เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์
เป็นเรื่องราวของคนหน้าตาไม่เข้าตา ไม่เป็นที่นิยม
ไม่ฮิต ไม่ฮอตของคนสองคน...
ที่ไม่สมบูรณ์แบบ มีตำหนิ...ภาพประวัติไม่สวยงาม...
แต่นิสัยที่ซ่อนไว้ค่อนข้างสวยสดงดงาม...
แฝงไว้ด้วยเสน่ห์แห่งการมีชีวิต...การสร้างครอบครัว
เศษหนึ่งส่วนสอง หรือ ครึ่งหนึ่งของชีวิตหนึ่ง
มาพบกับ อีกครึ่งหนึ่งของอีกชีวิตหนึ่ง
แล้วยกกำลังด้วยศูนย์...
เลขศูนย์ที่ดูไร้ค่า ไร้ความหมาย แค่เลขกลมๆเลขนึง
หากมันได้ทำให้ เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์
มีค่าเท่ากับ หนึ่งได้!
สมการทางคณิตศาสตร์ที่น่าพิศวงนี้
นำมาสู่สมการของความรักของทั้งสอง...
ทั้งคู่ที่ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบและมีตำหนิ
จะหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร...
เรื่องนี้มีคำตอบ!!!
Tags: ดราม่า ขุนพล ไนค์ บิลกีส
ตอน: ตอนจบ อัรรอยฮาน
บ้านหลังใหญ่ที่กรุด้วยกระจกใสในวันที่ฝนตกหนัก สามชีวิตกำลังยืนชื่นชมสายฝนอยู่ตรงกระจกใส
สายฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่ยั้ง ทั้งหนักและรุนแรงอย่างต่อเนื่องนั้นหาได้ให้โทษให้คุณแก่สามชีวิตได้
ในวันที่มีที่ให้หลบกำบังเฉกเช่นวันนี้
'บ้าน' เป็นทั้งสถานที่และที่กำบังจากความบ้าคลั่งของสายลมและสายฝน บิลกีสชื่นชอบสายฝนก็จริง
หากต้องให้เธอยืนตากฝนไปชั่วชีวิต เธอก็ไม่สามารถมีชีวิตอย่างงดงามและยืนนานได้
เธอรู้ รู้ว่าเธอเป็นเพียงมนุษย์ คนข้างกายเธอก็คือ มนุษย์ ลูกน้อยที่ซุกกายในอ้อมอกพ่อของเขา
ในตอนนี้ก็คือ มนุษย์ ที่มิอาจต้านทานแรงปะทะได้ตลอดเวลาไปตลอดชีวิตได้ จึงต้องมีที่กำบังให้หลบ
เธอและเขาต่างเหน็ดเหนื่อย ใช่ ที่จริงแล้วเธอและเขาเหนื่อยมาก เธออยู่กับความมืดอย่างเดียวดาย
มาอย่างยาวนาน โลกทั้งใบขาดสีสัน เจอความกดดัน น่าเบื่อ และความไร้ค่า ก่อเกิดเป็นความเหนื่อย
ทั้งกายและใจ แต่ก็มิอาจหลีกเลี่ยงหลบเร้นชะตากรรมนี้ไปได้ ต้องเผชิญกับมันอย่างไร้ทางออกไป
กับความมืดนั้นเธอไม่กลัวเลย ยิ่งผีแล้วเธอยิ่งไม่กลัว แต่กลับกลัวการหลอกลวง ซึ่งได้เห็นธาตุแท้
ของผู้คนมากมาย ชีวิตในอดีตจึงแสนน่าเบื่อยิ่งนัก แต่การจะร้องไห้ออกมา ก็ไม่ถนัด เธอไม่ถนัดร้องไห้
อย่างที่สตรีมากมายหลั่งน้ำตาออกมา หน้าตาเธอไม่โดดเด่น นิสัยอะไรก็ไม่โดดเด่น ทัศนคติก็แสนจะพื้นๆ
ธรรมดา ไม่ว้าว ไม่น่าสนใจ ความสามารถพรสวรรค์ก็อาจจะมีอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้โดดเด่นอีกเช่นกัน
