วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา
ตอน: บทที่ 13 แม่ผู้ครองโลก (50%)
ช่วงสายของวันถัดมา รถยุโรปคันงามแล่นเข้ามาจอดเทียบมุขหน้าวังราชสาสน์ คนขับรถวิ่งมาเปิดประตูหลังให้หม่อมราชวงศ์กุหลาบก้าวลงจากรถ หญิงสาวสูงศักดิ์ยืดตัวขึ้นในชุดสีแดงโก้หรูดูเป็นทางการ แม้อายุจะเข้าใกล้เลขห้าแล้ว แต่เธอก็ยังดูดี สวยอย่างไร้ที่ติแบบนี้เสมอตั้งแต่สมัยสาวๆ
และที่เธอยอมถ่อสังขารมาถึงวังราชสาสน์ในวันนี้ ก็เพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง เกี่ยวกับเรื่องที่ลูกชายของเธอได้พบเจอและเกิดข้อพิรุธระหว่างพระคู่หมั้นกับชายบ้าใบ้คนนั้น ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนถึงกับกระวนกระวาย เอาแต่หาความสำราญจากสุราทั้งวัน เห็นแบบนั้นคนเป็นแม่ก็ยิ่งทุกข์หนัก ร้อยวันพันปีภาณุมาศไม่เคยมีอาการเช่นนี้ เป็นเอามากสุดก็แค่ออกไปเที่ยวหาความสุขสำราญข้างนอก ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองต้องโทรมไร้ชีวิตชีวาอย่างเมื่อวันก่อน เธอรู้ว่าภาณุมาศรักเพชราวสีมากแค่ไหน ฉะนั้นเธอจะไม่ยอมให้มีใครหรืออะไรมาทำให้งานเสกสมรสที่ทั้งสองราชสกุลหมายมาดเอาไว้ต้องพังพินาศอย่างแน่นอน เธอยอมร้ายกาจกับคนทั้งโลก ดีกว่าต้องเห็นลูกชายสุดที่รักเจ็บปวดอยู่คนเดียว...
คุณหญิงกุหลาบขับไล่ความคิดนั้นออกไปจากสมอง ก่อนจะเดินเชิดหน้าเข้าไปยังโถงอันโอ่อ่าของวังที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี เมื่อเจ้าของบ้านเห็นว่ามีใครมา ร่างอันงดงามก็รีบรุดเข้ามาต้อนรับทันที
“สวัสดีค่ะคุณอาหญิง” เพชราวสียกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าอย่างอ่อนน้อม ก่อนจะเชื้อเชิญท่านให้เข้าไปนั่งในห้องรับรองแขก
คุณหญิงกุหลาบยกถ้วยกาแฟที่สาวรับใช้นำมาเสิร์ฟขึ้นจิบอย่างมีจริตผู้ดีที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ก่อนจะปรายตามองว่าที่ลูกสะใภ้แล้วยิ้มกริ่ม เมื่อเห็นจริยวัตรเรียบร้อยงดงามของคนตรงหน้าก็อดชื่นชมเสด็จในกรมฯ และหม่อมพจนิจไม่ได้ที่อบรมสั่งสอนธิดาของท่านได้ดีขนาดนี้
“ไม่ได้เจอหน้ากันนาน ท่านหญิงทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” คุณหญิงเอ่ยถามพลางวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ
“วสีสบายดีค่ะ”
“แล้วเสด็จกับหม่อมล่ะเพคะ”
“เด็จพ่อกับคุณแม่ไม่อยู่หรอกค่ะ” เสียงหวานตอบอย่างนุ่มนวล
“คงจะไปออกงานสังคมอีกล่ะสิ ท่านทั้งสองอยู่เฉยๆ เป็นเสียที่ไหน ว่างทีไรเป็นต้องเสด็จไปงานเลี้ยงงานสโมสรทุกที” คุณหญิงกุหลาบคาดไว้แล้ว เพราะรู้จักทั้งสองมาตั้งแต่สมัยยังสาว ช่างต่างจากเธอกับสวามีที่ทุกวันนี้ชอบอยู่ติดบ้านเสียมากกว่า ไม่จำเป็นไม่ค่อยอยากออกไปไหน เช่นพวกงานสังคมวุ่นวาย หลายครั้งที่เธอตอบปฏิเสธจนเพื่อนฝูงค่อยๆ หายหน้ากันไปทีละคนสองคน
