วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา
ตอน: บทที่ 7 พระคู่หมั้นผู้สูงศักดิ์ (40%)
ในที่สุด ค่ำคืนงานเลี้ยงต้อนรับเพชราวสีก็มาถึง คืนนี้วังราชสาสน์เปิดวังให้แขกเหรื่อจากทั่วสารทิศ ที่มีทั้งผู้ดีรวยเลิศ อนุวงศ์ชั้นสูง และญาติสนิทบางส่วน เข้ามาชื่นชมวังสีชมพูที่ใครๆ ต่างก็กล่าวขวัญว่าเป็นหนึ่งในวังเก่าแก่ที่สวยที่สุดในพระนคร
ทางเข้าวังมีรถของแขกวิ่งเข้าออกสวนกันไปมา ทุกคนต่างทยอยเข้ามาในงานเลี้ยงสุดหรูที่จัดภายในบริเวณสวน ถูกประดับตกแต่งด้วยไฟห้อยระย้าทำให้บรรยากาศดูแปลกตาไปจากทุกวัน
ท่ามกลางดอกไม้มากมายที่ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งงาน เพิ่มความโรแมนติกด้วยน้ำพุโรมันตระการตา มีโต๊ะตั้งวางอาหารเรียงรายทั้งอาหารคาวหวานสารพัดเมนูชาววัง มีให้เลือกตักตามใจต้องการ ถัดมาก็เป็นส่วนของโต๊ะจีนรับประทานอาหาร ซึ่งเป็นโซนรับรองแขกจากตระกูลชั้นสูง ที่มีให้เลือกนั่งอย่างสะดวกสบาย จากนั้นจึงจะเป็นส่วนของฟลอร์เต้นรํายอดนิยม ที่มีหนุ่มสาวคู่รักเริ่มออกมาวาดลวดลายกันบ้างแล้ว
บรรยากาศภายในงานเลี้ยงเป็นไปอย่างคึกคัก ทั้งพระองค์เจ้าทิวากรและหม่อมพจนิจออกมาต้อนรับแขกที่ทยอยเดินเข้ามาในงานไม่ขาดสาย... ไม่นานนัก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าผ่องภาณุรังสี สิรินดิเรกฤทธิ์ หรือพระนามลำลองว่า เสด็จพระองค์ผ่อง เดินนำมาพร้อมกับหม่อมราชวงศ์กุหลาบ หม่อมของท่านและพระโอรส หม่อมเจ้าภาณุมาศ หรือ ท่านชายภาส เมื่อพระองค์เจ้าผ่องภาณุรังสีมาถึง พระองค์เจ้าทิวากรและหม่อมพจนิจก็รีบตรงเข้าไปรับด้วยความดีใจ
“เป็นความยินดียิ่ง ที่ชายผ่องให้เกียรติมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับลูกสาวของพี่ในค่ำคืนนี้” พระองค์เจ้าทิวากรเอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มใส เมื่อได้ต้อนรับแขกคนสำคัญของงานวันนี้เลยก็ว่าได้
พระองค์เจ้าผ่องภาณุรังสีเป็นพระสหายรุ่นน้องของท่าน ความเป็นมิตรที่แน่นแฟ้นของทั้งสองเริ่มต้นขึ้น ในช่วงที่ทั้งสองตามสมเด็จเจ้าฟ้าไปราชการที่มาเลเซีย ซึ่งเป็นระยะเวลารวมเกือบครึ่งปีจึงทำให้สนิทสนมกัน เมื่อพจนิจคลอดลูกสาว และพระองค์เจ้าผ่องภาณุรังสีก็มีลูกชาย จึงอยาก จะให้ทั้งสองราชสกุลเป็นทองแผ่นเดียวกัน ซึ่งพระองค์เจ้าทิวากรก็เห็นดีเห็นงามด้วย เพราะต้องการให้ลูกสาวได้คู่ครองที่คู่ควรสมฐานะกันอยู่แล้ว ทั้งสองจึงทำสัญญาใจให้ลูกสาวและลูกชายหมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่ยังเล็ก
“หนูวสีก็เสมือนลูกสาวคนหนึ่งของน้อง จะไม่มาได้อย่างไรล่ะเจ้าพี่”
พระองค์เจ้าทิวากรกับหม่อมพจนิจยืนยิ้มแก้มปริ...