ตั้งแต่เกิดมาจนวันนี้ เธอก็ยังเป็นสตรีที่ธรรมดาๆคนนึง ไม่มีอันใดหรืออะไร
ที่โดดเด่นน่าดึงดูดน่าสนใจดั่งที่เคยเป็นมาและก็จะเป็นเช่นนี้ต่อไป
"ผมมานึกย้อนไปในวันวาน มีครั้งนึงนะที่คุณทำให้ผมประทับใจมากๆ จนจำชื่อคุณมาจนถึงทุกวันนี้"
"เมื่อไหร่กันคะ เราเคยมีโมเมนท์แบบนี้ด้วยหรอ"
"มีสิ ตอนนั้นที่มีการรับน้อง รุ่นพี่จิ้มเลือกรุ่นน้องสาวๆให้ลุกขึ้นมาตอบคำถาม
แล้วก็จิ้มดาวคณะมาถามว่า ถ้าจะเปรียบตัวเองเป็นอะไรสักอย่าง จะเปรียบตัวเองเป็นอะไร"
เขาเอ่ยขึ้น ทำให้บิลกีสเองค่อยๆนึกภาพในวันนั้นขึ้นมา ภาพที่ค่อยๆแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเขากล่าวสืบไปว่า
"เธอผู้เป็นดาวคณะตอบว่า เธอก็ไม่ต่างจากกระเบื้องขาวที่ใครๆมองว่าสวยงามจับตา
แต่ กระเบื้องขาวน่ะ หากว่ามีร่องรอยขึ้นมา ก็ยากจะประสานรอยนั้น แตกแล้วก็ร้าว
รอยแตกร้าวนั้นยากจะลืมเลือน กลายเป็นกระเบื้องขาวเนื้อดีที่มีตำหนิ นั่นจึงทำให้เธอ
ต้องดูแลใส่ใจตัวเอง ถนอมตัวเองไม่ให้มีรอยร้าว ระมัดระวังตน ก็เพื่อที่จะเป็นกระเบื้องขาวเนื้อดี
ที่ไร้ที่ติ สูงส่งและสง่างาม เป็นที่ภาคภูมิใจแก่เจ้าของเมื่อได้ถือครองมัน"
เขาเอ่ยแล้วหันมามองใบหน้าธรรมดาๆไร้เครื่องประทินโฉมใดๆเพราะกลัวว่าลูกน้อยจะแพ้
เลยไม่แต่งหน้าและใช้สารเคมีใดๆมาเสริมสวย หากแต่ เขากลับชอบที่จะมองใบหน้านี้
อย่างมิอาจเข้าใจได้ว่าเพราะอะไรกันแน่
"เสียงปรบมือดังขึ้น เสียงชื่นชมก็ดังตามมา แล้วรุ่นพี่ก็หันมาทางหญิงสาวหน้าตาธรรมดาๆคนนึง
บอกให้เธอคนนั้นลุกขึ้นเผยตัวตนต่อหน้าผู้คนมากมาย เสียงหัวเราะดังตามมาพร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์
เกี่ยวกับเธอ การบูลลี่การดูถูกเป็นเรื่องปกติในรั้วมหาลัยแห่งนั้น และเธอคนนี้ก็เหมือนว่าจะเจอการดูถูก
มาจนชิน เพราะเธอลุกขึ้นด้วยสีหน้าปกติ ก่อนจะพูดในสิ่งที่ผมก็ไม่สามารถลืมได้เลยจนถึงทุกวันนี้"
บิลกีสน้ำตารื้นขึ้นมา ทั้งที่ไม่ถนัดร้องไห้ แต่ชายผู้นี้ก็ทำให้น้ำตาของเธอหลั่งได้อย่างง่ายดายเสมอมา
"รุ่นพี่ถามเธอว่า เธอคิดว่าตัวเองเป็นกระเบื้องขาวเนื้อดีแบบเดียวกับสาวงามเมื่อครู่ด้วยหรือไม่
เธอตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคงไปว่า ฉันไม่ได้บอบบางและดีเลิศขนาดนั้น ก็แค่เหล็กที่โดนทุบตีซ้ำๆ
โดนผู้คนมากมายพากันดูถูกถากถางต่างๆนาๆ โดนเผาด้วยไฟอันร้อนแรง โดนหลอมละลาย
แล้วก็ขึ้นรูปใหม่ได้เรื่อยๆ จะเป็นดาบ เป็นหม้อ เป็นกระทะ เป็นตะหลิว ก็สามารถเป็นได้หมด
