วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:

เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน

หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก

ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ

. . . . . . . . . . . . . .

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ


***************************

นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม

***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***

1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ

2.ร้านออนไลน์

3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks

4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee

หนังสือพร้อมส่ง

คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า

สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา

ตอน: บทที่ 1 เหตุเกิดที่งานวัด

สิบห้าปีต่อมา...

“พี่ใบ้!”

“พิม” น้อยเงยหน้ามองแล้วยิ้มแป้น มาวันนี้หนุ่มน้อยหน้ามนในวันนั้นเติบโตเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์หุ่นดี ผิวพรรณละเอียดลออแตกต่างจากลูกตาสีตาสาทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด จมูกคมเป็นสัน คิ้วดกรับกันกับใบหน้านวลขาว ปากหนาลึกเป็นกระจับได้รูปราวกับสรรค์สร้างออกมาจากภาพวาดก็ไม่ปาน

“ฉันมาทวงการบ้าน พี่ทำเสร็จหรือยัง”

เป็นแบบนี้มานานแล้ว พอมีครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งที่สอง สาม สี่ตามมา ถ้าเขาปฏิเสธหรือไม่ยอมทำให้ พิมก็จะไม่พูด ไม่มาหาเขาอีกเลย ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะยอมทำตามคำสั่งของพิมทุกอย่าง แม้บางสิ่งที่พิมใช้ให้เขาทำอาจจะไม่ถูกต้องนัก แต่มันก็คงจะดีกว่า ถ้าเขายังได้พบหน้าเธออยู่

“เสร็จแล้วจ้ะ” ชายหนุ่มยิ้มหวาน เขาหลงรักดอกฟ้าดอกนี้มานานหลายปี ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนใจไปจากเธอเลย พิมตอนนี้โตเป็นสาวสวยสะพรั่ง มีชายมากหน้าหลายตาขึ้นเรือนลุงถนอมทุกวันหัวกระไดไม่เคยแห้ง เขาก็ยิ่งกังวล กลัวว่าสักวันพิมจะออกเรือนไปกับลูกชายบ้านใดบ้านหนึ่งที่เพียบพร้อมทั้งรูปทรัพย์ทั้งฐานะ ไม่ใช่กุลีโรงสีจนๆ อย่างเขา

พิมมองเหยียด เมื่อเห็นน้อยยืนยิ้มมองหน้าเธออยู่นั่นเอง แต่ไม่พูดอะไร เพียงเท่านั้นเธอก็พอจะดูออก...

ด้วยความที่พิมเป็นสาวงาม รู้จักบริหารเสน่ห์กับผู้ชายมานักต่อนัก ดูเพียงแวบเดียวก็พอจะรู้ทันความคิดของผู้ชายพวกนั้น และยิ่งกับน้อย เธอรู้ว่าตั้งแต่เด็กจนโตน้อยแอบมองเธอมานานแล้ว ตอนนั้นเธอเป็นเด็ก ยังไม่เข้าใจอาการที่เขาเป็นห่วงเป็นใย คอยแต่อยากจะอยู่ใกล้ชิดเธอเสมอ แต่พอเข้าวัยสาวทุกอย่างก็ยิ่งชัดเจน พอรู้ว่าน้อยมีใจให้ เธอก็รู้สึกสมเพชเวทนาปนขยะแขยงขึ้นมาทันที แค่คิดภาพก็อยากจะอ้วกแล้ว! คนอย่างนังพิมต้องได้ดีกว่าไอ้ใบ้ลูกหญิงโคมเขียว เธอคิดไกลถึงขั้นว่า...สักวันหนึ่งจะต้องไปเป็นหม่อมอยู่สุขสบายในวังเจ้าให้ได้

