยียบบันได บิดาก็ลุกพรวดขึ้น มาจากแคร่ เดินโซเซตรงมาหาลูกชายทันทีที่พบหน้า
“ไอ้น้อย มึงหายหัวไปไหนมา” เสียงดังโวยขึ้น หน้าแดงจัดมีอาการเมากรึ่มๆ
น้อยสะดุ้งหันกลับมามองบิดาท่าทางเลิ่กลั่ก ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ เป็นการปฏิเสธ ทว่าบิดาส่งสายตาดุเกรี้ยวกราดมองอย่างไม่ปรานี
“มึงส่ายหน้าเหรอฮะ มะ...มึงมานี่!”
ช้อนเอื้อมมือมาคว้าท่อนแขนผอมบางของลูกชาย แล้วหันไปหยิบเอาไม้ฟืนที่มีลักษณะแบนราบฟาดลงไปที่ก้นเสียงดังสนั่น จากนั้นก็ฟาดลงมาแรงๆ อีกหลายครั้งด้วยความโมโห น้อยร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ยกมือขึ้นไหว้ขอร้องอ้อนวอนผู้เป็นพ่อน้ำตานองหน้า
เมื่อน้ำเมาเข้าปาก ช้อนก็ขาดสติ มักจะใช้ความรุนแรงตบตีทำร้ายลูกชายอยู่เป็นประจำ น้อยพยายามสะบัดตัวหนีอย่างทุลักทุเล แต่เรี่ยวแรงของผู้ใหญ่ที่มีมากกว่าตรึงร่างเล็กไว้อย่างเหนียวแน่น ยิ่งหลบหลีก ไม้ฟืนก็ยิ่งฟาดไปถูกแขนขา ปวดแสบระบมไปทั้งตัว มะลิที่เดินหาบขนมจีนน้ำยากลับมาจากตลาด เห็นลูกชายกำลังถูกสามีทำร้ายจนทรุดลงไปหมอบกับพื้น ก็รีบวิ่งเข้าไปผลักร่างอันใหญ่โตของสามีให้ออกห่าง แล้วเข้าไปโอบปลอบลูกชายที่กำลังร้องไห้ตัวสั่นหวาดผวา
“ไอ้ช้อน! มึงทำบ้าอะไร นี่ลูกเรานะ มึงจะเอามันให้ตายเลยหรือไง” มะลิตวาดเสียงกร้าว พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะน้อยอย่างรักใคร่ทะนุถนอม
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของช้อนจ้องลูกชายในอ้อมอกของภรรยา พ่นลมหายใจฟืดฟาด ก่อนจะขว้างไม้ในมือทิ้ง แล้วหันหลังเดินโซซัดโซเซไปอีกทาง
“ไอ้น้อย เอ็งไม่เป็นอะไรใช่ไหมลูก” มะลิกวาดสายตามองสำรวจตามเนื้อตัวลูกชาย “โธ่...ดูสิ ไอ้ช้อนนะไอ้ช้อน มึงทำได้ยังไง มึงทำลูกกูได้ยังไง”
มะลิกัดฟันพูดทั้งน้ำตา ดึงตัวลูกชายเข้ามาโอบปลอบอีกครั้งเพราะยังทำใจไม่ได้
หลังจากที่มารดาทายาให้ น้อยก็นอนซมไม่ลุกไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ก่อนจะดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นมาคลุมถึงคอเมื่อรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว ตอนนั่งอยู่หน้าโบสถ์ก็ถูกละอองฝนสาดกระเซ็นใส่ แล้วยังมาถูกพ่อตีซ้ำอีก ทำให้มีอาการไข้ผสมขึ้นมา
มะลิเห็นลูกชายนอนสั่นก็รีบเข้าไปดูใกล้ๆ วางหลังมือบนหน้าผากที่ร้อนระอุราวกับถูกไฟลวกก็ตกใจจึงรีบพาลูกชายไปโรงหมอใกล้ๆ บ้าน พอไปถึง หมอก็ให้นางมะลิเช็ดตัวให้ลูกชาย นำผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาดๆ วางบริเวณหน้าผากและข้อมือ และให้ยากินเพื่อลดไข้ ร่างกายของเด็กชายยังอ่อนเพลียอยู่มาก หมอจึงแนะนำให้นอนดูอาการที่โรงหมอก่อนเป็นเวลาหนึ่งคืน
คืนนั้นมะลิจึงต้องนอนเฝ้าลูกชายทั้งคืน โดยไร้เงาผู้เป็นสามี ที่ไม่คิดแม้แต่จะเป็นห่วงเป็นใยลูกเลยสักนิด ทำกับลูกไว้ขนาดนี้แล้วยังใจจืดใจดำ ไม่คิดจะมาหามาเฝ้าลูก มันไม่น่าเป็นพ่อคนเลยจริงๆ
มะลิคิดด้วยความละเหี่ยใจ มองลูกชายที่นอนหลับอยู่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ช่างน่าเวทนา
*************************
น้อยลืมตาขึ้นกระทบแสงสว่างจ้าในตอนเช้า ยกมือขึ้นขยี้ตาไล่ความง่วงงุนระคนมึนงง ก่อนจะหันมาสะกิดแขนของมารดาที่ยังนอนหลับใหลอยู่ข้างเตียง
“แม่ แล้วพ่อล่ะจ๊ะ พ่ออยู่ไหน” เด็กชายเอ่ยถามเสียงเบาบางจนแทบจะไม่ได้ยิน
“ไม่รู้ว่ามันหายหัวไปอยู่ที่ไหน อย่าไปสนใจมันเลยลูกไอ้คนแบบนั้น” มะลิบอกลูกชายไปอย่างนั้นก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “เอ็งหิวหรือยัง แม่เตรียมข้าวต้มเกลืออ่อนๆ ไว้ให้เอ็งกินแล้วหนา”
มะลิยื่นข้าวต้มที่เตรียมไว้ใส่ปิ่นโตมาจากบ้านอย่างดี เธอตื่นก่อนลูกชายนานแล้ว ก่อนจะรีบกลับบ้านไปทำกับข้าวมาให้ พอลูกชายตื่นขึ้นมาเมื่อใดก็จะได้กินเลย
น้อยกระพุ่มมือไหว้ แล้วตักข้าวต้มที่ไม่ได้ปรุงรสอะไรเลยนอกจากเกลือใส่ปาก นั่งเคี้ยวอยู่นานกว่าจะกลืนลงคอ
“กินแล้วจะได้กินยา หมอบอกว่าไข้เอ็งลดตั้งแต่เมื่อคืน สามารถกลับบ้านได้”
น้อยฟังมารดาพูดแล้วก็พยักหน้ายิ้มๆ เพราะดีใจที่กำลังจะได้กลับบ้านไปหาบิดา
เมื่อออกมาจากโรงหมอ มะลิก็พาลูกชายแวะตลาดก่อนกลับบ้านเพื่อซื้อแป้งซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำเส้นข้าวปุ้น ทันทีที่สองแม่ลูกเดินเข้ามาในตลาด สายตาหลายคู่ก็จับจ้องมองมาอย่างรังเกียจ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเพราะอะไรที่ทำให้พวกเขามองมาด้วยสายตาเช่นนั้น แต่น้อยก็ไม่เคยชินเลยสักที เหมือนผู้เป็นแม่จะรับรู้ถึงความหวาดกลัวของลูกชาย จึงก้มหน้าลงมากระซิบพูดด้วยเหนือศีรษะ
“ถ้าเราเชื่อมั่นว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวใคร”
น้อยเงยหน้ามองมารดาอย่างกังวล แต่ก็เชื่อคำของมารดาเดินต่อจนไปหยุดอยู่ที่ร้านขายวัตถุดิบเจ้าประจำ น้อยเลือกที่จะยืนรอมารดาอยู่หน้าร้าน เพราะคิดว่าคงซื้อของไม่นาน ระหว่างนั้นเด็กชายก็ได้ยินเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวมาจากเด็กกลุ่มหนึ่งที่กำลังเล่นเดินกะลามะพร้าวและงูกินหางอยู่ในละแวกนั้นพอดี
น้อยเห็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ก็ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ ก่อนจะเอี้ยวคอมองมารดาซึ่งกำลังยืนคุยอยู่กับเถ้าแก่เจ้าของร้าน ไม่มีทีท่าว่าจะออกมาเสียที น้อยจึงฉวยโอกาสนั้นวิ่งเข้าไปในกลุ่มเด็กที่กำลังเล่นงูกินหาง ถือวิสาสะเข้าไปจับไหล่เพื่อนคนสุดท้ายในแถวหวังจะเล่นด้วย
เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างหน้าน้อยหันหน้ามามอง เห็นน้อยยืนเกาะไหล่อยู่ด้านหลังก็ตกใจร้องเสียงดังลั่นจนคนอื่นๆ ในแถวต้องหันมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นใคร เด็กๆ ทุกคนต่างแตกตื่น จนแถวงูกินหางแตกไปคนละทิศละทาง ทุกคนต่างวิ่งหนีเพราะไม่มีใครอยากเล่นด้วย แต่น้อยก็พยายามวิ่งไล่ตามไม่มีย่อท้อ
“หยุดนะไอ้ใบ้” เด็กชายคนหนึ่งในกลุ่มชี้นิ้วสั่งหน้าบึ้ง น้อยหยุดมอง พอทำท่าจะก้าวเข้าไปหา เด็กๆ ก็พากันร่นถอยห่างออกไปด้วยความรังเกียจ “ไอ้ใบ้ ออกไป พวกข้าไม่ให้เอ็งเล่นด้วย ออกไป! ออกไป!”