แล้วแต่เบ้าหลอมและผู้หลอม ฉันยอม ยินดีให้เขาหลอม
แม้ว่าผู้คนมากมายจะกลัวไฟ กลัวถูกเผา กลัวถูกหลอม แต่เหล็กนั้นมันไม่กลัว มันยอมให้กระทำกับมัน
ซึ่งจะให้เปรียบตัวเองเป็นทองที่ไม่แพ้ไฟก็ดูจะสูงส่งและเลอค่าเกินตัวไป
เพราะทองเป็นสิ่งที่ผู้คนพากันแย่งชิงอยากครอบครองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งมิใช่ฉันเลย
ฉันน่ะ เป็นเหล็กนี่แหละ ใช่ฉันแล้ว ที่ไม่ว่าผู้หลอม หลอมฉันเป็นอะไรฉันก็เป็นสิ่งนั้น
หลอมฉันให้เป็นดาบ ฉันก็ทำหน้าที่ฟาดฟันศัตรู ถ้าหลอมฉันเป็นหม้อ ฉันก็มีหน้าที่สำหรับใส่น้ำซุป
ต้มน้ำซุป น้ำแกง ทำอาหารต่างๆ เขาหลอมให้เป็นอะไรฉันก็เป็นสิ่งนั้น ทำหน้าที่ไปตามนั้น
สูงต่ำไม่สน สนแค่ทำหน้าที่ เมื่อพังก็หลอมใหม่ได้ ขึ้นรูปเป็นอย่างอื่นได้อีกเรื่อยๆ
รอยตำหนิหรืออะไรมิใช่สิ่งที่ฉันสนใจให้ความสำคัญ"
พูดจบก็หันไปสบดวงตาที่ตอนนี้มีน้ำใสๆเอ่อคลอ ก่อนจะยิ้มให้ดวงตาคู่นั้น
"ผมตอนนั้นไม่อาจเข้าถึงประโยคยาวๆเหล่านั้นได้มากนัก แต่กลับประทับใจและจดจำได้ทุกคำ
เพราะผมในวันนั้นมีทุกอย่าง มีทุกสิ่ง ชีวิตสุขสบาย สะดวกง่ายดายไปหมด
จนกระทั่งชีวิตพังครืนลงกลางทะเล ทุกอย่างปลิวหายไปในพริบตา
ผมถึงได้นึกถึงประโยคเหล่านั้นของคุณขึ้นมา มันคือ แรงผลักดันให้ผมสู้สุดชีวิต
และไม่ย่อท้อ ไม่ยอมพ่ายแพ้ คุณทำให้ผมได้รู้ว่า การจะพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ด้วยสีหน้าแววตา
ที่มั่นคงไม่สั่นไหวด้วยวัยเพียง 19 ปีของคุณในวันนั้น
มันหมายความว่า คนพูดผ่านอะไรมาบ้างในชีวิต ผมถึงตามหาคุณ และขอคุณแต่งงาน
นี่คือ อีกความจริงที่วันนี้ผมอยากให้คุณมั่นใจว่าผมไม่ได้เลือกคุณมาแบบมั่วๆ
แต่ผมตั้งใจจะเลือกคุณมาเป็นคู่ชีวิตมากๆ แม้ในวันนั้นจะไม่ได้เปิดเผยเจตนาที่แท้จริงให้คุณรู้เลย"
บิลกีสโอบกอดเขาพร้อมกับลูกน้อยในอ้อมกอดเขาไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปลื้มปีติยินดี
ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า
"กว่าจะได้เจอคนที่จิตเชื่อมถึงกันได้ก็นานจนจะเกือบอายุ 40 เป็นการรอคอยที่ยาวนานมากๆเลยค่ะ
ขอบคุณนะคะที่มาเจอมาเชื่อมต่อกันในที่สุด" ขุนพลยิ้มละมุน ยิ้มที่บิลกีสไม่คิดว่าคนหน้าตาดุๆแบบเขา
จะยิ้มแบบนี้ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งยามที่เขาทอดสายตามองดูลูก แววตาของเขาดูอ่อนโยนละมุนเหลือเกิน
"เราเจอกันมาตั้งแต่ตอนอายุ 19 แล้วนะกีส แค่ว่าตอนนั้นดวงจิตเรายังไม่เชื่อมกัน ยังไม่ได้รับ
