วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา
ตอน: บทที่ 12 ล้ำเส้น
ชายหนุ่มวางดินสอลง ปิดสมุดบันทึกเล่มนั้นเก็บไว้ในหีบใส่ผ้าใบใหญ่ แล้วปิดไว้อย่างมิดชิด ก่อนจะหันไปมองกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดงที่วางอยู่บนเตียงนอน น้อยเข้าไปยกกล่องใบนั้นมาวางไว้บนโต๊ะอย่างทะนุถนอม เขาเปิดฝากล่องออก เผยให้เห็นแจกันลายดอกโบตั๋นที่เคยแตกเสียหาย ตอนนี้ได้รับการซ่อมแซมด้วยเทคนิคการผนึกเครื่องปั้นดินเผาที่แตกหักด้วยครั่งทอง หรือที่เรียกว่า ‘คินสึงิ’
หลังจากที่แจกันลายดอกโบตั๋นของเพชราวสีตกแตกคราวนั้น น้อยก็ได้เก็บชิ้นส่วนของแจกันทั้งหมดกลับมาไว้ที่นี่ แม้เพชราวสีจะบอกให้เขาทิ้งมันไปซะ แต่เขารู้ว่าแจกันใบนี้มีคุณค่าต่อจิตใจเธออย่างมาก น้อยกลับ มานั่งคิดทบทวน พยายามหาวิธีซ่อมแซมแจกันใบนี้ให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม เขาจึงนำชิ้นส่วนแจกันทั้งหมด ใส่ห่อผ้าไปหาช่างปั้นดินเผาในตลาดเยาวราช ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากวังราชสาสน์
ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นในเยาวราช ชายหนุ่มเดินดูร้านรวงต่างๆ ตามเส้นทางที่ผ่าน เป้าหมายคือร้านสังคโลกที่ตั้งอยู่ไกลสุดซอย ทว่าในระหว่างทางที่กำลังเดินไป ดวงตาคมก็สะดุดเข้ากับของภายในร้านยาจีนแห่งหนึ่ง มันคือเครื่องเซรามิกที่แตกหัก แต่ผสานรอยแตกร้าวของภาชนะนั้นๆ ด้วยทองคำ ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ เพราะเป็นอะไรที่สะดุดตาชวนมองตั้งแต่ต้น
‘แปะ ถ้วยชามพวกนี้ แปะซ่อมยังไงเหรอ’ เขาถามชายชรา ที่คาดว่าน่าจะเป็นเฒ่าแก่ร้านยาจีนแห่งนี้
‘อ๋อ อั๊วไม่ได้ซ่อมเอง แต่ส่งช่างที่เป็นคนญี่ปุ่นซ่อมให้’ ผู้อาวุโสตอบน้ำเสียงแจ่มใส ไม่มีหวงเคล็ดลับ
‘ฉันมีแจกันแตกอยู่ใบหนึ่ง ถ้าจะส่งซ่อมกับช่างญี่ปุ่นที่แปะว่า ฉันต้องทำยังไง’
เมื่อได้ที่อยู่ช่างญี่ปุ่นจาก ‘เง็กจง’ เจ้าของร้านขายยา น้อยก็รีบขึ้นสามล้อถีบไปหาช่างคนนั้นทันที พอมาถึงบ้าน ช่างญี่ปุ่นก็พิจารณาความสมบูรณ์ของชิ้นส่วนแจกัน ก่อนจะประเมินราคาที่ฟังแล้วถึงกับอึ้ง เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายให้เลยทันที เขาจึงคิดหนัก แต่ช่างญี่ปุ่นก็เสนอให้เขานำสินทรัพย์บางอย่างมาจำนำเอาไว้ก่อน พอมีเงินเมื่อไหร่ก็ค่อยนำมาไถ่ถอนคืน น้อยจึงจำต้องถอดสร้อยที่แม่มะลิมอบให้ เป็นมรดกชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่มัดจำช่างญี่ปุ่นไป
หลังจากนั้น น้อยก็ใช้เวลาว่างหลังจากการทำสวนในวัง ออกไปรับจ้างทำงานข้างนอกอยู่เป็นเดือนๆ และนำเงินจำนวนนั้น บวกกับเงินเก็บที่ยังพอเหลืออยู่ ไปไถ่ถอนสร้อยที่สำคัญที่สุดในชีวิตคืนมาได้ในที่สุด
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ น้อยก็ปิดฝากล่องลงดังเดิม แล้วหยิบมันขึ้นมาถือไว้อย่างมั่นคง ก่อนจะเดินออกไปจากที่พัก...
*********************
น้อยถือกล่องสีแดง เดินไปตามทางเดินด้านหลังตำหนักใหญ่ ก่อนจะถึงครัวฝรั่ง ได้กลิ่นปรุงอาหารหอมกรุ่นลอยมาตามสายลมอ่อนๆ น้อยยืนยิ้ม คิดว่าไม่มีใครอื่น นอกจากเพชราวสี เธอชอบทำขนมอบอยู่ในครัวฝรั่งเป็นประจำ วันนี้ก็คงเช่นกัน...
