สาวสุดเซอร์ฯ: Special Chapter
ความรักไม่ได้สวยงามเสมอไป บนเส้นทางของความรักของหนุ่มสาวสองคนที่แตกต่าง วันหนึ่งเมื่อรอยร้าวมันเกิดขึ้น ในที่สุดก็ถึงจุดที่ต้องเลือก
Tags: สิรินดา, สาวสุดเซอร์, นรี, คีตา
ตอน: ไม่ใช่...ไม่เจ็บ
ทันทีที่ถึงหน้าอพาร์ตเมนต์ฉันตรงไปเปิดดูตู้จดหมายทันทีเหมือนที่ทำทุก ๆ วัน ทั้ง ๆ ที่จดหมายจะมาประมาณอาทิตย์ละสองฉบับ และอาทิตย์นี้มันก็ครบแล้ว แต่ก็ยังอดคาดหวังไม่ได้ ใจเต้น อมยิ้มกับตัวเองเมื่อเห็นของที่ต้องการ มันคงนอนอยู่ในตู้ตั้งแต่ตอนสาย ๆ
อาทิตย์นี้พี่คีขยันเขียน...ดีใจจัง
หลังจากหยิบมันมาพร้อมกับเอกสารอื่น ๆ อีกสองสามชิ้น ก็เดินตรงเข้าห้องพัก อดไม่ได้ที่จะนวดต้นคอตัวเองเบา ๆ เหลืออีกไม่กี่วันก็จะปิดคอร์สแล้ว คืนก่อนทั้งเตรียมนำเสนอ ทั้งแก้พอร์ตที่ส่งอาจารย์จนดึก ตกเย็นวันนี้ก็เลยหมดแรง ตั้งใจว่าถึงห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำเสร็จก็จะนอนเลย
แต่มีจดหมายพี่คีส่งมา อย่างอื่นก็ถูกเลื่อนออกไปหมด เรื่องนอนพักเอาไว้ก่อนได้ เดินไปเสียบปลั๊กกาน้ำร้อนเตรียมชงชา หยิบนมมาทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาในห้องรับแขกแล้วหยิบจดหมายออกมาเปิดอ่านระหว่างจิบนมไปด้วย
…..
นรีครับ
ตอนนี้เมืองไทยอากาศอุ่นแล้ว มองไปทางไหนก็มีแสงแดดระยิบระยับไปหมด พี่ต้องตื่นเช้ากว่าเดิมเพื่อจะได้มาเดินออกกำลังกายได้ครบตามเวลาที่ตั้งเป้าหมายไว้
พี่ออกจากสถานพักฟื้นแล้วนะ กลับมาอยู่บ้านสักอาทิตย์หนึ่งแล้ว แรก ๆ ก็ งง ๆ นิดหน่อย เพราะบ้านกว้างทั้งหลัง ย้ายมาอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว โดยที่ยังมีของของนรีวางไว้ทั่วบ้าน มันก็...เหงายังไงก็ไม่รู้
ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องทำหน้าเหงาตามนะ พี่แค่หาเรื่องอ้อนเมียเท่านั้นแหละ อ้อนมาก ๆ คนไกลจะได้ไม่ลืมกัน จริง ๆ แล้วมาอยู่บ้านสบายดีมากครับ ทุกอย่างเริ่มลงตัวทีละนิด ตอนนี้ไรอันกกับเจตน์เริ่มเอางานบางเรื่องส่งมาให้ช่วยคิดแล้ว บางวันมันก็มานั่งกินเหล้าให้ดู ไม่เหงาเลย
…..