การผสานเข้าด้วยกัน พอดวงจิตได้รับการผสานกัน เชื่อมถึงกัน ก็ทำให้การอยู่ร่วมกันง่าย
อะไรๆก็เลยง่าย แต่งงานกันง่าย คุยกันเข้าใจกันง่าย อยู่ด้วยกันดูแลกันได้ง่าย มันง่ายไปหมด
เมื่อดวงจิตเราถูกเชื่อมถึงและถูกผสานเข้าไว้ด้วยกัน ยิ่งตอนนี้มีลูกมาเชื่อมต่อให้อีก ก็ยิ่งกระชับ
และแน่นเหนียวมากยิ่งขึ้น อัลฮัมดุลิลลาห์อะลากุลลิฮาล"
ท้ายประโยคขุนพลอดไม่ได้ที่จะกล่าวถ้อยคำที่เป็นการขอบคุณพระเจ้ากับทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง
ขอบคุณในทุกๆเรื่องราวทุกสภาวการณ์
"ผมไม่ได้ต้องการคนที่สมบูรณ์แบบ มีครบมีเต็มแล้วทุกอย่าง
ผมก็แค่เศษหนึ่งส่วนสองที่มองหาอีกเศษหนึ่งส่วนสอง แล้วเราก็ค่อยมาร่วมกันยกกำลังศูนย์ด้วยกัน
จนกลายเป็น หนึ่งเดียวกัน" ก่อนจะเฉลยกับภรรยาเรื่องชื่อของลูกน้อยที่เขาเป็นคนตั้งให้ว่า
"ผมก็เลยตั้งชื่อลูกชายคนนี้ของเราว่า อัรรอยฮาน ก็เพราะว่า อบู อัรรอยฮาน อัลบีรูนีย์
(ابوالرَّيْحَان البِيْرُوْنِي) เขาเป็นผู้คิดค้นและมีผลงานวิจัยในวิชาคณิตศาสตร์ เคมี ดาราศาสตร์
และประวัติศาสตร์ เขาคือผู้ที่มีภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์รู้จักเลยทีเดียว
ผมเลยอยากให้ลูกของเราส่งต่อชื่อของเขา โดยมีชื่อของนบีวางไว้ข้างหน้า
เป็นชื่อ มุฮัมหมัด อัรรอยฮาน ทวีวรวรรณ และเขาคือ ส่วนเติมเต็มในชีวิตของเราสองคน
รวมเราสองคนเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน" บิลกีสกระชับอ้อมกอดนั้นแน่นขึ้น ก่อนจะหอมแก้มสากๆของเขา
อย่างรักใคร่ด้วยแววตาเอื้ออาทรและอ่อนโยนยิ่ง จนคนถูกมองถึงกับตื้นตันใจ
ฝนยังคงซัดกระหน่ำลงมาอย่างแรงกล้า สายลมยังคงบ้าคลั่ง ทว่า ทั้งสองที่ยืนดูสายฝนและความบ้าระห่ำ
ของสายลมอยู่ในตัวบ้านมิได้สะทกสะท้านอันใด กลับยืนชื่นชมสายฝนและสายลมอันกระหน่ำลงมานั้น
ด้วยความชื่นชอบและชื่นชม หัวใจทั้งสามชื่นฉ่ำเบิกบาน แม้แต่ลูกน้อยในอ้อมกอดก็มิได้ท่าทีหวาดกลัว
สายฝน
"สวย ช่างสวยงาม" บิลกีสเอ่ยชื่นชมบรรยากาศภายนอกออกมา พยายามเก็บบันทึกภาพความสวยงามนี้
ด้วยจิตใจที่ใช้เก็บเกี่ยวความสัมพันธ์ ด้วยความพึงพอใจ มองภาพรวมชีวิตบนโลกนี้อย่างปลดปลง
ด้วยประโยคที่บอกใจตนว่า
จงมีชีวิตในแต่ละวันอย่างคนธรรมดา แก่ชราลงโดยไม่มีสิ่งใดติดค้างอยู่ในใจ
โบกมือให้กับความหลังทั้งหมดด้วยหัวใจที่เห็นเพียงความงดงามแห่งชีวิต
..............................จบบริบูรณ์.................................