“ผมไหว้เสด็จลุงกับหม่อมป้าครับ” หม่อมเจ้าภาณุมาศเอ่ยขึ้นบ้างด้วยเสียงนุ่มฟังสบายทักทายผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างนอบน้อม
“ไหว้พระเถอะชายภาส โก้สมกับตำแหน่งว่าที่อธิบดีกรมเชียวนะ” พระองค์เจ้าทิวากรเอ่ยด้วยความเอ็นดู ด้านหม่อมพจนิจก็ยืนมองร่างสูงสง่าผ่าเผยด้วยความชื่นชม คู่ควรกับลูกสาวของเธอแล้วอย่างยิ่ง
“เสด็จลุงตรัสชมเกินไป ผมเพิ่งเริ่มเข้ารับราชการที่กรมได้ไม่นาน คงอีกนานพ่ะย่ะค่ะกว่าจะได้เป็นอธิบดี”
ด้านคุณหญิงกุหลาบที่ยังไม่เห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้ ก็ชะเง้อหา “แล้วนี่ท่านหญิงวสีกับท่านชายต้นอยู่ไหนล่ะเพคะ”
หม่อมพจนิจมองไปอีกทาง เห็นเพชราวสีจูงแขนน้องชายกำลังเดินมาทางนี้พอดีก็ถอนใจโล่งอก
“นั่นไงคะ ยัยวสีมาพอดี”
ทั้งหมดมองตรงไปที่หญิงสาวที่โดดเด่นที่สุดในค่ำคืนนี้ ในชุดราตรีกระโปรงยาวสีขาวเล่นแสงจันทร์เป็นประกายระยิบระยับ ใบหน้าหวานแต่งแต้มสีสันอ่อนๆ ไม่ฉูดฉาดตาจนเกินงาม เธอก้าวเดินออกมาอย่างสง่าผ่าเผย ผมยาวนุ่มสลวยจับเป็นลอนใหญ่ พลิ้วไหวในทุกย่างก้าวที่เธอเดิน เหมือนมีแสงออร่าเปล่งประกายออกมา โดยที่หญิงสาวไม่รู้ตัว จนคนทั้งงานต้องหันไปมองเป็นตาเดียว โดยเฉพาะหม่อมเจ้าภาณุมาศ ที่มองพระคู่หมั้นของท่านไม่วางตา...
เมื่อพบหน้ากันครั้งแรก ก็ประทับใจในทุกส่วนของดวงหน้าหวาน คิ้วคมสองข้างรับกับจมูกโด่งได้รูป ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตงดงามคู่นั้นกำลังทอแสงเป็นประกายเย้ายวนชวนมอง แล้วไหนจะปากกระจับอวบอิ่มสีชมพูดั่งผลลูกท้อนั้นอีก ทันทีที่หล่อนยิ้มหวานละมุน บรรดาชายหนุ่มก็แทบละลายกลายเป็นไอศกรีมท่ามกลางอากาศร้อนจัด หรือแม้กระทั่งสาวๆ ด้วยกันเอง ก็ยังอดชื่นชมหล่อนไม่ได้
พระองค์เจ้าทิวากรยิ้มกริ่ม เมื่อเห็นสายตาของหม่อมเจ้าภาณุมาศยามมองลูกสาวของตน ก็รู้ได้ทันทีว่าท่านชายจะต้องมีใจเสน่หาต่อเพชราวสีเข้าแล้ว ท่านสะกิดแขนภรรยาให้เห็นปฏิกิริยาระหว่างหนุ่มสาวทั้งสอง หม่อม พจนิจมองไปที่ท่านชายก็เห็นว่าท่านแย้มยิ้ม ไม่ยอมละสายตาไปจากลูกสาวของเธอเลยแม้แต่น้อย ซึ่งต่างจากเพชราวสีที่ดูเหมือนจะยังมองไม่เห็นพระ-คู่หมั้นของตัวเอง จึงได้มองข้ามท่านไปเหมือนเป็นอากาศ
“ถวายบังคมฝ่าบาท กราบสวัสดีคุณอาหญิงค่ะ” เพชราวสีทำความเคารพแขกคนสำคัญ เช่นเดียวกับพลวริศที่อยู่ในวัยกำลังน่ารัก ไม่ต้องบอกก็รู้ความว่าควรจะต้องทำอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์
“ถวายบังคมฝ่าบาท กราบสวัสดีคุณอาหญิงเช่นกันครับ”
คุณหญิงกุหลาบมองใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักอย่างเอ็นดู อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปหยิกแก้มอ้วนตุ้ยอย่างเบามือ