น้อยยืนมองเพื่อนๆ ที่กำลังโห่ไล่ตน น้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นมา
เมื่อเด็กๆ เห็นว่าน้อยยังยืนนิ่งเงียบ ไม่เดินออกไปเสียที ก็มีเด็กคนหนึ่งในกลุ่มปากะลามะพร้าวใส่น้อย เสียงกะลาที่หล่นลงพื้นทำเด็กชายสะดุ้ง ขยับตัวหลบหลีก เมื่อพวกเด็กๆ เห็นว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลก็พากันไปหยิบกะลามะพร้าวที่วางอยู่อีกคู่มาขว้างปาใส่น้อยที่ยืนเป็นเป้านิ่งอย่างสนุกสนาน
“ออกไป! ออกไป! ออกไป!”
เสียงรุมประชาทัณฑ์ดังเซ็งแซ่ ทำให้มะลิที่เดินออกมาจากร้านพอดีเห็นลูกชายกำลังถูกรุมกลั่นแกล้ง ก็รีบวิ่งเข้าไปห้ามปราม
“นี่ หยุดเดี๋ยวนี้นะ นี่พวกเธอทำบ้าอะไรกัน”
เสียงเกรี้ยวกราดของมะลิทำให้เด็กๆ แตกตื่น กลัวจะถูกเอาเรื่องรีบวิ่งหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง
“พวกเด็กบ้า! พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน ไอ้น้อย แม่บอกเอ็งแล้วใช่ไหม ว่าอย่าเข้าไปเล่นกับเด็กพวกนั้นอีก เป็นยังไงล่ะ ก็ถูกพวกมันรังแกแบบนี้ไง” มะลิว่าลูกชายด้วยความเป็นห่วง ลึกๆ ก็รู้สึกโกรธตัวเอง ถ้าลูกไม่มีแม่ที่เป็นหญิงโสเภณีอย่างเธอก็คงไม่ต้องมาพบเจอเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เด็ก
แม้ว่ามะลิจะเลิกอาชีพโสเภณี ที่ต้องตระเวนไปตามซ่องโคมเขียวนานแล้วหลายปี แต่ความเกลียดชังที่ชาวบ้านมีต่อเธอและลูกก็ไม่เคยลดน้อยลงไปเลย ซ้ำร้ายนับวันมันยิ่งรุนแรงมากขึ้น ชาวบ้านต่างพากันคิดว่า หญิงค้าบริการเป็นอาชีพที่น่ารังเกียจ เพราะกลัวว่าเธอจะนำโรคภัยที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับชายมากหน้ามาแพร่เชื้อให้กับคนในหมู่บ้าน และเด็กที่ได้ชื่อว่ามีแม่เป็นนังหญิงคนชั่ว สำส่อนนอนกับชายเป็นสิบเป็นร้อย มีหรือจะไม่ถูกชาวบ้านติฉินนินทา หากก้าวเท้าออกไปที่ใดสักแห่ง ที่ที่มีคนรู้จัก ก็คงไม่พ้นถูกมองด้วยสายตาดูถูกดูแคลนเยี่ยงสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวตัวหนึ่ง ตั้งแต่ที่มะลิมีลูก ทุกคนต่างก็ตั้งข้อสงสัยว่าลูกของเธอใช่ลูกของนายช้อน สามีของเธอจริงๆ หรือไม่ และลามไปถึงขั้นหาว่าลูกของเธอเป็นลูกชู้บ้างต่างๆ นานา และยิ่งลูกชายของเธอเป็นเด็กมีปัญหาด้านการสื่อสารด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่กล้าพูดกล้าคุยกับใคร ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เอาไปโพนทะนาว่าลูกชายของเธอเป็นผีบ้าใบ้ ทำให้ทุกคนรังเกียจเดียดฉันท์ไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับลูกชายเธอเลย บางคนถึงกับสั่งห้ามไม่ให้ลูกหลานของตนยุ่งเกี่ยวกับน้อย ทำให้ลูกชายของเธอไม่มีสังคม ไม่มีเพื่อนคบค้าสมาคมด้วยอย่างที่เห็น น้อยเป็นเด็กน่าสงสาร เด็กในวัยนี้กำลังต้องการความรัก ต้องการเพื่อน ต้องการสังคม เด็กคนอื่นขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็อาจจะกลายเป็นเด็กมีปัญหาในที่สุด แต่น้อยขาดทั้งสามสิ่ง เธอก็ได้แต่หวังว่าลูกชายคนนี้จะไม่มีปมด้อยติดตัวไปจนถึงตอนโต
*************************
ต้นมะพร้าวคาวยอดใหญ่ในท้ายสวนเอนลู่ไปตามสายลมเย็นอ่อนๆ เมื่อลมพัดปะทะก้านใบพร้าว ลูกมะพร้าวที่แก่แล้วห้อยโตงเตงอยู่อย่างอ่อนแอตกลงมาบนพื้นเสียงดังตุ้บ!
ไม่ได้มีแค่เฉพาะต้นมะพร้าวสูงชะลูดยืนต้นยาวตามคันนาเท่านั้น ในสวนแห่งนี้ยังมีผลไม้ตามฤดูกาลปลูกไว้อีกมากมาย ทั้งกล้วยน้ำว้าผลงาม และมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ทยอยสุกกันเป็นแถว แสงแดดอ่อนๆ ยามบ่ายเช่นนี้เป็นใจให้ปลาน้อยใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่ในหนองน้ำออกมาจากที่ซ่อน
น้อยยิ้มร่าเมื่อเห็นปลาว่ายเข้าหาเหยื่อที่ตนใส่เบ็ดเอาไว้ แต่โชคไม่ดีที่ต้นมะม่วงต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมตลิ่ง ผลของมันดันตกลงมาในน้ำทำให้ปลาแตกตื่นว่ายเตลิดไปจนหมด แต่ในขณะที่ปลาช่อนตัวใหญ่กำลังว่ายหนีออกจากวง มือเล็กๆ แต่คล่องแคล่วก็รีบตะครุบจับปลาช่อนตัวนั้นใส่ข้องทันที
“พี่ใบ้!” เสียงตะโกนเรียกใสแจ๋วนั้น ทำให้น้อยเงยหน้าขึ้นมามองแล้วฉีกยิ้มกว้างให้เจ้าของเสียงนั้น
“พิม”
“ทำอะไรอยู่น่ะ” เด็กสาวเดินเข้ามาใกล้ตลิ่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เด็กชายในสภาพเสื้อกล้ามสีขาวมอมแมม ท่อนล่างเป็นกางเกงขาสั้นเก่าๆ เปียกโชก รีบปีนขึ้นมาจากหนองน้ำทันทีที่เด็กสาวถาม
“พี่กำลังหาปลาไปขายที่ตลาด” น้อยบอกพลางยื่นข้องใส่ปลาให้ดู
พิมทำหน้าเหยเกเล็กน้อยเพราะเหม็นคาวปลา เธอเป็นคนรักสวยรักงาม ให้มาดูเขาหาปลาในหนองน้ำที่สกปรกเช่นนี้ก็รู้สึกอึดอัด แต่พิมไม่มีทางเลือก เพราะอยากได้ปลาที่น้อยหาได้กลับไปกินที่บ้านเช่นทุกครั้ง จึงจำใจชะโงกหน้ามองดูในข้องแล้วทำเป็นตื่นเต้นไปตามน้ำ
“โห! ปลาตัวใหญ่เชียว พี่เอาไปให้ฉันที่บ้านจะได้ไหม”
“ได้สิ! พิมจะเอาไปกี่ตัวก็ได้”
“ถ้าฉันขอทั้งหมด พี่คงไม่ว่าอะไรใช่ไหม”
น้อยแอบทำหน้าลำบากใจ ถ้าเอาปลาทั้งหมดนี้ไปขายก็คงจะได้เงินมาไม่น้อยเลย แต่คิดไม่นาน น้อยก็เงยหน้ายิ้มตอบพิม “จ้ะ”
พิมยิ้มกริ่ม รู้ดีว่าน้อยไม่เคยปฏิเสธสิ่งที่เธอร้องขอเลยสักครั้ง ไม่ว่าเธอจะเรียกร้องเอาจากเขาไปมากเท่าไร เขาก็ไม่เคยขัดใจ ยอมจำนนให้ทุกอย่าง
“แล้วรูปที่ฉันให้พี่วาดล่ะ เสร็จหรือยัง พรุ่งนี้ฉันจะต้องเอาไปส่งครูแล้วนะ”
“เสร็จแล้วจ้ะ อยู่ที่กระท่อม เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้” น้อยมีท่าทีลุกลน รีบวิ่งกลับไปเอารูปวาดที่กระท่อมมาให้เด็กสาวได้ดู
“เร็วๆ ด้วยล่ะ” พิมตะโกนตามไล่หลัง
ผ่านไปสิบกว่านาที...น้อยจึงโผล่มา เขาวิ่งไปด้วยเท้าเปล่าแบบไม่คิดชีวิตเพื่อเอาใจเด็กสาว แต่ลืมคิดไปว่าระยะทางจากหนองน้ำถึงท้ายสวนค่อนข้างสมบุกสมบัน เท้าเปล่าสองข้างนี้จึงวิ่งมาไม่ทันใจเธอ
“โอ๊ย! ทำไมถึงไปนานนัก ฉันยืนรอพี่จนเมื่อยขาไปหมดแล้วเนี่ย” เสียงเล็กแผดดัง ทำท่ากระฟัดกระเฟียดใส่
“พี่ขอโทษ” น้อยก้มหน้าเศร้า รู้ว่าทำให้พิมโกรธ แต่ไม่อยากแก้ตัว และหวังเล็กๆ ว่าเธอจะเข้าใจ
พิมกอดอกหงุดหงิด บ่ายหน้าไม่สบอารมณ์...