จบไปอีกเรื่องค่ะ สำหรับเรื่องนี้ที่ดองอยู่ในไหมาหลายปี ได้เวลาปิดไหแล้วนะคะ
สำหรับตอนพิเศษนั้น เอาไว้เต่าโยค่อยนำมาให้วันหลังนะคะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามนวนิยายธรรมดาๆของตัวละครที่แสนจะธรรมดา
และปิดจบเรื่องราวของคนธรรมลงแบบธรรมดาๆด้วยนะคะ
ความผูกพันที่มีต่อเว็บเลิฟมาอย่างยาวนาน จึงทำให้ยังไงๆก็ยังอยากนำผลงานมาลงที่นี่อยู่ค่ะ
นักอ่านท่านใดอยากคุยอยากทักทายผ่านทางนี้ ก็ส่งเสียงทักทายกันมาบ้างนะคะ
ดูแลสุขภาพนะคะ
"เต่าโย"
สายฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่ยั้ง ทั้งหนักและรุนแรงอย่างต่อเนื่องนั้นหาได้ให้โทษให้คุณแก่สามชีวิตได้
ในวันที่มีที่ให้หลบกำบังเฉกเช่นวันนี้
'บ้าน' เป็นทั้งสถานที่และที่กำบังจากความบ้าคลั่งของสายลมและสายฝน บิลกีสชื่นชอบสายฝนก็จริง
หากต้องให้เธอยืนตากฝนไปชั่วชีวิต เธอก็ไม่สามารถมีชีวิตอย่างงดงามและยืนนานได้
เธอรู้ รู้ว่าเธอเป็นเพียงมนุษย์ คนข้างกายเธอก็คือ มนุษย์ ลูกน้อยที่ซุกกายในอ้อมอกพ่อของเขา
ในตอนนี้ก็คือ มนุษย์ ที่มิอาจต้านทานแรงปะทะได้ตลอดเวลาไปตลอดชีวิตได้ จึงต้องมีที่กำบังให้หลบ
เธอและเขาต่างเหน็ดเหนื่อย ใช่ ที่จริงแล้วเธอและเขาเหนื่อยมาก เธออยู่กับความมืดอย่างเดียวดาย
มาอย่างยาวนาน โลกทั้งใบขาดสีสัน เจอความกดดัน น่าเบื่อ และความไร้ค่า ก่อเกิดเป็นความเหนื่อย
ทั้งกายและใจ แต่ก็มิอาจหลีกเลี่ยงหลบเร้นชะตากรรมนี้ไปได้ ต้องเผชิญกับมันอย่างไร้ทางออกไป
กับความมืดนั้นเธอไม่กลัวเลย ยิ่งผีแล้วเธอยิ่งไม่กลัว แต่กลับกลัวการหลอกลวง ซึ่งได้เห็นธาตุแท้
ของผู้คนมากมาย ชีวิตในอดีตจึงแสนน่าเบื่อยิ่งนัก แต่การจะร้องไห้ออกมา ก็ไม่ถนัด เธอไม่ถนัดร้องไห้
อย่างที่สตรีมากมายหลั่งน้ำตาออกมา หน้าตาเธอไม่โดดเด่น นิสัยอะไรก็ไม่โดดเด่น ทัศนคติก็แสนจะพื้นๆ
ธรรมดา ไม่ว้าว ไม่น่าสนใจ ความสามารถพรสวรรค์ก็อาจจะมีอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้โดดเด่นอีกเช่นกัน
ตั้งแต่เกิดมาจนวันนี้ เธอก็ยังเป็นสตรีที่ธรรมดาๆคนนึง ไม่มีอันใดหรืออะไร
ที่โดดเด่นน่าดึงดูดน่าสนใจดั่งที่เคยเป็นมาและก็จะเป็นเช่นนี้ต่อไป
"ผมมานึกย้อนไปในวันวาน มีครั้งนึงนะที่คุณทำให้ผมประทับใจมากๆ จนจำชื่อคุณมาจนถึงทุกวันนี้"
"เมื่อไหร่กันคะ เราเคยมีโมเมนท์แบบนี้ด้วยหรอ"
"มีสิ ตอนนั้นที่มีการรับน้อง รุ่นพี่จิ้มเลือกรุ่นน้องสาวๆให้ลุกขึ้นมาตอบคำถาม
แล้วก็จิ้มดาวคณะมาถามว่า ถ้าจะเปรียบตัวเองเป็นอะไรสักอย่าง จะเปรียบตัวเองเป็นอะไร"
