วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:

เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน

หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก

ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ

. . . . . . . . . . . . . .

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ


***************************

นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม

***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***

1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ

2.ร้านออนไลน์

3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks

4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee

หนังสือพร้อมส่ง

คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า

สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา

ตอน: บทที่ 7 พระคู่หมั้นผู้สูงศักดิ์ (100%)

ในเวลาเดียวกันนั้น ทางฟากเพชราวสี เธอเดินมาทางด้านหลังของงาน ซึ่งห่างไกลจากเสียงดังและความวุ่นวาย ลึกเข้าไปอีกจะเป็นส่วนของครัวประกอบอาหารที่ปิดไฟเงียบ ไม่มีใครอยู่ข้างในแล้ว เนื่องจากทุกคนต่างก็ออกไปอยู่แถวบริเวณจัดงานกันหมด

อันที่จริงเพชราวสีไม่ได้ตั้งใจจะเดินผ่านมาบริเวณนี้ แต่เธอเผอิญเห็นหลังคนแว่บๆ ท่าทางแปลกๆ ผ่านหน้าไป ด้วยความสงสัยจึงตามมา แล้วได้ยินเสียงของตกดังอยู่ใกล้ๆ

เท้าเล็กหยุดชะงัก เธอหันไปมองสำรวจรอบๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจย่างเท้าเข้าไปใกล้ๆ ห้องเครื่อง ทุกครั้งที่มีเรื่องค้างคาใจ เพชราวสีต้องรู้ให้ชัดแจ้งเสมอ หญิงสาวไม่ใช่คนที่กลัวอะไรง่ายๆ เพียงเพราะสายลมเย็นต้องผิวให้ใจหวิว หรือแม้แต่ความมืดที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัว เธอก็ไม่เคยหวั่น

“ท่านหญิง มาทำอะไรตรงนี้เพคะ” เสียงต้อยดังขึ้นจากด้านหลัง เพชราวสีหันไปมองก็โล่งอก

“พอดีฉันได้ยินเสียงของตกก็เลยเดินเข้ามาดู”

ต้อยชะโงกหน้าเข้าไปในครัวมืดๆ ไม่เห็นอะไร

“คงจะเป็นพวกแมวละมั้งเพคะ”

เพชราวสีนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เธอได้ยินเสียงของตกตามด้วยเสียงฝีเท้าของใครบางคน จึงค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นไม่ใช่แมว แต่เป็นคน แต่ถ้าเป็นคนของวังทำไมไม่เปิดไฟให้สว่าง...

หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่ก็ชะงัก...หรือจะเป็นขโมย!

ไวเท่าความคิด เธอหยิบท่อนไม้ที่วางอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาไว้ป้องกันตัว แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องเครื่องอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มือเล็กจะรีบดันสวิตช์ไฟขึ้น ทันใดนั้นแสงไฟก็สว่างจ้าเผยให้เห็นใครบางคนนั่งคุดคู้หลบอยู่หลังแคร่ไม้สัก

“นั่นใครน่ะ!”

แม้จะรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย แต่เพชราวสีก็ค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง ในมือยังกำไม้ไว้แน่น เมื่อเข้าไปใกล้จนสามารถเห็นหน้ากันได้...จังหวะนั้นเองผู้ชายคนนั้นก็หันหน้ามามอง เพชราวสีก็ต้องตกใจ เธอจดจำใบหน้าของชายตรงหน้าได้แม่นยำ จู่ๆ มือที่กำไม้อยู่ก็อ่อนลง

เพชราวสีมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น เธอรับรู้ได้ถึงความเศร้า ความอ้างว้าง...เดียวดาย...มันเหมือนเขากำลังทุกข์มาก ทุกข์ทั้งกายและใจ แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกสะเทือนใจยิ่งขึ้น คือชายผู้นั้นแม้แต่เสื้อผ้าก็มอมแมมอนาถา ผมเผ้าก็ไม่น่าดู ซ้ำเขายังดูหวาดกลัวเอามากๆ เมื่อเธอขยับเข้าไปใกล้ เขาก็จะขยับหนีทีละน้อย แล้วก็ก้มหน้ากินเศษข้าวที่เหลือจากภายในงานอย่างหิวโหย นั่นยิ่งทำให้เพชราวสีหดหู่ใจมากขึ้น