น้อยหยุดมองที่หน้าต่างครัว เห็นร่างบางกำลังหั่นผักอย่างจริงจัง พอยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ เขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นร่างสูงสง่าของชายหนุ่มอีกคนยืนอยู่ในครัวด้วยกัน
“โอ๊ย!” ภาณุมาศสะดุ้งโหยง เมื่อน้ำมันร้อนๆ กระเด็นใส่มือ รีบชักมือออกจากตะหลิวแทบไม่ทัน แต่น้ำมันก็ยังกระเด็นแตกออกมาจากกระทะไม่หยุดจนเขาต้องออกห่างจากเตา
หญิงสาวที่มีความชำนาญในการใช้ครัวมากกว่า ถลันไปปิดเตาให้อย่างระมัดระวัง เมื่อกระทะเดือดสงบลงแล้ว เธอก็รีบเข้าไปดูพระคู่หมั้นที่เสียทรงอยู่พอสมควร
“พี่ชายภาสเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” เธอถามอย่างห่วงใย ก่อนจะจับมือใหญ่กว่าของภาณุมาศขึ้นมาดู
“มือพองเลย...” เธอตกใจ กุลีกุจอหากล่องปฐมพยาบาล พร้อมถือขวดน้ำส้มสายชูมาวางเตรียมเอาไว้ “เอามือมาค่ะ ต้องเช็ดแผลด้วยน้ำส้ม สายชูก่อน”
“แปลกพิลึก ทำไมต้องเช็ดแผลด้วยน้ำส้มสายชู”
“ก็น้ำส้มสายชูมีความเย็นอยู่ในตัว จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้นะคะ” เธออธิบายขณะใช้สำลีชุบน้ำส้มสายชูชุ่มๆ แล้วนำมาเช็ดรอยแดงที่มือให้เขา
ภาณุมาศซ่อนยิ้ม ไม่คิดว่าคู่หมั้นสาวนอกจากคุณสมบัติที่เพียบ-พร้อมครบครัน เธอยังสามารถเป็นหมอประจำตัวเขาได้อีกด้วย
“พี่ชายภาสยังเจ็บอยู่ไหมคะ” เธอเงยหน้าขึ้นมาถาม
“ยิ่งได้รู้ว่าน้องเป็นห่วงพี่มากขนาดนี้ เจ็บแค่นี้พี่ทนได้ค่ะ”
เพชราวสีช้อนตามองคนปากหวานอีกรอบ แปลกใจตัวเอง ทำไมเธอถึงไม่ได้รู้สึกใดๆ กับสายตาเกี้ยวพาราสีนั้นเลยสักนิด
“แต่ไม่เจ็บเลยจะดีกว่ามาก ...ใครนะที่บอกว่าทำอาหารเก่งนักเก่งหนา โม้ทั้งเพ”
ภาณุมาศหัวเราะหึๆ ในลำคอ หากเป็นผู้หญิงคนอื่น เจ้าหล่อนคงจะอายม้วนไปนานแล้ว แต่กับเพชราวสี...เธอฉลาด กล้าต่อปากต่อคำ หากเธอเป็นอย่างผู้หญิงคนอื่น ถึงแม้จะเป็นพระคู่หมั้นกันก็ตาม เขาคงไม่สนใจ แต่เพราะเพชราวสีแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยรู้จัก เขาจึงได้รักเธออย่างที่ไม่เคยรักใคร
หัวใจของน้อยกระตุกแรงขึ้น คงเป็นเพราะความแสนดีของเพชราวสีที่ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว รู้ตัวว่ากำลังคิดล้ำเส้นไปไกล แต่ไม่อาจเอื้อมดึงฟ้าลงมาตกต่ำ...