แม้ว่าพิมจะอายุย่างเข้ายี่สิบเอ็ดปีแล้ว แต่เธอก็ยังคงเรียนอยู่ ไม่จบเสียที เพราะติดเที่ยวเล่น ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเรียนมากนักจนหยุดเรียนไปเป็นปีๆ ก็มี ไม่ได้ก้าวหน้าแต่อย่างใด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเธอจะสำเร็จการศึกษาอย่างที่บิดามารดาวาดหวังเอาไว้เมื่อไร และเธอก็คงไม่ขอให้พวกท่านส่งเรียนสูงไปมากกว่านี้อีกแล้ว พิมมีความคิดว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนก็สามารถมีกินมีใช้ได้ ถ้าหากเธอหาสามีที่ร่ำรวยสักคน เธอก็จะอยู่สุขสบายไปตลอดชีวิต

“...แล้วไหนล่ะ การบ้านของฉัน” พิมเสียงแข็งขึ้นมา ทำน้อยสะดุ้งหลุดจากภวังค์

“อยู่นั่นไง พี่วางไว้ที่แคร่ตรงนั้น”

พิมก้าวไปหยิบสมุดการบ้านที่วางอยู่ใกล้เพียงสามก้าว

“ขอบใจนะที่ช่วยทำการบ้านให้ฉัน” พิมตอบกลับเสียงเรียบอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร

น้อยสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปภายในใจของหญิงสาว ตลอดหลายเดือนมานี้เขารู้สึกเหมือนเธอจะอึดอัดทุกครั้งที่เจอหน้า เวลาพูดด้วยเธอก็จะตอบกลับมาแบบส่งๆ อย่างที่เห็น อีกทั้งช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยเหมือนอย่างเมื่อก่อน

“แล้วพี่ทำอะไรอยู่น่ะ”

“พี่กำลังวางไซดักปลา เสร็จแล้วก็จะเก็บบัวไปขายที่ตลาด”

น้อยตอบยิ้มๆ ทุกวันหลังจากเลิกงานที่โรงสี เขาไม่เคยอยู่นิ่งเฉย มักจะออกมาหาปลา เก็บผักผลไม้ไปขายที่ตลาดและนำเงินที่ได้มาจุนเจือครอบครัวอยู่เสมอ เพราะมารดาเลิกหาบขนมจีนขายแล้ว ส่วนบิดาก็ไม่ได้ทำงานอะไรเป็นกิจจะลักษณะ หน้าที่ที่ต้องหาเลี้ยงครอบครัวจึงตกมาอยู่ที่เขาเพียงคนเดียว

“โอ๊ย! จับปลาทั้งปีทั้งชาติแล้วเมื่อไหร่พี่จะรวย มีเงินมีทองเป็นเศรษฐีล่ะ” พิมหน้าหงิก เธอเห็นน้อยมัวแต่จับปลาหาผักไปวันๆ ทำงานรากหญ้าพวกนี้มาตั้งแต่เด็กจนโต มันจะได้เรื่องอะไร ถ้าจะรวยก็คงรวยไปนานแล้ว!

“ถ้าพิมไม่อยากให้พี่จับปลา แล้วพิมจะให้พี่ไปทำอะไร”

“ก็ทำอะไรอย่างอื่นที่มันได้เงินเยอะๆ ไง อย่างเช่นค้าขาย รวยจะตาย” หญิงสาวเสริม แต่สีหน้ายังกร้าวอารมณ์หงุดหงิดไม่เปลี่ยน

ชายหนุ่มพิจารณาแล้วทอดเสียงอ่อน

“แต่ค้าขายมันต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก พี่คิดว่า...” น้อยยังพูดไม่ทันจบ เสียงแหลมก็แทรกขึ้นมาตัดบท

“อ๋อ ฉันลืมไป พี่มันก็แค่คนจนๆ ขนาดที่ซุกหัวนอนยังต้องอาศัยที่ดินคนอื่นอยู่เลย คนอย่างพี่มันจะไปมีปัญญาอาไร้ ฉันล่ะเบื่อจริงๆ ชีวิตเน่าๆ เฮงซวยแบบเนี่ย”

“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะพิม ชีวิตพิมไม่ดีตรงไหน พิมมีพ่อ มีแม่ที่รักและเป็นห่วงพิมมาก มีบ้าน พิมมีทุกอย่างเลยนะ”

“ฉันก็แค่มีในสิ่งที่พี่ไม่มีต่างหาก แต่ฉันไม่มีในสิ่งที่ฉันอยากจะมีไง!” เธอย้อนกลับ

“พิม...”