“แล้วไหนล่ะภาพวาดของฉัน” พิมสะบัดหน้ากลับมาถามเสียงห้วน
น้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะยื่นภาพวาดให้เด็กสาวดู “นี่ไง”
เด็กสาวรับแผ่นกระดาษจากมือน้อยมาชมเต็มสองตาแล้วต้องทึ่ง “โห! สวยจังเลย” เธอชมจากใจ
น้อยยิ้มกว้างขึ้นอีก “ภาพบ้านในฝันของพี่เอง มีพ่อมีแม่แล้วก็พี่ อยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยกันอย่างมีความสุข”
“ขอบใจมากนะพี่ใบ้”
“พี่ไม่อยากทำแบบนี้เลยพิม พิมน่าจะหัดวาดด้วยตัวเองนะ ถึงจะได้คะแนนน้อย แต่มันก็คือความภูมิใจของตัวเอง”
พอพิมได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจ
“ไม่ต้องมาสอน ตัวเองไม่ได้เรียนหนังสือแล้วยังมีหน้ามาสอนคนอื่นอีกนะ” เด็กสาวมีสีหน้าบึ้งตึ้ง ลึกๆ แล้วเธอก็รู้สึกอับอายจึงเดินกระแทกเท้ากลับบ้านไป ปล่อยให้น้อยยืนมองตามตาละห้อย รู้ทั้งรู้ว่าพิมไม่ชอบให้ใครมาสั่งสอน เขาก็ยังจะพูดแบบนั้นออกไป ผิดใจกับพิมจนได้
ขณะที่น้อยกำลังยืนเศร้าอยู่นั่นเอง...‘ไอ้เจิด’ ที่มาทันได้เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็แสยะยิ้ม นึกขันเมื่อเห็นอาการของหมาวัดกำลังดิ้นทุรนทุรายที่ทำให้ดอกฟ้าโกรธ เจิดนึกสนุก เดินเบ่งตรงไปหาน้อย พร้อมกับเพื่อนเกเรอีกสองสามคนที่ติดสอยห้อยตามกันมาอย่างกับนักเลงโต
“เฮ้ย! พวกเอ็งได้กลิ่นอะไรหรือเปล่าวะ” เจิดเอามือปิดจมูก แสร้งทำหน้าบู้บี้ จงใจเยาะเย้ยเด็กชายที่ยืนหน้าซีดอยู่ตรงนั้น
“กลิ่นอะไรลูกพี่” เพื่อนอีกคนร่วมด้วย
“ก็กลิ่นหมาหัวเน่าไง เหม็นตุๆ อยู่ตรงนี้พวกเอ็งไม่เห็นเหรอวะ” พูดจบเสียงหัวเราะก็ดังลั่นวง
คนที่กำลังโดนรุมคิดหน่ายใจ ในสามคุ้งน้ำนี้ไม่มีใครไม่รู้จักไอ้เจิด บ้างก็เรียกกันว่า ไอ้เด็กนรก เด็กผี เด็กเวร และอีกหลายสารพัดชื่อจะเรียก เจิดเป็นลูกชายคนเดียวของกำนันเทิ้ม ผู้มีอิทธิพลที่สุดในย่านนี้ เพราะความหน้าเลือดเก็บดอกเบี้ยเงินกู้แสนโหดของกำนันเทิ้ม บวกกับความซุกซนเกเรของไอ้เจิดที่ชอบทำตัวพาลรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ทำให้ชาวบ้านไม่ชอบครอบครัวนี้สักเท่าไร แต่ก็ไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูด้วย เพราะเกรงบารมีของกำนันเทิ้มกันจนหัวหด
“ทำตัวใบ้ แต่ไม่เจียมตัว คิดเด็ดดอกฟ้ามาเชยชม น้ำหน้าอย่างเอ็งมันก็เด็ดได้แค่ดอกหญ้าข้างทางละว้า...” เจิดปั้นหน้าสาแก่ใจ ยิ่งน้อยไม่พูดก็ยิ่งได้ใจ จะด่า จะว่า จะข่มเหงรังแกสักเท่าไร คนอย่างไอ้น้อยก็ไม่มีทางตอบโต้อยู่แล้ว
แต่ไหนแต่ไรเจิดก็รู้ว่าน้อยไม่ได้เป็นใบ้ แต่เพราะมันไม่พูด ทุกคนเลยคิดว่ามันเป็นใบ้ ก็ช่วยไม่ได้ มันไม่อยากพูดเอง ก็ต้องนอนรอเป็นหมูให้เชือดอย่างนี้เสมอมา...
คำพูดถากถางจิตใจของเจิด ไม่สามารถทำให้เด็กชายที่ยืนเป็นเป้าร้อนรน เอ่ยวาจาที่แสนจะพูดยากเย็นออกมาได้ น้อยจะพูดเฉพาะกับคนที่เขารักและไว้ใจเท่านั้น ส่วนคนอื่นที่ไม่เป็นมิตร ก็อย่าได้หวังว่าเขาจะเสวนาด้วยเลย
น้อยไม่สะทกสะท้าน เพราะตั้งแต่ที่น้อยรู้จักกับเจิดมา เจิดก็มักจะกลั่นแกล้ง กดขี่ข่มเหงตนแบบนี้อยู่เป็นประจำ น้อยคิดว่าถ้าเขาไม่ตอบโต้ ไม่เสวนาด้วยแล้ว เจิดก็คงจะหยุดและเลิกแกล้งเขาได้ในสักวัน ที่ต้องทำอย่างนั้น เพราะน้อยไม่อยากมีเรื่องกับเจิด เพราะกลัวอำนาจของกำนันเทิ้มที่ชอบพาลมาหาเรื่องคนในครอบครัวของเขาทุกครั้ง
น้อยกำลังจะหันหลังเดินหนีไป เจิดหมั่นไส้ ขัดขาน้อยจนล้มลงไปหน้าคะมำกับพื้นดิน แล้วเสียงหัวเราะก็ดังลั่นอย่างตลกขบขัน น้อยได้แต่นิ่วหน้า รู้สึกแสบขึ้นมาที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ดวงตาเรียวรีหันไปมอง เห็นหัวเข่าของตนมีเลือดออกเป็นแผลถลอกปอกเปิก
“ไอ้ลูกนังผู้หญิงสำส่อน เอ็งมันเป็นลูกชู้ ไอ้ลูกไม่มีพ่อ!”