ระหว่างที่กำลังไล่สายตาไปตามตัวอักษรบนลายมือหวัด ๆ ของคนไกล เสียงกริ่งประตูอพาร์ตเมนต์ก็ดังขึ้น ฉันขมวดคิ้ว วันนี้เอ็มมาเจ้าของห้องติดกันซึ่งมักจะหาเรื่องแวะมาคุย หรือไม่ก็ชวนไปกินอาหารเย็นด้วยกันบอกว่าจะกลับดึกเพราะมีงานเลี้ยงที่ทำงาน จึงไม่น่าจะเป็นเธอ
หรือว่าจะคนส่งของ ... ก็ไม่น่าจะใช่ ปกติที่นี่หากส่งของก็จะโทรมาบอก แล้วก็จะวางไว้ที่หน้าตึก ไม่เข้ามาตรงบริเวณที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวนี้
เสียงคลิกเบา ๆ เหมือนประตูห้องจะถูกเปิด ฉันทะลึ่งตัวพรวดทันที คว้าไม้เบสบอลที่เป็นของเจ้าของห้องคนเดิมทิ้งไว้ ตายล่ะ เพราะมัวแต่ห่วงอ่านจดหมาย คงลืมล็อกกลอนประตู
มือถือไม้ก่อนชะโงกหน้าออกไปดู
“สวัสดีครับ” ่ร่างสูงของชายหนุ่มผิวขาว ผมยาวประบ่าที่ถูกรวบไว้หลวม ๆ เอ่ยขึ้น
“อะ...สวัสดีค่ะเอ็ด” รีบเอาไม้ไว้ด้านหลัง อมยิ้ม เอ็ด หรือเอ็ดมันด์เป็นหนุ่มลูกครึ่งอเมริกันเกาหลียืนอมยิ้มหล่อสุดใจขาดดิ้นอยู่หน้าห้อง พ่อหนุ่มเอ็ดนี่อายุเพิ่งจะยี่สิบต้น ๆ เรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่นี่ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเอ็มมา เพิ่งย้ายมาพักที่นี่ได้ประมาณสองอาทิตย์
“เอ็มฝากนี้ไว้ให้พี่ครับ”
ฉันมองกล่องขนมในมือของอีกฝ่ายแล้วอมยิ้ม เงยหน้าขึ้นสบตาพ่อหนุ่มหน้าตี๋เกาหลีแววตาสีน้ำตาลเข้มคนนั้น
“เอ็มฝากให้พี่เหรอ”
เอ็ดมันด์หน้าแดงทันใด
“ก็...ครับ”
ฉันเปิดปากหัวเราะเบา ๆ ส่ายหัวในความน่ารักของน้อง
“แต่เอ็มเพิ่งให้พี่กล่องหนึ่งเมื่อเช้าเองนะ ก่อนที่จะไปทำงานน่ะ”
หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงกว่าเดิมเป็นสองเท่า เด็กหนุ่มเอามือข้างที่ว่างลูบท้ายทอยอย่างขัดเขิน
“คือ...ว่า”
“แต่ก็ขอบใจนะ” ฉันรับกล่องนั้นมาพลิกไปพลิกมา “พี่กำลังชงชา เราไปดื่มชาในสวนกันไหม จะได้ช่วยกันกินขนมนี่ด้วย กินคนเดียวไม่หมดแน่”
คนฟังเบิกตากว้าง แล้วก็พยักหน้าทันที
พักใหญ่น้ำร้อนได้ที่ ฉันชงชาแล้วชวนเอ็ดมันด์ออกมานั่งที่สวนหน้าอพาร์ตเมนต์ เราดื่มชากินคุกกี้ของเอ็มมาและคุยกันเรื่อยเปื่อย บางทีอาจเป็นเพราะเราเรียนในสายวิชาที่ใกล้กัน บางทีเพราะมุมมองความคิดที่สอดคล้อง ทำให้บทสนทนาระหว่างเราลื่นไหล และดูเหมือนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จู่ๆ เอ็ดมันด์ที่กำลังเล่าเรื่องสนุกก็หยุดพูด ฉันเองเห็นเขาชะงักและมองอะไรสักอย่างก็เลยหันไปตามสายตาของเขา
จีน่า หนึ่งในเพื่อนที่รู้จักที่นี่กำลังยืนอยู่ตรงทางเดิน มองตรงมาที่เราทั้งคู่ ทำท่าเหมือนไม่แน่ใจว่าจะเข้ามาขัดบทสนทนาของฉันและเพื่อนร่วมอพาร์ตเมนต์ดีหรือไม่
“อ้าวจีน่า อยู่ตรงนั้นนานแล้วเหรอ” ฉันลุกขึ้น “ทำไมอยู่มืด ๆ ล่ะ มาดื่มชากัน”
“พาคนมาส่ง”
ฉันเลิกคิ้ว จีน่ากำลังคบกับเนลิช...หมายความว่า...
จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนหัวใจสะดุดขึ้นมาทันใด
จีน่าเบี่ยงตัวหันไปด้านหลัง พยักพเยิดไปยังคนที่ยืนพิงผนังตึกอยู่ “ยืนอยู่สักพักแล้ว เห็นคุยกันสนุก หาจังหวะแทรกไม่ได้เลย”
ยืนอยู่สักพักแล้ว....
“เพื่อนนรีหรือครับ” เอ็ดมันด์ถามพลางลุกขึ้นตาม
“เอ่อ” ฉันหันมาหาเด็กหนุ่มข้างตัว “ค่ะ” พูดจบก็หันไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างจิน่า
...ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม...
ชายหนุ่มร่างสูงมองตรงมาที่ฉัน แล้วเลื่อนสายตาไปยังคนที่ยืนอยู่ข้างกันด้วยแววตาที่เดายาก ให้ตายเถอะ ภาพที่อีกฝ่ายกำลังเห็นต้องทำให้เขาเข้าใจผิดแน่ ๆ ถ้วยชาสองใบ ขนม และบรรยากาศแสนสบาย ข้าง ๆ มีผ้าใบวาดรูปและอุปกรณ์ที่ฉันเอามาสอนเด็กหนุ่มวาดรูปใบไม้อยู่บนโต๊ะ
ฉันหันไปหาคนข้างตัว “เอ็ด ขอแนะนำให้รู้จักกับสามีของฉัน...คนที่เล่าให้ฟังไง” ฉันหันไปหาพี่คี ส่งยิ้มให้อย่างจืดเจื่อน แต่เขาไม่ยิ้มตอบ “พี่คี นี่เอ็ดมันด์เพื่อนข้างห้องค่ะ”
เงียบ...