“พี่รู้ไหมว่าฉันอยากได้อะไร” พิมเชิดหน้าขึ้น “ฉันอยากเป็นคนรวย มีชีวิตดีๆ มีบ้านหลังโตๆ ฉันควรจะมีเพื่อนเป็นสาวสังคมชั้นสูง ไม่ใช่คนบ้าใบ้แบบพี่”

เป็นครั้งแรกที่น้อยได้เห็นสายตาคู่นั้นมองมาด้วยความรังเกียจเช่นคนอื่นๆ ชายหนุ่มรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย แววตาละห้อย

“แต่พิมก็รู้ว่าพี่ไม่ได้เป็นใบ้”

“ใช่! พี่ไม่ได้เป็นใบ้ แต่คนทั้งตลาดเขาพูดกันให้ทั่วว่าพี่เป็นใบ้... ก็ทั้งชีวิตพี่เล่นพูดอยู่แต่กับฉันคนเดียว ไม่เคยพูดกับใคร พี่ทำแบบนี้ต่อให้พี่ไม่ใช่คนใบ้ มันก็เหมือนกันนั่นแหละ”

ถ้าให้พูดจากใจจริงแล้วละก็...เธอไม่เคยอยากเป็นเพื่อนกับน้อยเลย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอต้องเผชิญกับคำเย้ยหยันล้อเลียนจากเพื่อนที่รู้ว่าเธอคบหากับคนบ้าใบ้อย่างไอ้น้อย ลูกของนังหญิงคนชั่วที่ใครๆ ต่างก็รังเกียจกันทั้งนั้น แต่ที่เธอยังทนคบหากับน้อย เพราะเธอเห็นว่าน้อยเป็นคนหัวอ่อนและมักจะตามใจเธอทุกอย่าง ไม่ว่าจะใช้เขาไปทำอะไร หนักหนาแค่ไหน เขาก็ทำให้เธอได้ ไม่มีบ่นอิดออดสักคำ...แต่นั่นก็เป็นแค่อดีตในวัยเยาว์เท่านั้น ตอนนี้เธอโตเป็นสาวแล้ว มีชายหนุ่มร่ำรวยเดินตามชาย กระโปรงเป็นพรวน มีโอกาสดีๆ เข้ามาหาไม่ขาดสาย แล้วเรื่องอะไรเธอจะต้องมาจมปลักอยู่กับคนเข็ญใจไม่มีอนาคตอย่างนี้ด้วย

“พี่ขอโทษที่ทำให้พิมไม่พอใจ” น้อยก้มหน้าเศร้า ไม่เคยรู้เลยว่าทำให้เธอต้องอึดอัดใจมากขนาดนี้

พิมปรายตามองเพียงนิดก็รู้สึกหงุดหงิด ยิ่งเขาพูด เธอก็ยิ่งอารมณ์เสีย ในสายตาเธอมองอีกฝ่ายเป็นเพียงลูกไล่ ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นเพื่อนเป็นพี่ หรือเป็นอย่างอื่นเลย...