“ขโมย! เจ้าข้าเอ๊ย ขโมยขึ้นวัง” ต้อยที่ได้แต่มองอยู่ไกลๆ ใจคอไม่ดี ร้องตีโพยตีพายแหกปากเสียงดังลั่น

“ใจเย็นๆ พี่ต้อย ดูดีๆ เขาไม่ใช่ขโมยเสียหน่อย” เพชราวสีหันไปปราม

“ขโมยเศษข้าวจากครัวเรากิน ไม่ให้เรียกว่าขโมยแล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะเพคะ”

“จริงสิ” เพชราวสีสะดุดกับคำว่าเศษข้าว ถ้าเขาหิวมากขนาดนั้น อาหารดีๆ ก็ตั้งเรียงรายอยู่บนโต๊ะตั้งมากมาย ทำไมต้องเลือกกินของเหลือด้วย...

นั่นแสดงว่าเขาไม่ใช่คนบ้า เขายังสติดี ถึงได้รู้ว่าสามารถกินของเหลือได้โดยไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน

“เศษข้าวถือว่าเป็นของเหลือที่คนไม่กินแล้ว จะบอกว่าเขาขโมยของเราได้ยังไง”

เพชราวสีหันกลับไปมองชายหนุ่มและยิ้มให้ ก่อนจะคุกเข่าลงไปพูดคุยด้วยใกล้ๆ อย่างเป็นมิตร

“นายชื่ออะไรจ๊ะ จำฉันได้ไหม คนที่นายเจอเมื่อหลายวันก่อนนั่นไง” เพชราวสีเอ่ยถาม แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบ...ต้อยเห็นดังนั้นก็ยิ่งโมโห

“ท่านหญิงถามก็ตอบไปสิ ท่านมีเกียรติ ลดตัวลงมาพูดด้วยยังไม่สำนึกบุญคุณอีก”

“ไม่เป็นไรพี่ต้อย” เพชราวสีไม่อยากใส่ใจ เธอถามซ้ำอีกรอบ “นายชื่ออะไร บอกฉันได้ไหม บ้านอยู่ที่ไหน เป็นคนแถวนี้หรือเปล่า”

เงียบ...

“ยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิดถามเท่าไรก็ไม่ตอบ จะหยิ่งไปถึงไหนกันพ่อ” ต้อยเท้าสะเอวมองตาขวาง

อาการนิ่ง ไม่พูด ไม่ตอบแบบนี้ คิดได้อยู่อย่างเดียวเท่านั้น...

“หรือเขาจะเป็นใบ้” เพชราวสีนึกถึงตอนที่พบกันครั้งแรก วันนั้นเขาก็ไม่พูดไม่จาเหมือนกัน

“เป็นใบ้หรือเพคะ!” ต้อยแผดเสียงดัง

ยิ่งมองเพชราวสีก็ยิ่งสงสาร เป็นคนยากไร้ไม่พอ ยังเป็นใบ้พูดไม่ได้ด้วยหรือนี่...

“ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่านายชื่ออะไร ฉันขอเรียกนายว่านายใบ้ ก็อย่าถือสากันเลยนะ”

น้อยหันมามอง ผู้หญิงคนนี้แปลกประหลาดกว่าทุกคนที่เขารู้จัก นอกจากเธอจะสวยมากแล้ว เธอยังจิตใจดี พยายามพูดคุยกับเขาอย่างที่คนอื่นไม่เคยทำ แต่เพราะดีเกินไป น้อยจึงรู้สึกหวาดกลัว เพราะทุกครั้งที่มีใครพยายามพูดดี ทำดีด้วย จนเขาตายใจ สุดท้ายก็ไม่แคล้วถูกกลั่นแกล้งอีกตามเคย 

“พี่ต้อยไปเตรียมเสื้อผ้าผู้ชายมาชุดหนึ่ง ฉันจะให้นายใบ้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่”

“ท่านหญิงตรัสจริงหรือเพคะ มันเป็นคนแปลกหน้า เราไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า มันจะมาดีมาร้ายเราก็ไม่รู้ หม่อมฉันว่าไล่มันไปไม่ดีกว่าหรือเพคะ” ต้อยหน้าตื่น ค้านเพชราวสีหัวชนฝา

“เชื่อสัญชาตญาณฉันสิ เขาก็เป็นคนปกติ ไม่มีอะไรหรอก”