เอ็ดมันด์เปิดยิ้มกว้าง เดินตรงไปหาทั้งคู่ จากนั้นก็ยื่นมือไปหาคนร่างสูง “ไฮผมเอ็ดครับ”
เกิดความเงียบขึ้นหลายวินาที ในที่สุดคนหน้าตึงก็พยักหน้า ยื่นมือไปจับกับเด็กหนุ่ม
“ผมคีตาครับ”
“นรีเพิ่งเล่าเรื่องของคุณให้ผมฟัง เอ่อเราอยู่ห้องข้าง ๆ กันน่ะ ผมเพิ่งย้ายมาไม่นาน ได้นรีช่วยไว้หลายเรื่องเลย โดยเฉพาะอาหารไทย นรีทำอาหารอร่อยมาก”
คิ้วเข้มเลิกขึ้น ตวัดสายตานิ่ง ๆ มาที่ฉันอีกรอบ
"ทำอาหาร?"
ฉันกลืนน้ำลาย เปลี่ยนเรื่องดีกว่า
“เอ็ดเป็นน้องชายของเอ็มมา เพิ่งมาเช่าอีกห้องที่อยู่ถัดไปค่ะ เรียนคล้าย ๆ กันเลยคุยกันบ่อย” ฉันอธิบายเพิ่ม จำได้ว่าเคยเล่าเรื่องเอ็มมาผ่านไปทางจดหมายบ่อย ๆ เพราะเอ็มมา ทำให้ฉันผ่านช่วงเวลายาก ๆ บางช่วงไปได้
คนจากเมืองไกลลดความหน้าตึงได้นิดหนึ่ง นิดเดียวจริง ๆ
"เรียนคล้าย ๆ กันด้วย" น้ำเสียงคนถามยังนิ่งสนิท
ให้ตายเถอะ...วันนี้พูดอะไรก็ดูจะผิดไปหมดเลย ท่าทางเข้าใจผิดกันไปใหญ่
“แล้วนี่ทำไมพี่คีไม่ให้นรีไปรับละคะ...”
“มีคนอยากเซอร์ไพรส์ กะจะให้เนลิชไปรับ รายนั้นกลับติดงานด่วน เลยขอให้เราไปรับแทน ส่งคุณคีไว้ที่นี่เลยนะ เราต้องออกไปแล้ว” จีน่าซึ่งเป็นคนรักของเนลิชชิงตอบก่อน
ฉันพยักหน้า “ขอบคุณนะจีน่า”
จีน่าไปแล้ว เอ็ดมันด์ก็ขอตัวกลับห้องไปอีกคน ที่ตรงนั้นจึงเหลือแค่ฉันกับ...พี่คี
สามีของฉันสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวมีแจ็กเกตตัวบางสวมทับไว้อีกตัว จากที่พบกันครั้งสุดท้าย เขาดูตัวหนาขึ้นนิดหนึ่ง ผมก็ยาวขึ้นนิดหน่อยแล้ว
คิดถึง
อยากกระโดดเข้ากอด
อยากถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง...หมออนุญาตให้เดินทางแล้วจริงหรือ
ทำไมถึงมา เพราะอีกไม่กี่อาทิตย์ฉันก็จะกลับไปแล้ว
อยาก...แต่แววตาแบบกัดหัวคนได้ทั้งโลกนี่ทำให้ไม่กล้า
ไม่รู้คิดยังไงกับภาพความสนิทสนมของฉันกับเพื่อนข้างห้องที่ชวนเข้าใจผิด...