“ป้ารู้มาว่า เมื่อวันก่อนชายภาสเสด็จมาทำอาหารเที่ยงและอยู่เสวยกับท่านหญิงด้วยใช่ไหมเพคะ”
“ใช่ค่ะ ท่านโม้ไว้มากมาย แต่แค่ทอดไข่ยังไม่ไหวเลยค่ะ” เธอเล่าปนขำ
คุณหญิงยิ้มตาม ดูเหมือนว่าหล่อนจะยังไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจความคิดของลูกชาย
“ชายภาสทำอาหารเป็นที่ไหนกัน ที่พี่เขาทำไปเพราะอยากจะเอาพระทัยท่านหญิงทั้งนั้น ถึงแม้ชายภาสจะรู้จักท่านหญิงได้ไม่นาน แต่ก็ชอบพอท่านหญิงมากไม่น้อย รู้อยู่ว่าเป็นพระคู่หมั้นกัน แต่พี่เขาก็อยากจะได้พระทัยท่านหญิงด้วยนะเพคะ”
เพชราวสีหน้าแดง เธอปลาบปลื้มที่ได้รู้อย่างนั้น เมื่อรู้ว่ามีคนรักก็ย่อมดีกว่ามีคนเกลียดชังอยู่แล้ว
“ขอบพระคุณมากค่ะที่เอ็นดูหนูมากขนาดนี้” เธอกระพุ่มมือไหว้อีกครั้งอย่างซึ้งใจ “คุณอาหญิงอย่าใช้คำทางการเลยนะคะ อาวุโสกว่าวสีตั้งเยอะ ใช้คำธรรมดาเถอะค่ะ”
“โธ่ แม่คุณ เพราะท่านหญิงทรงเป็นแบบนี้ไงเพคะ ถึงได้มีแต่คนรักใคร่เอ็นดูอยู่ตลอด”
คุณหญิงกุหลาบเอ็นดู เพชราวสีเหมาะสมกับตำแหน่งสะใภ้ของอาภาภิรมย์มากที่สุด ไม่มีใครเทียบหล่อนได้ ถ้าไม่ใช่เพชราวสี เธอก็ไม่มีวันรับผู้หญิงคนไหนมาเป็นสะใภ้เด็ดขาด! นอกเสียจากว่าจะเห็นว่ามีธิดาองค์ใดที่คู่ควรสมฐานะกันกับภาณุมาศอีก และหนึ่งในนั้นที่เธอหมายตาเอาไว้ว่าคู่ควรรองลงมาก็เห็นจะมีแต่...หม่อมราชวงศ์อทัยธิดา ธิดาเพียงองค์เดียวของหม่อมเจ้านภดลกับเจ้าแสงเฮือน ญาติผู้พี่ของเธอ ที่เพิ่งจะเรียนแพทย์จบมาหมาดๆ นับว่าเป็นผู้หญิงที่เก่งและฉลาดรอบด้าน ฐานะชาติตระกูลก็สมกัน ถ้าไม่ติดเรื่องฐานันดรศักดิ์ที่ต่ำกว่า ก็ไม่เห็นจะมีอะไรที่ด้อยไปกว่าหม่อมเจ้าเพชราวสี
“ป้าได้ข่าวมาว่าวังเสด็จพระองค์ชายต้อมรับคนบ้าใบ้เข้ามาทำงานด้วยใช่ไหมเพคะ”
เพชราวสีทำหน้าปูเลี่ยน คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยถามเรื่องนี้
“เอ่อ...จริงๆ แล้วเป็นวสีเองค่ะ ที่ขอร้องเด็จพ่อให้รับอนุเคราะห์ชายผู้นั้นไว้”
“อ้อ เพราะอย่างนี้เอง” คุณหญิงพยักหน้า ก่อนชม “ท่านหญิงน้ำพระทัยงามจริงเพคะ”
คุณหญิงกุหลาบกวาดตามองไปยังนอกหน้าต่างที่เปิดกว้าง มอง เห็นทัศนียภาพสวนที่สวยงามของวังราชสาสน์ แล้วพลางคิดเอะใจเล็กๆ เมื่อสายตาหยุดอยู่ที่กลุ่มมะลิพวกนั้น
“ที่วังราชสาสน์มีดอกไม้มากมายเลยนะเพคะ”
“วสีชอบปลูกดอกไม้ค่ะ แต่ที่ชอบมากที่สุดคือดอกมะลิ”
“ดอกมะลิสมกับท่านหญิงมากเพคะ” คุณหญิงมองเพชราวสีที่นุ่มนิ่ม เรียบร้อย สวยสว่างเปรียบได้ดังดอกมะลิซ้อนที่งดงามและหอมละมุน “แต่ป้าว่าจะสวยมากกว่านี้หากปลูกให้ได้เป็นทุ่ง ...วันนี้ป้ารู้สึกหน้ามืดพิกลไว้วันหลังจะมาเยี่ยมใหม่นะเพคะ” พอหันมองนาฬิกาเรือนใหญ่คุณหญิงก็ลุกขึ้นยืน
เพชราวสีค่อนข้างกังวลกับอาการที่ท่านบอกว่าหน้ามืด พอเห็นว่าคุณหญิงกุหลาบกำลังจะเดินกลับ เธอก็แทรกถามขึ้นด้วยความห่วงใย