เมื่อได้เห็นท่าทีเป็นห่วงเป็นใยของเพชราวสีที่มีต่อพระคู่หมั้น แม้เผินๆ เหมือนจะไม่ได้แตกต่างกันเลยกับความห่วงใยที่เธอมีให้เขาในวันนั้น...แต่อย่างไรเขามันก็เป็นแค่คนสวน เทียบไม่ได้เลยกับหม่อมเจ้าภาณุมาศพระคู่หมั้นของเธอ แน่นอนว่าเธอก็ต้องให้ความสำคัญกับท่านมากกว่าใครอื่นอยู่แล้ว
ชายหนุ่มต้องคอยบอกตัวเองว่าอย่าได้คิดฝันไปไกล แค่คิดจะรักคนอย่างหม่อมเจ้าเพชราวสีก็ผิดแล้ว เธองดงามสูงส่งปานนั้น เป็นผู้หญิงที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แม้จะคลาดจากหม่อมเจ้าภาณุมาศ ก็ยังมีผู้ชายฐานะดีเท่าเทียมกันต่อคิวรอ จ้องจะเป็นเจ้าของหัวใจของเธออยู่ดี ขนาดพิมที่ว่าเป็นดอกฟ้าสูงส่งนักหนา ยังขยะแขยงเมื่อรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเธอ แล้วมีหรือ...ที่เพชราวสีจะชายตาแลคนสวนอย่างเขา รักผู้ชายอย่างเขาก็เหมือนทำให้ตัวเองต้องหม่นหมอง เขาเองก็ไม่ได้อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมเช่นกัน เพราะหากปราศจากเพชราวสีไปแล้ว โลกทั้งใบคงพังทลายลงตามไปด้วย สำหรับเขาแล้ว เพชราวสีเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เธอคือคนหยิบยื่นโอกาส ทำให้เขาอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อเธอ ฉะนั้นเขาจึงตั้งใจจะทะนุถนอมเธอให้มากที่สุด เพราะไม่อยากทำให้เธอต้องผิดหวังหรือเสียใจ
“ก็พี่อยากใช้เวลาร่วมกันกับน้องนี่” ภาณุมาศยังอ้อนไม่หยุด
เพชราวสีหน้าแดงแจ๋ ขยับมุมปากเบาๆ เพื่อคลายความเขินอายที่เริ่มก่อตัวอยู่ภายในใจ
“พี่ชายภาสรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวน้องจะไปหาว่านหางจระเข้มาพอกให้” เพชราวสีอ้างกลบเกลื่อน ก่อนจะรีบเดินออกไปทางประตูครัวอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ภาณุมาศมองตามหลังด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ยามเธอออกอาการเขินอายก็อยากจะแกล้งให้สาใจ
น้อยเห็นเพชราวสีกำลังจะลงบันได ตรงมาทางที่เขายืนอยู่ จากที่ตั้งใจว่าจะคืนแจกันใบนี้ให้หล่อนทันทีที่พบหน้ากัน แต่ทำไมตอนนี้ความกล้าที่เคยมีอยู่เต็มเปี่ยมกลับหายไปจนหมดสิ้น เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะจับสังเกตความไม่พอใจที่เขาพยายามซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
น้อยกำลังจะหันหลังไป เพื่อหลบให้พ้นหน้าเพชราวสี
“น้อย!”
แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น...
เสียงเรียกดังก้อง ทำให้คนที่ถูกเรียกต้องหันกลับไปเผชิญหน้าคนตัวเล็ก แล้วยิ้มให้กลบเกลื่อนบางสิ่งที่อยู่ภายในใจ ก่อนจะยื่นกล่องที่ถืออยู่ให้หล่อนไปไม่อ้อมค้อม
“ของฉันหรือจ๊ะ” เธอชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
เพชราวสีเห็นน้อยพยักหน้าก็รับไป ก่อนจะเปิดฝากล่องออกดูแล้วตะลึง
“นี่มัน...แจกันลายดอกโบตั๋นที่นายธันทำแตกนี่” ครั้งแรกที่เห็นเธอแทบพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นแจกันใบนี้อีกครั้ง พร้อมเกิดคำถามมากมายในหัว “นายเอามันไปซ่อมให้ฉันหรือ”
คำตอบเดิมที่ได้คือการพยักหน้า
“อุดรอยแตกด้วยทองคำเป็นอะไรที่แปลกมาก” เพชราวสีสัมผัสรอยแตกที่เชื่อมด้วยสีทอง เป็นอะไรที่แปลกประหลาด แต่สิ่งนั้นกลับทำให้มันสวยงามมากยิ่งขึ้น
น้อยมองหญิงสาวตรงหน้ามีอาการตื่นเต้น เห็นเธอยิ้มเต็มกรอบหน้า เขาก็ยิ่งภูมิใจ ไม่เสียแรงที่ยอมทำทุกอย่างก็เพื่อจะได้เห็นรอยยิ้มของเธออีกครั้ง การได้เห็นเธอมีความสุข นั่นคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับเขา
“เป็นทองแท้หรือจ๊ะ หรือแค่ทองเทียมกันล่ะ”
น้อยชะงัก เขาอยากจะตอบเธอ แต่...