“นรีเพิ่งอ่านจดหมายฉบับล่าสุด ไม่เห็นบอกเลยว่า...จะมา”
“อยากมาก็มา” คนพูดตอบสั้น “จองตั๋วมาเลย”
“ถ้างั้น...เข้าห้องกันก่อนนะ” พูดจบก็เดินไปเก็บของที่เหลือเงียบ ๆ แล้วเดินนำกลับไปที่ห้อง “พี่คีเหนื่อยไหมคะ แล้วนี่หมอไม่ว่าอะไรเลยเดินทางไกลหลายชั่วโมง แล้ว...” ฉันพูดไปเรื่อยขณะเปิดประตูห้องพักซึ่งจริง ๆ แล้วห่างจากสวนไม่ไกลเลย
ที่เลือกห้องนี้ ทั้ง ๆ ที่ราคาสูงกว่าห้องอื่นนิดหน่อยก็เพราะสวนนี่แหละ เปิดหน้าต่างมองออกไปได้เห็นวิวสวย ๆ ทุกวัน
คนข้างหลังไม่ตอบสักคำถาม ปล่อยให้ฉันเปิดประตูห้องเดินวางของ ส่วนเขาเดินตามหลังปิดประตู ในที่สุดเราก็ยืนเผชิญหน้ากันอยู่กลางห้อง
เกือบหกเดือนแล้วที่ไม่ได้เจอกัน
หกเดือนที่พูดคุยกันผ่านจดหมายเป็นหลัก
หกเดือนที่ได้ทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่าง
ฉันกัดริมฝีปาก มองสำรวจไปที่ใบหน้าเรียบเฉย คิดวุ่นวายว่าจะพูดประโยคไหนออกมาก่อน ทำยังไงถึงทำให้คนที่หน้าบึ้งนั่นอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
มาไม่บอก ไม่ถูกจังหวะเลยให้ตายเถอะ ไอ้เราก็เห็นว่าอากาศดี เลยเอาผ้าใบออกมาเขียนรูป เอ็ดมันด์เลยขอเรียนไปด้วย ลามปามคุยกันเรื่องงานศิลปะเสียยาว
ไม่ได้คิดอะไรกับเด็กนั่นจริง ๆ เห็นเป็นน้องแท้ ๆ เลย
...พี่คีจะรู้สึกแบบนี้กับบีหรือเปล่านะ...
“พี่คีโกรธเหรอ” อยากรู้ถามเอาตรง ๆ เลยแล้วกัน ถามเสร็จก็ทำใจกล้าขยับไปหาคนที่เดินทางมาไกลอีกหนึ่งก้าว เขายืนอยู่ตรงนี้แล้ว ผู้ชายที่เป็นทั้งเพื่อน พี่ชาย และสามี คนที่ทำให้ฉันเข้าใจผิด ทำให้เจ็บปวดจนสุดแสน เมื่อหลายเดือนก่อน “น้องเพิ่งมาอยู่ที่นี่ เรียนคล้าย ๆ กัน นรีไม่มีอะไรจริง ๆ นะ”
พี่คีไม่ตอบ มีเพียงสายตานิ่ง ๆ มองมา เราสบตากันท่ามกลางความเงียบ ฉันมองกวาดไปทั่วใบหน้าของอีกฝ่าย มองเห็นริ้วรอยแห่งความเหนื่อยล้าจากการเดินทางที่ใต้ตา หนวดเคราที่เริ่มขึ้นจาง ๆ
กับแววตาที่...เข้าใจได้ยาก
“พี่หึง”
“...” ฉันเลิกคิ้ว สมองประมวลความหมายของประโยคนั้นอยู่พักใหญ่
“หึงมาก”
ฉันรีบก้มหน้าหลบตา แก้มร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ สองคำสั้น ๆ ช้า ชัด
แล้วจู่ ๆ ต้นแขนของฉันก็ถูกมือหนารวบไว้และร่างทั้งร่างของฉันถูกกระชากเข้าหาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า อ้อมกอดนั้นแนบแน่น อบอุ่น และเจ็บปวดไปพร้อม ๆ กัน
“พี่เจ็บ” ร่างสูงพูดต่อ ฉันรู้สึกได้ถึงมือแข็งแรงที่เลื่อนขึ้นมาไล้ที่ด้านหลังคอ “เจ็บมากเลยที่เห็นนรีอยู่กับใครก็ไม่รู้ ท่าทางมีความสุขมากเหลือเกิน”
“พี่ไม่ต้อง...อะ”
ก่อนที่จะได้อธิบายอะไรมากกว่านั้น นิ้วแข็งแรงประคองต้นคอของฉันบังคับให้เงยหน้าขึ้น แล้วใบหน้านิ่งก็ก้มลงมา ริมฝีปากของเขาอุ่นประกบลงมาบนริมฝีปากของฉันอย่างรวดเร็ว มันบดเบียดอย่างร้อนแรง เอาแต่ใจ แฝงความหงุดหงิด ไม่พอใจ และ...เจ็บปวด
ฉันรู้สึกเหมือนพายุกำลังหมุนรอบ ๆ ตัว หูอื้อ ตาลาย กับสัมผัสอุ่น ๆ ที่บดเบียดด้วยแรงอารมณ์นั้น แม้จะพยายามตอบรับทุกๆ ความรู้สึกของอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด แต่ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายเจ้าของริมฝีปากจะไม่พอใจ ยังขยับดูดดึงอย่างเอาแต่ใจ จากริมฝีปาก กดหนัก ๆ มาที่ข้างแก้ม ใบหู และวนกลับไปซ้ำที่เดิมอีกไม่รู้กี่รอบ
...พี่เจ็บ...
