วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:

เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน

หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก

ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ

. . . . . . . . . . . . . .

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ


***************************

นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม

***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***

1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ

2.ร้านออนไลน์

3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks

4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee

หนังสือพร้อมส่ง

คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า

สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา

ตอน: บทที่ 6 หญิงสาวที่ทุกคนรอคอย (100%)

ท่ามกลางสวนสีเขียวอันร่มรื่นที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และดอกไม้ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ มีศาลาทรงจักรทิพย์สีขาวหลังใหญ่ เป็นหนึ่งในสถานที่อันโปรดปรานของเพชราวสี

เมื่อไม่ได้ออกไปไหน เธอก็มักจะมานั่งเล่นที่ตรงนี้ ใช้เวลาว่างอ่านหนังสือ นั่งร้อยมาลัย หรืออย่างเช่นวันนี้เธอไม่มีอะไรต้องทำอยู่แล้วเลยคิดอยากจะลองทำลูกชุบ หนึ่งในขนมไม่กี่อย่างที่เธอไม่ค่อยถนัด แต่ในใจก็คิดว่าต้องหัดทำไว้ ฝึกไปเรื่อยๆ สักวันก็คงชำนาญเอง

ในขณะที่เพชราวสีกำลังฝึกปั้นผลลูกท้ออยู่นั้น พระมารดาของเธอก็เดินเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมพิมที่เดินตามหลังมาอย่างนอบน้อม

“ทำอะไรอยู่จ๊ะคนเก่ง”

เพชราวสียิ้มปริ่ม วางลูกท้อที่ปั้นครึ่งๆ กลางๆ ไว้ ก่อนจะล้างมือในชามแก้วแล้วเช็ดมือกับผ้าสะอาด

“ลูกกำลังหัดปั้นลุกชุบอยู่ค่ะ ถึงจะปั้นไม่สวยมาก แต่รับรองว่าทานได้แน่”

หม่อมพจนิจเห็นลูกท้อที่ลูกสาวปั้นหน้าตาคล้ายรูปหัวใจบูดเบี้ยว ก็ส่ายหน้าเอ็นดู ลูกสาวคนนี้มักจะมองโลกในแง่ดีตลอด เมื่อเห็นเพชราวสีก็เหมือนย้อนมองตัวเองตอนสาวๆ ทั้งรูปร่างหน้าตา ฝีมือปลายจวักเลิศรส ลูกสาวคนนี้ก็ได้เธอมาเต็มๆ

นอกจากความเป็นกุลสตรีชาววังที่ทำให้เธอภาคภูมิใจแล้ว เพชราวสีก็ยังเป็นสาวสมัยใหม่ มีความคิดความอ่านที่ก้าวหน้า และมีทัศนคติที่ดีอยู่เสมอ จนบางครั้งหม่อมพจนิจก็อดเป็นห่วงไม่ได้ การที่ลูกสาวมักจะมองทุกอย่างสวยงามไปหมด ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป โลกใบนี้มีอะไรให้เพชราวสีต้องเรียนรู้อีกมากมาย หากหล่อนทำคุณถูกคนก็ถือว่าโชคดีไป แต่เมื่อไรที่ทำดีกับคนที่ไม่เคยเห็นค่า ก็กลัวว่าความดีและความเมตตาที่เพชราวสีมอบให้ จะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองเข้าสักวัน...

“วสี นี่พิม ต้นห้องของลูก”

“หม่อมฉัน พิม กราบถวายเพคะท่านหญิง” พิมที่นั่งอยู่ต่ำกว่า ประนมมือ ก้มศีรษะหมอบกราบเจ้านายพระองค์ใหม่อย่างอ่อนหวาน

“ไม่ต้องกราบไหว้หรอกจ้ะ พิมน่าจะแก่กว่าฉันอยู่หลายเดือน ถือว่าอาวุโสกว่าฉัน ลุกขึ้นมาเถอะ” เพชราวสียิ้มให้อย่างมีเมตตา