แววตาแสนบอบบาง มีน้ำใสๆ ปริ่มอยู่ จ้องหน้าคนพูดด้วยดวงตาแข็งกร้าว คำพูดทิ้งท้ายที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นลูกไม่มีพ่อ พอนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่บิดาเคยทำกับตน ทำเหมือนตนไม่ใช่ลูก บางครั้งก็แอบน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะไม่ว่าตนจะทำอะไรก็เหมือนจะผิดเสมอในสายตาบิดา
เจิดเหยียดยิ้ม พอเห็นว่าคำพูดจี้ใจดำของตนได้ผล คนอย่างไอ้เจิดก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาทนดูน้ำหน้าซื่อบื่อของไอ้น้อยต่อ หันหลังให้เดินจากไปพร้อมบริวาร...
แม้ในใจน้อยอยากจะลุกขึ้นมาซัดหน้าคนพาลพวกนั้นสักหลายหมัด แต่เพราะรู้ว่าสู้ไปก็คงไม่ชนะ ฝ่ายนั้นมีกันตั้งหลายคน หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างตนหรือจะสู้ไหว และแม่มะลิก็ไม่ชอบให้ไปมีเรื่องต่อยตีกับใคร เด็กชายจึงไม่คิดจะมองคนพาลพวกนั้นให้เสียสายตา
น้อยยอมรับว่าเจ็บใจ ถ้าเลือกได้ใครบ้างจะอยากเกิดมาเป็นแบบนี้...
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
ห่างหายจากการลงนิยายในเว็บไปสักพักเลย ตอนนี้กลับมาลงให้ได้อ่านกันแล้วนะคะ เลยนำเรื่องที่ทำเป็นละครของช่องวันจบไป มาให้ได้อ่านกันค่ะ แต่งโดย "ร่มเกศ" ตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์" นำมาลงให้อ่านได้ประมาณ 50-60% ของเรื่องนะคะ หรือสามารถตามได้ในเล่มนิยายน้าาา มีวางจำหน่ายแล้วทุกช่องทางค่ะ
ด้วยรัก
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
..................................
บทนำ
“พิม ไปปิดหน้าต่างบานนั้นให้ซิสเตอร์หน่อยสิจ๊ะ ฝนสาดมาเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” ซิสเตอร์เซ็นต์มารีในชุดสีเทาบอกกับลูกศิษย์ตัวน้อยด้วยความห่วงใยต่อสุขภาพของเด็กๆ ที่นั่งอยู่ใกล้หน้าต่างสองสามบานนั้น
“ค่ะซิสเตอร์” เด็กสาวขานรับแล้ววิ่งไปปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว พอเสร็จแล้วก็รีบกลับมานั่งที่เดิม
ในโบสถ์ไม่มีเก้าอี้ให้เด็กๆ ได้นั่งเรียน มีเพียงกระดานดำบานใหญ่ให้เด็กๆ ไว้เล่าเรียนเท่านั้น... ในเวลานี้ฝนตกหนัก ท้องฟ้าที่ว่าสดใสในช่วงบ่ายพลันน่ากลัวขึ้นมาภายในชั่วพริบตา แสงในโบสถ์ก็ลดน้อยลงเพราะปิดหน้าต่างจนเกือบหมด จนซิสเตอร์ต้องรีบจุดเทียนทั่วโบสถ์เพื่อให้แสงสว่าง และเด็กๆ ก็สามารถเรียนต่อได้
เด็กสาวทอดมองออกไปนอกหน้าต่างที่ยังเปิดกว้างอยู่อีกฝั่ง ไม่มีฝูงนกโบยบินกลางท้องฟ้าสีหม่นนั้นเลยสักตัว ด้วยความเป็นเด็กพลางคิดในใจอย่างไร้เดียงสาว่าข้างนอกคงจะหนาวมาก เพราะขนาดนกกาที่ว่าบินกลางแดดร้อนๆ มันยังต้องหลบฝน แล้วคนอย่างเราๆ นี้จะไปอยู่ท่ามกลางฝนฟ้าได้อย่างไร
ทว่าในเวลาเดียวกันนั้นบริเวณชานหน้าโบสถ์ที่ยื่นออกมาเพียงเล็กน้อย มีเด็กชายวัยสิบกว่านั่งกอดกระดานชนวนอย่างมาดมั่น หลังพิงผนังใกล้กับประตูโบสถ์ หูคอยฟังคำซิสเตอร์สอนอย่างตั้งใจ พอเห็นคนอื่นเขียน ตาก็หันไปมองกระดานดำบานใหญ่ แล้วกลับมาก้มหน้าก้มตาเลียนเขียนอย่างเขาบ้าง ถึงแม้จะมีเม็ดฝนสาดกระเซ็นใส่ทำให้ตัวเริ่มเปียก แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อหัวใจที่มุ่งมั่นอยากจะได้วิชาความรู้มากกว่าสิ่งใด
เวลาล่วงเลยไปจนบ่ายสอง ฝนเริ่มซาลงบ้างแล้ว จนถึงเวลาเลิกเรียน เสียงเพื่อนคนหนึ่งสั่งทุกคนทำความเคารพ เด็กชายที่นั่งอยู่ด้านนอกรีบหยิบกระดานชนวนและวิ่งไปหลบที่ข้างโบสถ์เช่นทุกครั้งที่แอบมาเรียนหนังสือ เขาเฝ้ามองทุกคนทยอยออกมาจากโบสถ์ จนกระทั่งเห็นพิมเดินออกมาเป็นคนสุดท้าย เด็กชายก็รีบวิ่งรี่เข้าไปหาด้วยความตื่นเต้น
“พี่ใบ้!” พิมอุทานขึ้นเมื่อเห็นเด็กชายคนนั้น เด็กสาวอมยิ้มดวงตาเป็นประกาย เพราะรู้ดีว่าเขามาทำอะไร
ระหว่างเดินกลับบ้านของพิม ซึ่งก็เป็นทางกลับบ้านของเด็กชายที่เด็กสาวเรียกว่า ‘ใบ้’ เช่นกัน เด็กชายและเด็กสาวเดินไปคุยกันไปอย่างสนิทสนม อันที่จริงเป็นฝ่ายเด็กสาวมากกว่าที่พูดให้ฟังอยู่ฝ่ายเดียว
พิมเป็นสาวน้อยวัยกำลังน่ารัก เธอช่างเจรจา กล้าพูด กล้าโต้ตอบต่างจากเด็กสาวคนอื่นในวัยเดียวกัน ไม่ว่าใครที่ได้อยู่ใกล้ก็ต้องตกหลุมรักเธอกันทั้งนั้น ไม่เหมือน ‘ใบ้’ หรือชื่อที่แท้จริงของเขา คือ ‘น้อย’ ด้วยความที่เด็กชายพูดน้อยสมชื่อ เพราะเขาไม่พูด ทำให้พิมเรียกเขาว่า ‘ใบ้’ ล้อเลียน ซึ่งน้อยก็ไม่เคยโกรธหรือถือสาพิมเลย เพราะใครๆ ต่างก็เรียกเขาแบบนั้นเหมือนกันจนชินไปเสียแล้ว
หมอบอกว่าน้อยเป็นเด็กพัฒนาการช้า พ่อกับแม่คิดว่าเขาหูหนวก พอเริ่มโตจนรู้ความ เด็กชายก็ไม่เคยพูดกับใครยกเว้นคนในครอบครัว แต่ถึงแม้จะเป็นคนในครอบครัว เขาก็ยังพูดด้วยน้อยมากหรือบางครั้งแทบไม่พูดเลย ทำให้ชาวบ้านท่าเตาคิดว่าน้อยพิการเป็นใบ้