ฉันถอนหายใจ ค่อย ๆ ยกท่อนแขนขึ้นโอบรอบคอ ค่อย ๆ สนองตอบริมฝีปากเจ้าอารมณ์นั่นกลับไปบ้าง โอนอ่อนผ่อนตามกับทุกสัมผัสนั้นอย่างเต็มใจ และถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองกลับไปบ้างเมื่อมีจังหวะ
โกรธอะไรนักหนานะพี่คี บอกแล้วว่านรีคิดว่าเขาเป็นแค่น้อง
.
.
.
.
.
อาทิตย์นี้พี่คีขยันเขียน...ดีใจจัง
หลังจากหยิบมันมาพร้อมกับเอกสารอื่น ๆ อีกสองสามชิ้น ก็เดินตรงเข้าห้องพัก อดไม่ได้ที่จะนวดต้นคอตัวเองเบา ๆ เหลืออีกไม่กี่วันก็จะปิดคอร์สแล้ว คืนก่อนทั้งเตรียมนำเสนอ ทั้งแก้พอร์ตที่ส่งอาจารย์จนดึก ตกเย็นวันนี้ก็เลยหมดแรง ตั้งใจว่าถึงห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำเสร็จก็จะนอนเลย
แต่มีจดหมายพี่คีส่งมา อย่างอื่นก็ถูกเลื่อนออกไปหมด เรื่องนอนพักเอาไว้ก่อนได้ เดินไปเสียบปลั๊กกาน้ำร้อนเตรียมชงชา หยิบนมมาทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาในห้องรับแขกแล้วหยิบจดหมายออกมาเปิดอ่านระหว่างจิบนมไปด้วย
…..
นรีครับ
ตอนนี้เมืองไทยอากาศอุ่นแล้ว มองไปทางไหนก็มีแสงแดดระยิบระยับไปหมด พี่ต้องตื่นเช้ากว่าเดิมเพื่อจะได้มาเดินออกกำลังกายได้ครบตามเวลาที่ตั้งเป้าหมายไว้
พี่ออกจากสถานพักฟื้นแล้วนะ กลับมาอยู่บ้านสักอาทิตย์หนึ่งแล้ว แรก ๆ ก็ งง ๆ นิดหน่อย เพราะบ้านกว้างทั้งหลัง ย้ายมาอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว โดยที่ยังมีของของนรีวางไว้ทั่วบ้าน มันก็...เหงายังไงก็ไม่รู้
ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องทำหน้าเหงาตามนะ พี่แค่หาเรื่องอ้อนเมียเท่านั้นแหละ อ้อนมาก ๆ คนไกลจะได้ไม่ลืมกัน จริง ๆ แล้วมาอยู่บ้านสบายดีมากครับ ทุกอย่างเริ่มลงตัวทีละนิด ตอนนี้ไรอันกกับเจตน์เริ่มเอางานบางเรื่องส่งมาให้ช่วยคิดแล้ว บางวันมันก็มานั่งกินเหล้าให้ดู ไม่เหงาเลย
…..
ระหว่างที่กำลังไล่สายตาไปตามตัวอักษรบนลายมือหวัด ๆ ของคนไกล เสียงกริ่งประตูอพาร์ตเมนต์ก็ดังขึ้น ฉันขมวดคิ้ว วันนี้เอ็มมาเจ้าของห้องติดกันซึ่งมักจะหาเรื่องแวะมาคุย หรือไม่ก็ชวนไปกินอาหารเย็นด้วยกันบอกว่าจะกลับดึกเพราะมีงานเลี้ยงที่ทำงาน จึงไม่น่าจะเป็นเธอ
หรือว่าจะคนส่งของ ... ก็ไม่น่าจะใช่ ปกติที่นี่หากส่งของก็จะโทรมาบอก แล้วก็จะวางไว้ที่หน้าตึก ไม่เข้ามาตรงบริเวณที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวนี้
เสียงคลิกเบา ๆ เหมือนประตูห้องจะถูกเปิด ฉันทะลึ่งตัวพรวดทันที คว้าไม้เบสบอลที่เป็นของเจ้าของห้องคนเดิมทิ้งไว้ ตายล่ะ เพราะมัวแต่ห่วงอ่านจดหมาย คงลืมล็อกกลอนประตู
มือถือไม้ก่อนชะโงกหน้าออกไปดู
“สวัสดีครับ” ่ร่างสูงของชายหนุ่มผิวขาว ผมยาวประบ่าที่ถูกรวบไว้หลวม ๆ เอ่ยขึ้น