น้อยมองเพชราวสี เห็นถึงความจริงใจของเธอ จากที่หวาดกลัวก็กลับเริ่มรู้สึกปลอดภัย เขากล้าที่จะลุกไปทำอะไรๆ ตามคำสั่งของเธอ

หญิงสาวไล่สายตาสังเกตชายหนุ่มจากด้านหลังตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เห็นเขาเดินเท้าเปล่า ไม่มีแม้แต่รองเท้าจะสวมใส่ คิดแล้วก็ยิ่งสงสาร เพราะเธอไม่เคยลำบาก ไม่เคยรู้ถึงการไม่มีรองเท้าใส่มันเป็นเช่นไร เธอเกิดมาสุขสบายไม่เคยต้องขัดสน เมื่อเห็นเพื่อนร่วมโลกไม่ได้รับความเท่าเทียม เธอจึงอดเศร้าไม่ได้



***********************



ใช้เวลาสักพัก ชายหนุ่มก็เดินออกมาในเสื้อผ้าชุดใหม่ พออาบน้ำขัดขี้ไคลจนสะอาดเกลี้ยงเกลา ใบหน้าก็กลับมาหล่อเหลาอีกครั้ง ผมเผ้าที่เคยดูกระเซอะกระเซิง พอสางเก็บให้เรียบร้อยก็ดูดีเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยทีเดียว

“พออาบน้ำแต่งตัวใหม่แล้วหล่อเชียว” เธอชม “ต่อไปนี้ไม่ต้องไปกินของพวกนั้นแล้วนะ กินอาหารพวกนี้แทน ฉันเตรียมไว้ให้แล้ว” เพชราวสียื่นถาดกับข้าวที่มีแต่อาหารดีๆ ให้ชายหนุ่มได้รับประทาน พร้อมวางแก้วน้ำเปล่าไว้ให้ข้างกัน

น้อยมองอาหารตรงหน้ารู้สึกปลาบปลื้มถึงกับพูดไม่ออก ทำไมเธอถึงได้ดีกับเขาขนาดนี้

“ทำไมไม่กินล่ะ หิวไม่ใช่รึ”

น้อยเงยหน้ามองหญิงสาวน้ำตารื้น ก่อนจะหยิบช้อนเขียวตักแกงเผ็ดใส่ในจานข้าวแล้วนำเข้าปากด้วยความปลื้มปีติ สำนึกในบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของเธอ ที่เมตตาให้คนอนาถาอย่างเขาได้กินจนอิ่มหนำ อาจเป็นเพราะเพิ่งเผชิญกับเรื่องราวเลวร้ายมา พอมาเจอผู้หญิงคนนี้ โลกที่เคยมืดมิดก็พลันสว่างไสวขึ้นมาทันตา

เพชราวสียิ้มออกเมื่อเห็นชายหนุ่มตักข้าวเข้าปากไปหลายคำ

“นี่เป็นรองเท้าคู่ใหม่ของนาย ฉันเห็นว่านายไม่มีรองเท้าใส่ ใส่คู่ใหม่ซะนะ จะได้ไม่ต้องเดินเจ็บเท้าอีก” เพชราวสีนำรองเท้าแตะคู่ใหม่ที่เธอเตรียมไว้วางไว้ให้ที่พื้น

สุดท้ายน้ำตาก็ร่วงลงมาใส่จานข้าว รีบยกมือไหว้ขอบคุณเธอทันที

เพชราวสีเห็นก็โบกมือห้าม “ไม่ต้องไหว้จ้ะ ดูก็รู้ว่าฉันอ่อนกว่านายตั้งเยอะ”

“เพชราวสี! เพชราวสี!!”

เพชราวสีได้ยินเสียงของพระมารดาดังขึ้นใกล้ๆ หญิงสาวตกใจ ลุกพรวดออกไปรับหน้าพระมารดาก่อนที่ท่านจะเข้ามาเห็นชายหนุ่มในครัว

“มีอะไรคะคุณแม่”

“ไปทำอะไรมา หายไปนานเชียว”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” เพชราวสีละล่ำละลักตอบ ในใจปั่นป่วน เพราะรู้จักนิสัยพระบิดาพระมารดาดี ไม่อยากโกหกเลยสักนิด แต่จะไม่ให้ช่วยคนตกทุกข์ได้ยากเธอก็ทำไม่ได้

หม่อมพจนิจถอนใจ “ถ้าไม่มีอะไรก็รีบกลับเข้าไปในงาน ทุกคนเขาถามหาแต่ลูก เป็นเจ้าของงานแต่ไม่อยู่ในงาน เสียมารยาทมากรู้ไหม”