เขาเอ่ยขึ้น ทำให้บิลกีสเองค่อยๆนึกภาพในวันนั้นขึ้นมา ภาพที่ค่อยๆแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเขากล่าวสืบไปว่า
"เธอผู้เป็นดาวคณะตอบว่า เธอก็ไม่ต่างจากกระเบื้องขาวที่ใครๆมองว่าสวยงามจับตา
แต่ กระเบื้องขาวน่ะ หากว่ามีร่องรอยขึ้นมา ก็ยากจะประสานรอยนั้น แตกแล้วก็ร้าว
รอยแตกร้าวนั้นยากจะลืมเลือน กลายเป็นกระเบื้องขาวเนื้อดีที่มีตำหนิ นั่นจึงทำให้เธอ
ต้องดูแลใส่ใจตัวเอง ถนอมตัวเองไม่ให้มีรอยร้าว ระมัดระวังตน ก็เพื่อที่จะเป็นกระเบื้องขาวเนื้อดี
ที่ไร้ที่ติ สูงส่งและสง่างาม เป็นที่ภาคภูมิใจแก่เจ้าของเมื่อได้ถือครองมัน"
เขาเอ่ยแล้วหันมามองใบหน้าธรรมดาๆไร้เครื่องประทินโฉมใดๆเพราะกลัวว่าลูกน้อยจะแพ้
เลยไม่แต่งหน้าและใช้สารเคมีใดๆมาเสริมสวย หากแต่ เขากลับชอบที่จะมองใบหน้านี้
อย่างมิอาจเข้าใจได้ว่าเพราะอะไรกันแน่
"เสียงปรบมือดังขึ้น เสียงชื่นชมก็ดังตามมา แล้วรุ่นพี่ก็หันมาทางหญิงสาวหน้าตาธรรมดาๆคนนึง
บอกให้เธอคนนั้นลุกขึ้นเผยตัวตนต่อหน้าผู้คนมากมาย เสียงหัวเราะดังตามมาพร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์
เกี่ยวกับเธอ การบูลลี่การดูถูกเป็นเรื่องปกติในรั้วมหาลัยแห่งนั้น และเธอคนนี้ก็เหมือนว่าจะเจอการดูถูก
มาจนชิน เพราะเธอลุกขึ้นด้วยสีหน้าปกติ ก่อนจะพูดในสิ่งที่ผมก็ไม่สามารถลืมได้เลยจนถึงทุกวันนี้"
บิลกีสน้ำตารื้นขึ้นมา ทั้งที่ไม่ถนัดร้องไห้ แต่ชายผู้นี้ก็ทำให้น้ำตาของเธอหลั่งได้อย่างง่ายดายเสมอมา
"รุ่นพี่ถามเธอว่า เธอคิดว่าตัวเองเป็นกระเบื้องขาวเนื้อดีแบบเดียวกับสาวงามเมื่อครู่ด้วยหรือไม่
เธอตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคงไปว่า ฉันไม่ได้บอบบางและดีเลิศขนาดนั้น ก็แค่เหล็กที่โดนทุบตีซ้ำๆ
โดนผู้คนมากมายพากันดูถูกถากถางต่างๆนาๆ โดนเผาด้วยไฟอันร้อนแรง โดนหลอมละลาย
แล้วก็ขึ้นรูปใหม่ได้เรื่อยๆ จะเป็นดาบ เป็นหม้อ เป็นกระทะ เป็นตะหลิว ก็สามารถเป็นได้หมด
แล้วแต่เบ้าหลอมและผู้หลอม ฉันยอม ยินดีให้เขาหลอม
แม้ว่าผู้คนมากมายจะกลัวไฟ กลัวถูกเผา กลัวถูกหลอม แต่เหล็กนั้นมันไม่กลัว มันยอมให้กระทำกับมัน
ซึ่งจะให้เปรียบตัวเองเป็นทองที่ไม่แพ้ไฟก็ดูจะสูงส่งและเลอค่าเกินตัวไป
เพราะทองเป็นสิ่งที่ผู้คนพากันแย่งชิงอยากครอบครองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งมิใช่ฉันเลย
ฉันน่ะ เป็นเหล็กนี่แหละ ใช่ฉันแล้ว ที่ไม่ว่าผู้หลอม หลอมฉันเป็นอะไรฉันก็เป็นสิ่งนั้น
หลอมฉันให้เป็นดาบ ฉันก็ทำหน้าที่ฟาดฟันศัตรู ถ้าหลอมฉันเป็นหม้อ ฉันก็มีหน้าที่สำหรับใส่น้ำซุป