“อะ...สวัสดีค่ะเอ็ด” รีบเอาไม้ไว้ด้านหลัง อมยิ้ม เอ็ด หรือเอ็ดมันด์เป็นหนุ่มลูกครึ่งอเมริกันเกาหลียืนอมยิ้มหล่อสุดใจขาดดิ้นอยู่หน้าห้อง พ่อหนุ่มเอ็ดนี่อายุเพิ่งจะยี่สิบต้น ๆ เรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่นี่ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเอ็มมา เพิ่งย้ายมาพักที่นี่ได้ประมาณสองอาทิตย์
“เอ็มฝากนี้ไว้ให้พี่ครับ”
ฉันมองกล่องขนมในมือของอีกฝ่ายแล้วอมยิ้ม เงยหน้าขึ้นสบตาพ่อหนุ่มหน้าตี๋เกาหลีแววตาสีน้ำตาลเข้มคนนั้น
“เอ็มฝากให้พี่เหรอ”
เอ็ดมันด์หน้าแดงทันใด
“ก็...ครับ”
ฉันเปิดปากหัวเราะเบา ๆ ส่ายหัวในความน่ารักของน้อง
“แต่เอ็มเพิ่งให้พี่กล่องหนึ่งเมื่อเช้าเองนะ ก่อนที่จะไปทำงานน่ะ”
หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงกว่าเดิมเป็นสองเท่า เด็กหนุ่มเอามือข้างที่ว่างลูบท้ายทอยอย่างขัดเขิน
“คือ...ว่า”
“แต่ก็ขอบใจนะ” ฉันรับกล่องนั้นมาพลิกไปพลิกมา “พี่กำลังชงชา เราไปดื่มชาในสวนกันไหม จะได้ช่วยกันกินขนมนี่ด้วย กินคนเดียวไม่หมดแน่”
คนฟังเบิกตากว้าง แล้วก็พยักหน้าทันที
พักใหญ่น้ำร้อนได้ที่ ฉันชงชาแล้วชวนเอ็ดมันด์ออกมานั่งที่สวนหน้าอพาร์ตเมนต์ เราดื่มชากินคุกกี้ของเอ็มมาและคุยกันเรื่อยเปื่อย บางทีอาจเป็นเพราะเราเรียนในสายวิชาที่ใกล้กัน บางทีเพราะมุมมองความคิดที่สอดคล้อง ทำให้บทสนทนาระหว่างเราลื่นไหล และดูเหมือนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จู่ๆ เอ็ดมันด์ที่กำลังเล่าเรื่องสนุกก็หยุดพูด ฉันเองเห็นเขาชะงักและมองอะไรสักอย่างก็เลยหันไปตามสายตาของเขา
จีน่า หนึ่งในเพื่อนที่รู้จักที่นี่กำลังยืนอยู่ตรงทางเดิน มองตรงมาที่เราทั้งคู่ ทำท่าเหมือนไม่แน่ใจว่าจะเข้ามาขัดบทสนทนาของฉันและเพื่อนร่วมอพาร์ตเมนต์ดีหรือไม่
“อ้าวจีน่า อยู่ตรงนั้นนานแล้วเหรอ” ฉันลุกขึ้น “ทำไมอยู่มืด ๆ ล่ะ มาดื่มชากัน”
“พาคนมาส่ง”
ฉันเลิกคิ้ว จีน่ากำลังคบกับเนลิช...หมายความว่า...
จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนหัวใจสะดุดขึ้นมาทันใด
จีน่าเบี่ยงตัวหันไปด้านหลัง พยักพเยิดไปยังคนที่ยืนพิงผนังตึกอยู่ “ยืนอยู่สักพักแล้ว เห็นคุยกันสนุก หาจังหวะแทรกไม่ได้เลย”
ยืนอยู่สักพักแล้ว....
“เพื่อนนรีหรือครับ” เอ็ดมันด์ถามพลางลุกขึ้นตาม
“เอ่อ” ฉันหันมาหาเด็กหนุ่มข้างตัว “ค่ะ” พูดจบก็หันไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างจิน่า
...ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม...
ชายหนุ่มร่างสูงมองตรงมาที่ฉัน แล้วเลื่อนสายตาไปยังคนที่ยืนอยู่ข้างกันด้วยแววตาที่เดายาก ให้ตายเถอะ ภาพที่อีกฝ่ายกำลังเห็นต้องทำให้เขาเข้าใจผิดแน่ ๆ ถ้วยชาสองใบ ขนม และบรรยากาศแสนสบาย ข้าง ๆ มีผ้าใบวาดรูปและอุปกรณ์ที่ฉันเอามาสอนเด็กหนุ่มวาดรูปใบไม้อยู่บนโต๊ะ
ฉันหันไปหาคนข้างตัว “เอ็ด ขอแนะนำให้รู้จักกับสามีของฉัน...คนที่เล่าให้ฟังไง” ฉันหันไปหาพี่คี ส่งยิ้มให้อย่างจืดเจื่อน แต่เขาไม่ยิ้มตอบ “พี่คี นี่เอ็ดมันด์เพื่อนข้างห้องค่ะ”
เงียบ...