ทุกคนต่างมองน้อยเป็นตัวประหลาด จึงไม่มีเพื่อนคบหาอย่างเด็กทั่วไป มีเพียงสาวน้อยที่กำลังเดินเคียงข้างเขาในยามนี้เท่านั้นที่มองข้ามข้อเสียของเขาไป ในเวลาที่น้อยเศร้าและท้อแท้กับการอยู่อย่างไร้สังคม ก็มีแต่พิม เพื่อนคนเดียวที่คอยให้กำลังใจมาโดยตลอด แม้พิมจะอายุน้อยกว่าน้อยอยู่หลายปี แต่เธอกลับมีความคิดที่ฉลาดเกินวัย เธอเก่ง และโดดเด่นกว่าเพื่อนทุกคนในกลุ่ม จึงมักจะเป็นที่นิยมชมชอบของเพื่อนทุกคนอยู่เสมอ หนึ่งในนั้นก็มีน้อยรวมอยู่ด้วยที่เฝ้าชื่นชมพิมไม่ต่างกัน
น้อยมองเด็กสาวเอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียวแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพียงคิดว่าถ้าไม่มีเธอสักคน โลกใบนี้คงจะขาดสีสันลงไปมาก
“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมพี่ไม่เข้าไปเรียนข้างในโบสถ์กับฉัน” เด็กสาวเอ่ยถาม
“พ่อไม่ยอมให้พี่เรียน แล้วพี่จะเข้าไปเรียนได้ยังไงล่ะพิม” เสียงเบาละห้อยนั้นเปล่งออกมาเป็นประโยคแรกของวัน
พิมอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงรู้ดีถึงปัญหาภายในครอบครัวของเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“เฮ้อ! อนาถใจนัก พ่อพี่ก็กระไร ไม่ส่งเสริมให้ลูกเรียนหนังสือเอาแต่ตีเอาๆ ฉันถามจริงเถอะ ลุงช้อนแกใช่พ่อของพี่จริงๆ หรือเปล่า” พิมหน้ามุ่ยบ่นไปเรื่อย เธอเป็นคนพูดตรง ไม่ค่อยคิดถึงจิตใจของคนฟังเท่าไร คิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น จนบางคำอาจจะไม่เหมาะสม นั่นเพราะเธอยังเด็กอยู่มาก
“พิม...” เด็กชายหน้าสลด นอกจากเหตุผลที่บิดาไม่ชอบให้เขามาเรียนหนังสือแล้ว หลักๆ ก็คือครอบครัวของเขายากจน ไม่มีเงินส่งให้เรียนหนังสือเหมือนอย่างครอบครัวของพิมที่แม้จะไม่ได้ร่ำรวยมาก แต่ก็ถือว่ามีกินมีใช้ไม่เคยขัดสน และบิดาของพิมก็อยากให้ลูกสาวของตัวเองได้เรียนจบสูงๆ จึงได้ส่งพิมมาเรียนที่โบสถ์กับซิสเตอร์มารีเพื่อจะได้รู้ภาษา ถึงแม้จะต้องจ่ายแพงกว่าโรงเรียนวัดใกล้บ้าน บิดาของพิมก็ยอมจ่ายเพื่อการศึกษาที่ดีของลูก
ในส่วนของน้อย รู้ดีว่าไม่ควรมาตั้งแต่ต้น แต่เพราะพิมเรียนอยู่ที่โบสถ์แห่งนี้...เขาก็ตามพิมมาทุกครั้ง จึงแอบเรียนไปกับเธอด้วย แม้ช่วงหลังๆ จะมีบ้างที่พิมเริ่มหนีเที่ยว แต่น้อยก็ยังแอบมาเรียนด้วยตัวเองตลอด ถึงเขาจะไม่มีโอกาสได้เรียนอย่างใครเขา แต่ก็อยากจะรู้หนังสือกับเขาบ้าง
“ก็ฉันพูดจริงนี่” เด็กสาวกอดอก ก่อนจะสะบัดหน้าเดินนำไปไกลลิ่วจนเด็กชายเดินตามแทบไม่ทัน
น้อยเดินไปส่งพิมที่บ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ระหว่างทางเด็กชายก็รีบนำกระดานชนวนไปซ่อนไว้ใต้โพรงรากของต้นโพธิ์ใหญ่ เพื่อไม่ให้ผู้เป็นพ่อรู้ว่าเขาแอบไปเรียนหนังสือ ก่อนจะเดินกลับบ้านของตนเอง
*************************
เด็กชายต้องเดินลึกไปถึงท้ายสวนเป็นระยะทางกว่าห้าร้อยเมตร จึงจะพบกระท่อมหลังไม่เล็กไม่ใหญ่มาก มุงด้วยหญ้าคา มีชานยื่นออกมาเตี้ยๆ ทำบันไดขึ้นลงได้สะดวกสบาย และกระท่อมหลังนี้นี่เองที่เป็นที่คุ้มหัวกันลมกันฝนให้น้อยและบิดามารดามาเกือบทั้งชีวิต
กระท่อมหลังนี้อยู่ในพื้นที่สวนของลุงถนอมซึ่งเป็นบิดาของพิม ลุงถนอมกับป้าภา บิดามารดาของพิมเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา ไม่เคยรังเกียจเขาและครอบครัวเช่นชาวบ้านคนอื่นๆ พอเวลามีผลไม้สุกในสวน ทั้งสองก็มักจะเก็บมาฝากเป็นประจำ ทั้งสองสงสารครอบครัวของน้อยที่ยากจนไม่มีที่พึ่งพา จึงยกกระท่อมเล็กๆ ให้อยู่อาศัย แลกกับการดูแลพื้นที่ท้ายสวน คอยเป็นหูเป็นตา ป้องกันเวลาที่มีคนนอกแอบเข้ามาขโมยผลไม้ในสวนยามกลางค่ำกลางคืน
หากเดินไปข้างหลังกระท่อมจะพบสระบัวขนาดใหญ่ น้ำค่อนข้างลึกพอสมควร ในช่วงหน้าฝนแบบนี้บัวหลวงกำลังออกดอกสีชมพูสลับขาวบานสะพรั่ง ชูก้านดอกอวดความสวยงามบนผิวน้ำเต็มไปหมด ทำให้บรรยากาศรอบๆ บ้านของน้อยเต็มไปด้วยความสดชื่นสวยงาม
น้อยเห็นบิดานอนเมาอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ ข้างๆ กันมีขวดเหล้าเปล่าวางกลิ้งอยู่ ซ้ำยังมีแมลงวันบินวนตอมหน้าตอมหูไปมา จมูกรูปชมพู่อยู่ไม่สุข กระดุกกระดิกไปมาจนเริ่มรำคาญ มือใหญ่ก็ปัดแมลงวันออกตามสัญชาตญาณ สักพักก็คว้าขวดเหล้าที่หมดแล้วขึ้นกรอกปาก พอไม่ได้ลิ้มรสน้ำเมา ตาที่สะลึมสะลือก็เบิกชัดขึ้นอย่างหงุดหงิด น้อยเห็นสภาพได้แต่ยืนส่ายหน้าอนาถใจ เด็กชายกำลังจะก้าวเท้าเหยียบบันได บิดาก็ลุกพรวดขึ้น มาจากแคร่ เดินโซเซตรงมาหาลูกชายทันทีที่พบหน้า
“ไอ้น้อย มึงหายหัวไปไหนมา” เสียงดังโวยขึ้น หน้าแดงจัดมีอาการเมากรึ่มๆ
น้อยสะดุ้งหันกลับมามองบิดาท่าทางเลิ่กลั่ก ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ เป็นการปฏิเสธ ทว่าบิดาส่งสายตาดุเกรี้ยวกราดมองอย่างไม่ปรานี
“มึงส่ายหน้าเหรอฮะ มะ...มึงมานี่!”