เพชราวสีเห็นน้อยอ้ำๆ อึ้งๆ ดวงหน้าหวานที่ฉีกยิ้มขาวสว่างพลันเศร้าลง
“ฉันนี่โง่จริง จะถามเอาอะไรกับคนใบ้ ต่อให้ถามไปกี่ร้อยกี่พันคำถาม นายก็ตอบฉันไม่ได้อยู่ดี...แต่ก็ขอบใจนะที่ซ่อมให้”
น้อยไม่เคยได้ยินน้ำเสียงแข็งกระด้างจากเพชราวสีมาก่อน เธอพูดเชิงประชดประชันมากกว่าจะเป็นประโยคบอกเล่าเรียบๆ สั้นๆ อย่างที่เขาเคยฟัง เกิดอะไรขึ้นกับใจของเธอกันแน่
“ไหนๆ นายก็มาแล้ว พี่ชายภาสถูกน้ำมันกระเด็นใส่หัตถ์ท่าน ฉันวานนายไปเก็บว่านหางจระเข้ในสวนมาให้หน่อยก็แล้วกัน” พูดจบเพชราวสีก็เดินกลับขึ้นไปบนตำหนัก ทิ้งให้น้อยได้แต่มองตามด้วยสีหน้าเศร้าหมองระคนน้อยใจ อย่างที่ไม่เคยได้รู้สึกมานานมากแล้ว
ระยะที่เพชราวสีสนทนากับน้อย ไม่ได้ห่างไกลจากหน้าต่างครัวที่หม่อมเจ้าภาณุมาศยืนอยู่เท่าไรนัก เสียงตื่นเต้นดีใจของเพชราวสีทำให้เขาอดชะโงกหน้าออกมาดูไม่ได้ แน่นอนว่าเขาเห็นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสายตาของน้อยที่มองพระคู่หมั้นของเขา มันหวานราวกับมีบางอย่างแอบแฝง ผู้ชายด้วยกันทำไมจะดูไม่ออกว่าสายตาเช่นนั้นมันหมายความว่าอย่างไร ไหนจะท่าทางของเพชราวสี ที่ดีใจเหลือเกินเมื่อเปิดกล่องใบนั้น และเมื่อเธอเดินจากไป หน้าของผู้ชายคนนั้นก็สลดลงคล้ายอาลัยอาวรณ์เธอมาก มันทำให้ภาณุมาศไม่พอใจ ที่เห็นผู้ชายคนอื่นแสดงออกแบบนั้นต่อพระคู่หมั้นของตน มือหนากำหมัดแน่นลืมความเจ็บปวดเมื่อครู่ไปทันที ดวงตาวาวโรจน์เต็มไปด้วยความเดือดดาล
“ทำหน้าแบบนี้หึงเหรอเพคะ” เจ้าของเสียงยื่นหน้าเข้ามาใกล้
พิมแสยะยิ้มร้าย สงสัยสวรรค์คงจะเมตตาเธอบ้างแล้ว
“พี่ใบ้ก็แบบนี้แหละค่ะ ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว ชอบทำตัวเรียกร้องความสนใจจากท่านหญิง ใครๆ ก็รู้ดีว่าเสด็จพระองค์ชายต้อมเกลียดชังพวกพิกลพิการมากขนาดไหน เสด็จเคยถึงขั้นขับไล่พี่ใบ้ออกจากวัง แต่ท่านหญิงกลับเป็นเดือดเป็นร้อน ยอมอ้อนวอนทำทุกทางเพื่อให้พี่ใบ้ได้อยู่ในวังต่อ จะว่าไปแล้วสองคนนี้เขาก็สนิทสนมกันมากเลยนะเพคะ แต่สนิทกันถึงขั้นไหน อันนี้พิมก็ไม่ทราบเหมือนกัน...”
พอสบโอกาสพิมก็ใส่ไฟเพชราวสีกับน้อยเต็มที่ เธอพูดถึงความสนิทสนมระหว่างเพชราวสีกับคนสวนบ้าใบ้ ทั้งเรื่องที่เพชราวสียอมออกหน้าแทนน้อยต่างๆ นานา สารพัดเรื่องสร้างความร้าวฉาน หวังจะทำให้คนทั้งคู่แตกหัก แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับกลายเป็นเธอเองที่จุกอก
“เลอะเทอะ!”