ต้มน้ำซุป น้ำแกง ทำอาหารต่างๆ เขาหลอมให้เป็นอะไรฉันก็เป็นสิ่งนั้น ทำหน้าที่ไปตามนั้น
สูงต่ำไม่สน สนแค่ทำหน้าที่ เมื่อพังก็หลอมใหม่ได้ ขึ้นรูปเป็นอย่างอื่นได้อีกเรื่อยๆ
รอยตำหนิหรืออะไรมิใช่สิ่งที่ฉันสนใจให้ความสำคัญ"
พูดจบก็หันไปสบดวงตาที่ตอนนี้มีน้ำใสๆเอ่อคลอ ก่อนจะยิ้มให้ดวงตาคู่นั้น
"ผมตอนนั้นไม่อาจเข้าถึงประโยคยาวๆเหล่านั้นได้มากนัก แต่กลับประทับใจและจดจำได้ทุกคำ
เพราะผมในวันนั้นมีทุกอย่าง มีทุกสิ่ง ชีวิตสุขสบาย สะดวกง่ายดายไปหมด
จนกระทั่งชีวิตพังครืนลงกลางทะเล ทุกอย่างปลิวหายไปในพริบตา
ผมถึงได้นึกถึงประโยคเหล่านั้นของคุณขึ้นมา มันคือ แรงผลักดันให้ผมสู้สุดชีวิต
และไม่ย่อท้อ ไม่ยอมพ่ายแพ้ คุณทำให้ผมได้รู้ว่า การจะพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ด้วยสีหน้าแววตา
ที่มั่นคงไม่สั่นไหวด้วยวัยเพียง 19 ปีของคุณในวันนั้น
มันหมายความว่า คนพูดผ่านอะไรมาบ้างในชีวิต ผมถึงตามหาคุณ และขอคุณแต่งงาน
นี่คือ อีกความจริงที่วันนี้ผมอยากให้คุณมั่นใจว่าผมไม่ได้เลือกคุณมาแบบมั่วๆ
แต่ผมตั้งใจจะเลือกคุณมาเป็นคู่ชีวิตมากๆ แม้ในวันนั้นจะไม่ได้เปิดเผยเจตนาที่แท้จริงให้คุณรู้เลย"
บิลกีสโอบกอดเขาพร้อมกับลูกน้อยในอ้อมกอดเขาไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปลื้มปีติยินดี
ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า
"กว่าจะได้เจอคนที่จิตเชื่อมถึงกันได้ก็นานจนจะเกือบอายุ 40 เป็นการรอคอยที่ยาวนานมากๆเลยค่ะ
ขอบคุณนะคะที่มาเจอมาเชื่อมต่อกันในที่สุด" ขุนพลยิ้มละมุน ยิ้มที่บิลกีสไม่คิดว่าคนหน้าตาดุๆแบบเขา
จะยิ้มแบบนี้ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งยามที่เขาทอดสายตามองดูลูก แววตาของเขาดูอ่อนโยนละมุนเหลือเกิน
"เราเจอกันมาตั้งแต่ตอนอายุ 19 แล้วนะกีส แค่ว่าตอนนั้นดวงจิตเรายังไม่เชื่อมกัน ยังไม่ได้รับ
การผสานเข้าด้วยกัน พอดวงจิตได้รับการผสานกัน เชื่อมถึงกัน ก็ทำให้การอยู่ร่วมกันง่าย
อะไรๆก็เลยง่าย แต่งงานกันง่าย คุยกันเข้าใจกันง่าย อยู่ด้วยกันดูแลกันได้ง่าย มันง่ายไปหมด
เมื่อดวงจิตเราถูกเชื่อมถึงและถูกผสานเข้าไว้ด้วยกัน ยิ่งตอนนี้มีลูกมาเชื่อมต่อให้อีก ก็ยิ่งกระชับ
และแน่นเหนียวมากยิ่งขึ้น อัลฮัมดุลิลลาห์อะลากุลลิฮาล"
ท้ายประโยคขุนพลอดไม่ได้ที่จะกล่าวถ้อยคำที่เป็นการขอบคุณพระเจ้ากับทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง
ขอบคุณในทุกๆเรื่องราวทุกสภาวการณ์
"ผมไม่ได้ต้องการคนที่สมบูรณ์แบบ มีครบมีเต็มแล้วทุกอย่าง