“หนึ่งคำก็ขอโทษ สองคำก็ขอโทษ อะไรๆ ก็ขอโทษ ฉันเบื่อ!! ชีวิตพี่มันมีอะไรดีบ้างเนี่ย” พิมสะบัดหน้าพรืด เดินกระฟัดกระเฟียดห่างออกไป ทิ้งให้น้อยได้แต่ยืนมองตามอย่างคนสิ้นหวัง ความฝันกับความจริงต่างกันเหลือเกิน ทำไมวันนี้พิมถึงเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ น้อยไม่อยากจะเชื่อเลยว่า สาวน้อยแสนใจดีคนที่เขาเคยรู้จักจะตายไปแล้วจริงๆ



***********************



วันแล้ววันเล่าก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้ยินเสียงใสๆ ของพิมลอยมาอีกเลย ที่แคร่ตัวเดิม ชายหนุ่มยังคงชะเง้อมองหาหญิงสาวอยู่อย่างนั้น หวังให้เธอมาหา มาพูดคุย ชวนไปเที่ยวเล่นเหมือนอย่างเมื่อก่อน... แต่พอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์วันที่เขาทำให้เธอไม่พอใจมากถึงขั้นเดินหนีกันไป

ใจของน้อยกระตุกแรงขึ้น เมื่อคิดว่าพิมน่าจะยังโกรธเขาอยู่เพราะเรื่องวันนั้นเป็นแน่ น้อยตัดสินใจเดินผ่านสวนมะม่วงออกมาตามทางดินลูกรังจนถึงบ้านไม้สีขาวหลังงาม ซึ่งเป็นบ้านของพิม ด้วยความเป็นห่วงเขาอยากจะปีนรั้วข้ามไปหาเธอใจแทบขาด แต่ก็ทำได้แค่เพียงยืนรออยู่หน้าบ้าน ไม่กล้าเดินเข้าไปโดยพลการ

ฝั่งคนในบ้านอย่างภา มารดาของพิมแปลกใจที่เห็นน้อยยืนตะคุ่มๆ อยู่นอกรั้วอย่างผิดสังเกต แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไอ้น้อยพูดไม่ได้ บางทีมันอาจจะมีธุระแต่ไม่อาจส่งเสียงเรียก หญิงวัยกลางคนไม่รอช้า รีบเดินออกจากบ้านมาไถ่ถามแขกที่ไม่ได้รับเชิญทันที

“มีอะไรไอ้น้อย มายืนชะเง้อชะแง้มองอยู่หน้าบ้านข้านานสองนาน”

น้อยทำท่าอึกอักไม่กล้าสบตาภา ได้แต่ส่งสายตาละห้อยมองไปที่หน้าต่างห้องของพิม...

ภาเห็นสายตานั้นของอีกฝ่ายก็เข้าใจได้ไม่ยาก

“เอ็งมาหานังพิมมันรึ”

น้อยพยักหน้ายิ้มๆ แทนคำตอบ

“งั้นเอ็งรออยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวป้าจะไปตามนังพิมมาให้”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ มองภาเดินเข้าบ้านจนลับตาไป

หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ร่างอรชรค่อยๆ ยกแปรงขึ้นหวีผมเบาๆ อย่างตั้งใจ แต่ไม่ทันไรตาเรียวสวยก็เหลือบไปเห็นหน้ามอมๆ ของน้อยกำลังมองมาที่หน้าต่างห้องนอนของเธอด้วยความมุ่งมั่น พิมกัดฟันแน่น กระชากหวีลงจากเรือนผมแรงๆ ใบหน้าที่ประทินโฉมจนสวยหวานพลันบึ้งตึงขึ้นมาราวกับนางยักษ์ร้าย ไม่เข้ากับภาพสะท้อนรูปโฉมอันงดงามในกระจกนั้นเลย...

