วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา
ตอน: บทที่ 17 สร้อยวิรุณวงษ์ (70%)
ช่วงค่ำ เพชราวสีอาบน้ำเตรียมจะนอนแล้ว แต่ก็ไม่รู้ทำไมเธอจะต้องเก็บเอาเรื่องที่พบเจอในวันนี้มาใส่ใจด้วย เพชราวสีหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ปลายเตียง สักพักเธอก็ลุกขึ้นเดินไปเดินมาอยู่ไม่สุข คิดถึงแต่เรื่องสร้อยเส้นนั้น
เพชราวสีเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ ข้างในมีกล่องใบหนึ่งเธอเปิดออกก็พบว่าสร้อยของน้อยที่เธอเก็บรักษาไว้ยังอยู่ในสภาพเป็นปกติดี เพชราวสีทิ้งกล่องไว้ที่โต๊ะ เลือกหยิบแต่สร้อย แล้วทรุดตัวนั่งลงบนเตียงนอนนุ่ม
ทันใดนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเป็นมารยาท ก่อนที่พระมารดาของเธอจะผลักประตูเข้ามาพร้อมเสียงทักทายอ่อนละมุนดั่งเช่นทุกครั้ง
“นอนหรือยังจ๊ะสาวน้อยของแม่”
“คุณแม่” เพชราวสีอมยิ้ม มองพระมารดาขยับเข้ามานั่งใกล้กันบนเตียง
“นั่งทำอะไรอยู่หรือลูก แม่เข้ามากวนหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ลูกแค่นั่งคิดอะไรเพลินๆ” เพชราวสีหันไปตอบ ในมือยังคงถือสร้อยเส้นนั้นไม่ยอมปล่อยให้ห่างกาย เป็นเป้าสายตาให้หม่อมพจนิจได้เห็น... วินาทีนั้นคนเป็นแม่ถึงกับชะงัก เสมือนฟ้าฝ่าลงมากลางใจ!
“วสี! ลูกไปเอาสร้อยเส้นนี้มาจากไหน” หม่อมพจนิจถามเสียงเข้ม
เพชราวสีแอบเห็นแววตาสั่นไหวของพระมารดา รู้สึกผิดปกติ
“ของน้อยค่ะ...ลูกเก็บได้แต่ยังไม่มีโอกาสคืนเขาเลย” เสียงหวานไม่กล้าพูดเต็มเสียง รู้ว่าพระมารดาไม่ค่อยชอบให้เธอไปใกล้ชิดกับชายใบ้ผู้นั้นสักเท่าไร
...เธอเห็นพระมารดาเอาแต่นั่งเงียบ หวั่นใจกลัวจะถูกตำหนิ
“คุณแม่ไม่ชอบใจใช่ไหมคะ ที่หนูเก็บสร้อยของน้อยเอาไว้”
“เป็นสร้อยของไอ้น้อยจริงๆ รึ” หม่อมพจนิจโพล่งถามเสียงดัง
เพชราวสีแปลกใจกับอาการเช่นนั้น...ท่านเหมือนจะไม่โกรธแต่ก็ไม่ยินดีเช่นกัน
“ก็น่าจะใช่นะคะ เมื่อวานก่อนหนูก็เห็นเขาตามหาอยู่ท่าทางร้อนใจมากเลยทีเดียว”
“แต่นี่เป็นสร้อยราชสกุลวิรุณวงษ์นะลูก เป็นของสูง จะไปอยู่ในมือของคนสวนบ้าใบ้แบบนั้นได้ยังไงกัน ลูกคงเข้าใจผิดแล้วละเพชราวสี”
“คุณแม่รู้จักสร้อยเส้นนี้ด้วยเหรอคะ” เธอขมวดคิ้วถาม
“แม่เคยเห็นสร้อยเส้นนี้เมื่อหลายปีก่อน สร้อยของหม่อมหลวงมนัส วิรุณวงษ์”
“แล้วยังไงคะ หม่อมหลวงมนัสคือใคร แล้วเขามาเกี่ยวอะไรด้วย” เพชราวสีก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“ตอนนั้นแม่มีโอกาสได้เข้าร่วมงานเสกสมรสของเสด็จพระองค์ผ่องกับท่านหญิงวริศราพร้อมเสด็จพ่อท่าน วันนั้นได้พบปะกับคุณมนัส พระญาติของท่านหญิง เลยจำได้ว่าเป็นสร้อยแบบเดียวกันกับสร้อยของคุณมนัส”
เพชราวสีพยักหน้าเข้าใจ
“อย่าคิดมากเลยลูก นอนเถอะนะ” คนเป็นแม่ยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกสาวแผ่วเบา ก่อนจะลุกเดินออกไปจากห้องบรรทมแสนสวย
เพชราวสียิ้มตามคนที่เพิ่งเดินออกไปจากห้องของเธอ แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ยังหลับไม่ลงอยู่ดี เพราะเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องสร้อยที่อยู่ในมือ