พิมยิ้มหวาน ประทับใจที่เพชราวสีไม่ถือยศถือศักดิ์อย่างที่คิด

หม่อมพจนิจยิ้มออก เมื่อเห็นลูกสาวของเธอปฏิบัติเช่นนั้นต่อบ่าวไพร่ เพชราวสีมักจะปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียม แต่สำหรับเธอที่เติบโตมาในวังตั้งแต่เด็ก ต้องดูตามความเหมาะสม จะไม่ปฏิบัติหรือให้ความใกล้ชิด สนิทสนมกับใครพร่ำเพรื่อ ส่วนสวามีนั้น เป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง เพราะถือว่าตนเกิดมาในราชสกุลแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เสด็จจะใส่ใจเฉพาะคนที่เห็นว่าสมควรเท่านั้น ส่วนผู้ที่อยู่ต่ำกว่าก็ไร้ประโยชน์ที่จะใส่ใจ

“ถ้าอย่างนั้นแม่ไปก่อนดีกว่า ปล่อยให้สาวๆ ได้คุยกันไป”

เพชราวสีพยักหน้ายิ้มๆ ให้พระมารดา ตอนนี้เธอมีเพื่อนแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องห่วงว่าเธอจะเหงาอีกต่อไป

คล้อยหลังหม่อมพจนิจผละออกไปแล้ว เพชราวสีก็เริ่มสนทนากับ พิมก่อน เธอตื่นเต้นที่จะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่

“พิมน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับฉัน ฉะนั้นเราสองคนมาเป็นเพื่อนกันนะ”

“ท่านหญิงตรัสจริงหรือเพคะ” พิมตาลุกอึ้ง ไม่คิดว่าคนอย่างหม่อมเจ้าเพชราวสี ที่ใครๆ ต่างก็หมายตาว่าเป็นดอกฟ้าสูงส่ง จะลดตัวลงมาคบหากับลูกชาวสวนอย่างเธอ

เพชราวสียิ้มหวาน บางคนอาจจะมองว่าแปลก เช่นพระบิดาของเธอที่เป็นคนถือเรื่องยศศักดิ์มาก หากท่านรู้เข้าคงไม่พ้นถูกตำหนิจนหน้าชา แต่สำหรับเธอแล้ว ไม่ว่าจะยศไหนชนชั้นอะไรก็ไม่สำคัญ เพราะทุกคนนั้นล้วนเท่าเทียมกันเสมอ

ความคิดนี้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เธอจำความได้ ในเมืองผู้ดีที่ว่าเจริญ แม้แต่คนเข็ญใจข้างถนน ก็ยังได้รับผ้าห่มแจกจ่ายจากรัฐบาล และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ทำให้เธอรู้ว่าความเป็นคนนั้นสำคัญเช่นไร เธอเองก็เป็นคนปกติทั่วไป ไม่ได้แตกต่างจากใครเลย

“จริงสิ” เพชราวสีพยักหน้า “ฉันเพิ่งกลับจากอังกฤษ มีเพื่อนน้อยมาก ยังไม่รู้จักใครเท่าไรเลย”

“ตกลงเพคะ” พิมตอบโดยไม่ต้องคิด

“ถ้าเป็นเพื่อนกันแล้ว ห้ามใช้ราชาศัพท์กับฉัน ตกลงไหม”

พิมกะพริบตามองอึ้ง “มันจะดีหรือเพคะ”

“หรือพิมไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉัน ราชาศัพท์ปวดหัวจะตาย บาง ครั้งฉันก็ฟังไม่รู้เรื่องหรอกนะ” เธอพูดกลั้วหัวเราะ อาจจะเพราะที่ผ่านมาใช้ภาษาอังกฤษเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงเริ่มจะหลงลืมราชาศัพท์อันแสนจะยุ่งยากไปบ้างแล้ว

“การได้เป็นเพื่อนท่านหญิง เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของพิมเลยค่ะ” พิมปากหวานใส่ ต้องการจะให้เพชราวสีรักและเอ็นดูเธอมากขึ้น “ถ้าหากเป็นเพื่อนกันแล้ว พิมขอถามอะไรท่านหญิงหน่อยได้ไหมคะ”