เอ็ดมันด์เปิดยิ้มกว้าง เดินตรงไปหาทั้งคู่ จากนั้นก็ยื่นมือไปหาคนร่างสูง “ไฮผมเอ็ดครับ”
เกิดความเงียบขึ้นหลายวินาที ในที่สุดคนหน้าตึงก็พยักหน้า ยื่นมือไปจับกับเด็กหนุ่ม
“ผมคีตาครับ”
“นรีเพิ่งเล่าเรื่องของคุณให้ผมฟัง เอ่อเราอยู่ห้องข้าง ๆ กันน่ะ ผมเพิ่งย้ายมาไม่นาน ได้นรีช่วยไว้หลายเรื่องเลย โดยเฉพาะอาหารไทย นรีทำอาหารอร่อยมาก”
คิ้วเข้มเลิกขึ้น ตวัดสายตานิ่ง ๆ มาที่ฉันอีกรอบ
"ทำอาหาร?"
ฉันกลืนน้ำลาย เปลี่ยนเรื่องดีกว่า
“เอ็ดเป็นน้องชายของเอ็มมา เพิ่งมาเช่าอีกห้องที่อยู่ถัดไปค่ะ เรียนคล้าย ๆ กันเลยคุยกันบ่อย” ฉันอธิบายเพิ่ม จำได้ว่าเคยเล่าเรื่องเอ็มมาผ่านไปทางจดหมายบ่อย ๆ เพราะเอ็มมา ทำให้ฉันผ่านช่วงเวลายาก ๆ บางช่วงไปได้
คนจากเมืองไกลลดความหน้าตึงได้นิดหนึ่ง นิดเดียวจริง ๆ
"เรียนคล้าย ๆ กันด้วย" น้ำเสียงคนถามยังนิ่งสนิท
ให้ตายเถอะ...วันนี้พูดอะไรก็ดูจะผิดไปหมดเลย ท่าทางเข้าใจผิดกันไปใหญ่
“แล้วนี่ทำไมพี่คีไม่ให้นรีไปรับละคะ...”
“มีคนอยากเซอร์ไพรส์ กะจะให้เนลิชไปรับ รายนั้นกลับติดงานด่วน เลยขอให้เราไปรับแทน ส่งคุณคีไว้ที่นี่เลยนะ เราต้องออกไปแล้ว” จีน่าซึ่งเป็นคนรักของเนลิชชิงตอบก่อน
ฉันพยักหน้า “ขอบคุณนะจีน่า”
จีน่าไปแล้ว เอ็ดมันด์ก็ขอตัวกลับห้องไปอีกคน ที่ตรงนั้นจึงเหลือแค่ฉันกับ...พี่คี
สามีของฉันสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวมีแจ็กเกตตัวบางสวมทับไว้อีกตัว จากที่พบกันครั้งสุดท้าย เขาดูตัวหนาขึ้นนิดหนึ่ง ผมก็ยาวขึ้นนิดหน่อยแล้ว
คิดถึง
อยากกระโดดเข้ากอด
อยากถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง...หมออนุญาตให้เดินทางแล้วจริงหรือ
ทำไมถึงมา เพราะอีกไม่กี่อาทิตย์ฉันก็จะกลับไปแล้ว
อยาก...แต่แววตาแบบกัดหัวคนได้ทั้งโลกนี่ทำให้ไม่กล้า
ไม่รู้คิดยังไงกับภาพความสนิทสนมของฉันกับเพื่อนข้างห้องที่ชวนเข้าใจผิด...
“นรีเพิ่งอ่านจดหมายฉบับล่าสุด ไม่เห็นบอกเลยว่า...จะมา”
“อยากมาก็มา” คนพูดตอบสั้น “จองตั๋วมาเลย”
“ถ้างั้น...เข้าห้องกันก่อนนะ” พูดจบก็เดินไปเก็บของที่เหลือเงียบ ๆ แล้วเดินนำกลับไปที่ห้อง “พี่คีเหนื่อยไหมคะ แล้วนี่หมอไม่ว่าอะไรเลยเดินทางไกลหลายชั่วโมง แล้ว...” ฉันพูดไปเรื่อยขณะเปิดประตูห้องพักซึ่งจริง ๆ แล้วห่างจากสวนไม่ไกลเลย
ที่เลือกห้องนี้ ทั้ง ๆ ที่ราคาสูงกว่าห้องอื่นนิดหน่อยก็เพราะสวนนี่แหละ เปิดหน้าต่างมองออกไปได้เห็นวิวสวย ๆ ทุกวัน
คนข้างหลังไม่ตอบสักคำถาม ปล่อยให้ฉันเปิดประตูห้องเดินวางของ ส่วนเขาเดินตามหลังปิดประตู ในที่สุดเราก็ยืนเผชิญหน้ากันอยู่กลางห้อง
เกือบหกเดือนแล้วที่ไม่ได้เจอกัน
หกเดือนที่พูดคุยกันผ่านจดหมายเป็นหลัก
หกเดือนที่ได้ทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่าง
ฉันกัดริมฝีปาก มองสำรวจไปที่ใบหน้าเรียบเฉย คิดวุ่นวายว่าจะพูดประโยคไหนออกมาก่อน ทำยังไงถึงทำให้คนที่หน้าบึ้งนั่นอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
มาไม่บอก ไม่ถูกจังหวะเลยให้ตายเถอะ ไอ้เราก็เห็นว่าอากาศดี เลยเอาผ้าใบออกมาเขียนรูป เอ็ดมันด์เลยขอเรียนไปด้วย ลามปามคุยกันเรื่องงานศิลปะเสียยาว
ไม่ได้คิดอะไรกับเด็กนั่นจริง ๆ เห็นเป็นน้องแท้ ๆ เลย
...พี่คีจะรู้สึกแบบนี้กับบีหรือเปล่านะ...