ถ้าสร้อยเส้นนี้ เป็นเส้นเดียวกันกับที่เธอเห็นในรูปที่วังจริงๆ นั่นก็แสดงว่า ท่านหญิงวริศราก็น่าจะเป็นเจ้าของสร้อยเส้นนี้ แล้วน้อยเกี่ยวข้องอะไรกับท่านหญิงวริศรา ทั้งสองคนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่... แต่ถ้าคิดอีกมุมหนึ่ง น้อยอาจจะไปขโมยมาจากวังอาภาภิรมย์ก็ได้ แต่น้อยก็ไม่น่าจะใช่คนแบบนั้นเสียหน่อย หรือว่าสร้อยแบบนี้จะมีหลายเส้น... แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเป็นสร้อยที่มีลักษณะจำเพาะ ไม่น่าจะลอกเลียน แบบกันได้ง่ายๆ แล้วยังหม่อมหลวงมนัสที่พระมารดาพูดถึงอีก เขาก็มีสร้อยแบบนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ
เพชราวสีกุมขมับ ไม่เข้าใจตัวเองทำไมต้องอยากรู้เรื่องนี้นัก ไหนบอกจะไม่สนใจเรื่องของเขา แล้วสิ่งที่เธอทำอยู่มันเรียกว่าอะไรกัน
“เฮ้อ!” เพชราวสีถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามเตือนตัวเองไม่ให้ยุ่งเกี่ยวเรื่องของผู้ชายคนนั้นอีก
***********************
สองสัปดาห์แล้ว น้อยแทบจะไม่ได้เจอหน้าเพชราวสีเลย ทุกวันเขาจะเห็นเธอยืนใส่บาตรตอนเช้า จากนั้นเธอก็เหมือนจะหายหน้าหายตาไปทั้งวัน ไม่ออกมานั่งทำขนมหรืออ่านหนังสือที่ศาลาสีขาวเหมือนแต่ก่อน
ไม่รู้ว่าเขาคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่ทุกครั้งที่เขาเดินผ่านหน้าเธอ เพชราวสีก็มักจะมองเมินไปทางอื่น แล้วก็เดินเลี่ยงขึ้นตึกไป เหมือนตั้งใจหลบหน้ากัน น้อยไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เพชราวสีไม่พอใจ แต่ท่าทางแบบนั้นมันผิดวิสัย ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวตนของเธอเลย
เพชราวสีคงไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้น มันทำร้ายจิตใจของเขายิ่งกว่าคำพูดตอกหน้าเจ็บๆ เป็นร้อยเท่าพันเท่า ยิ่งเธอไม่พูด เขาไม่พูด แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจกัน ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เห็นทีเขาจะต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง และก็อาจจะถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเลิกเป็นใบ้เสียที
เย็นวันนี้ก็คงจะเป็นเย็นวันธรรมดาอีกหนึ่งวัน ถ้าไม่มีสิ่งที่ผิดปกติไปคือการมาของหม่อมเจ้าภาณุมาศ ปกติท่านชายก็มาที่วังราชสาสน์ให้เห็นจนเป็นเรื่องชินตา แต่สิ่งที่แปลกประหลาดในวันนี้...แทนที่ท่านจะเข้าไปหาเพชราวสีบนตำหนักเหมือนทุกครั้ง ท่านกลับจอดรถทิ้งไว้ แล้วเลือกเดินเข้าไปในส่วนเรือนนอนคนใช้ข้างหลัง ดูเหมือนว่าเพชราวสีก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระคู่หมั้นของเธอมา
สักพักรถสีแดงคันโก้ของสุภาวดีก็เคลื่อนเข้ามาภายในรั้ววัง สีหน้าของเธอดูเคร่งเครียดมาก ไม่พอยังรีบย่ำเท้าขึ้นไปบนตำหนักใหญ่ท่าทางเร่งร้อนผิดปกติ
ด้านเพชราวสีกำลังยืนคุมคนของเธอตั้งสำรับเย็น เธอรับจานจากบัวมาจัดวางบนโต๊ะรับประทานอาหาร แล้วเสียงเรียกก็ดังขึ้นจนเธอต้องหันไปมอง
“ยัยวสี!”