ใบหน้าฉุนเฉียวหันไปมองประตูห้องที่เปิดออก และพบว่าเป็นมารดาของเธอนั่นเองที่เข้ามา

“พิม ไอ้น้อยมันมาหา ลงไปหามันหน่อยสิลูก”

“แม่ไล่มันกลับไปเถอะจ้ะ ฉันไม่อยากจะเห็นหน้ามัน”

ภาขมวดคิ้ว “เป็นอะไรอีกล่ะ ทะเลาะกันรึ”

“เปล่าหรอกจ้ะ ฉันแค่เบื่อขี้หน้ามันก็เท่านั้น”

“จะไปเบื่อขี้หน้ามันทำไม แม่ไม่เห็นว่าไอ้น้อยมันจะทำอะไรให้เลย ตั้งแต่เด็กจนโตก็เห็นมันเดินตามลูกต้อยๆ”

“แล้วถ้าฉันบอกว่า ไอ้พี่ใบ้คนดีของแม่ มันแอบหลงรักฉันมาตั้งแต่เด็กจนโตล่ะจ๊ะ แม่จะยอมยกฉันให้คนไม่มีอนาคตแบบนั้นรึ!” 

คนเป็นแม่หน้าซีดถึงกับพูดไม่ออก...

ภาไม่เซ้าซี้สอบความต่อ เธอรีบลงมาจากบ้าน เดินตรงไปหาชายหนุ่มที่ยืนรออยู่นอกรั้ว มองราวกับเป็นตัวประหลาด เพราะไม่เคยคิดเลยว่าน้อย เด็กที่เธอรักและเอ็นดูมาตั้งแต่เล็ก จะมีจิตคิดเสน่หาต่อลูกสาวคนเดียวของเธอ แม้จะเกิดอคติขึ้นมาบ้างในทันทีที่รู้ แต่อีกใจก็อดสงสารไม่ได้ในชะตากรรมของชายหนุ่ม... หากทว่าก็คงไม่มีแม่คนไหน ยอมปล่อยให้ลูกสาวไปกัดก้อนเกลือกินกับคนยากไร้ไม่มีอนาคตแบบนั้นหรอก แค่คิด ภาก็แทบจะอกแตกตายอยู่รอมร่อ

“ไอ้น้อย เอ็งกลับไปซะเถอะ พิมมันบอกไม่อยากเห็นหน้าเอ็ง”

คำพูดเรียบๆ ไม่กี่คำ แต่ทำไมฟังแล้วรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก น้อยมองภาเดินขึ้นบ้านไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกสิ้นหวัง ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะเดินกลับเลย ชายหนุ่มไม่เข้าใจ เขาไปทำอะไรให้พิมโกรธเกลียดนักหนา ถึงได้หนีหน้า ไม่คิดแม้แต่จะออกมาพูดจากันเลยสักคำ



***********************



บรรยากาศงานวัดท่าเตาประจำปีพุทธศักราช ๒๔๙๕ ช่วงค่ำ มีผู้คนมากมายจูงลูกจูงหลานหลั่งไหลเข้ามาในวัด ต่างจับจองที่นั่งดูมหรสพที่เจ้าภาพงานปีนี้เงินหนา จัดให้ชมทั้งงิ้วทั้งลิเกประชันกันคนละฟาก เสียงระนาดดังมาทางฝั่งซ้าย เสียงขลุ่ยจีนแหลมใสก็ดังมาจากฝั่งขวาไม่ยอมกัน ตรงกลางมีมวยคู่เอกให้เลือกชม อีกฝั่งก็มีเครื่องเล่นยอดนิยมอย่างชิงช้าสวรรค์ให้ขึ้นเล่น ชมท้องฟ้าพระนครศรีอยุธยายามค่ำคืน บรรยากาศในงานค่อนข้างครึกครื้นกว่าทุกปี ไม่แปลกที่ชาวบ้านจะให้ความสนใจเดินกันขวักไขว่ไปมามากมาย