“ตัวเล็กแค่นี้รู้จักสวัสดีกับเขาด้วยหรือจ๊ะ น่ารักน่าชังจริงๆ”
“หึ เห็นทีเจ้าลูกชายคนนี้คงจะได้เจ้าพี่มาเต็มๆ” เสด็จพระองค์ผ่องเย้า
พระองค์เจ้าทิวากรยิ้มขำ ได้แต่เฝ้ามองพัฒนาการของพลวริศอยู่อย่างห่วงใย หากเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริง เขาคงต้องปวดหัว เพราะสมัยหนุ่มๆ เขาเองก็ได้สร้างวีรกรรมแสบๆ ไว้เยอะใช่ย่อย ก่อนจะมาสยบให้กับผู้หญิงที่เพียบพร้อมอย่างพจนิจ
เมื่อพระองค์เจ้าผ่องภาณุรังสีมองลูกชายคนเล็กของพระองค์เจ้าทิวากรแล้ว ท่านก็ให้ความสนใจกับลูกสาวคนโตบ้าง แล้วก็ไม่ทำให้ผิดหวัง...ก่อนที่ท่านจะมาร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ เพชราวสีเพิ่งกลับมาถึงเมืองไทยไม่กี่วัน ก็มีคนเล่าลือถึงความงามของหญิงสาวแว่วเข้าหู คนในแวดวงสังคมชั้นสูงต่างก็อิจฉาลูกชายของท่านกันเป็นแถว นับว่าเป็นบุญของภาณุมาศแล้วที่จะได้ภรรยางามๆ แถมยังมีฐานะที่คู่ควรกันไว้ประดับบารมี
“อาไม่ได้เจอหนูวสีนานหลายปี โตแล้วงามจนอาจำแทบไม่ได้”
“เป็นพระกรุณาเพคะ” เธอยกมือไหว้อ่อนช้อยอีกครั้ง
“วสี นี่ท่านชายภาส พระคู่หมั้นของลูกไงจ๊ะ”
เพชราวสีได้ยินพระมารดาแนะนำเช่นนั้น ก็หันไปมองพระคู่หมั้นที่ยืนอยู่ข้างๆ กันกับเสด็จพ่อของท่าน เป็นครั้งแรกที่เธอได้มองหน้าเขาเต็มสองตา เธอพยายามระงับความตื่นเต้น อาจจะเป็นเพราะเขินอายกับสายตาที่หม่อมเจ้าภาณุมาศมองมา และรับรู้ได้ว่าเขาสนใจเธอ...
*************************
เมื่อผู้ใหญ่เห็นว่าทั้งสองได้พบกันแล้ว พระองค์เจ้าทิวากรจึงเชิญพระองค์เจ้าผ่องภาณุรังสีและหม่อมราชวงศ์กุหลาบไปนั่งในที่รับรองที่จัดเตรียมไว้ เวลานี้จึงเหลือเพียงภาณุมาศและเพชราวสียืนคุยกันอยู่สองคน ก่อนที่เธอจะเชิญเขาเข้าไปในงานตามลำดับ
ระหว่างนั้นภาณุมาศก็ไม่ปล่อยให้เสียโอกาส ยอมรับว่าเขาถูกใจเพชราวสีตั้งแต่แรกพบ และอยากจะทำความรู้จักกับเจ้าหล่อนให้มากกว่านี้ ยิ่งรู้จักกันเร็วเท่าไรยิ่งดี เขาจึงพยายามชวนเธอสนทนาด้วย ทำให้เพชราวสีพลอยรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
“ได้ข่าวว่าน้องไปอยู่อังกฤษตั้งแต่ยังเล็ก เป็นยังไงบ้างคะ อยู่ที่นั่นสบายดีหรือเปล่า”
“สบายดีเพคะ แต่เหงามากเลย”
“ไม่เอาสิ เราเป็นคู่หมั้นกัน กำลังจะแต่งงานกันแล้วแท้ๆ น้องไม่จำเป็นต้องใช้คำทางการกับพี่ก็ได้” เขาบอกยิ้มๆ ไม่อยากให้เธอใช้ราชาศัพท์กับเขา ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกห่างเหิน
“จะดีหรือเพคะ” เพชราวสียังลังเล เริ่มมองเขาต่างออกไปจากที่คิด
“ดีสิ... เรามาคุยเรื่องของน้องต่อดีกว่า” ภาณุมาศพยักหน้าจริงใจ
เพชราวสีมองพระคู่หมั้นอย่างปลื้มปีติ เขาสุภาพและไม่ถือตัว ไม่เหมือนอย่างที่สุภาวดีพูดเลยสักนิด