“ลูกขอโทษค่ะ” เพชราวสีหลุบตามองต่ำ

เมื่อพระมารดาหันหลังเดินนำไปแล้ว หญิงสาวจึงถอนหายใจ มองเข้าไปในห้องเครื่องเห็นว่ายังมีต้อยนั่งอยู่เธอก็คลายกังวล จึงรีบเดินตามพระมารดาไปโดยเร็ว

“เอ้า! กินอิ่มแล้วก็ไปสิ” ด้านต้อยที่เห็นว่าน้อยยังนั่งเหม่อ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ก็ไม่ไว้ใจ บางทีอาจจะกำลังคิดหาหนทางลักขโมยข้าวของภายในวังอยู่ก็ได้

น้อยพยักหน้า ลุกลนรีบลุกออกจากแคร่ ตั้งใจจะเดินกลับออกไปทางประตูหลัง ทางเดียวกับตอนมา... ทว่าสายตาก็เหลือบไปเห็นคนที่เขาต้องการจะมาพบหน้า กำลังยืนอยู่ในที่มืดตรงนั้น...

หลังจากที่เขาตามพิมมาเมื่อวันก่อน แล้วได้จอดสามล้อทิ้งไว้ในตลาด พอกลับไปก็ไม่พบสามล้อของตนแล้ว น้อยกลุ้มใจมาก จึงรีบกลับไปบอกพลอย พอพลอยรู้เรื่องเท่านั้นก็โกรธจนหน้ามืด จากดีกลายเป็นร้าย เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ขู่จะนำเรื่องที่เขาทำรถสามล้อหายไปแจ้งความ ถ้าเขาไม่นำเงินมาชดใช้ให้ แต่เงินทั้งหมดที่เขามีในตอนนั้นก็ยังไม่พอชดใช้ค่าสามล้อให้พลอย ตกบ่ายวันนั้นพลอยจึงไปแจ้งความหาว่าเขาขโมยสามล้อไป จนเขาต้องหลบหนีตำรวจ มาหาพิมที่นี่ และกว่าจะมาถึงที่วังราชสาสน์แห่งนี้ก็ต้องเผชิญกับเส้นทางสมบุกสมบัน เนื้อตัวจึงมีสภาพอนาถาอย่างที่เห็น

เมื่อได้พบกับพิม เขาก็ดีใจยิ่งกว่าอะไรทั้งมวล เขารีบสาวเท้าเข้าไปหาหวังจะคุยกับเธอ แต่พิมกำลังยืนอยู่กับผู้ชายอีกคน ทั้งคู่หัวเราะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน สักพักผู้ชายคนนั้นก็เดินห่างไป พิมก็ทำท่าจะเดินตามชายผู้นั้นไป แต่น้อยเข้าไปขวางเธอไว้ก่อน

“พิม!” น้อยมองพิมอย่างชื่นชม วันนี้เธอแต่งตัวสวยงามแปลกตา กว่าที่เคยเห็น ตอนนี้เธอโตขึ้นมาก ไม่เหมือนสาวน้อยน่ารักคนเดิมที่เคยรู้จักเมื่อในอดีต

พิมเบิกตากว้าง รีบจูงแขนน้อยเข้ามาคุยกันในที่ลับตา

“พี่เข้ามาได้ยังไง” พิมกระชากเสียงถามด้วยความไม่พอใจ

“พี่แค่อยากรู้ ว่าพิมอยู่ที่นี่พิมมีความสุขดีหรือเปล่า” น้อยพูดเศร้าๆ

“แล้วเห็นว่าเป็นยังไงล่ะ ฉันเข้ามาในสังคมผู้ดีได้แล้ว ส่วนพี่มันก็แค่ไอ้คนจับกัง ไม่มีปัญญาถีบฐานะตัวเองให้สูงขึ้นไปกว่านี้หรอก” พิมดูถูก และความเยาะเย้ยก็ซ่อนอยู่ในแววตาชิงชังคู่นั้น “เรามันคนละชั้นกันแล้ว ต่อไปนี้ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน เจอหน้ากันก็ไม่ต้องทัก แล้วก็จำไว้ด้วยว่าเราไม่เคยรู้จักกัน”

“แต่พิมอยู่ที่นี่ในฐานะคนใช้ไม่ใช่เหรอ พิมไม่ได้เป็นอย่างคนพวกนั้น เรากลับบ้าน ออกจากพระนครที่วุ่นวาย ไปใช้ชีวิตเรียบง่ายที่บ้านเราเถอะนะ” น้อยมองพิมด้วยสายตาเจ็บช้ำ บางทีเขาก็รู้สึกเหนื่อยเต็มที นี่อาจจะเป็นคำวิงวอนขอร้องครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้

“โอ๊ย พี่นี่มันหน้าด้านหน้าทนจริงๆ อยากจะกลับบ้าน อยากจะไปตายไหนก็ไปเลยไป!”