ภาณุมาศเดินผ่านหน้าพิมไปอย่างเฉยเมย แม้จะทำเป็นไม่สนใจ แต่คำพูดของพิมก็ทำให้หม่อมเจ้าผู้สูงศักดิ์ประหวั่นพรั่นพรึง อดเก็บคำพูดพวกนั้นมาใส่ใจไม่ได้อยู่ดี
วันนี้มาลงให้รวดเดียวจบตอนเลยค่ะ เห็นมีนิดเดียว ^^ บทถัดไปลงให้อ่านทุกวันอังคาร พฤหัส และเสาร์เช่นเคยนะคะ
***************
โปรฯ ปลายปากกาบุ๊กแฟร์ ครั้งที่ 3 “วานวาสนา” ลดเหลือ 409฿ (จากปก 454฿) ส่งฟรีนะคะ ^_^
สั่งซื้อได้ที่เฟซบุ๊กเพจ “ปลายปากกา สำนักพิมพ์” หรือ แอดไลน์ plaipakkabooks แจ้งชื่อหนังสือเข้ามาได้เลยค่า จะมีแอดมินสรุปราคาให้
สำหรับคนซื้อ 2 เล่ม เล่มที่ 2 ลด 25% จากปกนะคะ
((หนังสือมีวางจำหน่ายที่ร้านหนังสือ “ศูนย์หนังสือจุฬาฯ”))
eBook โหลดได้ที่ app Meb และ app Naiinpann
**โปรโมชั่นทั้งหนังสือและ eBook มีถึง 10 เมษายน 2565
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
หลังจากที่แจกันลายดอกโบตั๋นของเพชราวสีตกแตกคราวนั้น น้อยก็ได้เก็บชิ้นส่วนของแจกันทั้งหมดกลับมาไว้ที่นี่ แม้เพชราวสีจะบอกให้เขาทิ้งมันไปซะ แต่เขารู้ว่าแจกันใบนี้มีคุณค่าต่อจิตใจเธออย่างมาก น้อยกลับ มานั่งคิดทบทวน พยายามหาวิธีซ่อมแซมแจกันใบนี้ให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม เขาจึงนำชิ้นส่วนแจกันทั้งหมด ใส่ห่อผ้าไปหาช่างปั้นดินเผาในตลาดเยาวราช ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากวังราชสาสน์
ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นในเยาวราช ชายหนุ่มเดินดูร้านรวงต่างๆ ตามเส้นทางที่ผ่าน เป้าหมายคือร้านสังคโลกที่ตั้งอยู่ไกลสุดซอย ทว่าในระหว่างทางที่กำลังเดินไป ดวงตาคมก็สะดุดเข้ากับของภายในร้านยาจีนแห่งหนึ่ง มันคือเครื่องเซรามิกที่แตกหัก แต่ผสานรอยแตกร้าวของภาชนะนั้นๆ ด้วยทองคำ ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ เพราะเป็นอะไรที่สะดุดตาชวนมองตั้งแต่ต้น
‘แปะ ถ้วยชามพวกนี้ แปะซ่อมยังไงเหรอ’ เขาถามชายชรา ที่คาดว่าน่าจะเป็นเฒ่าแก่ร้านยาจีนแห่งนี้
‘อ๋อ อั๊วไม่ได้ซ่อมเอง แต่ส่งช่างที่เป็นคนญี่ปุ่นซ่อมให้’ ผู้อาวุโสตอบน้ำเสียงแจ่มใส ไม่มีหวงเคล็ดลับ
‘ฉันมีแจกันแตกอยู่ใบหนึ่ง ถ้าจะส่งซ่อมกับช่างญี่ปุ่นที่แปะว่า ฉันต้องทำยังไง’
เมื่อได้ที่อยู่ช่างญี่ปุ่นจาก ‘เง็กจง’ เจ้าของร้านขายยา น้อยก็รีบขึ้นสามล้อถีบไปหาช่างคนนั้นทันที พอมาถึงบ้าน ช่างญี่ปุ่นก็พิจารณาความสมบูรณ์ของชิ้นส่วนแจกัน ก่อนจะประเมินราคาที่ฟังแล้วถึงกับอึ้ง เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายให้เลยทันที เขาจึงคิดหนัก แต่ช่างญี่ปุ่นก็เสนอให้เขานำสินทรัพย์บางอย่างมาจำนำเอาไว้ก่อน พอมีเงินเมื่อไหร่ก็ค่อยนำมาไถ่ถอนคืน น้อยจึงจำต้องถอดสร้อยที่แม่มะลิมอบให้ เป็นมรดกชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่มัดจำช่างญี่ปุ่นไป
หลังจากนั้น น้อยก็ใช้เวลาว่างหลังจากการทำสวนในวัง ออกไปรับจ้างทำงานข้างนอกอยู่เป็นเดือนๆ และนำเงินจำนวนนั้น บวกกับเงินเก็บที่ยังพอเหลืออยู่ ไปไถ่ถอนสร้อยที่สำคัญที่สุดในชีวิตคืนมาได้ในที่สุด
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ น้อยก็ปิดฝากล่องลงดังเดิม แล้วหยิบมันขึ้นมาถือไว้อย่างมั่นคง ก่อนจะเดินออกไปจากที่พัก...
*********************
น้อยถือกล่องสีแดง เดินไปตามทางเดินด้านหลังตำหนักใหญ่ ก่อนจะถึงครัวฝรั่ง ได้กลิ่นปรุงอาหารหอมกรุ่นลอยมาตามสายลมอ่อนๆ น้อยยืนยิ้ม คิดว่าไม่มีใครอื่น นอกจากเพชราวสี เธอชอบทำขนมอบอยู่ในครัวฝรั่งเป็นประจำ วันนี้ก็คงเช่นกัน...
