วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:

เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน

หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก

ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ

. . . . . . . . . . . . . .

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ


***************************

นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม

***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***

1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ

2.ร้านออนไลน์

3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks

4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee

หนังสือพร้อมส่ง

คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า

สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา

ตอน: บทที่ 8 คนสวนคนใหม่ (50%)

ในวันที่อากาศอบอ้าว น้อยเดินเข้ามาในสวนดอกไม้ภายในอาณาเขตของวังราชสาสน์ เขากวาดตามองหาเพชราวสี และกำลังคิดหาหนทางตอบแทนบุญคุณที่เธอได้ช่วยเขาไว้เมื่อคืนก่อน

แต่ในขณะที่น้อยกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นปีบต้นใหญ่ จังหวะนั้นดอกปีบสีขาวสดก็ร่วงลงมาตรงหน้าพอดี ชายหนุ่มหยิบดอกปีบนั้นขึ้นมาเชยชม ตั้งแต่เกิดเรื่องมากมายที่ท่าเตาก็ไม่เคยรู้สึกดีเท่านี้มาก่อน เขาสูดดมความหอมจากดอกไม้ดอกนั้นให้ชื่นใจ...

ภายในสวนสีเขียวอันร่มรื่น มีคนสวนของวังอย่าง ‘ตาพวง’ กำลังกวาดเศษใบไม้แห้งที่ร่วงโรยเกลื่อนพื้น เขาดูแลสวนทั้งหมดอยู่เพียงคนเดียวจึงต้องทำงานหนัก แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นทำให้พวงเจ็บป่วยบ่อย บางวันก็มีอาการหน้ามืด เวียนศีรษะขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ด้วยเหตุนี้พวงก็ได้ขอ เสด็จพระองค์ชายรับคนสวนเข้ามาช่วยทำงานเพิ่ม แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่ได้สักที ทำให้ต้องทนทำงานหนักอย่างนี้เรื่อยมา

ท่ามกลางแดดร้อนยามบ่ายที่ส่องผ่านเงาไม้ลงมา พวงเงยหน้าขึ้นสู้แสงแดดจ้าทำให้รู้สึกหน้ามืด ดวงตาล้าเริ่มปรือลง ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น

เมื่อจู่ๆ เสียงกวาดพื้นก็เงียบไป น้อยที่กำลังอยู่แถวนั้นแปลกใจเดินไปดู เห็นพวงนอนอยู่ที่พื้น มีไม้กวาดทางมะพร้าววางอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มตกใจรีบเข้าไปพยุงร่างอ่อนแรงนั้นขึ้นมานั่งพักที่ศาลาจักรทิพย์ พวงค่อยๆ ลืมตาขึ้นทั้งยังเหนื่อยหอบ มองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ คอยพัดวีให้ คนอาวุโสเห็นก็ซาบซึ้งใจ

“ขอบใจพ่อหนุ่มมากนะที่ช่วยลุงไว้ ถ้าไม่ได้พ่อหนุ่ม ลุงคงแย่”

“ไม่เป็นไรจ้ะ แล้วลุงเป็นอะไรมากหรือเปล่า” น้อยกล้าที่จะพูดกับพวง ตั้งใจไว้แล้วว่าต่อจากนี้ไปจะปรับปรุงตัว เขาจะต้องเป็นคนที่ดีขึ้นให้ได้ เพราะในขณะที่คนแปลกหน้าอย่างเพชราวสียังหวังดีต่อเขา แล้วทำไมเขาจึงไม่รู้จักรักตัวเองบ้างเลย

“โรคคนแก่นั่นแหละ เป็นธรรมดา อย่าใส่ใจเลย” พวงถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย แก่แล้วสังขารก็ไม่เป็นใจเหมือนตอนหนุ่มๆ

น้อยมองใบหน้าหมองคล้ำของอีกฝ่าย กับอาการที่ยังหอบหายใจถี่ยิบโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดก็เห็นใจ เสียดายที่เขาไม่มียาหอมให้แกได้ดมบรรเทาอาการ

“แต่อาการของลุงดูไม่ค่อยดีเลยนะจ๊ะ ให้ฉันช่วยลุงทำงานเถอะนะ ฉันยังหนุ่มยังแน่นมีแรงอีกเยอะ”