เพชราวสีวางมือจากงานที่ทำอยู่ เดินเข้าไปหาเพื่อนสาวที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ยัยสุ มาหาฉันเสียเย็นเชียว มีธุระอะไรหรือ”
“ฉันเห็นรถท่านชายภาสจอดอยู่ข้างหน้า ท่านมาหาเธอรึ” หล่อนถามน้ำเสียงกดต่ำ
“พี่ชายภาสมาหาฉันหรือ... ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยล่ะ” เพชราวสีกะพริบตาปริบๆ คิ้วบางขมวดเข้าหากัน
“แต่ฉันเห็นรถของท่านจอดอยู่จริงๆ นะ ไม่เชื่อเธอก็ลองดูเองสิ”
เมื่อสุภาวดีย้ำเช่นนั้น เธอก็รีบชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเบนซ์หรูสีดำจอดนิ่งสนิท เป็นรถของเขาจริงๆ แต่ไม่เห็นเจ้าของรถอยู่แถวนั้น
“จริงด้วย” เธออุทาน คิดว่าตอนนั้นเธอคงกำลังทำอาหารอยู่ในห้องเครื่องจึงไม่เห็นตอนเขามา แต่... “ถ้าท่านมาหาฉัน แล้วทำไมไม่ขึ้นมานั่งรอฉันบนตำหนักล่ะ”
“หรือท่านจะไม่ได้มาหาเธอ” สุภาวดีพูดให้เพื่อนฉุกคิดยิ่งขึ้น เพราะที่เธอรีบมาหาเพชราวสีในวันนี้ ก็เพื่อต้องการจะทำให้เพื่อนตาสว่างเสียที...
“แล้วต้นห้องของเธอไปไหนเสียล่ะ ช่วงนี้ฉันไม่เห็นแม่พิมตามติดเธอแจเหมือนเมื่อก่อนเลย”
สุภาวดีจีบปากจีบคอพูดเชิงหมั่นไส้ แรกๆ ตอนที่วังราชสาสน์รับ พิมเข้ามาอยู่ใหม่ๆ เจ้าหล่อนก็ดีอยู่หรอก เห็นเงียบๆ เรียบร้อย และมีบางมุมที่ทำให้พวกเธอหัวเราะได้อยู่บ่อยครั้ง แต่พอหลังๆ หล่อนชอบมาขอข้าวของของเพชราวสีไปใช้ จนสุภาวดีรู้สึกเอือมระอาแทน บางครั้งก็ดูเหมือนจะเป็นมิตร แต่สายตาก็ฟ้องถึงความขี้อิจฉาให้เห็นชัดเจน และเธอก็สังเกตว่าพักหลังมานี้ เหมือนพิมจะชอบมีลับลมคมในอยู่ตลอดเวลา หล่อนมีความลับที่ไม่อยากบอกให้ใครรับรู้...