“น้องก็น่าจะมีเพื่อนเยอะนะ ทำไมบอกเหงา” เขาถามต่อ
“ก็มันเหงาจริงๆ นี่คะ ยิ่งช่วงฤดูหนาว หิมะตกขาวโพลนทั่วถนนในลอนดอน มันเป็นช่วงเทศกาลวันหยุดยาวของชาวตะวันตก ที่เรียกว่าวันคริสต์มาสน่ะค่ะ เพื่อนๆ ของน้องก็จะต้องกลับไปเยี่ยมบ้านกัน แต่น้องบ้านอยู่ไทยนี่คะ อย่างมากเลยทำได้แค่ฉลองกับคุณครูที่โรงเรียน แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เหงาได้ยังไง”
“อืม...พี่ชักจะเข้าใจน้องแล้วละ” ภาณุมาศคิดตาม นึกถึงสมัยตอนที่ตัวเองเรียนปริญญาโทอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ใครๆ ก็มักจะมองว่าเขาเป็นคนมีเพื่อนฝูงมากมาย ซึ่งมันก็ใช่ แต่พอถึงช่วงเทศกาลทีไร จะถามหาเพื่อนที่ไหน...ทุกคนก็กลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวกันหมด
“น้องรู้มาว่าพี่ชายไปเรียนต่อโทที่สวิส ที่นั่นเป็นยังไงบ้างคะ สวยอย่างที่เขาเล่าลือกันหรือเปล่า เห็นว่าอาคารสวยๆ ที่ลอนดอนก็ยังเทียบไม่ติดเลย”
“สวยมากเลยล่ะ สวยทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ทะเลสาบ หรือว่าแม่น้ำ เขาถึงได้พูดกันไงว่าสวิสคือเมืองในฝัน สวรรค์ในขุนเขา”
เพชราวสีเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น
“ดีจังเลยค่ะ น้องเคยเห็นแต่ในรูป ในหนังสือท่องเที่ยว ถ้าเกิดได้ไปสักครั้งก็คงดี”
“เอาไว้เราเสกสมรสกันก่อน แล้วพี่จะพาน้องไปเที่ยวสวิสเอง ไปทำความรู้จักกับเพื่อนๆ ของพี่ด้วย”
เพชราวสียิ้มน้อยๆ ได้ยินคำว่า ‘เสกสมรส’ เธอก็หน้าแดงขึ้นมา
“น้องอยากทานอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวพี่จะไปเอามาให้”
“อย่าลำบากเลยค่ะ น้องไปเอาเองดีกว่า” เพชราวสีพูดอย่างเกรงใจ
“ไม่ได้ลำบากเสียหน่อย” เขาหรี่ตามองเธอ รู้ทันว่าคนตัวเล็กยังมีกำแพงกับเขา แต่คิดแล้วก็เป็นธรรมดาที่เธอจะรู้สึกเช่นนั้น เพราะทั้งเขาและเธอก็ยังไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน และนี่ก็เป็นการพบกันครั้งแรกด้วย คงจะเร็วไปที่เธอจะรู้สึกกับเขา อย่างที่เขารู้สึกกับเธอในเวลาอันรวดเร็ว
“ถ้าอย่างนั้น น้องขอขนมเกสรลำเจียกก็ได้ค่ะ” เพชราวสียอมบอกความต้องการของตนเอง เพราะไม่อยากขัดใจเขา
ภาณุมาศได้ยินเช่นนั้นก็แปลกใจ
“น้องโตแล้ว ยังจะกินขนมหวานอีกเหรอ พี่ได้ข่าวว่าค่านิยมของผู้หญิงสมัยนี้ เขาไม่นิยมให้ตัวเองอ้วนหรอกนะ”
เพชราวสีลอบอมยิ้ม “คุณแม่บอกว่าน้องผอมจะตาย ทานแค่นิดๆ หน่อยๆ คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“ก็ได้จ้ะ พี่ตามใจน้อง” ภาณุมาศยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของหญิงสาว เพียงแค่ได้พูดคุยกันไม่กี่คำ แต่ความรู้สึกกลับบอกว่าเหมือนรู้จักเธอมานานหลายปี...