“ให้วสีเดินไปส่งไหมคะ” เธอถามเบาๆ
“ไม่ต้องลำบากหรอกเพคะ ป้าเดินกลับเองได้”
เพชราวสีมองส่งคุณหญิงกุหลาบจนท่านเดินลับตาไปในที่สุด เธอหันไปมองข้างนอก ทอดมองต้นมะลิพวกนั้นคิดตามในสิ่งที่คุณหญิงเสนอ หากเธอมีสวนมะลิสักแปลงก็คงจะดีไม่น้อย
ว่าแล้วท่านหญิงก็เดินเข้าไปในสวน เสียงกวาดใบไม้ดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้รู้ว่ามีใครบางคนกำลังกวาดเศษใบไม้แห้งอยู่บริเวณนั้นด้วยเช่นกัน เพชราวสีผินหน้าหนี เป็นจังหวะเดียวกับที่น้อยหันมาพอดี ชายหนุ่มก้มหน้างุดค่อยๆ ช้อนตามองร่างเพรียวที่หันหลังจากไป แต่เพียงไม่กี่ก้าว
“โอ๊ะ”
วงแขนแกร่งก็รุดเข้ามาประคองเอวบางไว้ได้ทัน ก่อนที่เธอจะล้มคะมำลงไปกับพื้น
เพชราวสีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอนิ่วหน้า เพราะรู้สึกปวดที่เท้าจนแทบเดินต่อไม่ไหว ชายหนุ่มจึงประคองร่างบางให้ไปนั่งพักที่ศาลาสีขาวเพื่อดูอาการก่อน ก่อนสรุปว่าเธอน่าจะเป็นเหน็บชาที่เท้า จึงรู้สึกปวดเสียวขึ้นมาฉับพลัน มือหนาถือวิสาสะถอดรองเท้าคู่เล็กออกจากเท้าจะบีบนวดให้คลายอาการปวด เพชราวสีเห็นดังนั้นก็รีบร้องห้าม
“ไม่ต้อง วานไปตามพี่บัวมานวดให้ฉันที ถ้ามีใครมาเห็นนายแตะเนื้อต้องตัวฉัน มันจะดูไม่ดี...” เธอบอกเสียงแข็ง
น้อยหน้าสลด รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนไปของเพชราวสี...ชายหนุ่มลุกขึ้นหน้าซึม ก่อนจะเดินไปตามบัวมานวดเท้าให้ตามคำขอของเธอ
ด้านคุณหญิงกุหลาบกำลังจะเดินไปที่รถอยู่แล้วแท้ๆ แต่ก็ไม่คาด คิดว่าจะได้เห็นภาพบางอย่างในสวน เธอยิ้มพอใจกับการวางตัวของว่าที่ลูกสะใภ้ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นชายใบ้ส่อแววคิดไม่ซื่อขึ้นมา อันที่จริงเธอไม่ควรจะต้องไปใส่ใจชายใบ้ผู้นั้นเลยสักนิด เพราะก็เห็นอยู่แล้วว่ามันไม่มีอะไรทัดเทียมภาณุมาศลูกชายของเธอได้เลย และคนอย่างเพชราวสีก็คงจะไม่ตาต่ำถึงขั้นนั้น แต่เพียงคิดภาพความทุกข์ระทมของลูกชายสุดที่รัก เธอก็ยอมไม่ได้ อะไรที่เป็นเสี้ยนหนามก็ควรจะต้องกำจัดออกไปให้หมดหน้าเท้า
ใบหน้าที่ประทินโฉมงดงามเปลี่ยนเป็นถมึงทึงน่ากลัวทันใด เธอเดินตามจะไปเอาเรื่อง ชายใบ้ผู้นั้นคงจะรู้จักคนอย่างคุณหญิงกุหลาบน้อยเกินไป ทีนี้ล่ะ จะได้รู้จักกันอย่างถ่องแท้เสียที
“ฉันรู้นะว่าแกคิดอะไรอยู่”
เสียงของใครบางคนดังมาจากด้านหลัง น้อยชะงักฝีเท้าหันกลับไปมอง...เห็นผู้หญิงแปลกหน้าในชุดสีแดงยืนอยู่ใบหน้าเกรี้ยวกราด ดวงตาลุกวาวโรจน์ราวกับจะแผดเผาเขาให้มอดไหม้เป็นจุณ
“เป็นแค่คนสวน แถมยังพิการเป็นใบ้ คิดเหรอว่าใครเขาจะเอาแก น่ะ คนอย่างท่านหญิงเพชราวสี ท่านไม่มีทางชายพระเนตรมองแกหรอก ความคิดแกนี่มันชั่วช้าสามานย์จริงๆ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คิดจะเก็บเพชรล้ำค่าเอามาใส่ตม น่าสมเพช!!”
คุณหญิงกุหลาบจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน หัวอกคนเป็นแม่ย่อมรักลูกมากกว่าสิ่งอื่นใด เธอไม่สนว่าสิ่งที่ทำนั้นจะผิดหรือไม่...และนี่ก็คือวิธีที่เธอเลือกแก้ปัญหา เพื่อความสบายใจของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนั่นเอง
“จริงๆ แล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลากับคนบ้าใบ้อย่างแกเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเห็นแก่ความสุขของชายภาส ฉันถึงต้องทำ... ถ้าไม่อยากให้เรื่องนี้ถึงพระกรรณของเสด็จพระองค์ชายต้อม จงอยู่ห่างจากพระคู่หมั้นของลูกชายฉันเอาไว้ แกยังไม่รู้ว่าคนอย่างฉันทำอะไรได้บ้าง!” คุณหญิงกุหลาบเชิดหน้าใส่ ตามด้วยน้ำเสียงกระชากข่มขู่ทิ้งท้าย
ชายหนุ่มมองตาแข็ง นี่นะหรือ...พระมารดาของหม่อมเจ้าภาณุมาศ หล่อนช่างดูดีมีสง่าราศี สมกับเป็นราชนิกุล แต่ทว่าจิตใจช่างตรงกันข้าม จนไม่อาจจะเชื่อได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้เกิดมาในชาติตระกูลสูงส่ง
เขาจะร้องไห้หรือ? ไม่อีกแล้วละ แต่ก่อนเคยอ่อนแอก็มักจะระบายออกมาด้วยการร้องไห้เพียงลำพัง แต่มาวันนี้น้ำตาคือสิ่งที่เขาเกลียดชัง
เขาเพียงแต่สมเพชเวทนาผู้หญิงคนนี้มากกว่า ข่มขู่คนอื่นแต่ไม่เคยดูลูกชายตัวเอง หม่อมเจ้าภาณุมาศมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาไม่อาจเทียบได้ก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านไม่มีคือความซื่อสัตย์...แล้วผู้ชายแบบนั้นนะหรือคู่ควรกับผู้หญิงที่ดีพร้อมอย่างเพชราวสี
น้อยมองคุณหญิงกุหลาบชูคอเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบงัน
ประโยคสุดท้ายยังดังก้องอยู่ในหู พร้อมกับคำพูดจาดูถูกดูแคลนมากมายที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กจนโต ประเดประดังเข้ามาสุดจะทนอีกต่อไป...คงถึงเวลาที่เขาจะต้องลุกขึ้นสู้บ้างแล้ว
ชายหนุ่มถามใจตัวเองว่ารักเพชราวสีหรือเปล่า และเขาก็ได้คำตอบว่ารักเธอหมดทั้งใจ ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ บุญคุณและความประทับใจแปรผันไปเป็นอย่างอื่นตั้งแต่เมื่อไร... อาจเป็นเพราะไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกดีได้เท่านี้มาก่อน ตอนแรกเขาไม่ได้ต้องการให้เธอรับรักตอบ ขอแค่ได้เฝ้ามองเธออยู่ห่างๆ ช่วยเหลือเธอได้ในยามทุกข์ยากเพียงเท่านี้ก็พอใจ... แต่ทุกคำดูถูกของคุณหญิงกุหลาบทำให้เขาปั่นป่วน ไม่มีใครอยากเป็นไอ้ขี้แพ้ โดนดูถูกแบบนี้ไปจนตาย เขาอยากลบคำสบประมาทพวกนั้น คำที่บอกว่าน้ำหน้าอย่างเขาไม่มีใครเอา ไม่มีใครต้องการ ไอ้คนยากไร้คนนี้นี่แหละ จะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าเขาก็สามารถช่วงชิงหัวใจของผู้หญิงที่ผู้ชายทุกคนหมายปองมาได้เช่นกัน
เพียงคิดก็ไม่ง่ายแล้ว หากเขาอยากได้ใจเพชราวสี ก็ต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าเสียก่อน ในเมื่อเกิดมาเป็นคน จะชั่วจะดีก็อยู่ที่ตัวทำ จะเลือกว่าสูงหรือต่ำก็อยู่ที่ทำตัว ในเมื่อหญิงที่รักนั้นสูงส่ง ส่วนเขามันต่ำต้อย เขาก็จะถีบตัวเองให้สูงขึ้น เพื่อให้ช่องว่างนั้นใกล้กันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จนสามารถสมานกลายเป็นเนื้อเดียวกันได้ในที่สุด
และสิ่งแรกที่เขาจะทำ คือตามหาบิดามารดาที่แท้จริงให้เจอ มันคงจะดีไม่น้อยหากได้พบหน้าพวกท่านสักครั้งในชีวิต เขาจะได้ไม่ต้องทนอยู่บนโลกใบนี้อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป...