น้อยหยุดมองที่หน้าต่างครัว เห็นร่างบางกำลังหั่นผักอย่างจริงจัง พอยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ เขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นร่างสูงสง่าของชายหนุ่มอีกคนยืนอยู่ในครัวด้วยกัน
“โอ๊ย!” ภาณุมาศสะดุ้งโหยง เมื่อน้ำมันร้อนๆ กระเด็นใส่มือ รีบชักมือออกจากตะหลิวแทบไม่ทัน แต่น้ำมันก็ยังกระเด็นแตกออกมาจากกระทะไม่หยุดจนเขาต้องออกห่างจากเตา
หญิงสาวที่มีความชำนาญในการใช้ครัวมากกว่า ถลันไปปิดเตาให้อย่างระมัดระวัง เมื่อกระทะเดือดสงบลงแล้ว เธอก็รีบเข้าไปดูพระคู่หมั้นที่เสียทรงอยู่พอสมควร
“พี่ชายภาสเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” เธอถามอย่างห่วงใย ก่อนจะจับมือใหญ่กว่าของภาณุมาศขึ้นมาดู
“มือพองเลย...” เธอตกใจ กุลีกุจอหากล่องปฐมพยาบาล พร้อมถือขวดน้ำส้มสายชูมาวางเตรียมเอาไว้ “เอามือมาค่ะ ต้องเช็ดแผลด้วยน้ำส้ม สายชูก่อน”
“แปลกพิลึก ทำไมต้องเช็ดแผลด้วยน้ำส้มสายชู”
“ก็น้ำส้มสายชูมีความเย็นอยู่ในตัว จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้นะคะ” เธออธิบายขณะใช้สำลีชุบน้ำส้มสายชูชุ่มๆ แล้วนำมาเช็ดรอยแดงที่มือให้เขา
ภาณุมาศซ่อนยิ้ม ไม่คิดว่าคู่หมั้นสาวนอกจากคุณสมบัติที่เพียบ-พร้อมครบครัน เธอยังสามารถเป็นหมอประจำตัวเขาได้อีกด้วย
“พี่ชายภาสยังเจ็บอยู่ไหมคะ” เธอเงยหน้าขึ้นมาถาม
“ยิ่งได้รู้ว่าน้องเป็นห่วงพี่มากขนาดนี้ เจ็บแค่นี้พี่ทนได้ค่ะ”
เพชราวสีช้อนตามองคนปากหวานอีกรอบ แปลกใจตัวเอง ทำไมเธอถึงไม่ได้รู้สึกใดๆ กับสายตาเกี้ยวพาราสีนั้นเลยสักนิด
“แต่ไม่เจ็บเลยจะดีกว่ามาก ...ใครนะที่บอกว่าทำอาหารเก่งนักเก่งหนา โม้ทั้งเพ”
ภาณุมาศหัวเราะหึๆ ในลำคอ หากเป็นผู้หญิงคนอื่น เจ้าหล่อนคงจะอายม้วนไปนานแล้ว แต่กับเพชราวสี...เธอฉลาด กล้าต่อปากต่อคำ หากเธอเป็นอย่างผู้หญิงคนอื่น ถึงแม้จะเป็นพระคู่หมั้นกันก็ตาม เขาคงไม่สนใจ แต่เพราะเพชราวสีแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยรู้จัก เขาจึงได้รักเธออย่างที่ไม่เคยรักใคร
หัวใจของน้อยกระตุกแรงขึ้น คงเป็นเพราะความแสนดีของเพชราวสีที่ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว รู้ตัวว่ากำลังคิดล้ำเส้นไปไกล แต่ไม่อาจเอื้อมดึงฟ้าลงมาตกต่ำ...
เมื่อได้เห็นท่าทีเป็นห่วงเป็นใยของเพชราวสีที่มีต่อพระคู่หมั้น แม้เผินๆ เหมือนจะไม่ได้แตกต่างกันเลยกับความห่วงใยที่เธอมีให้เขาในวันนั้น...แต่อย่างไรเขามันก็เป็นแค่คนสวน เทียบไม่ได้เลยกับหม่อมเจ้าภาณุมาศพระคู่หมั้นของเธอ แน่นอนว่าเธอก็ต้องให้ความสำคัญกับท่านมากกว่าใครอื่นอยู่แล้ว