ตอนที่เขาเป็นหนุ่มน้อย พระบิดาเคยเล่าเรื่องของเพชราวสีตอนเด็กๆ ให้ฟังว่าเธอเคยเก็บลูกนกที่พลัดตกจากรังมารักษาจนหาย แต่เพราะความประมาทเลินเล่อ ลูกนกตัวนั้นเลยถูกงูคาบไปกินก่อนที่เธอจะคืนมันสู่อ้อมอกของแม่นก พอรู้ว่าลูกนกที่เฝ้าประคบประหงมได้ตายไปแล้ว เธอก็ร้องไห้ทั้งวัน เฝ้าแต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง... แต่เรื่องที่น่าขำคือ พอเพชราวสีเห็นขนมเกสรลำเจียกที่พระมารดาของเธอนำมาปลอบขวัญ เธอก็หยุดร้องและกินขนมนั้นโดยทันที นึกถึงทีไร ภาณุมาศก็อดขำไม่ได้ เพชราวสีเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา แม้จะเป็นสาวสมัยใหม่ แต่ก็เป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม งามทั้งกายและใจ พระบิดาช่างมีสายตาเฉียบแหลม เลือกผู้หญิงให้ถูกใจจริงๆ
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ทางเข้าวังมีรถของแขกวิ่งเข้าออกสวนกันไปมา ทุกคนต่างทยอยเข้ามาในงานเลี้ยงสุดหรูที่จัดภายในบริเวณสวน ถูกประดับตกแต่งด้วยไฟห้อยระย้าทำให้บรรยากาศดูแปลกตาไปจากทุกวัน
ท่ามกลางดอกไม้มากมายที่ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งงาน เพิ่มความโรแมนติกด้วยน้ำพุโรมันตระการตา มีโต๊ะตั้งวางอาหารเรียงรายทั้งอาหารคาวหวานสารพัดเมนูชาววัง มีให้เลือกตักตามใจต้องการ ถัดมาก็เป็นส่วนของโต๊ะจีนรับประทานอาหาร ซึ่งเป็นโซนรับรองแขกจากตระกูลชั้นสูง ที่มีให้เลือกนั่งอย่างสะดวกสบาย จากนั้นจึงจะเป็นส่วนของฟลอร์เต้นรํายอดนิยม ที่มีหนุ่มสาวคู่รักเริ่มออกมาวาดลวดลายกันบ้างแล้ว
บรรยากาศภายในงานเลี้ยงเป็นไปอย่างคึกคัก ทั้งพระองค์เจ้าทิวากรและหม่อมพจนิจออกมาต้อนรับแขกที่ทยอยเดินเข้ามาในงานไม่ขาดสาย... ไม่นานนัก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าผ่องภาณุรังสี สิรินดิเรกฤทธิ์ หรือพระนามลำลองว่า เสด็จพระองค์ผ่อง เดินนำมาพร้อมกับหม่อมราชวงศ์กุหลาบ หม่อมของท่านและพระโอรส หม่อมเจ้าภาณุมาศ หรือ ท่านชายภาส เมื่อพระองค์เจ้าผ่องภาณุรังสีมาถึง พระองค์เจ้าทิวากรและหม่อมพจนิจก็รีบตรงเข้าไปรับด้วยความดีใจ
“เป็นความยินดียิ่ง ที่ชายผ่องให้เกียรติมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับลูกสาวของพี่ในค่ำคืนนี้” พระองค์เจ้าทิวากรเอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มใส เมื่อได้ต้อนรับแขกคนสำคัญของงานวันนี้เลยก็ว่าได้
พระองค์เจ้าผ่องภาณุรังสีเป็นพระสหายรุ่นน้องของท่าน ความเป็นมิตรที่แน่นแฟ้นของทั้งสองเริ่มต้นขึ้น ในช่วงที่ทั้งสองตามสมเด็จเจ้าฟ้าไปราชการที่มาเลเซีย ซึ่งเป็นระยะเวลารวมเกือบครึ่งปีจึงทำให้สนิทสนมกัน เมื่อพจนิจคลอดลูกสาว และพระองค์เจ้าผ่องภาณุรังสีก็มีลูกชาย จึงอยาก จะให้ทั้งสองราชสกุลเป็นทองแผ่นเดียวกัน ซึ่งพระองค์เจ้าทิวากรก็เห็นดีเห็นงามด้วย เพราะต้องการให้ลูกสาวได้คู่ครองที่คู่ควรสมฐานะกันอยู่แล้ว ทั้งสองจึงทำสัญญาใจให้ลูกสาวและลูกชายหมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่ยังเล็ก
“หนูวสีก็เสมือนลูกสาวคนหนึ่งของน้อง จะไม่มาได้อย่างไรล่ะเจ้าพี่”
พระองค์เจ้าทิวากรกับหม่อมพจนิจยืนยิ้มแก้มปริ...