น้อยก็เป็นอีกคนที่มางานวัดในค่ำคืนนี้ ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อยืดพอใส่ได้กับกางเกงขายาวเก่าๆ แต่ทว่าไม่ได้มาเที่ยวเล่นแต่อย่างใด เขามาช่วยเจ้าอาวาสจัดเตรียมสถานที่ แต่ไหนแต่ไรตั้งแต่เด็กจนโตน้อยไม่เคยได้มาเที่ยวสนุกอย่างคนทั่วไปหรอก เวลามีงานวัดจัดขึ้นทีเขาก็มักจะใช้หน้าต่างของกระท่อมเป็นที่เฝ้ามองพลุสวยงามสว่างไสวเต็มท้องฟ้าอยู่เสมอ พร้อมกับมีเสียงดังโวยวายของผู้เป็นพ่อที่นอนเมาอยู่ร้องว่าหนวกหูบ้างรำคาญบ้างขัดจังหวะตลอด แต่ก็ไม่อาจพรากรอยยิ้มบนใบหน้าไปได้

น้อยเดินออกมาจากศาลาได้ไม่นาน เสียงพลุลูกแรกก็ดังขึ้นท่าม-กลางบรรยากาศอภิรมย์รื่นเริงของทุกคน เขาเงยหน้าขึ้นไปมองพลุลูกใหญ่ที่พุ่งขึ้นแตกสว่างไสวกลางท้องฟ้า มองแล้วตื่นตาตื่นใจ แสงประกายเล็กๆ ต่างสีสันพวกนั้นเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์...คิดแล้วก็อยากจะให้มีช่วงเวลาเช่นนี้ทุกวัน เพราะสำหรับเขาแล้ว ช่วงเวลาความสุขเช่นนี้หาได้ยากยิ่งกว่าทรัพย์สินมีค่าใดๆ ในโลก

เมื่อการแสดงพลุแสนสวยงามจบลงไป ใบหน้ายิ้มระรื่นก้มต่ำลงมาในระดับสายตา...และแล้วรอยยิ้มก็ค่อยๆ จางลง เมื่อเห็นภาพหญิงสาวคนคุ้นเคยยืนอยู่ตรงหน้า แถมเจ้าหล่อนยังควงแขนมากับหนุ่มตี๋หน้าละอ่อน แต่งตัวภูมิฐานดูดี ดูจากนาฬิกาที่เจ้าตัวใส่ก็รู้แล้วว่าผู้ชายคนนั้นไม่ธรรมดา พอหันกลับมามองดูสภาพของตนเองแล้วเทียบไม่ได้เลยกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเธอตอนนี้

น้อยมองภาพสองหนุ่มสาวคุยกันกะหนุงกะหนิง เห็นพิมยิ้มอย่างมีความสุข ภาพนั้นช่างงดงาม ชายหญิงคู่นั้นสวยหล่อสมกันเกินกว่าคู่รักคู่ไหนในงาน ส่วนคนนอกอย่างเขา ทำได้เพียงแค่ยิ้มให้กับความสุขของเธอ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเฉียดกรายเข้าไปใกล้ จะทำให้เสียบรรยากาศเปล่าๆ น้อยเริ่มถอดใจ ทำท่าจะหันหลังกลับ...

แต่แล้วในจังหวะนั้นเอง สองหนุ่มสาวที่ตอนแรกดูมีทีท่าเหมือนจะไปกันได้ด้วยดี ปรากฏว่าฝ่ายชายเกิดความสนิทเสน่หาจนเกินงาม

ในขณะที่พิมเผลอมองไปทางอื่น โชคชัยก็ฉวยโอกาสหอมแก้มนวลกลางที่สาธารณะ โดยไม่สนใจสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา พิมสะดุ้งตกใจ เธอเป็นหญิงถูกสอนให้รักนวลสงวนตัวมาตั้งแต่เล็ก จะมาทำรุ่มร่ามกับเธอเหมือนดอกไม้ข้างทาง เก็บดมแล้วโยนทิ้งไม่ได้ มือเรียวฟาดลงเข้าที่สันกรามของอีกฝ่ายอย่างแรงจนหน้าหัน

“คุณโชคจะมาทำรุ่มร่ามกับฉันแบบนี้ไม่ได้ ฉันเป็นผู้หญิงนะ ให้เกียรติฉันบ้างสิ” พิมตวาด

โชคชัยขบกรามแน่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง ลูกเจ้าของร้านทองมีแต่คนตามใจ ไม่เคยถูกผู้หญิงที่ไหนตบหน้ามาก่อน แล้วลูกสาวเจ้าของสวนผลไม้อย่างเธอกล้าดีอย่างไรถึงได้ทำกับเขาอย่างนี้!