ช้อนเอื้อมมือมาคว้าท่อนแขนผอมบางของลูกชาย แล้วหันไปหยิบเอาไม้ฟืนที่มีลักษณะแบนราบฟาดลงไปที่ก้นเสียงดังสนั่น จากนั้นก็ฟาดลงมาแรงๆ อีกหลายครั้งด้วยความโมโห น้อยร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ยกมือขึ้นไหว้ขอร้องอ้อนวอนผู้เป็นพ่อน้ำตานองหน้า
เมื่อน้ำเมาเข้าปาก ช้อนก็ขาดสติ มักจะใช้ความรุนแรงตบตีทำร้ายลูกชายอยู่เป็นประจำ น้อยพยายามสะบัดตัวหนีอย่างทุลักทุเล แต่เรี่ยวแรงของผู้ใหญ่ที่มีมากกว่าตรึงร่างเล็กไว้อย่างเหนียวแน่น ยิ่งหลบหลีก ไม้ฟืนก็ยิ่งฟาดไปถูกแขนขา ปวดแสบระบมไปทั้งตัว มะลิที่เดินหาบขนมจีนน้ำยากลับมาจากตลาด เห็นลูกชายกำลังถูกสามีทำร้ายจนทรุดลงไปหมอบกับพื้น ก็รีบวิ่งเข้าไปผลักร่างอันใหญ่โตของสามีให้ออกห่าง แล้วเข้าไปโอบปลอบลูกชายที่กำลังร้องไห้ตัวสั่นหวาดผวา
“ไอ้ช้อน! มึงทำบ้าอะไร นี่ลูกเรานะ มึงจะเอามันให้ตายเลยหรือไง” มะลิตวาดเสียงกร้าว พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะน้อยอย่างรักใคร่ทะนุถนอม
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของช้อนจ้องลูกชายในอ้อมอกของภรรยา พ่นลมหายใจฟืดฟาด ก่อนจะขว้างไม้ในมือทิ้ง แล้วหันหลังเดินโซซัดโซเซไปอีกทาง
“ไอ้น้อย เอ็งไม่เป็นอะไรใช่ไหมลูก” มะลิกวาดสายตามองสำรวจตามเนื้อตัวลูกชาย “โธ่...ดูสิ ไอ้ช้อนนะไอ้ช้อน มึงทำได้ยังไง มึงทำลูกกูได้ยังไง”
มะลิกัดฟันพูดทั้งน้ำตา ดึงตัวลูกชายเข้ามาโอบปลอบอีกครั้งเพราะยังทำใจไม่ได้
หลังจากที่มารดาทายาให้ น้อยก็นอนซมไม่ลุกไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ก่อนจะดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นมาคลุมถึงคอเมื่อรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว ตอนนั่งอยู่หน้าโบสถ์ก็ถูกละอองฝนสาดกระเซ็นใส่ แล้วยังมาถูกพ่อตีซ้ำอีก ทำให้มีอาการไข้ผสมขึ้นมา
มะลิเห็นลูกชายนอนสั่นก็รีบเข้าไปดูใกล้ๆ วางหลังมือบนหน้าผากที่ร้อนระอุราวกับถูกไฟลวกก็ตกใจจึงรีบพาลูกชายไปโรงหมอใกล้ๆ บ้าน พอไปถึง หมอก็ให้นางมะลิเช็ดตัวให้ลูกชาย นำผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาดๆ วางบริเวณหน้าผากและข้อมือ และให้ยากินเพื่อลดไข้ ร่างกายของเด็กชายยังอ่อนเพลียอยู่มาก หมอจึงแนะนำให้นอนดูอาการที่โรงหมอก่อนเป็นเวลาหนึ่งคืน
คืนนั้นมะลิจึงต้องนอนเฝ้าลูกชายทั้งคืน โดยไร้เงาผู้เป็นสามี ที่ไม่คิดแม้แต่จะเป็นห่วงเป็นใยลูกเลยสักนิด ทำกับลูกไว้ขนาดนี้แล้วยังใจจืดใจดำ ไม่คิดจะมาหามาเฝ้าลูก มันไม่น่าเป็นพ่อคนเลยจริงๆ
มะลิคิดด้วยความละเหี่ยใจ มองลูกชายที่นอนหลับอยู่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ช่างน่าเวทนา
*************************
น้อยลืมตาขึ้นกระทบแสงสว่างจ้าในตอนเช้า ยกมือขึ้นขยี้ตาไล่ความง่วงงุนระคนมึนงง ก่อนจะหันมาสะกิดแขนของมารดาที่ยังนอนหลับใหลอยู่ข้างเตียง
“แม่ แล้วพ่อล่ะจ๊ะ พ่ออยู่ไหน” เด็กชายเอ่ยถามเสียงเบาบางจนแทบจะไม่ได้ยิน
“ไม่รู้ว่ามันหายหัวไปอยู่ที่ไหน อย่าไปสนใจมันเลยลูกไอ้คนแบบนั้น” มะลิบอกลูกชายไปอย่างนั้นก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “เอ็งหิวหรือยัง แม่เตรียมข้าวต้มเกลืออ่อนๆ ไว้ให้เอ็งกินแล้วหนา”
มะลิยื่นข้าวต้มที่เตรียมไว้ใส่ปิ่นโตมาจากบ้านอย่างดี เธอตื่นก่อนลูกชายนานแล้ว ก่อนจะรีบกลับบ้านไปทำกับข้าวมาให้ พอลูกชายตื่นขึ้นมาเมื่อใดก็จะได้กินเลย
น้อยกระพุ่มมือไหว้ แล้วตักข้าวต้มที่ไม่ได้ปรุงรสอะไรเลยนอกจากเกลือใส่ปาก นั่งเคี้ยวอยู่นานกว่าจะกลืนลงคอ
“กินแล้วจะได้กินยา หมอบอกว่าไข้เอ็งลดตั้งแต่เมื่อคืน สามารถกลับบ้านได้”
น้อยฟังมารดาพูดแล้วก็พยักหน้ายิ้มๆ เพราะดีใจที่กำลังจะได้กลับบ้านไปหาบิดา
เมื่อออกมาจากโรงหมอ มะลิก็พาลูกชายแวะตลาดก่อนกลับบ้านเพื่อซื้อแป้งซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำเส้นข้าวปุ้น ทันทีที่สองแม่ลูกเดินเข้ามาในตลาด สายตาหลายคู่ก็จับจ้องมองมาอย่างรังเกียจ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเพราะอะไรที่ทำให้พวกเขามองมาด้วยสายตาเช่นนั้น แต่น้อยก็ไม่เคยชินเลยสักที เหมือนผู้เป็นแม่จะรับรู้ถึงความหวาดกลัวของลูกชาย จึงก้มหน้าลงมากระซิบพูดด้วยเหนือศีรษะ
“ถ้าเราเชื่อมั่นว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวใคร”
น้อยเงยหน้ามองมารดาอย่างกังวล แต่ก็เชื่อคำของมารดาเดินต่อจนไปหยุดอยู่ที่ร้านขายวัตถุดิบเจ้าประจำ น้อยเลือกที่จะยืนรอมารดาอยู่หน้าร้าน เพราะคิดว่าคงซื้อของไม่นาน ระหว่างนั้นเด็กชายก็ได้ยินเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวมาจากเด็กกลุ่มหนึ่งที่กำลังเล่นเดินกะลามะพร้าวและงูกินหางอยู่ในละแวกนั้นพอดี
น้อยเห็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ก็ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ ก่อนจะเอี้ยวคอมองมารดาซึ่งกำลังยืนคุยอยู่กับเถ้าแก่เจ้าของร้าน ไม่มีทีท่าว่าจะออกมาเสียที น้อยจึงฉวยโอกาสนั้นวิ่งเข้าไปในกลุ่มเด็กที่กำลังเล่นงูกินหาง ถือวิสาสะเข้าไปจับไหล่เพื่อนคนสุดท้ายในแถวหวังจะเล่นด้วย
เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างหน้าน้อยหันหน้ามามอง เห็นน้อยยืนเกาะไหล่อยู่ด้านหลังก็ตกใจร้องเสียงดังลั่นจนคนอื่นๆ ในแถวต้องหันมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นใคร เด็กๆ ทุกคนต่างแตกตื่น จนแถวงูกินหางแตกไปคนละทิศละทาง ทุกคนต่างวิ่งหนีเพราะไม่มีใครอยากเล่นด้วย แต่น้อยก็พยายามวิ่งไล่ตามไม่มีย่อท้อ
“หยุดนะไอ้ใบ้” เด็กชายคนหนึ่งในกลุ่มชี้นิ้วสั่งหน้าบึ้ง น้อยหยุดมอง พอทำท่าจะก้าวเข้าไปหา เด็กๆ ก็พากันร่นถอยห่างออกไปด้วยความรังเกียจ “ไอ้ใบ้ ออกไป พวกข้าไม่ให้เอ็งเล่นด้วย ออกไป! ออกไป!”
น้อยยืนมองเพื่อนๆ ที่กำลังโห่ไล่ตน น้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นมา
เมื่อเด็กๆ เห็นว่าน้อยยังยืนนิ่งเงียบ ไม่เดินออกไปเสียที ก็มีเด็กคนหนึ่งในกลุ่มปากะลามะพร้าวใส่น้อย เสียงกะลาที่หล่นลงพื้นทำเด็กชายสะดุ้ง ขยับตัวหลบหลีก เมื่อพวกเด็กๆ เห็นว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลก็พากันไปหยิบกะลามะพร้าวที่วางอยู่อีกคู่มาขว้างปาใส่น้อยที่ยืนเป็นเป้านิ่งอย่างสนุกสนาน
“ออกไป! ออกไป! ออกไป!”