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
และที่เธอยอมถ่อสังขารมาถึงวังราชสาสน์ในวันนี้ ก็เพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง เกี่ยวกับเรื่องที่ลูกชายของเธอได้พบเจอและเกิดข้อพิรุธระหว่างพระคู่หมั้นกับชายบ้าใบ้คนนั้น ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนถึงกับกระวนกระวาย เอาแต่หาความสำราญจากสุราทั้งวัน เห็นแบบนั้นคนเป็นแม่ก็ยิ่งทุกข์หนัก ร้อยวันพันปีภาณุมาศไม่เคยมีอาการเช่นนี้ เป็นเอามากสุดก็แค่ออกไปเที่ยวหาความสุขสำราญข้างนอก ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองต้องโทรมไร้ชีวิตชีวาอย่างเมื่อวันก่อน เธอรู้ว่าภาณุมาศรักเพชราวสีมากแค่ไหน ฉะนั้นเธอจะไม่ยอมให้มีใครหรืออะไรมาทำให้งานเสกสมรสที่ทั้งสองราชสกุลหมายมาดเอาไว้ต้องพังพินาศอย่างแน่นอน เธอยอมร้ายกาจกับคนทั้งโลก ดีกว่าต้องเห็นลูกชายสุดที่รักเจ็บปวดอยู่คนเดียว...
คุณหญิงกุหลาบขับไล่ความคิดนั้นออกไปจากสมอง ก่อนจะเดินเชิดหน้าเข้าไปยังโถงอันโอ่อ่าของวังที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี เมื่อเจ้าของบ้านเห็นว่ามีใครมา ร่างอันงดงามก็รีบรุดเข้ามาต้อนรับทันที
“สวัสดีค่ะคุณอาหญิง” เพชราวสียกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าอย่างอ่อนน้อม ก่อนจะเชื้อเชิญท่านให้เข้าไปนั่งในห้องรับรองแขก
คุณหญิงกุหลาบยกถ้วยกาแฟที่สาวรับใช้นำมาเสิร์ฟขึ้นจิบอย่างมีจริตผู้ดีที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ก่อนจะปรายตามองว่าที่ลูกสะใภ้แล้วยิ้มกริ่ม เมื่อเห็นจริยวัตรเรียบร้อยงดงามของคนตรงหน้าก็อดชื่นชมเสด็จในกรมฯ และหม่อมพจนิจไม่ได้ที่อบรมสั่งสอนธิดาของท่านได้ดีขนาดนี้
“ไม่ได้เจอหน้ากันนาน ท่านหญิงทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” คุณหญิงเอ่ยถามพลางวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ
“วสีสบายดีค่ะ”
“แล้วเสด็จกับหม่อมล่ะเพคะ”
“เด็จพ่อกับคุณแม่ไม่อยู่หรอกค่ะ” เสียงหวานตอบอย่างนุ่มนวล
“คงจะไปออกงานสังคมอีกล่ะสิ ท่านทั้งสองอยู่เฉยๆ เป็นเสียที่ไหน ว่างทีไรเป็นต้องเสด็จไปงานเลี้ยงงานสโมสรทุกที” คุณหญิงกุหลาบคาดไว้แล้ว เพราะรู้จักทั้งสองมาตั้งแต่สมัยยังสาว ช่างต่างจากเธอกับสวามีที่ทุกวันนี้ชอบอยู่ติดบ้านเสียมากกว่า ไม่จำเป็นไม่ค่อยอยากออกไปไหน เช่นพวกงานสังคมวุ่นวาย หลายครั้งที่เธอตอบปฏิเสธจนเพื่อนฝูงค่อยๆ หายหน้ากันไปทีละคนสองคน
“ป้ารู้มาว่า เมื่อวันก่อนชายภาสเสด็จมาทำอาหารเที่ยงและอยู่เสวยกับท่านหญิงด้วยใช่ไหมเพคะ”
“ใช่ค่ะ ท่านโม้ไว้มากมาย แต่แค่ทอดไข่ยังไม่ไหวเลยค่ะ” เธอเล่าปนขำ