พูดออกไปแล้วก็ยังอ้ำๆ อึ้งๆ ที่จะถามออกไป

“คือ...พิมอยากจะถามเรื่องท่านชายภาสน่ะค่ะ”

“พี่ชายภาส? มีอะไรหรือจ๊ะ” เพชราวสีกดเสียงต่ำ

“ท่านหญิงเป็นพระคู่หมั้นของท่านชายภาสใช่ไหมคะ”

“ใช่จ้ะ ฉันกับพี่ชายภาสเราเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยเห็นหน้ากันเลยสักครั้ง เคยเห็นแต่ในรูปภาพเท่านั้นเอง” เพชราวสีเล่ายิ้มๆ ในประโยคท้าย

“พิมอยากทราบว่าท่านชายภาสเป็นคนยังไง ลูกเต้าเหล่าใคร นิสัยเป็นยังไงบ้าง เล่ามาให้หมดเลยนะคะ” พอเห็นเพชราวสีไม่ว่าอะไร พิมก็ได้ใจถามรัวจนลืมตัว

คราวนี้เพชราวสีแปลกใจ ดูพิมอยากจะรู้เรื่องพระคู่หมั้นของเธอมากเป็นพิเศษ

“ถามฉันเสียเยอะเชียว พิมอยากจะรู้ไปทำไม เดี๋ยวพิมก็ต้องได้เจอท่านอยู่แล้ว”

“เถอะนะคะ ในฐานะที่พิมเป็นคนดูแลใกล้ชิด แถมยังพ่วงตำแหน่งเพื่อนท่านหญิงอีก พิมก็ควรที่จะรู้จักพระคู่หมั้นของท่านหญิงเอาไว้บ้าง” พิมอ้าง

เพชราวสีมองพิม เห็นหล่อนทำหน้าออดอ้อนก็ไว้ใจ พิมคงจะเป็นห่วงเธอจึงได้ถามเอาไว้เป็นข้อมูล ส่วนเรื่องของพระคู่หมั้นนั้น เธอก็ไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องปกปิดอะไรอยู่แล้ว

“ก็ได้จ้ะ” หญิงสาวยิ้มอ่อนก่อนจะเล่าว่า...“พี่ชายภาส หรือหม่อมเจ้าภาณุมาศ เป็นพระโอรสของพระองค์เจ้าผ่องภาณุรังสี สิรินดิเรกฤทธิ์...พระสหายสนิทของเด็จพ่อ”

“แล้วนิสัยล่ะคะ” พิมถามต่อ

“เรื่องนั้นฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ เพราะฉันเองก็ไม่เคยเจอท่านเลย แต่จากที่คุณเเม่เคยเล่าให้ฟัง พี่ชายเป็นคนจิตใจดี มีวาทศิลป์ เป็นคนคุยสนุก เห็นว่ายามว่างก็ชอบไปสปอร์ตคลับ ท่านจึงมีเพื่อนเยอะ”

เมื่อได้ฟัง ดวงตาของพิมก็มีประกายระยิบระยับ ลึกๆ เธอก็คิดอิจฉาในวาสนาของเพชราวสีที่จะได้แต่งงานกับท่านชายผู้สูงศักดิ์ ซึ่งแตกต่างกับเธอ ที่คิดจะมาเป็นคุณหญิงคุณนายในวังราชสาสน์ แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะเสด็จพระองค์ชายดันไม่มีโอรสองค์โตให้เธอไต่เต้า พอคิดมาถึงตรงนี้ เธอคงไม่โง่อยู่เป็นคนรับใช้ที่นี่ไปจนวันตายหรอก เพียงแค่รอเวลาให้ข่าวที่ท่าเตาซาลงไป เมื่อถึงเวลานั้นเธอก็จะจากที่นี่ไปหาหนทางใหม่ที่ดีกว่า

“ยัยวสี!”