อย่างว่าปลาเน่ายังไงก็คือปลาเน่าอยู่วันยังค่ำ ถึงจะใช้น้ำอบน้ำพรมฉีดกลบกลิ่นเอาไว้ แต่สักวันมันก็จะส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งออกมา ปิดไว้ไม่มิดอยู่ดี
“วันนี้พิมป่วยทั้งวัน ก็น่าจะนอนพักผ่อนอยู่ในห้องนั่นแหละ”
“ป่วยรึ! คนป่วยที่ไหนเขาไปเดินเที่ยวตากแดดตากลมกัน”
“เธอกำลังจะพูดอะไร ฉันงงไปหมดแล้ว”
หนังสือวางขายที่ร้านหนังสือ “ศูนย์หนังสือจุฬาฯ” และช่องทางออนไลน์
ตจว.มีที่ “ร้านเล่า เชียงใหม่”
eBook โหลดได้ที่ App Meb และ App Naiin
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
เพชราวสีเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ ข้างในมีกล่องใบหนึ่งเธอเปิดออกก็พบว่าสร้อยของน้อยที่เธอเก็บรักษาไว้ยังอยู่ในสภาพเป็นปกติดี เพชราวสีทิ้งกล่องไว้ที่โต๊ะ เลือกหยิบแต่สร้อย แล้วทรุดตัวนั่งลงบนเตียงนอนนุ่ม
ทันใดนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเป็นมารยาท ก่อนที่พระมารดาของเธอจะผลักประตูเข้ามาพร้อมเสียงทักทายอ่อนละมุนดั่งเช่นทุกครั้ง
“นอนหรือยังจ๊ะสาวน้อยของแม่”
“คุณแม่” เพชราวสีอมยิ้ม มองพระมารดาขยับเข้ามานั่งใกล้กันบนเตียง
“นั่งทำอะไรอยู่หรือลูก แม่เข้ามากวนหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ลูกแค่นั่งคิดอะไรเพลินๆ” เพชราวสีหันไปตอบ ในมือยังคงถือสร้อยเส้นนั้นไม่ยอมปล่อยให้ห่างกาย เป็นเป้าสายตาให้หม่อมพจนิจได้เห็น... วินาทีนั้นคนเป็นแม่ถึงกับชะงัก เสมือนฟ้าฝ่าลงมากลางใจ!
“วสี! ลูกไปเอาสร้อยเส้นนี้มาจากไหน” หม่อมพจนิจถามเสียงเข้ม
เพชราวสีแอบเห็นแววตาสั่นไหวของพระมารดา รู้สึกผิดปกติ
“ของน้อยค่ะ...ลูกเก็บได้แต่ยังไม่มีโอกาสคืนเขาเลย” เสียงหวานไม่กล้าพูดเต็มเสียง รู้ว่าพระมารดาไม่ค่อยชอบให้เธอไปใกล้ชิดกับชายใบ้ผู้นั้นสักเท่าไร
...เธอเห็นพระมารดาเอาแต่นั่งเงียบ หวั่นใจกลัวจะถูกตำหนิ
“คุณแม่ไม่ชอบใจใช่ไหมคะ ที่หนูเก็บสร้อยของน้อยเอาไว้”
“เป็นสร้อยของไอ้น้อยจริงๆ รึ” หม่อมพจนิจโพล่งถามเสียงดัง
เพชราวสีแปลกใจกับอาการเช่นนั้น...ท่านเหมือนจะไม่โกรธแต่ก็ไม่ยินดีเช่นกัน
“ก็น่าจะใช่นะคะ เมื่อวานก่อนหนูก็เห็นเขาตามหาอยู่ท่าทางร้อนใจมากเลยทีเดียว”
“แต่นี่เป็นสร้อยราชสกุลวิรุณวงษ์นะลูก เป็นของสูง จะไปอยู่ในมือของคนสวนบ้าใบ้แบบนั้นได้ยังไงกัน ลูกคงเข้าใจผิดแล้วละเพชราวสี”
“คุณแม่รู้จักสร้อยเส้นนี้ด้วยเหรอคะ” เธอขมวดคิ้วถาม
“แม่เคยเห็นสร้อยเส้นนี้เมื่อหลายปีก่อน สร้อยของหม่อมหลวงมนัส วิรุณวงษ์”
“แล้วยังไงคะ หม่อมหลวงมนัสคือใคร แล้วเขามาเกี่ยวอะไรด้วย” เพชราวสีก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“ตอนนั้นแม่มีโอกาสได้เข้าร่วมงานเสกสมรสของเสด็จพระองค์ผ่องกับท่านหญิงวริศราพร้อมเสด็จพ่อท่าน วันนั้นได้พบปะกับคุณมนัส พระญาติของท่านหญิง เลยจำได้ว่าเป็นสร้อยแบบเดียวกันกับสร้อยของคุณมนัส”
เพชราวสีพยักหน้าเข้าใจ
“อย่าคิดมากเลยลูก นอนเถอะนะ” คนเป็นแม่ยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกสาวแผ่วเบา ก่อนจะลุกเดินออกไปจากห้องบรรทมแสนสวย