เสียงรุมประชาทัณฑ์ดังเซ็งแซ่ ทำให้มะลิที่เดินออกมาจากร้านพอดีเห็นลูกชายกำลังถูกรุมกลั่นแกล้ง ก็รีบวิ่งเข้าไปห้ามปราม
“นี่ หยุดเดี๋ยวนี้นะ นี่พวกเธอทำบ้าอะไรกัน”
เสียงเกรี้ยวกราดของมะลิทำให้เด็กๆ แตกตื่น กลัวจะถูกเอาเรื่องรีบวิ่งหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง
“พวกเด็กบ้า! พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน ไอ้น้อย แม่บอกเอ็งแล้วใช่ไหม ว่าอย่าเข้าไปเล่นกับเด็กพวกนั้นอีก เป็นยังไงล่ะ ก็ถูกพวกมันรังแกแบบนี้ไง” มะลิว่าลูกชายด้วยความเป็นห่วง ลึกๆ ก็รู้สึกโกรธตัวเอง ถ้าลูกไม่มีแม่ที่เป็นหญิงโสเภณีอย่างเธอก็คงไม่ต้องมาพบเจอเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เด็ก
แม้ว่ามะลิจะเลิกอาชีพโสเภณี ที่ต้องตระเวนไปตามซ่องโคมเขียวนานแล้วหลายปี แต่ความเกลียดชังที่ชาวบ้านมีต่อเธอและลูกก็ไม่เคยลดน้อยลงไปเลย ซ้ำร้ายนับวันมันยิ่งรุนแรงมากขึ้น ชาวบ้านต่างพากันคิดว่า หญิงค้าบริการเป็นอาชีพที่น่ารังเกียจ เพราะกลัวว่าเธอจะนำโรคภัยที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับชายมากหน้ามาแพร่เชื้อให้กับคนในหมู่บ้าน และเด็กที่ได้ชื่อว่ามีแม่เป็นนังหญิงคนชั่ว สำส่อนนอนกับชายเป็นสิบเป็นร้อย มีหรือจะไม่ถูกชาวบ้านติฉินนินทา หากก้าวเท้าออกไปที่ใดสักแห่ง ที่ที่มีคนรู้จัก ก็คงไม่พ้นถูกมองด้วยสายตาดูถูกดูแคลนเยี่ยงสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวตัวหนึ่ง ตั้งแต่ที่มะลิมีลูก ทุกคนต่างก็ตั้งข้อสงสัยว่าลูกของเธอใช่ลูกของนายช้อน สามีของเธอจริงๆ หรือไม่ และลามไปถึงขั้นหาว่าลูกของเธอเป็นลูกชู้บ้างต่างๆ นานา และยิ่งลูกชายของเธอเป็นเด็กมีปัญหาด้านการสื่อสารด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่กล้าพูดกล้าคุยกับใคร ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เอาไปโพนทะนาว่าลูกชายของเธอเป็นผีบ้าใบ้ ทำให้ทุกคนรังเกียจเดียดฉันท์ไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับลูกชายเธอเลย บางคนถึงกับสั่งห้ามไม่ให้ลูกหลานของตนยุ่งเกี่ยวกับน้อย ทำให้ลูกชายของเธอไม่มีสังคม ไม่มีเพื่อนคบค้าสมาคมด้วยอย่างที่เห็น น้อยเป็นเด็กน่าสงสาร เด็กในวัยนี้กำลังต้องการความรัก ต้องการเพื่อน ต้องการสังคม เด็กคนอื่นขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็อาจจะกลายเป็นเด็กมีปัญหาในที่สุด แต่น้อยขาดทั้งสามสิ่ง เธอก็ได้แต่หวังว่าลูกชายคนนี้จะไม่มีปมด้อยติดตัวไปจนถึงตอนโต
*************************
ต้นมะพร้าวคาวยอดใหญ่ในท้ายสวนเอนลู่ไปตามสายลมเย็นอ่อนๆ เมื่อลมพัดปะทะก้านใบพร้าว ลูกมะพร้าวที่แก่แล้วห้อยโตงเตงอยู่อย่างอ่อนแอตกลงมาบนพื้นเสียงดังตุ้บ!
ไม่ได้มีแค่เฉพาะต้นมะพร้าวสูงชะลูดยืนต้นยาวตามคันนาเท่านั้น ในสวนแห่งนี้ยังมีผลไม้ตามฤดูกาลปลูกไว้อีกมากมาย ทั้งกล้วยน้ำว้าผลงาม และมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ทยอยสุกกันเป็นแถว แสงแดดอ่อนๆ ยามบ่ายเช่นนี้เป็นใจให้ปลาน้อยใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่ในหนองน้ำออกมาจากที่ซ่อน
น้อยยิ้มร่าเมื่อเห็นปลาว่ายเข้าหาเหยื่อที่ตนใส่เบ็ดเอาไว้ แต่โชคไม่ดีที่ต้นมะม่วงต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมตลิ่ง ผลของมันดันตกลงมาในน้ำทำให้ปลาแตกตื่นว่ายเตลิดไปจนหมด แต่ในขณะที่ปลาช่อนตัวใหญ่กำลังว่ายหนีออกจากวง มือเล็กๆ แต่คล่องแคล่วก็รีบตะครุบจับปลาช่อนตัวนั้นใส่ข้องทันที
“พี่ใบ้!” เสียงตะโกนเรียกใสแจ๋วนั้น ทำให้น้อยเงยหน้าขึ้นมามองแล้วฉีกยิ้มกว้างให้เจ้าของเสียงนั้น
“พิม”
“ทำอะไรอยู่น่ะ” เด็กสาวเดินเข้ามาใกล้ตลิ่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เด็กชายในสภาพเสื้อกล้ามสีขาวมอมแมม ท่อนล่างเป็นกางเกงขาสั้นเก่าๆ เปียกโชก รีบปีนขึ้นมาจากหนองน้ำทันทีที่เด็กสาวถาม
“พี่กำลังหาปลาไปขายที่ตลาด” น้อยบอกพลางยื่นข้องใส่ปลาให้ดู
พิมทำหน้าเหยเกเล็กน้อยเพราะเหม็นคาวปลา เธอเป็นคนรักสวยรักงาม ให้มาดูเขาหาปลาในหนองน้ำที่สกปรกเช่นนี้ก็รู้สึกอึดอัด แต่พิมไม่มีทางเลือก เพราะอยากได้ปลาที่น้อยหาได้กลับไปกินที่บ้านเช่นทุกครั้ง จึงจำใจชะโงกหน้ามองดูในข้องแล้วทำเป็นตื่นเต้นไปตามน้ำ
“โห! ปลาตัวใหญ่เชียว พี่เอาไปให้ฉันที่บ้านจะได้ไหม”
“ได้สิ! พิมจะเอาไปกี่ตัวก็ได้”
“ถ้าฉันขอทั้งหมด พี่คงไม่ว่าอะไรใช่ไหม”
น้อยแอบทำหน้าลำบากใจ ถ้าเอาปลาทั้งหมดนี้ไปขายก็คงจะได้เงินมาไม่น้อยเลย แต่คิดไม่นาน น้อยก็เงยหน้ายิ้มตอบพิม “จ้ะ”
พิมยิ้มกริ่ม รู้ดีว่าน้อยไม่เคยปฏิเสธสิ่งที่เธอร้องขอเลยสักครั้ง ไม่ว่าเธอจะเรียกร้องเอาจากเขาไปมากเท่าไร เขาก็ไม่เคยขัดใจ ยอมจำนนให้ทุกอย่าง
“แล้วรูปที่ฉันให้พี่วาดล่ะ เสร็จหรือยัง พรุ่งนี้ฉันจะต้องเอาไปส่งครูแล้วนะ”
“เสร็จแล้วจ้ะ อยู่ที่กระท่อม เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้” น้อยมีท่าทีลุกลน รีบวิ่งกลับไปเอารูปวาดที่กระท่อมมาให้เด็กสาวได้ดู
“เร็วๆ ด้วยล่ะ” พิมตะโกนตามไล่หลัง
ผ่านไปสิบกว่านาที...น้อยจึงโผล่มา เขาวิ่งไปด้วยเท้าเปล่าแบบไม่คิดชีวิตเพื่อเอาใจเด็กสาว แต่ลืมคิดไปว่าระยะทางจากหนองน้ำถึงท้ายสวนค่อนข้างสมบุกสมบัน เท้าเปล่าสองข้างนี้จึงวิ่งมาไม่ทันใจเธอ
“โอ๊ย! ทำไมถึงไปนานนัก ฉันยืนรอพี่จนเมื่อยขาไปหมดแล้วเนี่ย” เสียงเล็กแผดดัง ทำท่ากระฟัดกระเฟียดใส่
“พี่ขอโทษ” น้อยก้มหน้าเศร้า รู้ว่าทำให้พิมโกรธ แต่ไม่อยากแก้ตัว และหวังเล็กๆ ว่าเธอจะเข้าใจ
พิมกอดอกหงุดหงิด บ่ายหน้าไม่สบอารมณ์...