“พี่คีโกรธเหรอ” อยากรู้ถามเอาตรง ๆ เลยแล้วกัน ถามเสร็จก็ทำใจกล้าขยับไปหาคนที่เดินทางมาไกลอีกหนึ่งก้าว เขายืนอยู่ตรงนี้แล้ว ผู้ชายที่เป็นทั้งเพื่อน พี่ชาย และสามี คนที่ทำให้ฉันเข้าใจผิด ทำให้เจ็บปวดจนสุดแสน เมื่อหลายเดือนก่อน “น้องเพิ่งมาอยู่ที่นี่ เรียนคล้าย ๆ กัน นรีไม่มีอะไรจริง ๆ นะ”
พี่คีไม่ตอบ มีเพียงสายตานิ่ง ๆ มองมา เราสบตากันท่ามกลางความเงียบ ฉันมองกวาดไปทั่วใบหน้าของอีกฝ่าย มองเห็นริ้วรอยแห่งความเหนื่อยล้าจากการเดินทางที่ใต้ตา หนวดเคราที่เริ่มขึ้นจาง ๆ
กับแววตาที่...เข้าใจได้ยาก
“พี่หึง”
“...” ฉันเลิกคิ้ว สมองประมวลความหมายของประโยคนั้นอยู่พักใหญ่
“หึงมาก”
ฉันรีบก้มหน้าหลบตา แก้มร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ สองคำสั้น ๆ ช้า ชัด
แล้วจู่ ๆ ต้นแขนของฉันก็ถูกมือหนารวบไว้และร่างทั้งร่างของฉันถูกกระชากเข้าหาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า อ้อมกอดนั้นแนบแน่น อบอุ่น และเจ็บปวดไปพร้อม ๆ กัน
“พี่เจ็บ” ร่างสูงพูดต่อ ฉันรู้สึกได้ถึงมือแข็งแรงที่เลื่อนขึ้นมาไล้ที่ด้านหลังคอ “เจ็บมากเลยที่เห็นนรีอยู่กับใครก็ไม่รู้ ท่าทางมีความสุขมากเหลือเกิน”
“พี่ไม่ต้อง...อะ”
ก่อนที่จะได้อธิบายอะไรมากกว่านั้น นิ้วแข็งแรงประคองต้นคอของฉันบังคับให้เงยหน้าขึ้น แล้วใบหน้านิ่งก็ก้มลงมา ริมฝีปากของเขาอุ่นประกบลงมาบนริมฝีปากของฉันอย่างรวดเร็ว มันบดเบียดอย่างร้อนแรง เอาแต่ใจ แฝงความหงุดหงิด ไม่พอใจ และ...เจ็บปวด
ฉันรู้สึกเหมือนพายุกำลังหมุนรอบ ๆ ตัว หูอื้อ ตาลาย กับสัมผัสอุ่น ๆ ที่บดเบียดด้วยแรงอารมณ์นั้น แม้จะพยายามตอบรับทุกๆ ความรู้สึกของอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด แต่ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายเจ้าของริมฝีปากจะไม่พอใจ ยังขยับดูดดึงอย่างเอาแต่ใจ จากริมฝีปาก กดหนัก ๆ มาที่ข้างแก้ม ใบหู และวนกลับไปซ้ำที่เดิมอีกไม่รู้กี่รอบ
...พี่เจ็บ...
ฉันถอนหายใจ ค่อย ๆ ยกท่อนแขนขึ้นโอบรอบคอ ค่อย ๆ สนองตอบริมฝีปากเจ้าอารมณ์นั่นกลับไปบ้าง โอนอ่อนผ่อนตามกับทุกสัมผัสนั้นอย่างเต็มใจ และถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองกลับไปบ้างเมื่อมีจังหวะ
โกรธอะไรนักหนานะพี่คี บอกแล้วว่านรีคิดว่าเขาเป็นแค่น้อง
.
.
.
.
.
สิรินดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 มี.ค. 2565, 22:55:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 มี.ค. 2565, 22:55:16 น.
จำนวนการเข้าชม : 476
<< ระยะทำใจ |