น้ำเสียงแสนคุ้นเคยลอยมาแต่ไกล... เพชราวสีหันไปมอง ยิ้มแก้มปริเมื่อเห็นสุภาวดีในชุดกระโปรงสีชมพูบานเย็น ผมสีน้ำตาลเข้มดัดลอนดูทันสมัย ทั้งกระเป๋าและรองเท้าที่ประดับอยู่บนตัวหล่อนทุกชิ้นล้วนเป็นของราคาแพง บ่งบอกถึงรสนิยมหรูหราของหญิงสาว

“สุภาวดี” เพชราวสีดีใจไม่น้อย โผกอดเพื่อนรักด้วยความคิดถึง

ทั้งเพชราวสีและสุภาวดี เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนสุภาวดีเป็นเพื่อนบ้านของเธอ แต่เพราะบิดาของสุภาวดีเป็นนักการทูต ทำให้ต้องย้ายบ้านย้ายเมืองอยู่บ่อยครั้ง แต่นั่นก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ของสองสาว ตลอดเวลาที่เพชราวสีเรียนอยู่ที่อังกฤษ เธอก็มักจะเขียนจดหมายโต้ตอบกับสุภาวดีไปมา และไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลกันแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำลายมิตรภาพที่มั่นคงของทั้งสองสาวลงได้

ยิ่งล่าสุดพอบิดาของสุภาวดีย้ายกลับมาทำงานในกระทรวง สุภาวดีก็ตามท่านกลับมาด้วย และคิดจะลงหลักปักฐานที่เมืองไทยบ้านเกิดถาวร ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีมากสำหรับเธออยู่แล้ว แต่ที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นคือท่านไพรัฐ บิดาของสุภาวดี เห็นว่าลูกสาวเป็นสาวหัวนอกสุดโต่ง ชอบทำตัวก๋ากั่นผิดวิสัยกุลสตรีสยาม จึงส่งสุภาวดีมาร่ำเรียนวิชากุลสตรีไทยที่วังราชสาสน์กับหม่อมพจนิจ ด้านสุภาวดีนั้นก็เต็มใจเอามากๆ เพราะเธอก็หวังว่าจะได้เจอเพื่อนรักมากขึ้นแน่นอน ถึงแม้ว่าตัวเธอจะไม่ชอบทำอาหารหรือร้อยมาลัยเลยก็ตาม...

“พอฉันรู้ข่าวจากหม่อมป้า ฉันก็รีบมาหาเธอทันทีเลยนะรู้ไหม”

สุภาวดีบอกด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะหันไปเห็นหญิงสาวแปลกหน้า ที่นั่งพับเพียบอยู่บนพื้นด้านหลังเพชราวสี

“แล้วนี่ใครล่ะ บ่าวคนใหม่รึ ทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย”

“อ๋อ นี่พิมจ้ะ เป็นต้นห้องของฉันเอง พิม นี่คุณสุภาวดี เพื่อนสนิทของฉัน” เสียงหวานแนะนำคนของเธอให้รู้จัก

“พิมหน้าตาออกสะสวยขนาดนี้ น่าจะไปเป็นดารา นางรำมากกว่าว่าไหม” สุภาวดีคิดอย่างสาวรุ่นใหม่ ที่เห็นว่าอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่มีเกียรติ และได้รับการยกย่องมากในต่างประเทศ

“หากคุณแม่ท่านรู้ว่าคนในปกครองไปเต้นกินรำกิน มีหวังท่านได้ฉีกอกพิมแน่”

“ขนาดนั้นเชียว” สุภาวดีกระหยิ่มยิ้มย่อง สุดท้ายเธอก็กลั้นขำเอา ไว้ไม่อยู่

“ในเมื่อคุณสุภาวดีมาแล้ว พิมขอตัวก่อนนะคะ” พิมเห็นทั้งสองสาวกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน ก็ไม่อยากอยู่ให้เสียบรรยากาศ จึงขอปลีกตัวออกไปเงียบๆ

สุภาวดีมองพิมจนลับตาไป เธอก็ขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อนสาวอีกนิด

“ฉันได้ข่าวมาว่า เมื่อไหร่ที่หม่อมเจ้าเพชราวสีกลับมาจากอังกฤษ ก็จะเข้าพิธีเสกสมรสกับท่านชายภาสทันที มันเรื่องจริงหรือเปล่า” สุภาวดีถามท่าทางร้อนใจ