“แล้วไหนล่ะภาพวาดของฉัน” พิมสะบัดหน้ากลับมาถามเสียงห้วน
น้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะยื่นภาพวาดให้เด็กสาวดู “นี่ไง”
เด็กสาวรับแผ่นกระดาษจากมือน้อยมาชมเต็มสองตาแล้วต้องทึ่ง “โห! สวยจังเลย” เธอชมจากใจ
น้อยยิ้มกว้างขึ้นอีก “ภาพบ้านในฝันของพี่เอง มีพ่อมีแม่แล้วก็พี่ อยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยกันอย่างมีความสุข”
“ขอบใจมากนะพี่ใบ้”
“พี่ไม่อยากทำแบบนี้เลยพิม พิมน่าจะหัดวาดด้วยตัวเองนะ ถึงจะได้คะแนนน้อย แต่มันก็คือความภูมิใจของตัวเอง”
พอพิมได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจ
“ไม่ต้องมาสอน ตัวเองไม่ได้เรียนหนังสือแล้วยังมีหน้ามาสอนคนอื่นอีกนะ” เด็กสาวมีสีหน้าบึ้งตึ้ง ลึกๆ แล้วเธอก็รู้สึกอับอายจึงเดินกระแทกเท้ากลับบ้านไป ปล่อยให้น้อยยืนมองตามตาละห้อย รู้ทั้งรู้ว่าพิมไม่ชอบให้ใครมาสั่งสอน เขาก็ยังจะพูดแบบนั้นออกไป ผิดใจกับพิมจนได้
ขณะที่น้อยกำลังยืนเศร้าอยู่นั่นเอง...‘ไอ้เจิด’ ที่มาทันได้เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็แสยะยิ้ม นึกขันเมื่อเห็นอาการของหมาวัดกำลังดิ้นทุรนทุรายที่ทำให้ดอกฟ้าโกรธ เจิดนึกสนุก เดินเบ่งตรงไปหาน้อย พร้อมกับเพื่อนเกเรอีกสองสามคนที่ติดสอยห้อยตามกันมาอย่างกับนักเลงโต
“เฮ้ย! พวกเอ็งได้กลิ่นอะไรหรือเปล่าวะ” เจิดเอามือปิดจมูก แสร้งทำหน้าบู้บี้ จงใจเยาะเย้ยเด็กชายที่ยืนหน้าซีดอยู่ตรงนั้น
“กลิ่นอะไรลูกพี่” เพื่อนอีกคนร่วมด้วย
“ก็กลิ่นหมาหัวเน่าไง เหม็นตุๆ อยู่ตรงนี้พวกเอ็งไม่เห็นเหรอวะ” พูดจบเสียงหัวเราะก็ดังลั่นวง
คนที่กำลังโดนรุมคิดหน่ายใจ ในสามคุ้งน้ำนี้ไม่มีใครไม่รู้จักไอ้เจิด บ้างก็เรียกกันว่า ไอ้เด็กนรก เด็กผี เด็กเวร และอีกหลายสารพัดชื่อจะเรียก เจิดเป็นลูกชายคนเดียวของกำนันเทิ้ม ผู้มีอิทธิพลที่สุดในย่านนี้ เพราะความหน้าเลือดเก็บดอกเบี้ยเงินกู้แสนโหดของกำนันเทิ้ม บวกกับความซุกซนเกเรของไอ้เจิดที่ชอบทำตัวพาลรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ทำให้ชาวบ้านไม่ชอบครอบครัวนี้สักเท่าไร แต่ก็ไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูด้วย เพราะเกรงบารมีของกำนันเทิ้มกันจนหัวหด
“ทำตัวใบ้ แต่ไม่เจียมตัว คิดเด็ดดอกฟ้ามาเชยชม น้ำหน้าอย่างเอ็งมันก็เด็ดได้แค่ดอกหญ้าข้างทางละว้า...” เจิดปั้นหน้าสาแก่ใจ ยิ่งน้อยไม่พูดก็ยิ่งได้ใจ จะด่า จะว่า จะข่มเหงรังแกสักเท่าไร คนอย่างไอ้น้อยก็ไม่มีทางตอบโต้อยู่แล้ว
แต่ไหนแต่ไรเจิดก็รู้ว่าน้อยไม่ได้เป็นใบ้ แต่เพราะมันไม่พูด ทุกคนเลยคิดว่ามันเป็นใบ้ ก็ช่วยไม่ได้ มันไม่อยากพูดเอง ก็ต้องนอนรอเป็นหมูให้เชือดอย่างนี้เสมอมา...
คำพูดถากถางจิตใจของเจิด ไม่สามารถทำให้เด็กชายที่ยืนเป็นเป้าร้อนรน เอ่ยวาจาที่แสนจะพูดยากเย็นออกมาได้ น้อยจะพูดเฉพาะกับคนที่เขารักและไว้ใจเท่านั้น ส่วนคนอื่นที่ไม่เป็นมิตร ก็อย่าได้หวังว่าเขาจะเสวนาด้วยเลย
น้อยไม่สะทกสะท้าน เพราะตั้งแต่ที่น้อยรู้จักกับเจิดมา เจิดก็มักจะกลั่นแกล้ง กดขี่ข่มเหงตนแบบนี้อยู่เป็นประจำ น้อยคิดว่าถ้าเขาไม่ตอบโต้ ไม่เสวนาด้วยแล้ว เจิดก็คงจะหยุดและเลิกแกล้งเขาได้ในสักวัน ที่ต้องทำอย่างนั้น เพราะน้อยไม่อยากมีเรื่องกับเจิด เพราะกลัวอำนาจของกำนันเทิ้มที่ชอบพาลมาหาเรื่องคนในครอบครัวของเขาทุกครั้ง
น้อยกำลังจะหันหลังเดินหนีไป เจิดหมั่นไส้ ขัดขาน้อยจนล้มลงไปหน้าคะมำกับพื้นดิน แล้วเสียงหัวเราะก็ดังลั่นอย่างตลกขบขัน น้อยได้แต่นิ่วหน้า รู้สึกแสบขึ้นมาที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ดวงตาเรียวรีหันไปมอง เห็นหัวเข่าของตนมีเลือดออกเป็นแผลถลอกปอกเปิก
“ไอ้ลูกนังผู้หญิงสำส่อน เอ็งมันเป็นลูกชู้ ไอ้ลูกไม่มีพ่อ!”
แววตาแสนบอบบาง มีน้ำใสๆ ปริ่มอยู่ จ้องหน้าคนพูดด้วยดวงตาแข็งกร้าว คำพูดทิ้งท้ายที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นลูกไม่มีพ่อ พอนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่บิดาเคยทำกับตน ทำเหมือนตนไม่ใช่ลูก บางครั้งก็แอบน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะไม่ว่าตนจะทำอะไรก็เหมือนจะผิดเสมอในสายตาบิดา
เจิดเหยียดยิ้ม พอเห็นว่าคำพูดจี้ใจดำของตนได้ผล คนอย่างไอ้เจิดก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาทนดูน้ำหน้าซื่อบื่อของไอ้น้อยต่อ หันหลังให้เดินจากไปพร้อมบริวาร...
แม้ในใจน้อยอยากจะลุกขึ้นมาซัดหน้าคนพาลพวกนั้นสักหลายหมัด แต่เพราะรู้ว่าสู้ไปก็คงไม่ชนะ ฝ่ายนั้นมีกันตั้งหลายคน หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างตนหรือจะสู้ไหว และแม่มะลิก็ไม่ชอบให้ไปมีเรื่องต่อยตีกับใคร เด็กชายจึงไม่คิดจะมองคนพาลพวกนั้นให้เสียสายตา
น้อยยอมรับว่าเจ็บใจ ถ้าเลือกได้ใครบ้างจะอยากเกิดมาเป็นแบบนี้...
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.พ. 2565, 16:33:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.พ. 2565, 12:06:44 น.
จำนวนการเข้าชม : 452
บทที่ 1 เหตุเกิดที่งานวัด >> |