พวงทึ่งในน้ำใจของชายหนุ่ม ไม่คิดว่าจะออกปากช่วยตน พวงกำลังจะปฏิเสธ แต่น้อยไม่รอช้าลุกพรวดไปหยิบไม้กวาดทางมะพร้าวที่วางทิ้งไว้ขึ้นมากวาดเศษใบไม้อย่างคล่องแคล่วและตั้งใจ

เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง อาการเหนื่อยหอบของพวงเริ่มดีขึ้นตาม ลำดับ ระหว่างที่พวงนั่งพักก็สังเกตท่าทางของน้อยไปด้วย ‘เอ...ไอ้หนุ่มคนนี้ มันก็ขยันขันแข็งดีนี่หว่า’

“เอ็งหยุดพักก่อนเถอะ เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งเอา”

น้อยได้ยินพวงสั่งให้หยุดก็ปาดเหงื่อตรงไรผม แล้วเดินกลับมาหา

“พูดคุยกันมาตั้งนานเอ็งมีชื่อแซ่ว่าอะไร ข้าจะได้เรียกถูก”

“ฉันชื่อน้อย”

“บ้านเอ็งอยู่แถวนี้รึ ทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้าเอ็งมาก่อน” พวงมองน้อยอย่างรู้สึกแปลกใจ ถึงตนจะไม่ได้ออกจากวังไปไหนมากนัก แต่ก็พอจะคุ้นเคยกับชาวบ้านแถวนี้ดี

“ฉันไม่มีบ้านหรอกจ้ะ” พอถูกถามถึงบ้าน ใบหน้าของน้อยก็เศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด

“เอ็งไม่มีบ้านอย่างนั้นรึ”

พวงถามซ้ำ เห็นน้อยพยักหน้าก็เกิดความคิดบางอย่าง มองเพียงแวบเดียวพวงก็รู้สึกถูกชะตา ดูก็รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนจิตใจดีมีน้ำใจ เขาเองก็กำลังมองหาคนสวนอีกคนมาช่วยงานอยู่พอดี คงจะดีไม่น้อยหากได้คนที่ไว้ใจได้อย่างน้อย

“งั้นดีเลย ข้ากำลังอยากได้คนมาช่วยงานสวนอยู่ เอ็งสนใจไหมล่ะ”

“สนจ้ะ” ชายหนุ่มตอบรับอย่างไม่ต้องคิด นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ตอบแทนเพชราวสี แม้รู้ดีว่าจะต้องเจอกับโจทก์เก่าอย่างพิมก็ตาม แต่เขาก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว ยังไงเรื่องระหว่างเขากับพิมไม่มีวันเป็นไปได้ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่มีแค่เพียงความห่วงใย มิตรภาพ และความทรงจำที่ดีในวันวานเท่านั้น ส่วนพิมจะคิดอย่างไรก็สุดแท้แต่ใจหล่อน...

“นายใบ้!”

เสียงหวานเอ่ยทักจนน้อยและพวงต้องหันมามอง ดวงตาของน้อยพราวระยับเมื่อเห็นเพชราวสี คนที่เขาเฝ้ารอกำลังเดินเข้ามาหา

“ท่านหญิงเรียกไอ้น้อยมันหรือกระหม่อม”

เพชราวสีสะดุดใจ “นายใบ้ ชื่อจริงชื่อน้อยหรือ”

น้อยอ้ำอึ้งได้แต่พยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ เมื่อเห็นใบหน้าสวยหวาน น้อยก็ถึงกับพูดไม่ออก เขาพยายามจะปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่เข้มแข็ง กล้าคิด กล้าพูด ให้มากกว่าที่เคยเป็น แต่เมื่อมองเข้าไปในแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจก็รู้สึกผิด กลัวเธอจะเสียหน้าและเปลี่ยนไปหากรู้ว่าเขาไม่ได้บ้าใบ้อย่างที่คิด

“งั้นต่อไปนี้ฉันจะเรียกใหม่ ว่าน้อยก็แล้วกันนะ”

“เอ่อ...ท่านหญิงรู้จักกับไอ้น้อยด้วยหรือกระหม่อม”

“จ้ะ” เธอบอกเสียงเรียบ ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม เพราะห่วงว่าพวงจะนำเรื่องที่เธอให้ความช่วยเหลือน้อยไปบอกเสด็จพ่อกับคุณแม่ เธอกลัวจะถูกท่านทั้งสองตำหนิ จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตขึ้นมาอีก