“ผมไหว้เสด็จลุงกับหม่อมป้าครับ” หม่อมเจ้าภาณุมาศเอ่ยขึ้นบ้างด้วยเสียงนุ่มฟังสบายทักทายผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างนอบน้อม
“ไหว้พระเถอะชายภาส โก้สมกับตำแหน่งว่าที่อธิบดีกรมเชียวนะ” พระองค์เจ้าทิวากรเอ่ยด้วยความเอ็นดู ด้านหม่อมพจนิจก็ยืนมองร่างสูงสง่าผ่าเผยด้วยความชื่นชม คู่ควรกับลูกสาวของเธอแล้วอย่างยิ่ง
“เสด็จลุงตรัสชมเกินไป ผมเพิ่งเริ่มเข้ารับราชการที่กรมได้ไม่นาน คงอีกนานพ่ะย่ะค่ะกว่าจะได้เป็นอธิบดี”
ด้านคุณหญิงกุหลาบที่ยังไม่เห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้ ก็ชะเง้อหา “แล้วนี่ท่านหญิงวสีกับท่านชายต้นอยู่ไหนล่ะเพคะ”
หม่อมพจนิจมองไปอีกทาง เห็นเพชราวสีจูงแขนน้องชายกำลังเดินมาทางนี้พอดีก็ถอนใจโล่งอก
“นั่นไงคะ ยัยวสีมาพอดี”
ทั้งหมดมองตรงไปที่หญิงสาวที่โดดเด่นที่สุดในค่ำคืนนี้ ในชุดราตรีกระโปรงยาวสีขาวเล่นแสงจันทร์เป็นประกายระยิบระยับ ใบหน้าหวานแต่งแต้มสีสันอ่อนๆ ไม่ฉูดฉาดตาจนเกินงาม เธอก้าวเดินออกมาอย่างสง่าผ่าเผย ผมยาวนุ่มสลวยจับเป็นลอนใหญ่ พลิ้วไหวในทุกย่างก้าวที่เธอเดิน เหมือนมีแสงออร่าเปล่งประกายออกมา โดยที่หญิงสาวไม่รู้ตัว จนคนทั้งงานต้องหันไปมองเป็นตาเดียว โดยเฉพาะหม่อมเจ้าภาณุมาศ ที่มองพระคู่หมั้นของท่านไม่วางตา...
เมื่อพบหน้ากันครั้งแรก ก็ประทับใจในทุกส่วนของดวงหน้าหวาน คิ้วคมสองข้างรับกับจมูกโด่งได้รูป ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตงดงามคู่นั้นกำลังทอแสงเป็นประกายเย้ายวนชวนมอง แล้วไหนจะปากกระจับอวบอิ่มสีชมพูดั่งผลลูกท้อนั้นอีก ทันทีที่หล่อนยิ้มหวานละมุน บรรดาชายหนุ่มก็แทบละลายกลายเป็นไอศกรีมท่ามกลางอากาศร้อนจัด หรือแม้กระทั่งสาวๆ ด้วยกันเอง ก็ยังอดชื่นชมหล่อนไม่ได้
พระองค์เจ้าทิวากรยิ้มกริ่ม เมื่อเห็นสายตาของหม่อมเจ้าภาณุมาศยามมองลูกสาวของตน ก็รู้ได้ทันทีว่าท่านชายจะต้องมีใจเสน่หาต่อเพชราวสีเข้าแล้ว ท่านสะกิดแขนภรรยาให้เห็นปฏิกิริยาระหว่างหนุ่มสาวทั้งสอง หม่อม พจนิจมองไปที่ท่านชายก็เห็นว่าท่านแย้มยิ้ม ไม่ยอมละสายตาไปจากลูกสาวของเธอเลยแม้แต่น้อย ซึ่งต่างจากเพชราวสีที่ดูเหมือนจะยังมองไม่เห็นพระ-คู่หมั้นของตัวเอง จึงได้มองข้ามท่านไปเหมือนเป็นอากาศ
“ถวายบังคมฝ่าบาท กราบสวัสดีคุณอาหญิงค่ะ” เพชราวสีทำความเคารพแขกคนสำคัญ เช่นเดียวกับพลวริศที่อยู่ในวัยกำลังน่ารัก ไม่ต้องบอกก็รู้ความว่าควรจะต้องทำอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์
“ถวายบังคมฝ่าบาท กราบสวัสดีคุณอาหญิงเช่นกันครับ”
คุณหญิงกุหลาบมองใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักอย่างเอ็นดู อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปหยิกแก้มอ้วนตุ้ยอย่างเบามือ
“ตัวเล็กแค่นี้รู้จักสวัสดีกับเขาด้วยหรือจ๊ะ น่ารักน่าชังจริงๆ”
“หึ เห็นทีเจ้าลูกชายคนนี้คงจะได้เจ้าพี่มาเต็มๆ” เสด็จพระองค์ผ่องเย้า
พระองค์เจ้าทิวากรยิ้มขำ ได้แต่เฝ้ามองพัฒนาการของพลวริศอยู่อย่างห่วงใย หากเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริง เขาคงต้องปวดหัว เพราะสมัยหนุ่มๆ เขาเองก็ได้สร้างวีรกรรมแสบๆ ไว้เยอะใช่ย่อย ก่อนจะมาสยบให้กับผู้หญิงที่เพียบพร้อมอย่างพจนิจ