“ก็คงจริงละมั้ง” เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“คุณพระ!” มือบางทาบอกตะลึง “หน้าก็ยังไม่เคยเห็น รักก็ไม่ได้รัก เจอกันไม่เท่าไรก็จะให้แต่งงาน เสด็จลุงกับหม่อมป้าคิดอะไรกันอยู่ หากเป็นไปได้ก็น่าจะให้ศึกษาดูใจกันก่อนสักปีสองปี แล้วค่อยมาคุยกันเรื่องแต่งอีกทีก็ได้ ทำแบบนี้เท่ากับมัดมือชกกันชัดๆ”

“พวกท่านคงคิดว่าให้เวลาฉันกับพี่ชายภาสได้มีโอกาสลองดูใจกันมาพอสมควรแล้วมั้ง” เพชราวสีพูดไปตามที่รู้สึก

“เรื่องนั้นฉันก็รู้อยู่แล้ว ว่าตั้งแต่เด็กจนโตเธอก็มีแต่ท่านชายอยู่ในความทรงจำเพียงผู้เดียว แต่ภาพในความคิดกับความเป็นจริงที่มีท่านมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ มันต่างกันนะ”

“ฉันไม่รู้หรอกว่าความรักคืออะไร แต่ในเมื่อเราเป็นลูกก็เพียงแค่ฟัง และทำในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ...”

“แล้วหัวใจเธอเล่า... บอกตามตรงว่าฉันไม่อยากให้เธอแต่งกับท่านชายภาสสักเท่าไรเลย”

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เมื่อสุภาวดีเปรยขึ้นมาอย่างนั้น เป็นธรรมดาที่เพชราวสีจะต้องกังวล

“ก็ฉันได้ยินคนเขาพูดกันว่า ท่านชายมีเสน่ห์แพรวพราว ไปที่ไหนสาวเจ้าก็พากันรักพากันหลง ฉันละกลัวเหลือเกินว่าถ้าเธอแต่งกับท่านไป คงไม่พ้นต้องเจ็บช้ำน้ำใจเพราะเมียน้อย เมียบำเรอ”

เพชราวสียอมรับว่าลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท การที่เธอจะแต่งงานกับใครสักคนไม่ใช่แต่งเพราะรักเท่านั้น แต่เขาจะต้องไม่ทำให้เธอชอกช้ำใจด้วย

“อย่าเพิ่งไปกลัวอะไรในสิ่งที่มันยังมาไม่ถึงเลย เอาไว้ให้ฉันได้เจอท่านเสียก่อน ถึงเวลานั้นค่อยตัดสินใจกันก็ยังไม่สาย”

“ก็ได้ๆ แต่เพราะฉันรักเพื่อนหรอกนะ ถึงได้เตือนเอาไว้”

สุภาวดียอมจำนน เธอเองก็ไม่อยากทำให้เพชราวสีไม่สบายใจไปมากกว่านี้ แต่เพราะกิตติศัพท์ของหม่อมเจ้าภาณุมาศหนาหูเหลือเกินจากเพื่อนคนไทยในสวิตเซอร์แลนด์ ที่บอกว่าท่านเป็นคนคารมคมคาย บริหารเสน่ห์เก่ง โดยเฉพาะกับเพศตรงข้าม ฟังเท่านั้นสุภาวดีก็รีบตั้งแง่ไว้ก่อน แล้วผู้ชายที่มียศศักดิ์ขนาดนั้นเรื่องบ้านเล็กบ้านน้อยยิ่งเป็นของคู่กัน กังวลแทน กลัวว่าเพชรที่ว่างามล้ำ จะกลายเป็นกรวดไปตั้งแต่ยังไม่ได้หยิบขึ้นมามอง





หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.พ. 2565, 14:34:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.พ. 2565, 14:34:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 217





<< บทที่ 6 หญิงสาวที่ทุกคนรอคอย (50%)   บทที่ 7 พระคู่หมั้นผู้สูงศักดิ์ (40%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account