“คือกระหม่อมอยากได้ไอ้น้อยมาช่วยงานสวนน่ะกระหม่อม กำลังขาดคนอยู่พอดี”

“ได้สิจ๊ะ พวงก็อายุมากแล้ว ร่างกายก็ไม่ค่อยจะไหว รับน้อยมาช่วยอีกแรงจะได้ไม่ต้องทำงานหนัก เป็นลมเป็นแล้งไปอีก”

“ตายละ!” พวงโพล่งขึ้นสีหน้าตื่นตระหนก “กระหม่อมเพิ่งนึกได้ว่าต้องไปรับไอ้ป้องที่โรงเรียน”

“งั้นก็รีบไปเถอะจ้ะ” เพชราวสีเห็นใจ เพราะคนชื่อป้องที่พวงพูดถึง ก็คือลูกชายของพวงนั่นเอง

“ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมขอตัวก่อน” พวงลุกขึ้นอย่างรีบร้อน ไม่ลืมที่จะหันไปสั่งผู้ช่วยคนใหม่ “ไอ้น้อย ถ้าเอ็งกวาดใบไม้เสร็จแล้ว ก็ไปรดน้ำสวนมะลิเลยนะ เดี๋ยวข้ามา”

น้อยพยักหน้ารับ เมื่อพวงเดินหายไปแล้ว ณ ศาลาสีขาวจึงเหลือเพียงเพชราวสีกับน้อยสองคน เพชราวสีมองหน้าชายหนุ่มแล้วยิ้มให้ เธอไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา การที่มีคนฟัง แต่ไม่มีคำพูดตอบกลับมา ทำให้รู้สึกแปลกประหลาด เขาคงจะเป็นทุกข์ไม่น้อยที่ไม่สามารถพูดกับใครได้ เธอเองก็สงสารไม่รู้จะช่วยอย่างไร ก่อนจะเกิดความคิดบางอย่าง...

“รอฉันอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา”

น้อยมองตามเพชราวสีไปอย่างงงๆ ไม่นานเธอก็กลับมาพร้อมของบางอย่างตรงมาหาเขาอย่างใจเย็น น้อยมองหญิงสาวนั่งลงเสมอกัน เขากำลังจะลดตัวลงไปนั่งที่พื้น แต่มือบางรั้งแขนเขาไว้ให้นั่งที่เดิม การกระทำของเธอทำให้ชายหนุ่มอึ้งเป็นอย่างมาก เพชราวสีดูจะไม่ถือเรื่องยศศักดิ์เลยแม้แต่น้อย ก่อนจะยื่นสิ่งของที่เธอถือมาให้เขา

“ฉันให้”

น้อยมองสมุดในมือหญิงสาว ยอมรับว่าดีใจไม่น้อย เพราะมันคือสิ่งเดียวที่เขาใฝ่ฝันและอยากได้มาตลอด แต่เพราะช้อนไม่ชอบให้เรียนหนังสือ เขาจึงไม่มีโอกาสได้ใช้มันเท่าไรนัก ชายหนุ่มยังไม่กล้ารับไว้ นึกแปลกใจที่เธอเอาสมุดกับดินสอมาให้เขา

“นายคงจะแปลกใจที่ฉันเอาของพวกนี้มาให้ใช่ไหม นายอาจจะมองว่ามันไร้ประโยชน์ เพราะนายอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้”

คำพูดนั้นของเพชราวสีทำชายหนุ่มลอบยิ้ม เพราะจริงๆ แล้วเขาอ่านออกและเขียนได้เป็นอย่างดี ซึ่งแน่ละ! ก็เธอไม่รู้นี่

“แต่ที่ฉันมอบสมุดให้นาย ฉันไม่ได้ให้นายเอาไปเขียนหรอก ฉันให้เอาไปวาดรูปต่างหาก ในวันที่นายเจอเรื่องแย่ๆ หรือช่วงเวลาที่ดี ฉันอยากให้นายวาดมันลงไปในนี้ แทนคำพูด แทนความรู้สึกของนาย ออกมาเป็นภาพวาด มันน่าจะช่วยได้มากเลยละ”