ชายหนุ่มต้องคอยบอกตัวเองว่าอย่าได้คิดฝันไปไกล แค่คิดจะรักคนอย่างหม่อมเจ้าเพชราวสีก็ผิดแล้ว เธองดงามสูงส่งปานนั้น เป็นผู้หญิงที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แม้จะคลาดจากหม่อมเจ้าภาณุมาศ ก็ยังมีผู้ชายฐานะดีเท่าเทียมกันต่อคิวรอ จ้องจะเป็นเจ้าของหัวใจของเธออยู่ดี ขนาดพิมที่ว่าเป็นดอกฟ้าสูงส่งนักหนา ยังขยะแขยงเมื่อรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเธอ แล้วมีหรือ...ที่เพชราวสีจะชายตาแลคนสวนอย่างเขา รักผู้ชายอย่างเขาก็เหมือนทำให้ตัวเองต้องหม่นหมอง เขาเองก็ไม่ได้อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมเช่นกัน เพราะหากปราศจากเพชราวสีไปแล้ว โลกทั้งใบคงพังทลายลงตามไปด้วย สำหรับเขาแล้ว เพชราวสีเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เธอคือคนหยิบยื่นโอกาส ทำให้เขาอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อเธอ ฉะนั้นเขาจึงตั้งใจจะทะนุถนอมเธอให้มากที่สุด เพราะไม่อยากทำให้เธอต้องผิดหวังหรือเสียใจ
“ก็พี่อยากใช้เวลาร่วมกันกับน้องนี่” ภาณุมาศยังอ้อนไม่หยุด
เพชราวสีหน้าแดงแจ๋ ขยับมุมปากเบาๆ เพื่อคลายความเขินอายที่เริ่มก่อตัวอยู่ภายในใจ
“พี่ชายภาสรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวน้องจะไปหาว่านหางจระเข้มาพอกให้” เพชราวสีอ้างกลบเกลื่อน ก่อนจะรีบเดินออกไปทางประตูครัวอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ภาณุมาศมองตามหลังด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ยามเธอออกอาการเขินอายก็อยากจะแกล้งให้สาใจ
น้อยเห็นเพชราวสีกำลังจะลงบันได ตรงมาทางที่เขายืนอยู่ จากที่ตั้งใจว่าจะคืนแจกันใบนี้ให้หล่อนทันทีที่พบหน้ากัน แต่ทำไมตอนนี้ความกล้าที่เคยมีอยู่เต็มเปี่ยมกลับหายไปจนหมดสิ้น เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะจับสังเกตความไม่พอใจที่เขาพยายามซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
น้อยกำลังจะหันหลังไป เพื่อหลบให้พ้นหน้าเพชราวสี
“น้อย!”
แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น...
เสียงเรียกดังก้อง ทำให้คนที่ถูกเรียกต้องหันกลับไปเผชิญหน้าคนตัวเล็ก แล้วยิ้มให้กลบเกลื่อนบางสิ่งที่อยู่ภายในใจ ก่อนจะยื่นกล่องที่ถืออยู่ให้หล่อนไปไม่อ้อมค้อม
“ของฉันหรือจ๊ะ” เธอชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
เพชราวสีเห็นน้อยพยักหน้าก็รับไป ก่อนจะเปิดฝากล่องออกดูแล้วตะลึง
“นี่มัน...แจกันลายดอกโบตั๋นที่นายธันทำแตกนี่” ครั้งแรกที่เห็นเธอแทบพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นแจกันใบนี้อีกครั้ง พร้อมเกิดคำถามมากมายในหัว “นายเอามันไปซ่อมให้ฉันหรือ”
คำตอบเดิมที่ได้คือการพยักหน้า
“อุดรอยแตกด้วยทองคำเป็นอะไรที่แปลกมาก” เพชราวสีสัมผัสรอยแตกที่เชื่อมด้วยสีทอง เป็นอะไรที่แปลกประหลาด แต่สิ่งนั้นกลับทำให้มันสวยงามมากยิ่งขึ้น
น้อยมองหญิงสาวตรงหน้ามีอาการตื่นเต้น เห็นเธอยิ้มเต็มกรอบหน้า เขาก็ยิ่งภูมิใจ ไม่เสียแรงที่ยอมทำทุกอย่างก็เพื่อจะได้เห็นรอยยิ้มของเธออีกครั้ง การได้เห็นเธอมีความสุข นั่นคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับเขา
“เป็นทองแท้หรือจ๊ะ หรือแค่ทองเทียมกันล่ะ”
น้อยชะงัก เขาอยากจะตอบเธอ แต่...