คุณหญิงยิ้มตาม ดูเหมือนว่าหล่อนจะยังไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจความคิดของลูกชาย
“ชายภาสทำอาหารเป็นที่ไหนกัน ที่พี่เขาทำไปเพราะอยากจะเอาพระทัยท่านหญิงทั้งนั้น ถึงแม้ชายภาสจะรู้จักท่านหญิงได้ไม่นาน แต่ก็ชอบพอท่านหญิงมากไม่น้อย รู้อยู่ว่าเป็นพระคู่หมั้นกัน แต่พี่เขาก็อยากจะได้พระทัยท่านหญิงด้วยนะเพคะ”
เพชราวสีหน้าแดง เธอปลาบปลื้มที่ได้รู้อย่างนั้น เมื่อรู้ว่ามีคนรักก็ย่อมดีกว่ามีคนเกลียดชังอยู่แล้ว
“ขอบพระคุณมากค่ะที่เอ็นดูหนูมากขนาดนี้” เธอกระพุ่มมือไหว้อีกครั้งอย่างซึ้งใจ “คุณอาหญิงอย่าใช้คำทางการเลยนะคะ อาวุโสกว่าวสีตั้งเยอะ ใช้คำธรรมดาเถอะค่ะ”
“โธ่ แม่คุณ เพราะท่านหญิงทรงเป็นแบบนี้ไงเพคะ ถึงได้มีแต่คนรักใคร่เอ็นดูอยู่ตลอด”
คุณหญิงกุหลาบเอ็นดู เพชราวสีเหมาะสมกับตำแหน่งสะใภ้ของอาภาภิรมย์มากที่สุด ไม่มีใครเทียบหล่อนได้ ถ้าไม่ใช่เพชราวสี เธอก็ไม่มีวันรับผู้หญิงคนไหนมาเป็นสะใภ้เด็ดขาด! นอกเสียจากว่าจะเห็นว่ามีธิดาองค์ใดที่คู่ควรสมฐานะกันกับภาณุมาศอีก และหนึ่งในนั้นที่เธอหมายตาเอาไว้ว่าคู่ควรรองลงมาก็เห็นจะมีแต่...หม่อมราชวงศ์อทัยธิดา ธิดาเพียงองค์เดียวของหม่อมเจ้านภดลกับเจ้าแสงเฮือน ญาติผู้พี่ของเธอ ที่เพิ่งจะเรียนแพทย์จบมาหมาดๆ นับว่าเป็นผู้หญิงที่เก่งและฉลาดรอบด้าน ฐานะชาติตระกูลก็สมกัน ถ้าไม่ติดเรื่องฐานันดรศักดิ์ที่ต่ำกว่า ก็ไม่เห็นจะมีอะไรที่ด้อยไปกว่าหม่อมเจ้าเพชราวสี
“ป้าได้ข่าวมาว่าวังเสด็จพระองค์ชายต้อมรับคนบ้าใบ้เข้ามาทำงานด้วยใช่ไหมเพคะ”
เพชราวสีทำหน้าปูเลี่ยน คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยถามเรื่องนี้
“เอ่อ...จริงๆ แล้วเป็นวสีเองค่ะ ที่ขอร้องเด็จพ่อให้รับอนุเคราะห์ชายผู้นั้นไว้”
“อ้อ เพราะอย่างนี้เอง” คุณหญิงพยักหน้า ก่อนชม “ท่านหญิงน้ำพระทัยงามจริงเพคะ”
คุณหญิงกุหลาบกวาดตามองไปยังนอกหน้าต่างที่เปิดกว้าง มอง เห็นทัศนียภาพสวนที่สวยงามของวังราชสาสน์ แล้วพลางคิดเอะใจเล็กๆ เมื่อสายตาหยุดอยู่ที่กลุ่มมะลิพวกนั้น
“ที่วังราชสาสน์มีดอกไม้มากมายเลยนะเพคะ”
“วสีชอบปลูกดอกไม้ค่ะ แต่ที่ชอบมากที่สุดคือดอกมะลิ”
“ดอกมะลิสมกับท่านหญิงมากเพคะ” คุณหญิงมองเพชราวสีที่นุ่มนิ่ม เรียบร้อย สวยสว่างเปรียบได้ดังดอกมะลิซ้อนที่งดงามและหอมละมุน “แต่ป้าว่าจะสวยมากกว่านี้หากปลูกให้ได้เป็นทุ่ง ...วันนี้ป้ารู้สึกหน้ามืดพิกลไว้วันหลังจะมาเยี่ยมใหม่นะเพคะ” พอหันมองนาฬิกาเรือนใหญ่คุณหญิงก็ลุกขึ้นยืน
เพชราวสีค่อนข้างกังวลกับอาการที่ท่านบอกว่าหน้ามืด พอเห็นว่าคุณหญิงกุหลาบกำลังจะเดินกลับ เธอก็แทรกถามขึ้นด้วยความห่วงใย
“ให้วสีเดินไปส่งไหมคะ” เธอถามเบาๆ
“ไม่ต้องลำบากหรอกเพคะ ป้าเดินกลับเองได้”