น้อยมองเพชราวสีที่กำลังส่งยิ้มให้ รู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก ไม่คิดเลยว่าเธอจะใส่ใจเขามากขนาดนี้



**********************



ในขณะนั้นเอง หม่อมพจนิจเดินมาตรงระเบียงด้วยความบังเอิญ เห็นลูกสาวกำลังนั่งสนทนาอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งสองต่อสอง เธอไม่เคยเห็นหน้าค่าตาผู้ชายคนนี้มาก่อน ไฉนถึงเข้ามานั่งในสวนของวังได้ แถมท่าทางเพชราวสีพูดไปก็ยิ้มไป หากดูผิวเผินคนคงคิดว่าทั้งสองรู้จักสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี... 

ด้านต้อยที่เดินตามหม่อมพจนิจมาติดๆ เห็นท่านหยุดมองลูกสาวที่นั่งอยู่ที่ศาลา หล่อนก็ชะโงกหน้ามองตาม รู้สึกคุ้นหน้าผู้ชายคนนั้นมาก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่นึกเท่าไร...ก็นึกไม่ออก

เมื่อเพชราวสีเดินเข้ามาในห้องโถง ผู้เป็นแม่ก็รีบปราดเข้าไปถามด้วยความร้อนใจ

“เพชราวสี เมื่อกี้ลูกนั่งคุยอยู่กับใคร”

“อ๋อ น้อยคนสวนคนใหม่น่ะค่ะ” เพชราวสียิ้มตอบ

แล้วจู่ๆ ต้อยก็โพล่งขึ้นมา เหมือนว่าหล่อนจะนึกอะไรได้แล้ว

“ต้อยจำได้แล้วค่ะ ชายคนนั้นคือคนบ้าใบ้ ที่ท่านหญิงช่วยเหลือให้ข้าวให้น้ำเมื่อคืนงานเลี้ยงยังไงคะ”

“พี่ต้อย!” เพชราวสีเบิกตากว้าง เอ็ดคนปากโป้งที่พล่ามอะไรออกมาไม่รู้จักเวล่ำเวลา

หม่อมพจนิจไม่ได้ใส่ใจคนใช้ แต่หันขวับมามองลูกสาวสายตาเอาเรื่อง

“จริงรึ ทำไมแม่ไม่รู้เรื่อง”

“ลูกเห็นเขาแล้วสงสาร ตอนนั้นเขาดูหิวโหยมากค่ะ ก็เลยให้เสื้อผ้าและข้าวปลาเขากิน” เพชราวสีทอดเสียงอ่อน รู้ชะตากรรมของตนเองดี

“ถึงจะสงสารเวทนายังไง ลูกก็ไม่ควรไปให้ข้าวให้สิ่งของเขา วังเราไม่ใช่โรงทานที่ลูกจะเที่ยวบริจาคสิ่งของให้ใครได้ตามอำเภอใจ”

หม่อมพจนิจตำหนิลูกสาวเสียงเข้ม เพชราวสีที่เป็นคนอ่อนไหวง่าย มองพระมารดาด้วยสายตาผิดหวัง เมื่อได้ยินท่านพูดออกมาอย่างปราศจากความเมตตาเช่นนั้น

“ทำไมคุณแม่ถึงพูดอย่างนั้นคะ ลูกเห็นคนตกทุกข์ได้ยากอยู่ตรง หน้า จะให้ใจร้ายไล่เขาไปได้ลงคอเหรอคะ”

“เพชราวสี...แม่เตือนลูกก็เพราะรัก ลูกมีคู่หมั้นคู่หมายก็ถือว่ามีเจ้าของ แล้วลูกก็เป็นถึงหม่อมเจ้า มียศมีศักดิ์ก็มาก ลดตัวไปนั่งพูดคุยกับคนสวนอย่างสนิทสนม เป็นเรื่องเหมาะสมแล้วเหรอ”