เพชราวสีเห็นน้อยอ้ำๆ อึ้งๆ ดวงหน้าหวานที่ฉีกยิ้มขาวสว่างพลันเศร้าลง
“ฉันนี่โง่จริง จะถามเอาอะไรกับคนใบ้ ต่อให้ถามไปกี่ร้อยกี่พันคำถาม นายก็ตอบฉันไม่ได้อยู่ดี...แต่ก็ขอบใจนะที่ซ่อมให้”
น้อยไม่เคยได้ยินน้ำเสียงแข็งกระด้างจากเพชราวสีมาก่อน เธอพูดเชิงประชดประชันมากกว่าจะเป็นประโยคบอกเล่าเรียบๆ สั้นๆ อย่างที่เขาเคยฟัง เกิดอะไรขึ้นกับใจของเธอกันแน่
“ไหนๆ นายก็มาแล้ว พี่ชายภาสถูกน้ำมันกระเด็นใส่หัตถ์ท่าน ฉันวานนายไปเก็บว่านหางจระเข้ในสวนมาให้หน่อยก็แล้วกัน” พูดจบเพชราวสีก็เดินกลับขึ้นไปบนตำหนัก ทิ้งให้น้อยได้แต่มองตามด้วยสีหน้าเศร้าหมองระคนน้อยใจ อย่างที่ไม่เคยได้รู้สึกมานานมากแล้ว
ระยะที่เพชราวสีสนทนากับน้อย ไม่ได้ห่างไกลจากหน้าต่างครัวที่หม่อมเจ้าภาณุมาศยืนอยู่เท่าไรนัก เสียงตื่นเต้นดีใจของเพชราวสีทำให้เขาอดชะโงกหน้าออกมาดูไม่ได้ แน่นอนว่าเขาเห็นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสายตาของน้อยที่มองพระคู่หมั้นของเขา มันหวานราวกับมีบางอย่างแอบแฝง ผู้ชายด้วยกันทำไมจะดูไม่ออกว่าสายตาเช่นนั้นมันหมายความว่าอย่างไร ไหนจะท่าทางของเพชราวสี ที่ดีใจเหลือเกินเมื่อเปิดกล่องใบนั้น และเมื่อเธอเดินจากไป หน้าของผู้ชายคนนั้นก็สลดลงคล้ายอาลัยอาวรณ์เธอมาก มันทำให้ภาณุมาศไม่พอใจ ที่เห็นผู้ชายคนอื่นแสดงออกแบบนั้นต่อพระคู่หมั้นของตน มือหนากำหมัดแน่นลืมความเจ็บปวดเมื่อครู่ไปทันที ดวงตาวาวโรจน์เต็มไปด้วยความเดือดดาล
“ทำหน้าแบบนี้หึงเหรอเพคะ” เจ้าของเสียงยื่นหน้าเข้ามาใกล้
พิมแสยะยิ้มร้าย สงสัยสวรรค์คงจะเมตตาเธอบ้างแล้ว
“พี่ใบ้ก็แบบนี้แหละค่ะ ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว ชอบทำตัวเรียกร้องความสนใจจากท่านหญิง ใครๆ ก็รู้ดีว่าเสด็จพระองค์ชายต้อมเกลียดชังพวกพิกลพิการมากขนาดไหน เสด็จเคยถึงขั้นขับไล่พี่ใบ้ออกจากวัง แต่ท่านหญิงกลับเป็นเดือดเป็นร้อน ยอมอ้อนวอนทำทุกทางเพื่อให้พี่ใบ้ได้อยู่ในวังต่อ จะว่าไปแล้วสองคนนี้เขาก็สนิทสนมกันมากเลยนะเพคะ แต่สนิทกันถึงขั้นไหน อันนี้พิมก็ไม่ทราบเหมือนกัน...”
พอสบโอกาสพิมก็ใส่ไฟเพชราวสีกับน้อยเต็มที่ เธอพูดถึงความสนิทสนมระหว่างเพชราวสีกับคนสวนบ้าใบ้ ทั้งเรื่องที่เพชราวสียอมออกหน้าแทนน้อยต่างๆ นานา สารพัดเรื่องสร้างความร้าวฉาน หวังจะทำให้คนทั้งคู่แตกหัก แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับกลายเป็นเธอเองที่จุกอก
“เลอะเทอะ!”
ภาณุมาศเดินผ่านหน้าพิมไปอย่างเฉยเมย แม้จะทำเป็นไม่สนใจ แต่คำพูดของพิมก็ทำให้หม่อมเจ้าผู้สูงศักดิ์ประหวั่นพรั่นพรึง อดเก็บคำพูดพวกนั้นมาใส่ใจไม่ได้อยู่ดี
วันนี้มาลงให้รวดเดียวจบตอนเลยค่ะ เห็นมีนิดเดียว ^^ บทถัดไปลงให้อ่านทุกวันอังคาร พฤหัส และเสาร์เช่นเคยนะคะ
***************
โปรฯ ปลายปากกาบุ๊กแฟร์ ครั้งที่ 3 “วานวาสนา” ลดเหลือ 409฿ (จากปก 454฿) ส่งฟรีนะคะ ^_^
สั่งซื้อได้ที่เฟซบุ๊กเพจ “ปลายปากกา สำนักพิมพ์” หรือ แอดไลน์ plaipakkabooks แจ้งชื่อหนังสือเข้ามาได้เลยค่า จะมีแอดมินสรุปราคาให้
สำหรับคนซื้อ 2 เล่ม เล่มที่ 2 ลด 25% จากปกนะคะ
((หนังสือมีวางจำหน่ายที่ร้านหนังสือ “ศูนย์หนังสือจุฬาฯ”))
eBook โหลดได้ที่ app Meb และ app Naiinpann
**โปรโมชั่นทั้งหนังสือและ eBook มีถึง 10 เมษายน 2565
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 เม.ย. 2565, 10:18:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ค. 2565, 17:46:52 น.
จำนวนการเข้าชม : 296
<< บทที่ 11 ความดีที่ไม่มีใครเห็น (100%) | บทที่ 13 แม่ผู้ครองโลก (50%) >> |