“นี่ฉันยังให้เกียรติเธอไม่พออีกหรือไง ฉันพาเธอมาเดินเที่ยวออกหน้าออกตาก็นับว่าเป็นบุญหัวแล้วที่เธอได้ควงกับลูกเจ้าของร้านทองอย่างฉัน”

เขาช่างพูดแทงใจดำ พิมคิดว่าการได้เดินควงกับคนใหญ่คนโตจะทำให้เธอดูมีสง่าราศีมากขึ้น แต่เธอคิดผิด ผู้ชายพวกนั้นก็มองเธอเปรียบ เสมือนนางโคมเขียวที่ใช้เงินล่อให้เข้ามาติดกับ

“ก็ตามใจ ถ้าคุณจะคิดแบบนั้น เราก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก”

คำพูดของพิมยิ่งทำให้โชคชัยโมโห ถ้าไม่เห็นว่าเจ้าหล่อนงามจนอยากจะกลืนกินไปทั้งตัวละก็...มีหรือที่คนอย่างเขาจะชายตามอง

“จะไปไหน เธอต้องอยู่กับฉันก่อน” โชคชัยคว้าแขนเล็กไว้ได้ทันก่อนจะฉุดกระชากกันไปมา ไม่ปรานีเธอเลยแม้แต่น้อย

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะคุณโชค”

มุมมองของบุคคลที่สามอย่างน้อย กำมือแน่น ทนดูไม่ได้ รีบเดินเข้าไปหา

น้อยเข้ามาดึงแขนพิมออกจากพันธนาการของโชคชัย แล้วปราดเข้ามาเผชิญหน้าแทน พิมจึงหลบไปอยู่ด้านหลังของคนตัวสูงกว่าเสมือนเป็นเกราะกำบังสำหรับเธอ

“มึงเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วยวะ”

น้อยนิ่งไม่ยอมตอบ สายตาที่จ้องหน้าอีกฝ่ายนั้นแข็งกระด้างให้รู้สึกเหมือนจะกวนบาทา จึงเป็นการสุมไฟให้ชายหนุ่มเลือดร้อนเดือดดาลมากยิ่งขึ้น ก่อนที่โชคชัยจะเหวี่ยงหมัดคมใส่หน้าน้อย จนเสียหลักล้มลงไปต่อหน้าพิม!

เหตุการณ์นั้นทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างแตกตื่น บางคนจูงลูกจูงหลานวิ่งออกห่างเพราะกลัวจะถูกลูกหลง บางคนอยากรู้อยากเห็นก็ยืนมุงดูราวกับเป็นมวยคู่เอกนอกสนาม ด้านเจิดกับพวกที่ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมดังมาจากทางนั้น ก็รีบเดินเข้ามาดูเพราะอยากหาเรื่องสนุกทำอยู่แล้ว

น้อยที่ตอนนี้ล้มไปกองอยู่กับพื้น ถูกมือของอีกฝ่ายกระชากคอเสื้อขึ้นมาแทบขาด

“กูถามมึง ทำไมมึงไม่ตอบกู!” โชคชัยใส่หมัดเข้าแก้มซ้ายไปอีกดอก แล้วน้อยก็เซลงไปอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงนินทาอื้ออึงจากผู้คนที่ยืนมุงดูอยู่

“นั่นมันไอ้น้อย ลูกนังมะลิหรือเปล่าวะ”