ผมก็แค่เศษหนึ่งส่วนสองที่มองหาอีกเศษหนึ่งส่วนสอง แล้วเราก็ค่อยมาร่วมกันยกกำลังศูนย์ด้วยกัน
จนกลายเป็น หนึ่งเดียวกัน" ก่อนจะเฉลยกับภรรยาเรื่องชื่อของลูกน้อยที่เขาเป็นคนตั้งให้ว่า
"ผมก็เลยตั้งชื่อลูกชายคนนี้ของเราว่า อัรรอยฮาน ก็เพราะว่า อบู อัรรอยฮาน อัลบีรูนีย์
(ابوالرَّيْحَان البِيْرُوْنِي) เขาเป็นผู้คิดค้นและมีผลงานวิจัยในวิชาคณิตศาสตร์ เคมี ดาราศาสตร์
และประวัติศาสตร์ เขาคือผู้ที่มีภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์รู้จักเลยทีเดียว
ผมเลยอยากให้ลูกของเราส่งต่อชื่อของเขา โดยมีชื่อของนบีวางไว้ข้างหน้า
เป็นชื่อ มุฮัมหมัด อัรรอยฮาน ทวีวรวรรณ และเขาคือ ส่วนเติมเต็มในชีวิตของเราสองคน
รวมเราสองคนเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน" บิลกีสกระชับอ้อมกอดนั้นแน่นขึ้น ก่อนจะหอมแก้มสากๆของเขา
อย่างรักใคร่ด้วยแววตาเอื้ออาทรและอ่อนโยนยิ่ง จนคนถูกมองถึงกับตื้นตันใจ
ฝนยังคงซัดกระหน่ำลงมาอย่างแรงกล้า สายลมยังคงบ้าคลั่ง ทว่า ทั้งสองที่ยืนดูสายฝนและความบ้าระห่ำ
ของสายลมอยู่ในตัวบ้านมิได้สะทกสะท้านอันใด กลับยืนชื่นชมสายฝนและสายลมอันกระหน่ำลงมานั้น
ด้วยความชื่นชอบและชื่นชม หัวใจทั้งสามชื่นฉ่ำเบิกบาน แม้แต่ลูกน้อยในอ้อมกอดก็มิได้ท่าทีหวาดกลัว
สายฝน
"สวย ช่างสวยงาม" บิลกีสเอ่ยชื่นชมบรรยากาศภายนอกออกมา พยายามเก็บบันทึกภาพความสวยงามนี้
ด้วยจิตใจที่ใช้เก็บเกี่ยวความสัมพันธ์ ด้วยความพึงพอใจ มองภาพรวมชีวิตบนโลกนี้อย่างปลดปลง
ด้วยประโยคที่บอกใจตนว่า
จงมีชีวิตในแต่ละวันอย่างคนธรรมดา แก่ชราลงโดยไม่มีสิ่งใดติดค้างอยู่ในใจ
โบกมือให้กับความหลังทั้งหมดด้วยหัวใจที่เห็นเพียงความงดงามแห่งชีวิต
..............................จบบริบูรณ์.................................
จบไปอีกเรื่องค่ะ สำหรับเรื่องนี้ที่ดองอยู่ในไหมาหลายปี ได้เวลาปิดไหแล้วนะคะ
สำหรับตอนพิเศษนั้น เอาไว้เต่าโยค่อยนำมาให้วันหลังนะคะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามนวนิยายธรรมดาๆของตัวละครที่แสนจะธรรมดา
และปิดจบเรื่องราวของคนธรรมลงแบบธรรมดาๆด้วยนะคะ
ความผูกพันที่มีต่อเว็บเลิฟมาอย่างยาวนาน จึงทำให้ยังไงๆก็ยังอยากนำผลงานมาลงที่นี่อยู่ค่ะ
นักอ่านท่านใดอยากคุยอยากทักทายผ่านทางนี้ ก็ส่งเสียงทักทายกันมาบ้างนะคะ
ดูแลสุขภาพนะคะ
"เต่าโย"
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 พ.ย. 2566, 22:54:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 พ.ย. 2566, 22:54:53 น.
จำนวนการเข้าชม : 230
<< บทที่ 24 ดุจเจ้าหญิง |