เพชราวสีมองส่งคุณหญิงกุหลาบจนท่านเดินลับตาไปในที่สุด เธอหันไปมองข้างนอก ทอดมองต้นมะลิพวกนั้นคิดตามในสิ่งที่คุณหญิงเสนอ หากเธอมีสวนมะลิสักแปลงก็คงจะดีไม่น้อย
ว่าแล้วท่านหญิงก็เดินเข้าไปในสวน เสียงกวาดใบไม้ดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้รู้ว่ามีใครบางคนกำลังกวาดเศษใบไม้แห้งอยู่บริเวณนั้นด้วยเช่นกัน เพชราวสีผินหน้าหนี เป็นจังหวะเดียวกับที่น้อยหันมาพอดี ชายหนุ่มก้มหน้างุดค่อยๆ ช้อนตามองร่างเพรียวที่หันหลังจากไป แต่เพียงไม่กี่ก้าว
“โอ๊ะ”
วงแขนแกร่งก็รุดเข้ามาประคองเอวบางไว้ได้ทัน ก่อนที่เธอจะล้มคะมำลงไปกับพื้น
เพชราวสีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอนิ่วหน้า เพราะรู้สึกปวดที่เท้าจนแทบเดินต่อไม่ไหว ชายหนุ่มจึงประคองร่างบางให้ไปนั่งพักที่ศาลาสีขาวเพื่อดูอาการก่อน ก่อนสรุปว่าเธอน่าจะเป็นเหน็บชาที่เท้า จึงรู้สึกปวดเสียวขึ้นมาฉับพลัน มือหนาถือวิสาสะถอดรองเท้าคู่เล็กออกจากเท้าจะบีบนวดให้คลายอาการปวด เพชราวสีเห็นดังนั้นก็รีบร้องห้าม
“ไม่ต้อง วานไปตามพี่บัวมานวดให้ฉันที ถ้ามีใครมาเห็นนายแตะเนื้อต้องตัวฉัน มันจะดูไม่ดี...” เธอบอกเสียงแข็ง
น้อยหน้าสลด รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนไปของเพชราวสี...ชายหนุ่มลุกขึ้นหน้าซึม ก่อนจะเดินไปตามบัวมานวดเท้าให้ตามคำขอของเธอ
ด้านคุณหญิงกุหลาบกำลังจะเดินไปที่รถอยู่แล้วแท้ๆ แต่ก็ไม่คาด คิดว่าจะได้เห็นภาพบางอย่างในสวน เธอยิ้มพอใจกับการวางตัวของว่าที่ลูกสะใภ้ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นชายใบ้ส่อแววคิดไม่ซื่อขึ้นมา อันที่จริงเธอไม่ควรจะต้องไปใส่ใจชายใบ้ผู้นั้นเลยสักนิด เพราะก็เห็นอยู่แล้วว่ามันไม่มีอะไรทัดเทียมภาณุมาศลูกชายของเธอได้เลย และคนอย่างเพชราวสีก็คงจะไม่ตาต่ำถึงขั้นนั้น แต่เพียงคิดภาพความทุกข์ระทมของลูกชายสุดที่รัก เธอก็ยอมไม่ได้ อะไรที่เป็นเสี้ยนหนามก็ควรจะต้องกำจัดออกไปให้หมดหน้าเท้า
ใบหน้าที่ประทินโฉมงดงามเปลี่ยนเป็นถมึงทึงน่ากลัวทันใด เธอเดินตามจะไปเอาเรื่อง ชายใบ้ผู้นั้นคงจะรู้จักคนอย่างคุณหญิงกุหลาบน้อยเกินไป ทีนี้ล่ะ จะได้รู้จักกันอย่างถ่องแท้เสียที
“ฉันรู้นะว่าแกคิดอะไรอยู่”
เสียงของใครบางคนดังมาจากด้านหลัง น้อยชะงักฝีเท้าหันกลับไปมอง...เห็นผู้หญิงแปลกหน้าในชุดสีแดงยืนอยู่ใบหน้าเกรี้ยวกราด ดวงตาลุกวาวโรจน์ราวกับจะแผดเผาเขาให้มอดไหม้เป็นจุณ
“เป็นแค่คนสวน แถมยังพิการเป็นใบ้ คิดเหรอว่าใครเขาจะเอาแก น่ะ คนอย่างท่านหญิงเพชราวสี ท่านไม่มีทางชายพระเนตรมองแกหรอก ความคิดแกนี่มันชั่วช้าสามานย์จริงๆ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คิดจะเก็บเพชรล้ำค่าเอามาใส่ตม น่าสมเพช!!”
คุณหญิงกุหลาบจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน หัวอกคนเป็นแม่ย่อมรักลูกมากกว่าสิ่งอื่นใด เธอไม่สนว่าสิ่งที่ทำนั้นจะผิดหรือไม่...และนี่ก็คือวิธีที่เธอเลือกแก้ปัญหา เพื่อความสบายใจของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนั่นเอง
“จริงๆ แล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลากับคนบ้าใบ้อย่างแกเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเห็นแก่ความสุขของชายภาส ฉันถึงต้องทำ... ถ้าไม่อยากให้เรื่องนี้ถึงพระกรรณของเสด็จพระองค์ชายต้อม จงอยู่ห่างจากพระคู่หมั้นของลูกชายฉันเอาไว้ แกยังไม่รู้ว่าคนอย่างฉันทำอะไรได้บ้าง!” คุณหญิงกุหลาบเชิดหน้าใส่ ตามด้วยน้ำเสียงกระชากข่มขู่ทิ้งท้าย
ชายหนุ่มมองตาแข็ง นี่นะหรือ...พระมารดาของหม่อมเจ้าภาณุมาศ หล่อนช่างดูดีมีสง่าราศี สมกับเป็นราชนิกุล แต่ทว่าจิตใจช่างตรงกันข้าม จนไม่อาจจะเชื่อได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้เกิดมาในชาติตระกูลสูงส่ง
เขาจะร้องไห้หรือ? ไม่อีกแล้วละ แต่ก่อนเคยอ่อนแอก็มักจะระบายออกมาด้วยการร้องไห้เพียงลำพัง แต่มาวันนี้น้ำตาคือสิ่งที่เขาเกลียดชัง
เขาเพียงแต่สมเพชเวทนาผู้หญิงคนนี้มากกว่า ข่มขู่คนอื่นแต่ไม่เคยดูลูกชายตัวเอง หม่อมเจ้าภาณุมาศมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาไม่อาจเทียบได้ก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านไม่มีคือความซื่อสัตย์...แล้วผู้ชายแบบนั้นนะหรือคู่ควรกับผู้หญิงที่ดีพร้อมอย่างเพชราวสี
น้อยมองคุณหญิงกุหลาบชูคอเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบงัน
ประโยคสุดท้ายยังดังก้องอยู่ในหู พร้อมกับคำพูดจาดูถูกดูแคลนมากมายที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กจนโต ประเดประดังเข้ามาสุดจะทนอีกต่อไป...คงถึงเวลาที่เขาจะต้องลุกขึ้นสู้บ้างแล้ว
ชายหนุ่มถามใจตัวเองว่ารักเพชราวสีหรือเปล่า และเขาก็ได้คำตอบว่ารักเธอหมดทั้งใจ ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ บุญคุณและความประทับใจแปรผันไปเป็นอย่างอื่นตั้งแต่เมื่อไร... อาจเป็นเพราะไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกดีได้เท่านี้มาก่อน ตอนแรกเขาไม่ได้ต้องการให้เธอรับรักตอบ ขอแค่ได้เฝ้ามองเธออยู่ห่างๆ ช่วยเหลือเธอได้ในยามทุกข์ยากเพียงเท่านี้ก็พอใจ... แต่ทุกคำดูถูกของคุณหญิงกุหลาบทำให้เขาปั่นป่วน ไม่มีใครอยากเป็นไอ้ขี้แพ้ โดนดูถูกแบบนี้ไปจนตาย เขาอยากลบคำสบประมาทพวกนั้น คำที่บอกว่าน้ำหน้าอย่างเขาไม่มีใครเอา ไม่มีใครต้องการ ไอ้คนยากไร้คนนี้นี่แหละ จะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าเขาก็สามารถช่วงชิงหัวใจของผู้หญิงที่ผู้ชายทุกคนหมายปองมาได้เช่นกัน
เพียงคิดก็ไม่ง่ายแล้ว หากเขาอยากได้ใจเพชราวสี ก็ต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าเสียก่อน ในเมื่อเกิดมาเป็นคน จะชั่วจะดีก็อยู่ที่ตัวทำ จะเลือกว่าสูงหรือต่ำก็อยู่ที่ทำตัว ในเมื่อหญิงที่รักนั้นสูงส่ง ส่วนเขามันต่ำต้อย เขาก็จะถีบตัวเองให้สูงขึ้น เพื่อให้ช่องว่างนั้นใกล้กันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จนสามารถสมานกลายเป็นเนื้อเดียวกันได้ในที่สุด
และสิ่งแรกที่เขาจะทำ คือตามหาบิดามารดาที่แท้จริงให้เจอ มันคงจะดีไม่น้อยหากได้พบหน้าพวกท่านสักครั้งในชีวิต เขาจะได้ไม่ต้องทนอยู่บนโลกใบนี้อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป...
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 เม.ย. 2565, 19:14:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 เม.ย. 2565, 19:14:34 น.
จำนวนการเข้าชม : 285
<< บทที่ 12 ล้ำเส้น | บทที่ 13 แม่ผู้ครองโลก (100%) >> |