เสียงตะคอกอันร้ายกาจ ทำเอาชายหนุ่มยืนชะงักราวกับโดนสาป ความรู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบกายดับสูญ สิ่งที่เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตที่เหลืออยู่ ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว มือหนากำหมัดแน่น บอกกับตัวเองให้ยอมรับความจริงว่าแพ้...ก็คือแพ้

นับตั้งแต่วันที่แม่จากไป น้อยก็ตระหนักได้ว่าผู้หญิงที่สำคัญที่สุด ก็คือแม่มะลิเท่านั้น ในยามเจ็บไข้ได้ป่วยก็มีแต่แม่ที่พาไปรักษา ในยามที่ถูกกลั่นแกล้งรังแกก็มีแต่แม่ที่คอยปลอบคอยสั่งสอนและอยู่เคียงข้างมาโดยตลอด ส่วนพิมเข้ามาก็แค่ต้องการหาประโยชน์จากเขาก็เท่านั้น พอพิมใจดี อ่อนโยนกับเขาอย่างที่ไม่เคยมีใครทำ เมื่อหล่อนยิ้มหวาน ทำดีกับเขานิดๆ หน่อยๆ เขาก็หลงเชื่อ รักและเทิดทูนหล่อนไปอย่างง่ายดาย หารู้ไม่ว่ารอยยิ้มนั้น เป็นรอยยิ้มหวานอาบยาพิษ กว่าจะรู้ตัวว่าตกเป็นเบี้ยล่างของหล่อนมาโดยตลอด ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว

น้อยมองพิมเดินกลับเข้าไปภายในงานจนลับสายตา เมื่อนั้นภาพหญิงสาวผมยาว ในชุดราตรีแสนสวยเหมาะสมกับรูปร่างเพรียวบางของเธอ สะท้อนกลับเข้ามาภายในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน

ผู้หญิงคนนั้น...เธออาศัยอยู่ในวังสีชมพูหลังใหญ่ ท่าจะไม่ใช่คนธรรมดา เพราะเห็นคนรับใช้พูดราชาศัพท์กับเธอและต่างก็ให้ความเคารพเธอเป็นอย่างมาก และเขาก็ได้ยินคนเรียกชื่อเธอว่า ‘เพชราวสี’ เป็นชื่อที่ไพเราะที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา หวานเหมือนดวงหน้า และดูจะเหมาะสมกับเธอไม่น้อย

ชายหนุ่มก้มมองรองเท้าที่ตนเองกำลังสวมใส่อยู่แล้วยิ้มบาง อย่างน้อยๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังเห็นเขาอยู่ในสายตา ไม่ได้เห็นเขาไร้ค่าเช่นคนอื่น ช่างแปลกที่นอกจากพิมแล้ว ก็มีผู้หญิงคนนี้ ที่ทำให้เขายิ้มได้อีกครั้ง แต่สิ่งที่แตกต่างกันมากเหลือเกิน คือความเมตตา...ทุกสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นมอบให้ เขารู้สึกซาบซึ้งใจ ไม่มีคำใดจะเอ่ย นอกจากคำว่า ‘ขอบคุณ’ แต่น่าเสียดายที่เธอเข้าใจว่าเขาเป็นใบ้ไปเสียแล้ว เขาจึงไม่มีโอกาสได้พูดคำนั้นออกมาต่อหน้าเธอ จะมีหนทางใดบ้างนะที่เขาจะได้ตอบแทนบุญคุณของเธอ แทนคำขอบคุณ ที่อยากจะเอ่ยหมดดวงใจ...




หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มี.ค. 2565, 13:55:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มี.ค. 2565, 13:55:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 216





<< บทที่ 7 พระคู่หมั้นผู้สูงศักดิ์ (70%)   บทที่ 8 คนสวนคนใหม่ (50%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account