ผู้ชายคนหนึ่งก้มดูหน้าให้แน่ใจ ก่อนจะตอบ

“ใช่ไอ้น้อยจริงๆ ด้วย ข้าได้ข่าวว่ามันเป็นบ้าใบ้นี่”

“แล้วมันมีเรื่องอะไรกันล่ะ”

“จะเรื่องอะไรเสียอีกล่ะ นอกจากเรื่องผู้หญิง”

“อ้าว ที่ข้าเห็นนังพิมกับไอ้น้อยมันสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กนี่...มันไม่ได้เป็นเพื่อนกันหรอกรึ”

ช่างบังเอิญที่เสียงนั้นดันไปเข้าหูโชคชัยพอดี เขาหยุดคิด จากท่าทางที่ไอ้หนุ่มคนนี้เข้ามาขัดขวาง แถมยังทำท่าจะมีเรื่องกับเขา ไม่อาจคิดเป็นอย่างอื่นได้เลย นอกจากว่าไอ้หนุ่มคนนี้คงเป็นผู้ชายอีกคนในคลังของแม่พิม

“ที่แท้เธอชอบแบบนี้ก็ไม่บอกฉันนะ... ใฝ่ต่ำสิ้นดี”

ดวงตาแข็งสั่นระริก แล้วฝ่ามือเล็กก็ฟาดลงที่หน้าเขาอีกครั้ง นี่หรือคือคำพูดของผู้ดีมีการศึกษา ถ้าเธอใฝ่ต่ำ เขาก็ใฝ่ต่ำไม่ต่างกันหรอก

เหตุการณ์นี้อาจจะอยู่ในความตึงเครียดของหลายฝ่าย แต่ตรงข้ามกับเจิดที่กระตุกยิ้มร้าย คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เดินเข้ามาดู ชักสนุกแล้วสิ!

โชคชัยใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม ดวงตาสีนิลลุกวาวโรจน์ เธอยังไม่รู้ว่าคนอย่างเขาจะทำอะไรได้บ้าง...

“พ่อแม่พี่น้อง! ไอ้อีสองคนนี้มันสวมเขาให้ฉัน ไอ้ผู้ชายมันเป็นใบ้ไม่เจียมตัว ส่วนอีนังผู้หญิงก็สำส่อนโปรยเสน่ห์ให้ผู้ชายติดกับไปทั่ว แต่ที่น่ารังเกียจยิ่งกว่า คือเจ้าหล่อนต้องการปอกลอกเงินฉันไปปรนเปรอไอ้ใบ้ ผัวของหล่อนเอง”

คำป่าวประกาศใส่ไข่ใส่สีของโชคชัยทำคนทั้งวงตกตะลึง! พิมได้ฟังก็หน้าถอดสี วินาทีนั้นเธออยากจะฆ่าไอ้ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ให้ตายคามือ กล้าดีอย่างไรมาประจานเธอให้เสื่อมเสีย ทั้งที่เรื่องไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย!

“ไอ้แมงดา! ไอ้เลว ไอ้ชั่ว มึงพูดแบบนี้ได้ยังไงฮะ” พิมควันออกหูหายใจเข้าออกถี่ยิบ

ท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาและสายตาของชาวบ้านที่มองมาอย่างกับเธอเป็นนางกากี เป็นหญิงชั่วก็ไม่ปาน... น้อยเห็นอาการสติแตกของพิมก็เป็นห่วง มือหนาเอื้อมไปแตะแขนบางด้วยความห่วงใย แต่หญิงสาวกลับขยะแขยงสะบัดออกอย่างไม่ไยดี ก่อนจะวิ่งออกไปจากตรงนั้น ปาดน้ำตาที่ไหลลงมาด้วยความอับอาย



หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.พ. 2565, 12:06:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.พ. 2565, 12:06:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 318





<< ทักทาย + บทนำ   บทที่ 2 ความทะเยอทะยานเป็นเหตุ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account