เมื่อพระองค์เจ้าผ่องภาณุรังสีมองลูกชายคนเล็กของพระองค์เจ้าทิวากรแล้ว ท่านก็ให้ความสนใจกับลูกสาวคนโตบ้าง แล้วก็ไม่ทำให้ผิดหวัง...ก่อนที่ท่านจะมาร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ เพชราวสีเพิ่งกลับมาถึงเมืองไทยไม่กี่วัน ก็มีคนเล่าลือถึงความงามของหญิงสาวแว่วเข้าหู คนในแวดวงสังคมชั้นสูงต่างก็อิจฉาลูกชายของท่านกันเป็นแถว นับว่าเป็นบุญของภาณุมาศแล้วที่จะได้ภรรยางามๆ แถมยังมีฐานะที่คู่ควรกันไว้ประดับบารมี
“อาไม่ได้เจอหนูวสีนานหลายปี โตแล้วงามจนอาจำแทบไม่ได้”
“เป็นพระกรุณาเพคะ” เธอยกมือไหว้อ่อนช้อยอีกครั้ง
“วสี นี่ท่านชายภาส พระคู่หมั้นของลูกไงจ๊ะ”
เพชราวสีได้ยินพระมารดาแนะนำเช่นนั้น ก็หันไปมองพระคู่หมั้นที่ยืนอยู่ข้างๆ กันกับเสด็จพ่อของท่าน เป็นครั้งแรกที่เธอได้มองหน้าเขาเต็มสองตา เธอพยายามระงับความตื่นเต้น อาจจะเป็นเพราะเขินอายกับสายตาที่หม่อมเจ้าภาณุมาศมองมา และรับรู้ได้ว่าเขาสนใจเธอ...
*************************
เมื่อผู้ใหญ่เห็นว่าทั้งสองได้พบกันแล้ว พระองค์เจ้าทิวากรจึงเชิญพระองค์เจ้าผ่องภาณุรังสีและหม่อมราชวงศ์กุหลาบไปนั่งในที่รับรองที่จัดเตรียมไว้ เวลานี้จึงเหลือเพียงภาณุมาศและเพชราวสียืนคุยกันอยู่สองคน ก่อนที่เธอจะเชิญเขาเข้าไปในงานตามลำดับ
ระหว่างนั้นภาณุมาศก็ไม่ปล่อยให้เสียโอกาส ยอมรับว่าเขาถูกใจเพชราวสีตั้งแต่แรกพบ และอยากจะทำความรู้จักกับเจ้าหล่อนให้มากกว่านี้ ยิ่งรู้จักกันเร็วเท่าไรยิ่งดี เขาจึงพยายามชวนเธอสนทนาด้วย ทำให้เพชราวสีพลอยรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
“ได้ข่าวว่าน้องไปอยู่อังกฤษตั้งแต่ยังเล็ก เป็นยังไงบ้างคะ อยู่ที่นั่นสบายดีหรือเปล่า”
“สบายดีเพคะ แต่เหงามากเลย”
“ไม่เอาสิ เราเป็นคู่หมั้นกัน กำลังจะแต่งงานกันแล้วแท้ๆ น้องไม่จำเป็นต้องใช้คำทางการกับพี่ก็ได้” เขาบอกยิ้มๆ ไม่อยากให้เธอใช้ราชาศัพท์กับเขา ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกห่างเหิน
“จะดีหรือเพคะ” เพชราวสียังลังเล เริ่มมองเขาต่างออกไปจากที่คิด
“ดีสิ... เรามาคุยเรื่องของน้องต่อดีกว่า” ภาณุมาศพยักหน้าจริงใจ
เพชราวสีมองพระคู่หมั้นอย่างปลื้มปีติ เขาสุภาพและไม่ถือตัว ไม่เหมือนอย่างที่สุภาวดีพูดเลยสักนิด
“น้องก็น่าจะมีเพื่อนเยอะนะ ทำไมบอกเหงา” เขาถามต่อ
“ก็มันเหงาจริงๆ นี่คะ ยิ่งช่วงฤดูหนาว หิมะตกขาวโพลนทั่วถนนในลอนดอน มันเป็นช่วงเทศกาลวันหยุดยาวของชาวตะวันตก ที่เรียกว่าวันคริสต์มาสน่ะค่ะ เพื่อนๆ ของน้องก็จะต้องกลับไปเยี่ยมบ้านกัน แต่น้องบ้านอยู่ไทยนี่คะ อย่างมากเลยทำได้แค่ฉลองกับคุณครูที่โรงเรียน แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เหงาได้ยังไง”
“อืม...พี่ชักจะเข้าใจน้องแล้วละ” ภาณุมาศคิดตาม นึกถึงสมัยตอนที่ตัวเองเรียนปริญญาโทอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ใครๆ ก็มักจะมองว่าเขาเป็นคนมีเพื่อนฝูงมากมาย ซึ่งมันก็ใช่ แต่พอถึงช่วงเทศกาลทีไร จะถามหาเพื่อนที่ไหน...ทุกคนก็กลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวกันหมด
“น้องรู้มาว่าพี่ชายไปเรียนต่อโทที่สวิส ที่นั่นเป็นยังไงบ้างคะ สวยอย่างที่เขาเล่าลือกันหรือเปล่า เห็นว่าอาคารสวยๆ ที่ลอนดอนก็ยังเทียบไม่ติดเลย”
“สวยมากเลยล่ะ สวยทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ทะเลสาบ หรือว่าแม่น้ำ เขาถึงได้พูดกันไงว่าสวิสคือเมืองในฝัน สวรรค์ในขุนเขา”
เพชราวสีเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น
“ดีจังเลยค่ะ น้องเคยเห็นแต่ในรูป ในหนังสือท่องเที่ยว ถ้าเกิดได้ไปสักครั้งก็คงดี”
“เอาไว้เราเสกสมรสกันก่อน แล้วพี่จะพาน้องไปเที่ยวสวิสเอง ไปทำความรู้จักกับเพื่อนๆ ของพี่ด้วย”
เพชราวสียิ้มน้อยๆ ได้ยินคำว่า ‘เสกสมรส’ เธอก็หน้าแดงขึ้นมา
“น้องอยากทานอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวพี่จะไปเอามาให้”
“อย่าลำบากเลยค่ะ น้องไปเอาเองดีกว่า” เพชราวสีพูดอย่างเกรงใจ
“ไม่ได้ลำบากเสียหน่อย” เขาหรี่ตามองเธอ รู้ทันว่าคนตัวเล็กยังมีกำแพงกับเขา แต่คิดแล้วก็เป็นธรรมดาที่เธอจะรู้สึกเช่นนั้น เพราะทั้งเขาและเธอก็ยังไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน และนี่ก็เป็นการพบกันครั้งแรกด้วย คงจะเร็วไปที่เธอจะรู้สึกกับเขา อย่างที่เขารู้สึกกับเธอในเวลาอันรวดเร็ว
“ถ้าอย่างนั้น น้องขอขนมเกสรลำเจียกก็ได้ค่ะ” เพชราวสียอมบอกความต้องการของตนเอง เพราะไม่อยากขัดใจเขา
ภาณุมาศได้ยินเช่นนั้นก็แปลกใจ
“น้องโตแล้ว ยังจะกินขนมหวานอีกเหรอ พี่ได้ข่าวว่าค่านิยมของผู้หญิงสมัยนี้ เขาไม่นิยมให้ตัวเองอ้วนหรอกนะ”
เพชราวสีลอบอมยิ้ม “คุณแม่บอกว่าน้องผอมจะตาย ทานแค่นิดๆ หน่อยๆ คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“ก็ได้จ้ะ พี่ตามใจน้อง” ภาณุมาศยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของหญิงสาว เพียงแค่ได้พูดคุยกันไม่กี่คำ แต่ความรู้สึกกลับบอกว่าเหมือนรู้จักเธอมานานหลายปี...
ตอนที่เขาเป็นหนุ่มน้อย พระบิดาเคยเล่าเรื่องของเพชราวสีตอนเด็กๆ ให้ฟังว่าเธอเคยเก็บลูกนกที่พลัดตกจากรังมารักษาจนหาย แต่เพราะความประมาทเลินเล่อ ลูกนกตัวนั้นเลยถูกงูคาบไปกินก่อนที่เธอจะคืนมันสู่อ้อมอกของแม่นก พอรู้ว่าลูกนกที่เฝ้าประคบประหงมได้ตายไปแล้ว เธอก็ร้องไห้ทั้งวัน เฝ้าแต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง... แต่เรื่องที่น่าขำคือ พอเพชราวสีเห็นขนมเกสรลำเจียกที่พระมารดาของเธอนำมาปลอบขวัญ เธอก็หยุดร้องและกินขนมนั้นโดยทันที นึกถึงทีไร ภาณุมาศก็อดขำไม่ได้ เพชราวสีเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา แม้จะเป็นสาวสมัยใหม่ แต่ก็เป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม งามทั้งกายและใจ พระบิดาช่างมีสายตาเฉียบแหลม เลือกผู้หญิงให้ถูกใจจริงๆ
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.พ. 2565, 15:05:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.พ. 2565, 15:05:29 น.
จำนวนการเข้าชม : 259
<< บทที่ 6 หญิงสาวที่ทุกคนรอคอย (100%) | บทที่ 7 พระคู่หมั้นผู้สูงศักดิ์ (70%) >> |