เพชราวสียิ้มตามคนที่เพิ่งเดินออกไปจากห้องของเธอ แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ยังหลับไม่ลงอยู่ดี เพราะเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องสร้อยที่อยู่ในมือ
ถ้าสร้อยเส้นนี้ เป็นเส้นเดียวกันกับที่เธอเห็นในรูปที่วังจริงๆ นั่นก็แสดงว่า ท่านหญิงวริศราก็น่าจะเป็นเจ้าของสร้อยเส้นนี้ แล้วน้อยเกี่ยวข้องอะไรกับท่านหญิงวริศรา ทั้งสองคนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่... แต่ถ้าคิดอีกมุมหนึ่ง น้อยอาจจะไปขโมยมาจากวังอาภาภิรมย์ก็ได้ แต่น้อยก็ไม่น่าจะใช่คนแบบนั้นเสียหน่อย หรือว่าสร้อยแบบนี้จะมีหลายเส้น... แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเป็นสร้อยที่มีลักษณะจำเพาะ ไม่น่าจะลอกเลียน แบบกันได้ง่ายๆ แล้วยังหม่อมหลวงมนัสที่พระมารดาพูดถึงอีก เขาก็มีสร้อยแบบนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ
เพชราวสีกุมขมับ ไม่เข้าใจตัวเองทำไมต้องอยากรู้เรื่องนี้นัก ไหนบอกจะไม่สนใจเรื่องของเขา แล้วสิ่งที่เธอทำอยู่มันเรียกว่าอะไรกัน
“เฮ้อ!” เพชราวสีถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามเตือนตัวเองไม่ให้ยุ่งเกี่ยวเรื่องของผู้ชายคนนั้นอีก
***********************
สองสัปดาห์แล้ว น้อยแทบจะไม่ได้เจอหน้าเพชราวสีเลย ทุกวันเขาจะเห็นเธอยืนใส่บาตรตอนเช้า จากนั้นเธอก็เหมือนจะหายหน้าหายตาไปทั้งวัน ไม่ออกมานั่งทำขนมหรืออ่านหนังสือที่ศาลาสีขาวเหมือนแต่ก่อน
ไม่รู้ว่าเขาคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่ทุกครั้งที่เขาเดินผ่านหน้าเธอ เพชราวสีก็มักจะมองเมินไปทางอื่น แล้วก็เดินเลี่ยงขึ้นตึกไป เหมือนตั้งใจหลบหน้ากัน น้อยไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เพชราวสีไม่พอใจ แต่ท่าทางแบบนั้นมันผิดวิสัย ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวตนของเธอเลย
เพชราวสีคงไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้น มันทำร้ายจิตใจของเขายิ่งกว่าคำพูดตอกหน้าเจ็บๆ เป็นร้อยเท่าพันเท่า ยิ่งเธอไม่พูด เขาไม่พูด แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจกัน ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เห็นทีเขาจะต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง และก็อาจจะถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเลิกเป็นใบ้เสียที
เย็นวันนี้ก็คงจะเป็นเย็นวันธรรมดาอีกหนึ่งวัน ถ้าไม่มีสิ่งที่ผิดปกติไปคือการมาของหม่อมเจ้าภาณุมาศ ปกติท่านชายก็มาที่วังราชสาสน์ให้เห็นจนเป็นเรื่องชินตา แต่สิ่งที่แปลกประหลาดในวันนี้...แทนที่ท่านจะเข้าไปหาเพชราวสีบนตำหนักเหมือนทุกครั้ง ท่านกลับจอดรถทิ้งไว้ แล้วเลือกเดินเข้าไปในส่วนเรือนนอนคนใช้ข้างหลัง ดูเหมือนว่าเพชราวสีก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระคู่หมั้นของเธอมา
สักพักรถสีแดงคันโก้ของสุภาวดีก็เคลื่อนเข้ามาภายในรั้ววัง สีหน้าของเธอดูเคร่งเครียดมาก ไม่พอยังรีบย่ำเท้าขึ้นไปบนตำหนักใหญ่ท่าทางเร่งร้อนผิดปกติ
ด้านเพชราวสีกำลังยืนคุมคนของเธอตั้งสำรับเย็น เธอรับจานจากบัวมาจัดวางบนโต๊ะรับประทานอาหาร แล้วเสียงเรียกก็ดังขึ้นจนเธอต้องหันไปมอง
“ยัยวสี!”