เมื่อสองแม่ลูกเติบโตมาต่างยุคต่างสมัย ความคิดจึงแตกต่าง แม้ หม่อมพจนิจจะเป็นลูกขุนนาง แต่พออายุได้สองขวบเศษ ก็ถูกนำตัวไปเลี้ยงดูในวังหลัง ซึ่งมีกฎระเบียบเคร่งครัด การจะได้เจอหน้าบิดาในแต่ละครั้งก็ถือว่ายากมาก ยิ่งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างหนุ่มสาวยิ่งแล้วใหญ่ จนกระทั่งมีนายทหารอนาคตไกลมาสู่ขอ พจนิจจึงได้ออกเรือนตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งแตกต่างจากเพชราวสีที่เติบโตมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมแปลกใหม่ และความเจริญก้าวหน้าในสังคมผู้ดีอังกฤษ สอนให้เพชราวสีกลายเป็นสาวทันสมัย แต่ก็ยังถูกจำกัดกรอบความคิดโดยผู้เป็นแม่อยู่เสมอ

“คุณแม่คิดมากเกินไป ลูกมั่นใจว่าลูกไม่ได้ทำอะไรผิด” เพชราวสีไม่ได้คิดแบบนั้น เธอคิดว่าทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน และเห็นชายใบ้ผู้นั้นเป็นเพื่อนของเธอ 

พจนิจเลี้ยงเพชราวสีมาตั้งแต่เด็ก รู้ดีว่าลูกสาวนั้นไม่ได้เรียบร้อยอ่อนหวานอย่างที่คิด ออกจะดื้อแพ่งเสียด้วยซ้ำไป แต่ด้วยความที่คนเป็นแม่อาบน้ำร้อนมาก่อน ผิดหวังมาก็มาก หลังจากที่หย่าร้างกับอดีตสามี ชีวิตก็ไม่ได้สวยหรูอย่างทุกวันนี้เลย เดินไปไหนมาไหนก็ได้ยินแต่คำติฉินนินทาเข้าหู เธอจำความรู้สึกเหล่านั้นได้ดี และลูกสาวคนนี้เปรียบเสมือนเพชรน้ำงามที่เธออุตส่าห์เลี้ยงดูประคบประหงมมาเป็นอย่างดี เธอจะไม่มีวันยอมให้เพชรเม็ดนี้ต้องเปื้อนคราบโคลนให้หม่นหมองเด็ดขาด

“อ้าว! สองแม่ลูกยืนเถียงกันเรื่องอะไรล่ะนั่น” พระองค์เจ้าทิวากรเอ่ยทัก ขณะเดินเข้ามาหาสองแม่ลูกอย่างอารมณ์ดี

เพชราวสีหันไปมองตามเสียง เธอยิ้มเจื่อนให้พระบิดา ขณะที่หม่อม พจนิจก็ทำสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีใครยอมพูดอะไร เป็นต้อยอีกนั่นละที่โพล่งตอบออกไปอย่างลืมตัว

“อ๋อ คือว่าหม่อมกับท่านหญิงโต้ความกันเรื่องคนสวนคนใหม่ที่เป็นใบ้น่ะเพคะ”

เรื่องที่สองแม่ลูกมีปัญหากันยังไม่สะดุดหูเท่าคำว่า ‘คนสวนคนใหม่ที่เป็นใบ้’ พระองค์เจ้าทิวากรไม่ชอบพวกพิกลพิการไม่สมประกอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้ยินว่ามีคนบ้าใบ้เข้ามาอยู่อาศัยในอาณาเขตของตน ท่านก็ตาลุกเดือดดาลขึ้นมาอย่างไร้ซึ่งเหตุผล

“นี่ไอ้พวงมันหาคนสวนใหม่ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมมันต้องเอาคนบ้าใบ้ไม่สมประกอบเข้ามาอยู่ในวังของฉันด้วย ไอ้พวง! ไอ้พวง!!” เสด็จพระองค์ชายตะโกนเรียกชื่อพวงเสียงดังลั่น จนพวกคนรับใช้ที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน

“พวงไม่อยู่หรอกเพคะ แกกำลังไปรับลูกชายกลับจากโรงเรียน”

เพชราวสีเห็นพระบิดามีท่าทางเช่นนั้นก็ใจไม่ดี เธอเข้าไปจับแขนหวังให้ท่านเย็นลง

“แล้วตอนนี้ไอ้ใบ้นั่นมันอยู่ที่ไหน” เสด็จพระองค์ชายพ่นลมออกจมูก



หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มี.ค. 2565, 21:24:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มี.ค. 2565, 21:24:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 264





<< บทที่ 7 พระคู่หมั้นผู้สูงศักดิ์ (100%)   บทที่ 8 คนสวนคนใหม่ (100%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account