เพชราวสีวางมือจากงานที่ทำอยู่ เดินเข้าไปหาเพื่อนสาวที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ยัยสุ มาหาฉันเสียเย็นเชียว มีธุระอะไรหรือ”
“ฉันเห็นรถท่านชายภาสจอดอยู่ข้างหน้า ท่านมาหาเธอรึ” หล่อนถามน้ำเสียงกดต่ำ
“พี่ชายภาสมาหาฉันหรือ... ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยล่ะ” เพชราวสีกะพริบตาปริบๆ คิ้วบางขมวดเข้าหากัน
“แต่ฉันเห็นรถของท่านจอดอยู่จริงๆ นะ ไม่เชื่อเธอก็ลองดูเองสิ”
เมื่อสุภาวดีย้ำเช่นนั้น เธอก็รีบชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเบนซ์หรูสีดำจอดนิ่งสนิท เป็นรถของเขาจริงๆ แต่ไม่เห็นเจ้าของรถอยู่แถวนั้น
“จริงด้วย” เธออุทาน คิดว่าตอนนั้นเธอคงกำลังทำอาหารอยู่ในห้องเครื่องจึงไม่เห็นตอนเขามา แต่... “ถ้าท่านมาหาฉัน แล้วทำไมไม่ขึ้นมานั่งรอฉันบนตำหนักล่ะ”
“หรือท่านจะไม่ได้มาหาเธอ” สุภาวดีพูดให้เพื่อนฉุกคิดยิ่งขึ้น เพราะที่เธอรีบมาหาเพชราวสีในวันนี้ ก็เพื่อต้องการจะทำให้เพื่อนตาสว่างเสียที...
“แล้วต้นห้องของเธอไปไหนเสียล่ะ ช่วงนี้ฉันไม่เห็นแม่พิมตามติดเธอแจเหมือนเมื่อก่อนเลย”
สุภาวดีจีบปากจีบคอพูดเชิงหมั่นไส้ แรกๆ ตอนที่วังราชสาสน์รับ พิมเข้ามาอยู่ใหม่ๆ เจ้าหล่อนก็ดีอยู่หรอก เห็นเงียบๆ เรียบร้อย และมีบางมุมที่ทำให้พวกเธอหัวเราะได้อยู่บ่อยครั้ง แต่พอหลังๆ หล่อนชอบมาขอข้าวของของเพชราวสีไปใช้ จนสุภาวดีรู้สึกเอือมระอาแทน บางครั้งก็ดูเหมือนจะเป็นมิตร แต่สายตาก็ฟ้องถึงความขี้อิจฉาให้เห็นชัดเจน และเธอก็สังเกตว่าพักหลังมานี้ เหมือนพิมจะชอบมีลับลมคมในอยู่ตลอดเวลา หล่อนมีความลับที่ไม่อยากบอกให้ใครรับรู้...
อย่างว่าปลาเน่ายังไงก็คือปลาเน่าอยู่วันยังค่ำ ถึงจะใช้น้ำอบน้ำพรมฉีดกลบกลิ่นเอาไว้ แต่สักวันมันก็จะส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งออกมา ปิดไว้ไม่มิดอยู่ดี
“วันนี้พิมป่วยทั้งวัน ก็น่าจะนอนพักผ่อนอยู่ในห้องนั่นแหละ”
“ป่วยรึ! คนป่วยที่ไหนเขาไปเดินเที่ยวตากแดดตากลมกัน”
“เธอกำลังจะพูดอะไร ฉันงงไปหมดแล้ว”
หนังสือวางขายที่ร้านหนังสือ “ศูนย์หนังสือจุฬาฯ” และช่องทางออนไลน์
ตจว.มีที่ “ร้านเล่า เชียงใหม่”
eBook โหลดได้ที่ App Meb และ App Naiin
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 พ.ค. 2565, 11:09:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 พ.ค. 2565, 11:09:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 249
<< บทที่ 17 สร้อยวิรุณวงษ์ (35%) | บทที่ 17 สร้อยวิรุณวงษ์ (100%) >> |